ข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล [Sign in Buddha’s palm]
Sign in Buddha’s palm 255
Sign in Buddha’s palm 255 วิหารหมื่นพุทธ
กรึบกริบ
เม็ดโอสถศักดิ์สิทธิ์มากมายถูกโยนเข้าไปในปากซูฉันราวกับเป็นลูกอมขนมขบเคี้ยว
โอสถศักดิ์สิทธิ์ไหลผ่านลําคอลงไป ทันใดนั้นพวกมันก็กลายเป็นพลังงานและจิตใจแห่งฟ้าดินพุ่งไปตามแขนขา ช่วยยกระดับพลังในร่างของซูฉินอย่างต่อเนื่อง
การฝึกฝนตลอดหนึ่งวันของซูฉิน เขากลืนโอสถศักดิ์สิทธิ์ลงไปเป็นจํานวนมากพอที่ตํานานยุทธธรรมดาจะใช้ได้เป็นเดือนๆ
หลังจากปิดด่านฝึกตนมาหลายปี โอสถศักดิ์สิทธิ์ที่เขาใช้ไปทั้งหมดเพียงพอที่จะทําให้สํานักเทพโอสถจากต่างแดนตกตะลึง
มีเพียงซูฉินซึ่งลงชื่อเข้าใช้มาหลายสิบปี สะสมโอสถศักดิ์สิทธิ์จํานวนนับไม่ถ้วนเท่านั้นจึงจะมีคุณสมบัติที่จะฟุ่มเฟือยได้มากเพียงนี้แต่กระนั้น เมื่อผ่านการปิดด่านฝึกตนมาหลายปี โอสถศักดิ์สิทธิ์ที่ซูฉันเก็บสะสมไว้ก็ลดลงในระดับที่สังเกตเห็นได้ด้วยตาเปล่า ใช้ไปเกือบหนึ่งส่วนจากสิบส่วนที่เดียว
“บ่มเพาะมาหลายปีแล้ว ทุกอย่างสมบูรณ์ พร้อมที่จะก้าวเข้าสู่นภาชั้นที่เก้า วันนี้ต้องเริ่มทําให้สําเร็จในคราวเดียว”
ซูฉินลืมตาขึ้นในทันใด เพียงแค่คิดโอสถศักดิ์สิทธิ์ทั้งเก้าเม็ดก็ปรากฏขึ้นต่อหน้าซูฉิน
โอสถทั้งเก้าเม็ดนี้ทันทีที่ออกจากคลังระบบเผยสู่โลกภายนอกมันก็เริ่มสร้างปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติให้เห็นเล็กน้อย
เมื่อซูฉินนําโอสถทั้งเก้าเม็ดนี้ออกมา ความเจ็บปวดก็ฉายออกมาผ่านใบหน้า โอสถทั้งเก้าเม็ดนี้เป็นโอสถเทพที่จะใช้เมื่อยามก้าวข้ามขอบเขต แต่เพื่อไม่ให้เกิดข้อผิดพลาด ซูฉินทําได้เพียงควักมันออกมาแม้ไม่เต็มใจเท่าไหร่นัก
ท้ายที่สุดโอสถเทพก็สามารถหามาเพิ่มจากการลงชื่อเข้าใช้ แต่ถ้าการทะลวงระดับล้มเหลว จะเกิดผลกระทบครั้งใหญ่ต่อซูฉินและมันเป็นเรื่องใหญ่ยิ่งกว่าการสูญเสียโอสถเทพไปอย่างแน่นอน
เมื่อคิดได้ดังนั้น ซูฉินก็กลืนโอสถเทพลงไปทันที
ซูฉันรู้สึกได้ว่าภายในร่างของเขามีเปลวเพลิงที่หนาวเย็นกําลังแผดเผาอยู่ แก่นแท้แห่งพลังที่กลั่นตัวจนถึงขั้นสูงสุดเริ่มแปรสภาพไปอีกครั้งภายใต้เปลวเพลิงกลุ่มนี้
บูม!
ช่วงเวลาต่อมา
ซูฉินก็เริ่มทะลวงคอขวดของระดับนภาชั้นที่เก้า
มีการรวมพลังของแก่นแท้แห่งพลัง และจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ก็หลั่งไหลเข้ามา ทั้งหมดนั้นพุ่งเข้าหาผนึกที่คอยปิดกั้นระดับนภาชั้นที่เก้าเอาไว้
เวลาค่อยๆ ผ่านเลยไป
ผ่านไปอีกหลายเดือนในชั่วพริบตา
ในช่วงไม่กี่เดือนมานี้ ซูฉินได้กลืนโอสถเทพไปทั้งสิ้นแปดเม็ดและฤทธิ์ยาที่น่าสะพรึงกลัวก็ยังคงสะสมอยู่ในร่างกายของเขา
เพียงแต่วันนี้
ซูฉันรู้สึกได้ถึงเสียงคํารามก้องภายในหู และพริบตาหลังจากนั้นแก่นแท้แห่งพลังยังคงควบแน่นอย่างต่อเนื่องราวกับมันถึงจุดสูงสุดแล้ว
ซูฉินมองเข้าไปภายในกาย เมื่อเขาเห็น” แก่นแท้เหล่านี้ จิตวิญญาณของเขาถึงกับเปี่ยมสุข ตระหนักได้ว่าตอนนี้เขาได้กลั่นแก่นแท้แห่งพลังจนสุดขั้วแล้ว เว้นแต่จะข้ามขอบเขตใหญ่ ไม่เช่นนั้นแก่นแท้แห่งพลังจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงอีกต่อไป
“นี่คือระดับนภาชั้นที่เก้า?”
ซูฉินถอนหายใจด้วยความโล่งอก
หลังจากเข้าสู่ระดับนภาชั้นที่เก้า เป็นธรรมดาที่ซูฉินจะรู้สึกว่าไม่อาจก้าวหน้าต่อไปได้อยู่ท่วมท้นในจิตใจ
ในขณะนี้เขาได้เหยียบย่างเข้าสู่ระดับนภาชั้นที่เก้าแล้ว เกือบจะอยู่ในจุดสูงสุดของขอบเขตอรหันต์ แม้แต่ในยุทธภพต่างดินแดนก็มีตํานานยุทธไม่กี่คนที่มาถึงระดับเดียวกับซูฉินตอนนี้ได้ แต่พวกเขาส่วนใหญ่ก็ได้ใช้วิธีลับปิดผนึกตนเองให้หลับใหลกันไปหมดแล้ว
“ต่อจากนี้ ข้าจะต้องเปลี่ยนจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ให้กลายเป็นจิตวิญญาณแรกกําเนิด จากนั้นจึงจะสามารถทะลวงขอบเขตเซียนเทพปฐพี่ได้ ”
ซูฉินแสดงความตื่นเต้นออกทางสีหน้า
เทียบการบ่มเพาะในระดับนภาชั้นที่เก้า และระดับก่อนหน้าอย่างนภาชั้นที่เจ็ดและแปด ก็เหมือนกับเป็นขั้นสูงสุดในช่วงต้นและช่วงปลาย
ไม่ว่าผู้ฝึกยุทธคนใด เมื่อก้าวเข้าสู่ระดับนภาชั้นที่เก้าก็เท่ากับยืนอยู่บนจุดสูงสุด อย่างน้อยในแง่ของแก่นแท้แห่งพลังก็ถึงขีดสุดแล้ว และไม่มีทางที่จะเพิ่มพลังให้กับมันได้อีก
สําหรับผู้ฝึกยุทธในระดับนภาชั้นที่เก้ามีสองสิ่งเท่านั้นให้ทํา
หนึ่งคือควบแน่นอาณาเขต
สองคือกลันจิตวิญญาณแรกกําเนิด
เงื่อนไขทั้งสองข้อนี้เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้หากต้องการจะเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพี
โดยทั่วไปแล้วผู้ฝึกยุทธที่มาถึงระดับนภาชั้นที่เก้าส่วนใหญ่จะมีอายุอยู่ที่สี่ร้อยถึงห้าร้อยปี หรือไม่ก็จวนจะสิ้นอายุขัยแล้ว การที่จะควบแน่นอาณาเขตให้สมบูรณ์หรือการเปลี่ยนแปลงจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่ต่างจากความฝัน
บางที่อาจจะมีวิธียืดอายุในต่างดินแดน แต่ตามคํากล่าวของนักพรตเฒ่าสํานักเอกะวิถี วิธีการยืดอายุขัยในต่างดินแดนสามารถยึดอายุขัยได้เพียงไม่กี่สิบปี ทั้งยังไม่สามารถกระทําซ้ําได้
หลายสิบปีสําหรับคนธรรมดาอาจจะมากกว่าครึ่งชีวิต แต่ในสายตาของตํานานยุทธระดับนภาชั้นที่เก้าผู้มีความปรารถนาจะขึ้นไปถึงขอบเขตเซียนเทพปฐพี มันจะไปมีค่าอันใด?
“ข้ามีโอสถจิตวิญญาณแรกกําเนิด และไม่มีปัญหาในการกลั่นจิตวิญญาณแรกกําเนิด” รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของซูฉิน
สาหรับตํานานยุทธระดับนภาชั้นเก้าส่วนใหญ่ หากต้องการจะกลั่นจิตวิญญาณแรกกําเนิด แม้ว่าจะมีทรัพยากรเพียงพอ และทุกสิ่งดําเนินไปอย่างราบรื่น ไม่มีปัญหาคอขวดหรือสิ่งอื่นๆ มากวนใจก็ต้องใช้เวลาไม่น้อยกว่าหลายสิบปีในการค่อยๆ กลั่นมันออกมา
ทั้งยังต้องควบแน่นอาณาเขตด้วย.
หรือพูดง่ายๆ คือ จอมยุทธที่ต้องการจะทะลวงเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพี หลังจากเข้าสู่ตํานานยุทธระดับนภาชั้นที่เก้าแล้วจะต้องมีอายุขัยเหลืออย่างน้อยๆ ก็ร้อยปี จึงจะพอมีความหวังอยู่บ้าง
แต่ก็เป็นเพียงความหวังอันริบหรี่เหลือแสน
อย่างไรก็ตาม ซูฉินครอบครองโอสถจิตวิญญาณแรกกําเนิดเพียงพอที่จะย่นระยะเวลาหลายสิบปีให้เหลือเพียงไม่กี่ปี หรืออาจจะแค่หนึ่งปี นี่เป็นเพราะว่าซูฉินต้องการจะสัมผัสกระบวนการการเปลี่ยนแปลงของจิตวิญญาณแรกกําเนิดไปทีละขั้น ไม่เช่นนั้นด้วยโอสถจิตวิญญาณแรกกําเนิดกว่าห้าสิบเม็ด คาดว่าใช้เวลาเพียงสามเดือนก็พอแล้ว
“ไม่รู้ว่า โอสถจิตวิญญาณแรกกําเนิดทั้งห้าสิบเม็ดจะช่วยพัฒนาจิตวิญญาณแรกกําเนิดของข้าได้มากขนาดไหน”
ใบหน้าของซูฉินปรากฏความคาดหวังขึ้นมา
แม้จะกล่าวกันว่า ตราบใดที่จิตวิญญาณแรกกําเนิดถูกกลั่นออกมาแล้ว ก็เข้าถึงเงื่อนไขขั้นต่ําในการทะลวงขอบเขตเซียนเทพปฐพีแต่ถ้าต้องการให้กระบวนการในการเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพีราบรื่นมากยิ่งขึ้น และได้รับประโยชน์อย่างสูงล้ําหลังเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพี มันจะต้องเพิ่มปริมาณของจิตวิญญาณแรกกําเนิดอย่างต่อเนื่อง
ยิ่งจิตวิญญาณแรกกําเนิดยิ่งใหญ่มากเท่าไหร่ ก็ยิ่งได้ประโยชน์มากหลังการก้าวข้ามขอบเขต
อย่างไรก็ตาม ในประเด็นดังกล่าว แม้ว่าซูฉินจะค้นหนังสือโบราณภายในเกาะหยิงโจว หรือฟังมาจากสิ่งที่นักพรตเฒ่าสํานักเอกะวิถีรู้ มันก็มีเพียงรายละเอียดคร่าวๆ เท่านั้น ไม่มีข้อมูลลงลึกไปมากนัก ไม่มีอะไรให้ทําความเข้าใจ
สุดท้ายแล้ว ไม่ว่าจะเป็นผู้ฝึกยุทธในระดับนภาชั้นที่เก้าคนใดหลังจากกลั่นจิตวิญญาณแรกกําเนิดสําเร็จแล้ว ก็คงกลัวว่าอายุขัยจะหมดลง เมื่อเป็นเช่นนี้จึงไม่อาจทนรอได้ไหว ต้องทะลวงขอบเขตให้ได้โดยเร็วที่สุด จะมัวมาหยุดปรับปรุงพลังจิตวิญญาณได้อย่างไร?
ย้ําอีกครั้ง
นอกจากโอสถจิตวิญญาณแรกกําเนิดแล้ว ก็มีโอสถอีกเพียงไม่กี่ชนิดที่ช่วยเสริมจิตวิญญาณแรกกําเนิด จอมยุทธในระดับนภาชั้นที่เก้านั้น แม้ว่าพวกเขาอยากจะเพิ่มความแข็งแกร่งของจิตวิญญาณแรกกําเนิดจริง ก็ทําอะไรได้ไม่มากนัก
“ข้ามีลูกท้อบ้านอยู่ จะต้องสร้างความมั่นคงให้ได้มากที่สุดภายในสิบปีเพื่อทะลวงขอบเขต แม้ว่าจะล้มเหลว แต่ก็ยังมีโอกาสฟื้นกลับมาได้”
เมื่อซูฉินเผชิญหน้ากับคอขวดขอบเขตเซียนเทพปฐพี ท่าทีของเขาก็เป็นปกติมาก ไม่เหมือนกับผู้ฝึกยุทธระดับนภาชั้นที่เก้าคนอื่นๆ ที่ราวกับว่าตนกําลังเผชิญหน้ากับศัตรู มีอันตรายร้ายแรงถึงแก่ชีวิต
สุดท้ายแล้วซุฉินนั้นแตกต่างจากตํานานยุทธคนอื่นๆ เขามีอายุขัยเหลือมากกว่าเก้าร้อยปี และถ้ากินลูกท้อบ้านก็จะมีชีวิตอยู่ได้อีกหนึ่งพันเก้าร้อยปี
ด้วยระยะเวลาที่ยาวนานเพียงนั้น แม้แต่หมูก็ยังสามารถก้าวเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพีได้ นับประสาอะไรกับซูฉินเล่า?
“แต่ตอนนี้ข้าไม่รีบ”
“เมื่อเข้าสู่ระดับนภาชั้นที่เก้า ข้าควรจะทําให้พื้นฐานของระดับขั้นมีเสถียรภาพเสียก่อน แล้วจึงเตรียมใช้โอสถจิตวิญญาณแรกกําเนิดในภายหลัง
ซูฉินเป็นบุคคลที่ระมัดระวังตนอย่างยิ่ง แม้ว่าเขาจะมีความมั่นใจเต็มเปี่ยม เขาก็ต้องพยายามทําให้ดีที่สุด จะไม่ปล่อยให้เกิดโอกาสล้มเหลวขึ้นมาได้
เมื่อคิดถึงจุดนี้ ซูฉินก็หลับตาลงอีกครั้ง และเริ่มปรับลมหายใจของตนเองให้คงที่
ในส่วนลึกของทะเลทรายทิศตะวันตก
บนน่านฟ้าเต็มไปด้วยทรายสีเหลือง ปกติมันมักจะเต็มไปด้วยพายุทรายอันน่ากลัว หากจอมยุทธธรรมดาหาญกล้าเข้าไปในส่วนลึกไม่นานเท่าไหร่นักอาจจะพบพายุทรายที่ทําลายร่างพวกเขาจนแหลกเป็นชิ้นๆ
และในตอนนี้
สถานที่ที่มีผืนทรายกว้างไกลไร้ที่สิ้นสุดกลับถูกยึดครอง
มีการก่อสร้างวิหารขึ้นมาอย่างช้าๆ
วิหารแห่งนี้ไม่ได้ใหญ่มากนัก เห็นได้ชัดว่าเพิ่งสร้างขึ้นและไม่ค่อยมีใครผ่านมาพบเห็นมากนัก แต่ภายใต้ทรายสีเหลืองที่หมุนวนพัดไปมาเต็มท้องฟ้า มันกลับหยุดนิ่งที่นี่ พายุทรายสีเหลืองเมื่อเข้ามาในระยะไม่กี่ร้อยเมตรจากตัววิหาร กลับสลายหายไปตามธรรมชาติ
และทั้งสี่ทิศรอบวิหาร มีแท่นศิลาตั้งตระหง่านอยู่ เหนือศิลามีอักขระจารึกไว้สามคําว่า วิหารหมื่นพุทธ
“บรรพชนเก้า”
“คราวนี้ท่านได้ตื่นจากการหลับใหลเพื่อมายังแผ่นดินแห่งพลังยุทธอันยิ่งใหญ่ ใช้เวลาหลายเดือนกว่าจะสร้างวิหารแห่งนี้ขึ้นมาด้วยฝีมือของท่าน ช่วยวางรากฐานให้กับวิหารหมื่นพุทธของพวกเรา”
สงฆ์ชราพูดขึ้นอย่างช้าๆ และในที่สุดแววให้ความสงสัยก็ปรากฏขึ้นในน้ําเสียงของเขา “แต่ว่า ทําไมท่านบรรพชนเก้าถึงวางแผนที่จะเข้าสู่อาณาจักรถัง?” สงฆ์ชรามองไปที่ร่างที่อยู่เบื้องหน้าของเขา
ร่างเบื้องหน้านี้เป็นภิกษุเช่นกัน แต่ยังดูเด็กอยู่มาก ราวกับเพิ่งอายุได้สิบห้าสิบหกปีเท่านั้น ริมฝีปากแดงระเรื่อ ฟันขาวสะอาด
แต่สงฆ์ชราไม่เคยคิดว่าพระหนุ่มตรงหน้าจะเป็นเด็กจริงๆ ตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้
สงฆ์ชรารู้ดีว่า แม้พระหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าของเขาจะดูเยาว์วัย แต่แท้จริงแล้วเป็นถึงอรหันต์ระดับสูงสุดรูปหนึ่ง ท่านคือบรรพชนเก้าแห่งวิหารหมื่นพุทธ
“บรรพชนเก้า”
“ตํานานยุทธขั้นสูงสุดในอาณาจักรถังมีความแข็งแกร่งที่ไม่อาจหยั่งรู้ แม้แต่มารร้ายอย่างบรรพบุรุษชีหยวนก็ยังตกตายในมือของเขา หากท่านไปโดยไม่ได้เตรียมตัว มันอาจจะทําให้อีกฝ่ายตื่นตัวนี่ย่อมเป็นผลร้ายมากกว่าผลดี ”
แม้เขาจะมั่นใจในความแข็งแกร่งของบรรพชนเก้า เนื่องจากท่านเป็นหนึ่งในรากฐานสําคัญของวิหารหมื่นพุทธ จึงแข็งแกร่งกว่าบรรพบุรุษชีหยวนอย่างแน่นอน แต่ทุกวันนี้ไม่ได้มีเพียงตํานานยุทธขั้นสูงสุดของอาณาจักรถังที่อยู่ในแผ่นดินแห่งพลังยุทธอันยิ่งใหญ่แห่งนี้
นิกายใหญ่อื่นๆ ในต่างดินแดนก็ส่งบรรพชนของพวกเขาเข้ามาแก่งแย่งแข่งขันสร้างพื้นที่ของตนเองที่นี่ และค่อยๆ โยกย้ายมรดกจากต่างแดนมา เตรียมพร้อมรับกับโลกอันยิ่งใหญ่ที่กําลังจะมาถึงในอนาคต
หากในเวลานี้ตํานานยุทธขั้นสูงสุดอย่างบรรพชนเก้าและตํานานยุทธแห่งอาณาจักรถังมีความเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ ไม่ว่าจะแพ้หรือชนะ ไม่ใช่ว่ามันย่อมเปิดโอกาสให้บรรพชนนิกายใหญ่คนอื่นๆ เข้ามาฉกฉวยผลประโยชน์หรอกหรือ?
ในกรณีที่บรรพชนเก้าและตํานานยุทธขั้นสูงสุดแห่งอาณาจักรถังได้รับบาดเจ็บทั้งคู่ หรือบรรพชนเก้าเป็นฝ่ายชนะแต่ได้รับบาดเจ็บรุนแรง ในเวลานั้นก็ไม่อาจคาดเดาท่าที่ของผู้ที่แข็งแกร่งในระดับเดียวกันได้อย่างแน่นอน
นี่เป็นเหตุผลที่ทําไมนิกายใหญ่จํานวนมากจึงหยุดอยู่ที่ชายขอบของแผ่นดินแห่งพลังยุทธอันยิ่งใหญ่ และไม่ได้รีบดําเนินการใดๆ กับอาณาจักรถังในทันที
แน่นอนว่าเป็นเพราะซูฉินสังหารบรรพบุรุษชีหยวนลงไปในแง่ของความแข็งแกร่ง ซูฉินถือว่าอยู่ในจุดที่สูงไม่น้อยในสายตาของนิกายใหญ่
แต่เหตุผลที่สําคัญยิ่งกว่านั้นคือ นิกายใหญ่ต่างระแวงซึ่งกันและใน
“ที่ข้าไปยังอาณาจักรถังไม่ใช่จะตั้งตนเป็นศัตรูกับตํานานยุทธขั้นสูงสุดผู้นั้น แต่ในทวีปนี้ ข้าสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายขององค์ยูไล”
ความกระตือรือร้นปรากฏชัดขึ้นบนใบหน้าของพระหนุ่มที่ถูกเรียกว่า “บรรพชนเก้วิหารหมื่นพุทธเรียกได้ว่าเป็นแหล่งกําเนิดของพุทธศาสนาตั้งแต่ช่วงสุดท้ายของยุคกระแสปราณฉีเฟื่องฟู แต่ในความเป็นจริงแล้ว ปรมาจารย์ทั้งหลายจากวิหารหมื่นพุทธรวมถึงบรรพชนเก้าก็ไม่เคยสัมผัสถึงการมีอยู่ขององค์ยูไล” จริงๆ สักครั้ง
แต่ยามนี้ ไม่น่าเชื่อจริงๆ บรรพชนเก้าเริ่มรู้สึกได้อย่างบางเบายิ่งกลิ่นอายของ องค์ยูไล” บนแผ่นดินแห่งพลังยุทธอันยิ่งใหญ่แห่งนี้
ถ้าไม่ใช่เวลานี้ กลิ่นอายนั้นเบาบางอย่างถึงขีดสุด แม้แต่บรรพชนเก้าเองก็ไม่แน่ใจ มีเพียงความรู้สึกคลุมเครือเท่านั้น ไม่เช่นนั้นปานนี้เกรงว่าบรรพชนทั้งเก้าที่หลับใหลอยู่ภายในวิหารหมื่นพุทธคงออกจากนิทรามาพร้อมกันแล้ว
“องค์ยูไล?”
รูม่านตาของสงฆ์ชราหดตัว สีหน้าดูประหลาดใจ