เข้าสู่ระบบ ‘ฝ่ามือยูไล’ [Sign in Buddha’s palm] – ตอนที่ 287 คลื่นพลังที่เพิ่มขึ้น

ตอนที่ 287 คลื่นพลังที่เพิ่มขึ้น

Sign in Buddha’s palm 287 คลื่นพลังที่เพิ่มขึ้น

ดวงตาแห่งสัจจะคือทิพยอํานาจแรกที่ซูฉินได้รับจากการลงชื่อเข้าใช้ มันมีพลังอํานาจที่น่าสะพรึงกลัวในแง่ที่สามารถใช้ตรวจสอบพลังฉีทั้งหมด

ซูฉินเบิกเนตรดวงตาแห่งสัจจะด้วยร่างจิตวิญญาณแรกกําเนิด และค้นพบสาเหตุที่พลังปราณฟ้าดินพวยพุ่งขึ้นมาในทันที

ในมุมมองของซูฉิน โลกทั้งใบเปรียบเสมือนผืนน้ําแห่งปราณฉี จิตใจแห่งฟ้าดินมีอยู่ทั่วไปหมด ทั้งหมดในลานสายตาดุจกระแสน้ําเชี่ยว

ในปัจจุบันมีกระแสปราณฉีเพิ่มมากขึ้น น้ําในกระแสธารเองก็ยกระดับสูงขึ้น เกือบจะล้นออกจากจุดเดิมแล้ว

 ในไม่ช้า กระแสปราณฉีจะเพิ่มขึ้นไปอีกหนึ่งระดับ  ซูฉินแตะปลายคาง ใบหน้าดูครุ่นคิด

รอจนกว่า ‘กระแสธารน้ํา ซึ่งเป็นตัวแทนของ พลังงานฟ้าดินและจิตใจแห่งฟ้าดินไหลมาบรรจบกันจนถึงจุดเปลี่ยน คาดว่าในยามนั้นพลังปราณฉีและจิตใจแห่งฟ้าดินจะเพิ่มเป็นเท่าทวี

 อย่างไรก็ตาม สิ่งนี้เป็นประโยชน์สําหรับข้าในการเข้าสู่ขอบเขตยอดอรหันต์  ซูฉินพยักหน้าเล็กน้อย ใบหน้าของเขาแสดงออกถึงความพึงพอใจ

ไม่ว่าจะเป็นขอบเขตเซียนเทพปฐพี่หรือยอดอรหันต์ ล้วนต้องใช้จิตวิญญาณแรกกําเนิดในการสื่อสารกับแก่นทะเลปราณในช่องว่างมิติ และนั่นเป็นเหตุผลที่จําเป็นจะต้องแปลงจิตวิญญาณแรกกําเนิด

ความแข็งแกร่งทางจิตอย่างการมีจิตวิญญาณแรกกําเนิดเท่านั้น จึงเป็นไปได้ที่จะผ่านช่องว่างมิติเข้าไปสู่แก่นทะเลปราณ

เพียงแต่ช่องว่างมิตินั้นช่างลึกลับอย่างยิ่ง ถึงแม้จะมีพลังจากจิตวิญญาณแรกกําเนิดก็ตาม แต่การจะทําได้หรือไม่ก็เป็นอีกเรื่อง

แต่ยามนี้ เมื่อกระแสน้ําแห่งปราณฉีผ่านจุดเปลี่ยนผ่าน ทะเลปราณในส่วนลึกของช่องว่างมิติก็จะเริ่มเพิ่มขึ้น ในกรณีนี้เท่ากับลดความยากลําบากสําหรับตํานานยุทธขั้นสูงสุดที่จะทะลวงผ่านไปยังขอบเขตเซียนเทพปฐพี ทําให้สามารถใช้จิตวิญญาณแรกกําเนิดชักนําเข้าสู่ทะเลปราณได้ง่ายขึ้น

แน่นอน

ไม่ว่ากระแสปราณฉีจะเพิ่มสูงขึ้นมากเพียงใด และเลยจุดเปลี่ยนผ่านไปมากเพียงไหน มันก็ลดเกณฑ์ขั้นต่ําในการเข้าสู่ขอบเขตเชียนเทพปฐพี หรือขอบเขตยอดอรหันต์ได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น

การจะเป็นเซียนเทพปฐพีนั้นยังคงยากเย็นแสนเข็ญ แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย

 ลุงสาม ท่านเป็นอะไรหรือไม่?  หลีหว่านที่อยู่ด้านข้างซูฉินหยุดฝีเท้าลงเมื่อนางหันไปมองซูฉิน จากนั้นจึงถามด้วยเสียงต่ํา

 ไม่มีอะไรหรอก  ซูฉินแย้มยิ้มเล็กน้อย แล้วกล่าวเบาๆ  มันก็แค่รู้สึกอะไรบางอย่างได้เท่านั้น 

 รู้สึกอะไรหรือ?  หลีหว่านถามกลับไปโดยสัญชาตญาณ

เฒ่าเฟยยวและคนอื่นๆ ที่อยู่ข้างๆ พอได้ยินคํากล่าวนั้น พวกเขาก็เงี่ยหูฟังอยู่เงียบๆ สําหรับตัวตนเช่นซูฉิน เพียงประโยคเดียวก็มีความหมาย บางทีมันอาจจะเป็นประโยชน์อย่างมหาศาลให้กับพวกเขา

มีเพียงหลีหว่านเท่านั้น ที่ใช้สิทธิ์ความเป็นหลานสาวของซูฉินจึงกล้าถาม ไม่เช่นนั้นถ้าเป็นเฟยยี่หรือคนอื่นๆ แม้ว่าจะให้ความกล้าหาญแก่พวกเขาเพิ่มขึ้นอีกสิบเท่า ก็จะไม่มีใครกล้ากล่าวถามซูฉิน

 พลังฟ้าดินกําลังกลับสู่สภาพเดิมอีกครั้ง  ซูฉิน พูดคําบางอย่างที่แฝงความหมายเอาไว้ จากนั้นจึงรีบเดินทางไปยังเมืองฉางอัน

 พลังฟ้าดินกําลังกลับคืนสู่สภาพเดิมอีกครั้ง…  หลีหว่านกะพริบตา เหมือนจะเข้าใจแต่ก็ไม่เข้าใจ

รูม่านตาของชายชราเฟยยวและคนอื่นๆก็หดตัวลงราวกับพวกเขาเข้าใจอะไรบางอย่าง

ไม่นานนัก

ซูฉินก็กลับวังหลวงมาพร้อมกับคนกลุ่มหนึ่ง

หลังจากที่จักรพรรดิถังและคนอื่นๆทราบเรื่อง พวกเขาก็มาหาซูฉินทันที เมื่อพวกเขาเห็นหลีหว่านที่ยังมีชีวิตอยู่และสบายดี ต่างก็พากันถอนหายใจด้วยความโล่งอก

แม้ทุกคนจะมีความมั่นใจในตัวซูฉินมาก แต่คราวนี้ซูฉินไปยังต่างดินแดนและต้องเผชิญหน้ากับยักษ์ใหญ่อย่างพรรคหมื่นดาบ หากพวกเขาบอกว่าไม่กังวลเลยมันก็คงจะเป็นเรื่องโกหก

แม้จะเป็นนักพรตเฒ่าสํานักเอกะวิถี เขาก็รู้สึกไม่สบายใจเช่นกัน ซูฉินแข็งแกร่งมาก แต่พรรคหมื่นดาบอ่อนแอหรือ?

ในสายตาของนักพรตเฒ่า ซูฉินเป็นตํานานยุทธขันสูงสุดที่สามารถควบแน่น

อาณาเขตได้ ชายผู้แข็งแกร่งเช่นนี้สามารถอยู่อย่างเกรียงไกรในต่างแดนได้แน่นอน แต่การจะไปใช้อํานาจบังคับนิกายใหญ่ มันย่อมเป็นเพียงเรื่องตลก

นิกายใหญ่มีภูมิหลังมากมายนับไม่ถ้วน เป็นไปได้อย่างไรที่ตํานานยุทธขั้นสูงสุดผู้ควบแน่น อาณาเขตได้จะทําให้กลุ่มอํานาจนี้สั่นคลอน?

 ผู้อาวุโส พรรคหมื่นดาบยอมมอบองค์หญิงหลี หว่านกลับมาโดยง่ายหรือไม่?  นักพรตเฒ่ากล่าวถามอย่างระมัดระวัง

หลังจากที่นักพรตเฒ่าถาม ความสงสัยก็ปรากฏเด่นชัดบนใบหน้าของเขา ตามความเข้าใจเกี่ยวกับพรรคหมื่นดาบ อีกฝ่ายไม่ควรจะยอมปล่อยตัวมาง่ายๆ มิใช่หรือ?

ซูฉินยิ้มออกมาเมื่อได้ยินคําถามของนักพรตเฒ่า แต่ไม่ได้พูดอะไร

หลีหว่านรู้สึกช่วยไม่ได้ นางเหลือบมองซูฉิน และเมื่อเห็นว่าซูฉินไม่ได้ตั้งใจจะพูดอะไร นางจึงกล่าวออกมาตรงๆว่า  พรรคหมื่นดาบถูกทําลายโดยลุงสามเรียบร้อยแล้ว 

 ทําลายแล้ว

นักพรตเฒ่าตอบสนองไม่ถูกไปชั่วขณะหนึ่ง แต่ใบหน้าของเหยียนไร่กับหร่วนชิงกลับเปลี่ยนไปอย่างรุนแรง ตะลึงงันจ้องค้างไปที่หลีหว่าน

ช่วงเวลาต่อมา

ทันใดนั้นนักพรตเฒ่าก็รู้สึกตัว จิตใจยังคงยุ่งเหยิงปั่นป่วน

หลังจากผ่านไปอีกครู่หนึ่ง นักพรตเฒ่าก็รู้ตัว แต่ก็รู้สึกไม่อาจยอมรับ ถามออกมาด้วยเสียงสั่นเทา  พรรคหมื่นดาบ ถูกทําลายลงแล้วงั้นหรือ? .

ทันทีที่คํานี้กล่าวออกมา เหยียนไห่และหร่วนชิงต่างก็จับจ้องไปที่หลีหว่านอย่างใกล้ชิด

เมื่อเทียบกับคนอื่นๆ อย่างจักรพรรดิถังที่ไม่เคยเดินทางไปยังต่างดินแดน เหยียนไห่และหร่วนซ่ง หนึ่งเป็นผู้ฝึกยุทธอิสระจากต่างดินแดน และอีกหนึ่งเป็นศิษย์จากสํานักเอกะวิถี รู้ดีว่าการล่มสลายของพรรคหมื่นดาบหมายถึงสิ่งใด

นี่คือนิกายใหญ่ระดับสูง

ยืนอยู่บนจุดสูงสุดของดินแดน สามารถมองผ่านจอมยุทธจํานวนนับไม่ถ้วนของนิกายใหญ่อื่นๆ

กล่าวออกมาได้อย่างไรว่าถูกทําลาย? แล้วมันปล่อยให้ซูฉินทําลายได้อย่างไร?

แม้ว่านักพรตเฒ่าจะประเมินซูฉินสูงแล้ว เขาก็ยังรู้สึกเหมือนว่าตนกําลังได้ยินเรื่องเล่าจากเทพนิยาย

 เป็นเช่นนั้นแน่นอน! 

หลีหว่านหยิบดาบยาวซึ่งเป็นอาวุธวิเศษที่ได้รับมาจากยอดเขาดาบพันจ้างบนเกาะหมื่นดาบออกมา และเหวี่ยงมันไปมาต่อหน้านักพรตเฒ่าผู้มากประสบการณ์

 ปราณดาบเช่นนี้? มันคืออาวุธวิเศษของพรรคหมื่นดาบอย่างนั้นหรือ?  นักพรตเฒ่าหรี่ตา พึมพําอยู่กับตนเอง

ปราณดาบของพรรคหมื่นดาบเป็นที่รู้จักดีในต่างแดน นอกจากนักพรตหมั่นดาบเมื่อสี่พันปีก่อนแล้ว ยังจะมีใครสามารถทิ้งอาวุธวิเศษที่เต็มไปด้วยปราณดาบเช่นนี้ได้

หากจะบอกว่าพรรคหมื่นดาบมอบมันให้หลีหว่าน เพื่อไม่ให้ซูฉินซึ่งเป็นตํานานยุทธขั้นสูงสุดที่ควบแน่นอาณาเขตได้นั้นขุ่นเคือง มันก็ดูจะไม่สมเหตุสมผลไปหน่อย

การที่หลีหว่านถืออาวุธวิเศษของพรรคหมื่นดาบไว้ในมือ มันหาสิ่งอื่นมาอธิบายไม่ได้เลย

พรรคหมื่นดาบจะมอบอาวุธวิเศษที่เป็นมรดกของตนให้แก่หลีหว่านได้อย่างไร?

รู้หรือไม่ ความสําคัญของอาวุธวิเศษยังอยู่เหนือยิ่งกว่าตํานานยุทธขั้นสูงสุด

สุดท้ายตํานานยุทธขั้นสูงสุดยังตายได้ด้วยความแก่ชรา แม้จะหลับใหลด้วยวิธีปิดผนึกพลัง แต่มันก็มีขีดจํากัด ทว่ามรดกอย่างอาวุธวิเศษสามารถส่งต่อไปได้หลายชั่วอายุคนเพื่อปกป้องพรรคหมื่นดาบ

เว้นเสียแต่ว่าสิ่งที่หลีหว่านพูดจะเป็นความจริง ซูฉินได้เข้าไปกวาดล้างพรรคหมื่นดาบจนสิ้น

หลังจากการล่มสลายของพรรคหมื่นดาบ ย่อมมีอาวุธวิเศษจํานวนมากให้ซูฉินได้เลือกสรร

เพียงแต่ว่า

นักพรตเฒ่าก็ยังคงไม่อาจเชื่อ

เพราะถ้าเป็นจริงตามนั้น พรรคหมื่นดาบคงถูกทําลายลงแล้วอย่างแน่นอน

แต่สิ่งนั้นจะเกิดขึ้นได้อย่างไร?

ตั้งแต่สมัยโบราณมาจนถึงปัจจุบัน จริงอยู่ว่ามีการล่มสลายของนิกายใหญ่อยู่บ้าง แต่โดยพื้นฐานแล้วมันเป็นฝีมือของเซียนเทพปฐพีบางคนที่ลงมือทําลายล้าง

แต่ซูฉิน…

นักพรตเฒ่ากลืนน้ําลาย มองไปยังซูฉิน ราวกับเห็นเทพเจ้า

หลังจากที่ซูฉินสามารถทําลายพรรคหมื่นดาบได้ เขาก็ปิดด่านฝึกตน จากนั้นจึงกลับเมืองฉางอัน เกรงว่าความแข็งแกร่งของเขานั้นคงมากเกินกว่าแค่ระดับควบแน่นอาณาเขตไปแล้ว

ต่อมา คนทั้งหลายก็พูดคุยกันอีกพักหนึ่งแล้ว จึงแยกย้ายกันไป

และซูฉินก็ได้เตือนจักรพรรดิถังเป็นพิเศษอยู่สองสามคํา เพื่อให้เขาใส่ใจสถานการณ์ของโลกในตอนนี้ให้มาก

ในขณะนี้ ซูฉินสังเกตเห็นได้ด้วยดวงตาแห่งสัจจะ และพบว่าปราณฉีจิตใจแห่งฟ้าดินดูเหมือนจะถึงจุดเปลี่ยนผ่าน ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อทั้งทวีปอย่างไม่อาจเลี่ยง

หลังจากนั้น ซูฉินก็ได้ถ่ายทอดเคล็ดวิชาดาบประเภทอื่นให้หลีหว่านเพิ่ม

เคล็ดวิชาดาบเหล่านี้ล้วนได้มาจากการลงชื่อเข้าใช้ของซูฉินในช่วงปีนี้ รวมถึงเคล็ดวิชาที่ลงชื่อได้จากพรรคหมื่นดาบ

ตอนนี้หลีหว่านมีเจตจํานงแห่งดาบของพรรคหมื่นดาบอยู่ในร่างแล้ว ในวิถีแห่งวิชาดาบ นางจะไม่ขาดแคลนสิ่งใดอีกต่อไป สิ่งที่จําเป็นต้องมีคือเคล็ดวิชาจํานวนมาก

และในทุกๆวันนี้ สิ่งที่ซูฉินไม่ขาดแคลนมากที่สุดก็คือเคล็ดวิชาการบ่มเพาะเหล่านั้น

ชายแดนทางตอนใต้ของอาณาจักรถัง

ภายในป่าเขาหนาทึบแห่งหนึ่ง

นี่คือฐานหลักของนิกายเทพเจ้าสายฟ้าจากต่างดินแดนที่ก่อตั้งขึ้นในแผ่นดินแห่งพลังยุทธอันยิ่งใหญ่

ในเวลานี้ ศิษย์นิกายเทพเจ้าสายฟ้าหลายร้อยคนกําลังนั่งขัดสมาธิอยู่ท่ามกลางสายฟ้าฟาดค่อยๆปรับปรุงความแข็งแกร่งของตนเอง

บนแท่นสูง รองผู้นํานิกายเทพเจ้าสายฟ้าในชุดคลุมสีน้ําเงินเข้มนั่งอยู่บนนั้นเงียบๆ

ฉับพลัน

ในตอนนั้นเอง

กลิ่นอายอันน่าสยดสยองก็พุ่งทะลุชั้นฟ้าดินทะลวงผ่านก้อนเมฆน้อยใหญ่ไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด สุดท้ายมันก็ฟาดกลับลงมาที่หน้านิกายเทพเจ้าสายฟ้า

เจ้าของกลิ่นอายนี้ดูสูงส่งยิ่งใหญ่ ทุกการขยับตัวมีสายฟ้าจางๆแล่นไปทั่ว ราวกับเป็นเทพเจ้าสายฟ้าในตํานาน

เมื่อรองผู้นํานิกายเทพเจ้าสายฟ้าเห็นฉากนี้ เขาก็ตกใจและรีบก้าวเท้าไปข้างหน้า โค้งคารวะ พร้อมกับกล่าวว่า  ศิษย์นิกายเทพเจ้าสายฟ้ารุ่น หนึ่งร้อยยี่สิบเก้า เหลยหงน้อมพบบรรพบุรุษ เหลยสิง 

หลังจากรองผู้นํานิกายอย่างเหลยหงโค้งคารวะ ศิษย์สาวกอีกหลายร้อยคนของนิกายเทพเจ้าสายฟ้าพลันตอบสนองตามทันที  น้อมพบบรรพบุรุษเหลยสิง 

ชายร่างสูงที่มาใหม่มีชื่อว่าเหลยสิง เป็นบรรพชนนิกายเทพเจ้าสายฟ้าที่แปลงจิตวิญญาณแรกกําเนิดได้ตั้งแต่พันกว่าปีก่อน

 ลุกขึ้นเถอะ 

ร่างของบรรพบุรุษเหลยสิงมีสายฟ้าปกคลุมโดยรอบอยู่ตลอดเวลา เหมือนกับมังกรสายฟ้าโอบรัดรอบกายของเขาอย่างต่อเนื่อง

 ท่านบรรพชน ข้าเป็นศิษย์ที่อกตัญญยิ่งนัก นิกายเทพเจ้าสายฟ้าของเราเกรียงไกรเพียงใดในต่างแดน? เป็นผู้เชี่ยวชาญในศาสตร์สายฟ้าควบคุมท้องฟ้า แต่ตอนนี้กลับยึดพื้นที่ได้เพียงมุมที่ห่างไกลของแผ่นดินแห่งพลังยุทธฯ ไกลจากแกนกลางกว่าหนึ่งหมื่นแปดพันลี้ ข้าละอายใจยิ่งที่ทําให้บรรพชนต้องผิดหวัง…. 

รองผู้นํานิกายเทพเจ้าสายฟ้าคุกเข่าลงกับพื้นน้ําตาไหลอาบใบหน้า

 นี่โทษเจ้าไม่ได้ แม้แต่พรรคหมื่นดาบก็ถูกทําลายลงด้วยน้ํามือของตํานานยุทธจากอาณาจักรถัง เจ้าสามารถวางรากฐานได้เช่นนี้ ก็ค่อนข้างดีมากแล้ว 

บรรพบุรุษเหลยสิงกล่าวค่าช้าๆ

 อะไรนะ? 

 พรรคหมื่นดาบถูกทําลาย? 

รองผู้นํานิกายเหลยหงตกตะลึง

เขาไม่เคยคิดฝันว่าพรรคหมื่นดาบจะถูกทําลาย ทั้งยังถูกทําลายด้วยฝีมือของตํานานยุทธเมืองฉางอัน?

ไม่ใช่ว่าตํานานยุทธเมืองฉางอันเพิ่งควบแน่นอาณาเขต? มันจะแข็งแกร่งเช่นนี้ได้อย่างไร?

เหลยหงรู้สึกหวาดกลัว และสงบใจลงได้หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง

 ท่านบรรพชน ท่านมาที่นี่ด้วยเหตุใด?  เหลยหงกลืนน้ําลาย ถามออกอย่างไม่แน่ใจนัก

 การฟื้นคืนของกระแสปราณฉีกําลังจะถึงจุดเปลี่ยนผ่าน ข้าได้มาที่นี่ก็เพื่อคว้าโอกาสจากจุดเปลี่ยนผ่านให้แก่นิกายเทพเจ้าสายฟ้าของเรา 

เมื่อเหลยสิงพูดถึงเรื่องนี้ เขาก็หยุดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วพูดต่อว่า  แล้วอีกอย่าง ข้ากับสหายเต่สองสามคน จะไปพูดคุยกับตํานานยุทธเมืองฉางอันด้วย 

 ไม่เช่นนั้น หากปล่อยให้อีกฝ่ายครอบครอง แกนกลางของแผ่นดินแห่งพลังยุทธ นิกายใหญ่ของพวกเรายังจะเหลือผู้คนอยู่อีกหรือ? 

น้ําเสียงของบรรพบุรุษเหลยสิงนั้นเรียบง่าย แต่เต็มไปด้วยความมั่นใจในตนเองอย่างแรงกล้า

เหตุผลที่เขาไม่สนใจอาณาจักรถังในช่วงก่อนหน้านี้เป็นเพราะกระแสปราณฉีเพิ่งเริ่มฟื้นตัว และโอกาสต่างๆยังไม่ปรากฏขึ้น แม้นิกายเทพเจ้าสายฟ้าจะครอบครองพื้นที่ทั้งหมดไปก็ไม่มีประโยชน์

แต่ตอนนี้ จุดเปลี่ยนผ่านแรกของกระแสปราณฉีกําลังจะมาถึง โอกาสอันยิ่งใหญ่ที่เกี่ยวข้องกับยุคเฟื่องฟูปราณฉีครั้งล่าสุดกําลังจะปรากฏขึ้น และนิกายเทพเจ้าสายฟ้าย่อมเข้าร่วมการแก่งแย่งครั้งนี้เป็นธรรมดา

 

เข้าสู่ระบบ ‘ฝ่ามือยูไล’ [Sign in Buddha’s palm]

เข้าสู่ระบบ ‘ฝ่ามือยูไล’ [Sign in Buddha’s palm]

Status: Ongoing

Sign in Buddha’s palm

เข้าสู่ระบบฝ่ามือยูไล

ซูฉินเที่ยวท่องไปในยุทธภพอันกว้างใหญ่ เป็นโลกที่ชาวยุทธเตร็ดเตร่อาละวาดไปทั่ว เป็นสถานที่ที่หยวนกั๋วชีอยู่เหนือใต้หล้า เป็นที่ที่ผู้สืบทอดหมัดเก้าตะวันออกหาประสบการณ์ต่อสู้ไปตามแนวสายธารอันทอดยาวและภูเขาอันสูงชัน ทั้งยังมีเซี่ยวหลี่ที่ขี่กระบี่โบยบินสู่ความเวิ้งว้างว่างเปล่า

เนื่องจากซูฉินไม่มีพรสวรรค์ด้านวิชายุทธ เขาจึงเป็นได้เพียงพระกวาดลานแห่งตำหนักลานจิปาถะ

ในเวลานั้นเอง ระบบแห่งการลงชื่อเข้าใช้ก็ถูกกระตุ้นเปิดออก!

ลงชื่อเข้าใช้ที่หน้าพระประธานสีทองอร่าม ได้รับ [ฝ่ามือยูไล]

ลงชื่อเข้าใช้ที่หน้าลานสงฆ์ ได้รับ [กายแกร่งวัชระ]

ลงชื่อเข้าใช้ที่ภูเขาหลังวัด ได้รับ [กายาโพธิสัตว์ปีศาจทองคำ]

สมบัติแทบจะแทรกอยู่ทุกหย่อมหญ้าในวัดเส้าหลินให้ได้ลงชื่อรับของรางวัลมา ซูฉินไม่คิดลงจากภูเขาอันเป็นที่ตั้งของวัดเส้าหลินไปที่ไหนแน่ถ้ายังไม่ได้ลงชื่อรับของ และตัวเขาก็ลงชื่อรับของอยู่แบบนั้นมาตลอดยี่สิบปี

ยี่สิบปีผ่านไป เส้าหลินเข้าไปพัวพันกับการต่อสู้ระหว่างธรรมะและอธรรม เหล่ามารเข้าโจมตีวัดเส้าหลินอย่างมิเกรงฟ้าดิน มาทั่วทุกสารทิศมุ่งเข้าสู่ศาลาพระคัมภีร์ อย่างดุร้าย! และทรงพลัง!

จนกระทั่งพวกมันเจอเข้ากับศิษย์วัดนามซูฉินกำลังกวาดลาน…

แปลจากงานเขียนเรื่อง Sign in Buddha’s palm ผู้แต่ง : หุยเต้าหยวนชู

ปล.เนื้อหาภายในเป็นเพียงจินตนาการของผู้เขียน ผู้แปลเพียงนำเสนอผลงานในรูปแบบที่เข้าใจง่ายขึ้นเท่านั้น

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท