เข้าสู่ระบบ ‘ฝ่ามือยูไล’ [Sign in Buddha’s palm] – ตอนที่ 250 อุบัติการณ์

ตอนที่ 250 อุบัติการณ์

Sign in Buddha’s palm 250 อุบัติการณ์

ภายในเมืองฉางอัน

บนถนนทางเดิน

ผู้คนสัญจรไปมามากมาย ท้องถนนเต็มไปด้วยชีวิตชีวา

แต่ทั้งบรรพบุรุษเฉวซินและบรรพชนพรรคหมื่นดาบกลับมีคลื่นลูกใหญ่ซัดโถมเข้าเต็มหัวใจทั้งหมดมองไปที่ซูฉินด้วย ความตกใจ

อย่างน้อยๆ พวกเขาก็เป็นถึงตํานานยุทธระดับนภาชั้นที่เจ็ดโดยเฉพาะบรรพบุรุษเฉวซินที่เป็นถึงตํานานยุทธระดับนภาชั้นที่ แปดขั้นสูงสุดสามารถใช้จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ครอบคลุมรัศมีหลาย สิบลี้ได้อย่างง่ายดายแต่ไม่ว่าจะเป็นบรรพชนพรรคหมื่นดาบหรือบรรพบุรุษเฉวซินก่อนที่ซูฉินจะกล่าวคําออกมา เขาก็ไม่ได้สังเกตเห็นเลยว่ามีซูฉินอยู่ใกล้ๆ

ซูฉินโผล่ขึ้นมาจากอากาศราวกับภูตผี

สิ่งนี้หมายความว่าอย่างไร?

หมายความว่าหากซุฉินตั้งใจ เขาสามารถกลายเป็นมือลอบสังหารที่น่าสะพรึงกลัวที่สุดในโลกอย่างแน่นอน ก่อนที่เขาจะลงมือแม้แต่ตํานานยุทธระดับนภาชั้นที่แปดอย่างบรรพบุรุษเฉวซินยังไม่อาจรับรู้

“พวกเจ้าคือบรรพชนผู้หลับใหลในต่างแดนใช่หรือไม่?”

ซูฉินมองดูกลุ่มของบรรพบุรุษเฉวซินทั้งสามคนอย่างสนอกสนใจดวงตาแห่งสัจจะช่วยให้เขาเข้าใจกลไกของพลังฉีทั้งหมด และแม้แต่แก่นแท้แห่งพลังที่โคจรอยู่ภายในร่างของบรรพชนทั้งสามก็เห็นได้ชัดเจน

ในสายตาของซูฉินไม่ว่าจะเป็นบรรพบุรุษเฉวซิน ชีหยวนจากนิกายเฮยหยวน หรือบรรพชนพรรคหมื่นดาบความแข็งแกร่งของพวกเขาล้วนเป็นตํานานยุทธขั้นสูงสุด แต่เลือดเนื้อของทั้ง สามนั้นเสื่อมถอยลงไปแล้วไม่ใช่จุดรุ่งเรืองที่สุดของพวกเขา

แทบจะเหมือนที่นักพรตเฒ่าแห่งสํานักเอกะวิถีบอกว่าบรรพชนที่หลับใหลด้วยวิธีการลับนั้นจะทําให้เลือดเนื้อเสื่อมถอยลง

“เจ้าคือตํานานยุทธเมืองฉางอันอย่างนั้นหรือ?”

บรรพบุรุษเฉวซินแห่งตําหนักเทพเจ้าหิมะมองไปที่ซูฉินอย่างจริงจังกล่าวคําทั้งหมดออกมา

ในตอนนี้ ทําไมพวกเขาจะยังเดาไม่ออกว่าตํานานยุทธที่พวกเขากําลังตามหานั้นอยู่ตรงหน้าพวกเขาแล้ว?

เพียงแต่บรรพบุรุษเฉวซินนั้นคิดว่าซูฉินเป็นเพียงตํานานยุทธระดับนภาชั้นที่เจ็ด แต่ตอนนี้ดูเหมือนฝ่ายตรงข้ามจะเหนือกว่าระดับนภาชั้นที่เจ็ดเสียแล้ว

ตํานานยุทธระดับนภาชั้นที่เจ็ดจะซ่อนตัวจากการรับรู้ของบรรพบุรุษเฉวซินและเข้ามาใกล้ๆ อย่างเงียบงันเช่นนี้ได้เยี่ยงไร?

ซูฉินแย้มยิ้มเล็กน้อย ไม่ตอบคําถามของบรรพบุรุษเฉวซินแต่มองทั้งสามด้วยอาการครุ่นคิด

ซูฉินเข้าสู่วิถีทางการฝึกยุทธมาหลายสิบปี และศัตรูที่พบมักจะอยู่ในระดับที่ต่ํากว่าเขามากพวกของบรรพบุรุษเฉวซินทั้งสามคนเป็นเผ่าพันธุ์มนุษย์ที่แข็งแกร่งในระดับเดียวกันกับซูฉินซึ่งเป็นครั้งแรกที่เขาได้พบคนที่มีฐานบ่มเพาะใกล้เคียงกันเช่นนี้

แน่นอนว่าชิงชิวชิงหลิงบนเกาะหยิงโจวและมังกรปีศาจไม่ใช่เผ่าพันธุ์มนุษย์จึงไม่ได้นับรวมเข้าไปด้วย

“เฮเฮ สหายช่างมีวิธีการที่ดี ” บรรพบุรุษชีหยวนที่อยู่ด้านข้างก็ส่งเสียงเยาะเย้ย“ไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องอื่นๆเพียงแค่ทักษะลับในการปกปิดกลิ่นอายก็เพียงพอที่จะทําให้อยู่ในระดับบนสุดของโลกนี้แล้ว…………..”

แสงแห่งปัญญาส่องประกายออกมาจากดวงตาของบรรพบุรุษชีหยวนในความเห็นของเขาการที่ซูฉินมาปรากฏตัวที่นี่อย่างเงียบๆ จะต้องซ่อนตัวอยู่ตั้งแต่แรกด้วยทักษะลับในการปกปิดกลิ่นอาย

เมื่อมองแวบแรกอาจจะดูน่าเหลือเชื่อ แต่จริงๆ แล้วมันไม่คุ้มค่าให้กล่าวถึง

เพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุดในการใช้ทักษะปกปิดกลิ่นอายจําเป็นต้องควบคุมกลิ่นอายเอาไว้ ถ้าซูฉินนิ่งเงียบ จากนั้นจึงค่อยๆล่าถอยกลับไปอาจจะทําให้บรรพบุรุษชีหยวนอารมณ์เสียได้แต่ตอนนี้ซูฉินกลับคิดจะหยัดยืนขึ้นสู้ เท่ากับละทิ้งสิ่งที่ตนถนัดและมองหา

ความตาย

“ทักษะลับในการปกปิดกลิ่นอาย?”

บรรพชนพรรคหมื่นดาบถอนหายใจด้วยความโล่งอก

ทักษะลับปกปิดกลิ่นอายนั้นสามารถซ่อนกลิ่นอายได้อย่างไม่น่าเชื่อแต่ไม่ว่ามันจะน่าเหลือเชื่อเพียงใดมันก็เป็นเพียงแค่ทักษะลับไม่มีอะไรมากไปกว่าการปกปิดกลิ่นอาย ไม่ได้ช่วยในเรื่องการต่อสู้เท่าไหร่นัก

ในเวลานี้ความคิดนับพันวาบผ่านเข้ามาในจิตใจของบรรพชนพรรคหมื่นดาบ และยิ่งแนใจมากขึ้นเรื่อยๆ ว่าการคาดเดาของบรรพบุรุษชีหยวนนั้นถูกต้อง

ถ้าซูฉินไม่ได้ใช้ทักษะลับปกปิดกลิ่นอาย ทําไมจู่ๆ พวกเขาจึงเพิ่งเริ่มรู้ตัวในตอนที่ซูฉินส่งเสียง?

บรรพชนพรรคหมื่นดาบยิ่งคิดก็ยิ่งเริ่มแน่ใจมากขึ้น ปรากฏเป็นร่องรอยของความอับอายขึ้นในดวงตายามเมื่อมองไปยังซูฉินบรรพชนนักดาบผู้ยิ่งใหญ่อยู่ในขอบเขตตํานานยุทธขั้นสูงสุดมาตั้งแต่พันปีก่อนกลับต้องมาหวาดกลัว คนรุ่นหลัง” อย่างซูฉิน หากเรื่องนี้แพร่กระจายออกไปย่อมทําให้คนอื่นหัวเราะเยาะเป็นแน่

“ทักษะลับปกปิดกลิ่นอาย?”

มันทําให้ซูฉินหัวเราะแห้งๆ

ตอนนี้เขากําลังอยู่ในช่วงพัฒนาขั้น ไม่ว่าจะเป็นพลังชีวิตเลือดเนื้อหรือจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ล้วนซ่อนตัวลึกอยู่ภายในกายทําให้ดูไม่ต่างจากคนทั่วไปนักนั่นเป็นเหตุที่ทําให้บรรพบุรุษชีหยวนคิดว่าเขา ใช้ทักษะลับปกปิดกลิ่นอาย

อนึ่ง บรรพบุรุษซีหยวนก็ไม่ได้พูดอะไรผิด

“ไม่ว่าเจ้าจะมีทักษะลับอะไร แต่การมาสังหารผู้อาวุโสของข้าก็จะไม่ได้รับการให้อภัย จงยอมจํานนอย่างเชื่อฟังบางทีมันอาจจะทําให้เจ้ามีชีวิตอยู่ต่อไปได้”

บรรพบุรุษเฉวซินก้าวเท้าไปข้างหน้าตะโกนออกมาอย่างรุนแรง

“ลงมือ!”

ไอพลังอันน่าสะพรึงกลัวสามสายพุ่งเข้ามาหาซูฉินพร้อมกันดุจมังกรโอบกอดตวัดรัดรึง

ไม่ว่าจะเป็นบรรพชนพรรคหมื่นดาบ บรรพบุรุษเฉวซินหรือบรรพบุรุษชีหยวนล้วนแต่เป็นตํานานยุทธขั้นสูงสุด แม้ว่าเลือดเนื้อและพลังชีวิตจะลดลงแต่ด้วยการลงมือร่วมกันแม้จะยังไม่ลงมือเต็มที่ก็เพียงพอแล้วที่จะปราบตํานานยุทธระดับนภาชั้นที่เจ็ดและ นภาชั้นที่แปดธรรมดาๆ

หวิ่ง!!!

อากาศเริ่มบิดเบี้ยวเล็กน้อยราวกับว่าไม่สามารถทนต่อแรงกดดันได้แต่ไม่ว่าบรรพชนทั้งสามจะรวมพลังกันโจมตีอย่างไรในสายตาของชาวเมืองฉางอันที่เดินอยู่ใกล้ๆ ก็ดูเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

นี่คือการต่อสู้ระหว่างผู้แข็งแกร่งที่แท้จริง

สําหรับตํานานยุทธขั้นสูงสุดเช่นบรรพบุรุษชีหยวน เว้นแต่จะต้องพยายามต่อสู้อย่างเต็มที่ เผชิญหน้ากับวิกฤตชีวิตทุกร่องรอยจะถูกปกปิดไว้เฉพาะเมื่อเกิดการปะทะของพลังเท่านั้นพลังจึงจะปะทุขึ้นมาแต่ก่อนหน้าการปะทะจะไม่เกิดผลกระทบใดๆ ออก มาให้รับรู้เลย

เมื่อเผชิญหน้ากับเหตุการณ์นี้ ท่าทีของซูฉินยังคงสงบนิ่งไม่เคลี่อนไหว

ท่ามกลางสายตาจ้องมองของบรรพชนทั้งสามการโจมตีทั้งหมดของพวกเขาอยู่ห่างของร่างของซูฉินเพียงไม่ถึงสิบจ้างแต่การโจมตีทั้งหมดกลับสลายหายไปอย่างเงียบๆ ราวกับมันจมลงไปในก้น

ทะเล

“นี่คือ?”

บรรพบุรุษเฉวซินและบรรพชนพรรคหมื่นดาบไม่สามารถซ่อนอาการตกใจได้

ทั้งสามคนนั้นร่วมมือกัน แม้จะไม่ได้ใช้กําลังเต็มที่ แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องที่ตํานานยุทธขั้นสูงสุดธรรมดาๆ จะสามารถทนการโจมที่นี้ได้ถ้าซูฉินใช้วิธีการมากมาย จ่ายราคาแสนแพงเพื่อปิดกั้นการโจมตีร่วมกันของพวกเขา บรรพบุรุษเฉวซินก็ยังพอทําความเข้าใจ ได้แต่ความจริงมันน่าเหลือเชื่อตรงที่ซูฉันยืนอยู่ที่เดิมโดยไม่ได้ทํา อะไรเลย และทุกอย่างก็จบลงทันที

“อาณาเขต!”

“นี่เจ้าควบแน่นเรียบร้อยแล้ว?”

บรรพบุรุษซีหยวนที่อยู่ด้านข้างจ้องมองใบหน้าของซูฉินเขม็ง

“อาณาเขต?”

บรรพบุรุษเฉวซินและบรรพชนพรรคหมื่นดาบมองหน้ากันในความเป็นจริงแม้บรรพบุรุษชีหยวนจะไม่พูดแต่พวกเขาก็พอเดาได้การที่สามารถสลายการโจมตีของสามบรรพชนที่ลงมือพร้อมกันได้อย่างเงียบเชียบด้วยการลงมือเพียงครั้งเดียว ยังจะมีสิ่งอื่นใดอีกหากมิใช่อาณาเขต?

“มีสายตาที่ไม่เลว”

ซูฉินพยักหน้าเล็กน้อยก่อนจะพูดเบาๆ

“น่าเสียดายที่มันสายเกินไปแล้ว จงตายเสียเถิด”

จิตใจของซูฉินเคลื่อนไหว พลังของอาณาเขตแผ่ขยายออกอย่างรวดเร็วเคลื่อนเข้าหากลุ่มของบรรพบุรุษชีหยวนทั้งสามคน

เมื่อบรรพบุรุษชีหยวนตกอยู่ในอาณาเขตของซูฉิน ก็เท่ากับความเป็นความตายนั้นจะอยู่ในกํามือของซูฉิน

“ไม่ดีแล้ว!”

ท่าทีของบรรพบุรุษเฉวซินเปลี่ยนไปอย่างมากหากปล่อยให้อาณาเขตของซูฉินเข้าปกคลุมจริงๆตัวนางและบรรพชนพรรคหมื่นดาบต้องตายอย่างแน่นอน

ส่วนการวิ่งหนี?

ต่อหน้าตํานานยุทธที่ควบแน่นอาณาเขตได้นั้น

การหลบหนีเป็นพฤติกรรมที่โง่เขลาที่สุด ไม่ว่าเจ้าจะวิ่งได้เร็วเท่าไหร่อาณาเขตก็ย่อมขยายตัวได้เร็วกว่าเจ้ามิใช่หรือ?

เว้นแต่จะละทิ้งกายเนื้อและหลบหนีออกไปหมื่นลี้ด้วยจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ แต่วิธีนี้ต้องจ่ายด้วยราคาที่แพงจนเกินไปโดยเฉพาะบรรพบุรุษเฉวซินที่พลังเสื่อมถอยและมีอายุขัยที่น้อยนิดไม่ว่าจะพยายามมากแค่ไหนก็คงอยู่ได้อีกไม่กี่เดือนแล้ว

“ชีหยวน!”

บรรพบุรุษเฉวซินมองไปยังบรรพบุรุษชีหยวนที่อยู่ด้านข้าง

“เฮ้อ!”

บรรพบุรุษชีหยวนถอนหายใจออกมาเล็กน้อย และพลังแห่งความมืดก็เข้ามาปิดกั้นอาณาเขตของซูฉิน พลังทั้งสองสายอยู่ในจังห วะชะงักงัน

“หม?”

ซูฉินมองไปที่บรรพบุรุษชีหยวนด้วยความประหลาดใจ เขาไม่ได้คาดหวังว่าอีกฝ่ายจะควบแน่นอาณาเขตได้ด้วย

แม้ว่าดวงตาแห่งสัจจะจะมีความลึกซึ้งในการมองเห็นกลไกพลังฉีแต่พลังของอาณาเขตนั้นซ่อนอยู่ในห้วงแห่งจิตใจเว้นแต่จะเริ่ม เปิดเผยพลังของมันออกมาแม้จะเป็นซูฉินเองก็ไม่อาจมองเห็น

“อย่างไรก็ตาม พลังชีวิตและเลือดเนื้อของเจ้าลงลดมากแล้วเจ้าจะอยู่ต่อไปได้นานแค่ไหนหากยังใช้อาณาเขตต่อไปเช่นนี้?” ซูฉินเหลือบมองไปที่บรรพบุรุษชีหยวนและยิ้มดูถูก

สําหรับจอมยุทธอย่างซูฉินที่มีพลังชีวิตและเลือดเนื้อแข็งแกร่งการใช้อาณาเขตนั้นทําได้เพียงแค่นึกคิดแต่สําหรับบรรพบุรุษชีหยวนทุกครั้งที่ใช้อาณาเขตเป็นระยะเวลาหนึ่งมันจะลดพลังชีวิตและเลือดเนื้อลงไปอีกครั้งซึ่งทั้งหมดนี้ก็ไม่ต่างไปจากการใช้เครื่องรางคอยคุ้มกัน

“ช่างเถอะ”

“คราวที่แล้วข้ายังไม่ค่อยตื่นเต้นในการต่อสู้กับมังกรปีศาจเท่าไหร่พวกเจ้ามาช่วยข้าซ้อมมือใหม่อีกครั้งเถอะ”ซูฉินถูฝ่ามือพร้อมกับครุ่นคิดในใจ

ในสายตาของซูฉิน อาณาเขตก็เป็นเครื่องมือที่สะดวกสบายมากที่สุดแต่ก็ยังห่างไกลจากความสามารถที่แท้จริงของซุฉิน

เหตุผลที่เขาใช้อาณาเขตในยามนี้ก็เพราะเขาขี้เกียจจนเกินไปและคิดจะปราบปรามด้วยอาณาเขตในความคิดเพียงวูบเดียว

แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าสิ่งที่คิดจะไม่เกิดขึ้น ซูฉินยังคงต้องใช้กลอุบายอื่นในการจัดการ

ในเวลาเดียวกัน

ด้านนอกเมืองฉางอัน

ตํานานยุทธจากต่างแดนมากมายหลายคนมารวมตัวกันที่นี่มองดูเมืองฉางอันที่สวยงามจากระยะไกล

“สี่สี่ บรรพบุรุษชีหยวนจากนิกายเฮยหยวน บรรพบุรุษเฉวซินจากตําหนักเทพเจ้าหิมะและบรรพชนพรรคหมื่นดาบเข้าไปในเมืองฉางอันแล้วอย่างนั้นหรือ?”

รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของชายผมหงอก

หลังจากที่บรรพบุรุษชีหยวนแห่งนิกายเฮยหยวนและคนอื่นๆตื่นขึ้นพวกเขาก็ไม่ได้ตรงไปที่แผ่นดินแห่งพลังยุทธในทันที พวก เขาไม่ได้ขยับร่างมานานหลายสิบปีเมื่อจู่ๆ ต้องตื่นขึ้นอีกครั้งก็ต้อง มีการปรับตัวอยู่บ้างอย่างแน่นอน

ดังนั้น

เหล่าตํานานยุทธที่พร้อมใจกันมาที่แผ่นดินแห่งพลังยุทธก็แข่งขันกันเพื่อที่จะมาให้ถึงที่นี่ก่อนบรรพบุรุษชีหยวนและคนอื่นๆ

“ดูจากเวลา พวกเขาควรจะมาถึงที่นี่แล้ว”

ตํานานยุทธอีกหลายคนพยักหน้าเล็กน้อย มองไปที่เมืองฉางอันอย่างคาดหวัง

โดยปกติแล้วพวกเขาไม่กล้าแข่งขันกับตํานานยุทธขั้นสูงสุดอย่างบรรพบุรุษชีหยวนที่จะเข้ายึดเมืองฉางอันแต่การเฝ้ามองอยู่ไกลๆและรอให้บรรพบุรุษซีหยวนสู้กับตํานานยุทธขั้นสูงสุดของเมืองฉางอันก็ไม่มีปัญหาอะไร

“ข้าไม่รู้ว่าตํานานยุทธแห่งเมืองฉางอันจะสามารถขัดขวางกลุ่มของบรรพบุรุษชีหยวนได้หรือไม่….”

หญิงอวบอ้วนที่ดูคล้ายคนอายุสามสิบปีถอนหายใจ

“ขัดขวางงั้นหรือ?”

ชายผมหงอกในตอนแรกส่งเสียงเย้ยหยัน “บรรพบุรุษชีหยวนอยู่ในต่างแดนเมื่อพันกว่าปีก่อน และมีตํานานยุทธขั้นสูงสุดหลายคนตกตายภายใต้ฝีมือของเขาถ้าไม่ใช่เพราะวิชาของนิกายเฮยหยว นมีข้อบกพร่องเกรงว่าเขาคงจะเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพี่ไปนาน แล้ว”

“แต่ถึงกระนั้น บรรพบุรุษชีหยวนก็ควบแน่นอาณาเขตได้เรียบร้อย”

“ใครเล่าจะหยุดชายผู้ไร้เทียมทานเช่นนี้ได้?”

ชายผมหงอกส่ายหัวเล็กน้อยแล้วพูดต่อ “ด้วยลักษณะนิสัยของบรรพบุรุษชีหยวน เมื่อตํานานยุทธเมืองฉางอันถูกปราบเขาย่อมจะสังหารสิ่งมีชีวิตทั้งหมดในเมืองฉางอันเพื่อฝึกฝนวิชามาร ”

“มันกลายเป็นเช่นนี้”

ตํานานยุทธจํานวนมากพลันตระหนักขึ้นมา

“ในความคิดของข้า ในตอนนี้บรรพบุรุษชีหยวนอาจจะ ” เมื่อชายผมหงอกกําลังจะพูดออกมาเขาก็เห็นอาณาเขตสีดําสนิทโผล่ออกมาจากใจกลางเมืองกระจายไปทั่วทิศทางอย่างบ้าคลั่ง

“นั่นคืออาณาเขตของบรรพบุรุษชีหยวน?”

ชายผมหงอกตกตะลึงครู่หนึ่งแล้วยิ้มออกมา “ดูเหมือนการต่อสู้กําลังจะจบลง บรรพบุรุษขี่หยวนตั้งใจจะสังเวยชีวิตนับล้านด้วยอาณาเขตของเขา……”

ฉับพลัน

ในตอนนั้นเอง

แกร็กแกรักแกร็ก

เห็นประกายคมมีดที่เหมือนกับเป็นช่องว่างในอากาศเฉือนตัดอาณาเขตแห่งความมืดของบรรพบุรุษชีหยวนออกเป็นสองส่วน

ตูม!

อาณาเขตแตกออก ไอพลังของบรรพบุรุษชีหยวนก็ยิ่งอ่อนแอลงไปอีก

ใบหน้าของชายผมหงอกนึ่งค้างตะลึงงันจ้องมองสิ่งที่เกิดขึ้นไม่

วางตา

เข้าสู่ระบบ ‘ฝ่ามือยูไล’ [Sign in Buddha’s palm]

เข้าสู่ระบบ ‘ฝ่ามือยูไล’ [Sign in Buddha’s palm]

Status: Ongoing

Sign in Buddha’s palm

เข้าสู่ระบบฝ่ามือยูไล

ซูฉินเที่ยวท่องไปในยุทธภพอันกว้างใหญ่ เป็นโลกที่ชาวยุทธเตร็ดเตร่อาละวาดไปทั่ว เป็นสถานที่ที่หยวนกั๋วชีอยู่เหนือใต้หล้า เป็นที่ที่ผู้สืบทอดหมัดเก้าตะวันออกหาประสบการณ์ต่อสู้ไปตามแนวสายธารอันทอดยาวและภูเขาอันสูงชัน ทั้งยังมีเซี่ยวหลี่ที่ขี่กระบี่โบยบินสู่ความเวิ้งว้างว่างเปล่า

เนื่องจากซูฉินไม่มีพรสวรรค์ด้านวิชายุทธ เขาจึงเป็นได้เพียงพระกวาดลานแห่งตำหนักลานจิปาถะ

ในเวลานั้นเอง ระบบแห่งการลงชื่อเข้าใช้ก็ถูกกระตุ้นเปิดออก!

ลงชื่อเข้าใช้ที่หน้าพระประธานสีทองอร่าม ได้รับ [ฝ่ามือยูไล]

ลงชื่อเข้าใช้ที่หน้าลานสงฆ์ ได้รับ [กายแกร่งวัชระ]

ลงชื่อเข้าใช้ที่ภูเขาหลังวัด ได้รับ [กายาโพธิสัตว์ปีศาจทองคำ]

สมบัติแทบจะแทรกอยู่ทุกหย่อมหญ้าในวัดเส้าหลินให้ได้ลงชื่อรับของรางวัลมา ซูฉินไม่คิดลงจากภูเขาอันเป็นที่ตั้งของวัดเส้าหลินไปที่ไหนแน่ถ้ายังไม่ได้ลงชื่อรับของ และตัวเขาก็ลงชื่อรับของอยู่แบบนั้นมาตลอดยี่สิบปี

ยี่สิบปีผ่านไป เส้าหลินเข้าไปพัวพันกับการต่อสู้ระหว่างธรรมะและอธรรม เหล่ามารเข้าโจมตีวัดเส้าหลินอย่างมิเกรงฟ้าดิน มาทั่วทุกสารทิศมุ่งเข้าสู่ศาลาพระคัมภีร์ อย่างดุร้าย! และทรงพลัง!

จนกระทั่งพวกมันเจอเข้ากับศิษย์วัดนามซูฉินกำลังกวาดลาน…

แปลจากงานเขียนเรื่อง Sign in Buddha’s palm ผู้แต่ง : หุยเต้าหยวนชู

ปล.เนื้อหาภายในเป็นเพียงจินตนาการของผู้เขียน ผู้แปลเพียงนำเสนอผลงานในรูปแบบที่เข้าใจง่ายขึ้นเท่านั้น

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท