ตอนที่ 72 โรคอะไร?
ผู้เฒ่ากู่ได้เห็นทักษะทางการแพทย์ที่ล้ำเลิศ และการวินิจฉัยโรคที่เที่ยงตรงแม่นยำของหลินหนานมาก่อนนี้แล้ว เขาจึงเชื่อและศรัทธาในตัวหลินหนานมาก เขาจึงเชื่อคำพูดของหลินหนานอย่างสนิทใจ
เพียงแต่กลัวว่า.. หลานสาวที่มองโลกในแง่ร้ายของเขาจะไม่เชื่อด้วย!
และแน่นอนว่ากู่หยุนลิ่วไม่เชื่อหลินหนาน เธอจึงพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงประชดประชัน
“ป่วยเป็นโรคเรื้อรังงั้นเหรอ?! นี่.. อย่าคิดมาใช้ลูกไม้ตื้นๆแบบนี้หลอกฉันจะดีกว่า คุณอาจจะหลอกคุณปู่สำเร็จ แต่ไม่มีทางหลอกฉันได้แน่!”
เมื่อได้ยินหลานสาวพูดจาเช่นนี้ ผู้เฒ่ากู่ถึงกับขมวดคิ้วเข้าหากัน และตวาดใส่หน้ากู่หยุนลิ่วเสียงดัง
“หุบปากเดี๋ยวนี้! แล้วก็รีบขอโทษคุณชายหลินซะ!”
เมื่อได้เห็นใบหน้าซีดเผือด และเสียงตวาดดังของผู้เฒ่ากู่ กู่หยุนหลินก็ถึงกับใจสั่น เพราะตั้งแต่จำความได้ เธอไม่เคยเห็นปู่ของเธอโกรธมากขนาดนี้มาก่อนเลย
แต่ถึงอย่างนั้นกู่หยุนลิ่วก็ยังเชิดหน้าพร้อมกับตอบไปว่า “ทำไมหนูต้องขอโทษเขาด้วย? หนูจะไม่มีวันขอโทษพวกลวงโลกเด็ดขาด!”
“หยุนลิ่ว.. ทักษะทางด้านการแพทย์ของคุณชายหลินนั้น ล้ำลึกเกินกว่าที่หลานจะคาดคิดได้ หลานอย่าคิดว่า เพียงเพราะตัวเองร่ำเรียนสิ่งหนึ่งสิ่งใดมาเพียงไม่กี่ปี ก็จะสามารถดูถูกดูแคลนผู้อื่นได้ โลกใบนี้กว้างใหญ่นัก ใต้ผืนแผ่นฟ้ายังมีคนเก่งอีกมากมาย เราเกิดเป็นคนต้องรู้จักเจียมตัว..” ชายชราพูดขึ้นด้วยความรู้สึกละอายใจ
จากนั้นจึงหันไปหาหลินหนาน แล้วโน้มศรีษะลงพร้อมกับพูดขึ้นว่า “คุณชายหลิน หลานสาวของผมแม้จะพูดจาโผงผางไปบ้าง แต่ก็ไม่ใช่คนเลวร้ายอะไรนัก ผมขอโทษแทนหลานสาวผมด้วย หวังว่าคุณชายหลินจะไม่ถือสา..”
หลินหนานนั่งลงบนเก้าอี้พร้อมกับส่ายหน้า และถอนหายใจ “นี่ไม่ใช่เรื่องที่จะถือสา หรือไม่ถือสา แต่หลานสาวของคุณกำลังป่วยหนักจริงๆ!”
เมื่อได้ยินคำพูดของหลินหนาน ผู้เฒ่ากู่ถึงกับมีสีหน้ากระวนกระวายใจยิ่งกว่าเดิม แต่กู่หยุนลิ่วกลับรู้สึกว่า หลินหนานเหมือนพวกสิบแปดมงกุฏมากขึ้นเรื่อยๆ จึงหันไปบอกกับผู้เฒ่ากู่ด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“ดีค่ะคุณปู่! ให้เขาพูดออกมา หนูก็อยากจะรู้ว่าจะเขาเก่งเหมือนที่ปู่ชื่นชมจริงมั๊ย?”
หลินหนานไม่ตอบโต้ เขาเอาแต่นั่งจ้องมองกู่หยุนลิ่วอยู่เช่นนั้น สายตาคมกริบราวกับจะกินเลือดกินเนื้อของเขานั้น จับจ้องสำรวจกู่หยุนหลิ่วตั้งแต่เส้นผมลงมา
“นี่คุณจ้องฉันทำไม?” กู่หยุนลิ่วถามเสียงห้วน
“ผมกำลังตรวจ และวินิจฉัยโรคให้คุณอยู่ยังไงล่ะ..” หลินหนานตอบเสียงเนิบ
“ตลก!! เพียงแค่มองก็รู้ว่าป่วยเป็นโรคอะไรนี่นะ?” กู่หยุนลิ่วตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน
“ก็ใช่น่ะสิ! ไม่ให้ผมเห็นโรค จะให้ผมเห็นอะไรล่ะ?” หลินหนานตอบยียวนหญิงสาวกลับไปเช่นกัน
“การตรวจวินิจฉัยคนไข้ควรต้องใช้ Stethoscope ฟังเสียงอวัยวะภายในของร่างกาย บางครั้งอาจต้องใช้การตรวจเลือดร่วมด้วย แต่ถ้าเป็นการวินฉัยเชิงลึกจริงๆ ก็จะต้องอาศัยการ X-Ray แล้วก็ทำ CT Scan ร่วมด้วย แต่สิ่งที่คุณทำอยู่ มันไม่น่าเชื่อถือเลยสักนิด..”
กู่หยุนลิ่วร่ายยาว พร้อมกับนั่งลงบนม้านั่งภายในห้อง และเธอก็ตัดสินใจแล้วว่า จะเปิดโปงให้ปู่ของเธอรู้ว่า แท้จริงแล้วหลินหนานก็เป็นแค่พวกสิบแปดมงกุฏเท่านั้นเอง
“ใครเป็นคนกำหนดว่า การตรวจวินิจฉัยโรคจะต้องใช้เครื่องมือพวกนั้นเพียงอย่างเดียว หมอที่เก่งจริง ต้องสามารถวินิจฉัยโรค และอาการป่วยของคนไข้ได้ จากเพียงแค่การมองด้วยสายตาต่างหาก..” หลินหนานส่ายหน้าไม่เห็นด้วย
กู่หยุนลิ่วนึกกระหยิ่มยิ้มย่องอยู่ในใจ ปากก็ถามหลินหนานออกไปด้วยน้ำเสียงเย็นชา “แล้วคุณเห็นอะไรบ้างล่ะ?”
“อย่างน้อยผมก็เห็นว่า รอบเดือนของคุณมาไม่ปกติ แล้วก็ไม่สม่ำเสมอ..” หลินหนานหัวเราะหึๆ
กู่หยุนลิ่วจ้องมองหลินหนานแน่นิ่ง พร้อมกับนึกประหลาดใจเล็กน้อย เพราะรอบเดือนของเธอนั้นมาไม่ปกติจริงๆ แล้วก็ไม่สม่ำเสมอด้วย เธอจึงได้ลองกินยาตะวันตกอยู่ระยะหนึ่ง แต่ก็ยังไม่ดีขึ้น
เธอจึงได้ไปปรึกษาอาจารย์หมอที่เชี่ยวชาญ หลังจากตรวจวินิจฉัยอย่างละเอียด อาจารย์ก็ได้บอกกับเธอว่า น่าจะเกิดจากการทำงานของต่อไร้ท่อผิดปกติ ซึ่งสาเหตุมาจากความเครียดของเธอเอง
หากเธอหมั่นออกกำลังกาย และทำจิตใจให้ผ่อนคลาย ก็น่าจะช่วยให้อาการดีขึ้นได้..
หลังจากนั้น กู่หยุนหลินก็ไม่ได้สนใจเรื่องนี้อีก แต่คิดไม่ถึงว่าหลินหนานเพียงแค่มองด้วยตา จะสามารถวินิจฉัยได้
แต่แน่นอนว่า กู่หยุนลิ่วไม่ยอมรับแน่ เธอตอบหลินหนานกลับไปว่า “คุณพูดเพ้อเจ้ออะไรกัน.. ฉันปกติดี!”
“เดือนก่อนรอบเดือนของคุณมาวันที่สาม แต่เดือนนี้กลับมาวันที่สิบหก คลาดเคลื่อนไปกว่าครึ่งเดือน.. ผมพูดถูกมั๊ย?” หลินหนานเบะปาก
และครั้งนี้กู่หยุนลิ่วก็ถึงกับตกใจจนแทบช็อค!
หลินหนานไม่ใช่เพื่อนสนิทของเธอ และไม่ใช่แฟนของเธอ เขารู้เรื่องพวกนี้ได้ยังไง? หากจะบอกว่าคาดเดา มันก็แม่นยำจนเกินไป!
กู่หยุนลิ่วถึงกับหน้าแดงก่ำที่หลินหนานพูดเรื่องส่วนตัวของเธอได้อย่างแม่นยำ แต่ก็แสร้งทำเป็นถามแก้เก้อว่า
“ถ้าคุณเดาถูก แล้วยังไง? อย่าบอกนะว่าฉันจะตายเพราะเรื่องนี้?!”
เธอไม่มีทางเชื่อถือความสามารถด้านการแพทย์ของผู้ชายคนนี้ เพียงเพราะแค่เขาคาดเดาวันที่ประจำเดือนของเธอมาได้ถูกต้องแน่!
ท่านหมอกู่ถึงกับจ้องมองหลินหนานด้วยความตกตะลึง แม้เขาจะเป็นหมอมาหลายปี แต่ก็ไม่รู้ว่าการที่ประจำเดือนมาคลาดเคลื่อน จะเกี่ยวข้องกับโรคเรื้อรังที่หลินหนานพูดถึงได้อย่างไร?
“เพียงแค่นี้ยังไม่อาจชี้ชัดว่าคุณเป็นมีโรคเรื้อรังแน่.. แต่คุณมักจะมีอาการหนาวสั่น เวียนศรีษะ แล้วก็เลือดกำเดาไหลไม่หยุด..” หลินหนานพูดต่อ
“ห๊ะ?! เมื่อครู่คุณพูดอะไรนะ?!!”
กู่หยุนลิ่วถึงกับผุดลุกขึ้นยืนด้วยความตกใจ และด้วยตื่นเต้น เธอถึงกับเผลอปัดถ้วยชาที่อยู่ข้างๆตกแตก
นั่นเพราะสิ่งที่หลินหนานพูดมาทั้งหมดล้วนเป็นความจริง และรายละเอียดที่หลินหนานพูดออกมานั้น เริ่มจะไม่ธรรมดาแล้ว
เมื่อครึ่งเดือนก่อน เธอมักจะรู้สึกหนาวสั่น แล้วก็เวียนศรีษะอยู่บ่อยๆ แรกๆเธอเองก็ไม่ได้สนใจกับอาการเหล่านี้มากนัก เพราะมัวแต่หมกมุ่นอยู่กับการเรียน แต่พักหลังๆ อาการเหล่านี้ก็เป็นถี่ขึ้น และครั้งที่รุนแรงที่สุดก็คือ คืนหนึ่งเธอนอนหลับไป เลือดกำเดาของเธอกลับไหลออกมาไม่หยุด จนเตียงทั้งเตียงนอนชุ่มไปด้วยเลือด
ครั้งนั้น กู่หยุนลิ่วตกใจอย่างมาก และรีบไปตรวจที่โรงพยาบาลทันที แต่หลังจากนอนดูอาการอยู่ที่โรงพยาบาลสองสามวัน หมอก็ยังไม่สามารถหาสาเหตุได้ จึงได้ให้เธอกลับไป แต่กู่หยุนลิ่วก็ไม่เคยเล่าเรื่องนี้ให้ใครฟัง แม้แต่คนในครอบครัว
แล้วหลินหนานรู้ได้อย่างไรกัน?!!
“ผมพูดได้ถูกต้องทั้งหมดใช่มั๊ย?” หลินหนานยกถ้วยชาขึ้นจิบก่อนจะเอ่ยถามหญิงสาว
“ถูกทั้งหมด!”
กู่หยุนลิ่วเม้มริมฝีปากแน่น แม้เธอจะไม่อยากยอมรับ แต่การยืนกรานโกหกกลับน่ารังเกียจยิ่งกว่า ส่วนผู้เฒ่ากู่ถึงกับพูดขึ้นมาด้วยความร้อนอกร้อนใจ
“หยุนลิ่ว.. ไม่สบายขนาดนี้ทำไมถึงไม่บอกคนในครอบครัว? มีอะไรก็ควรบอกให้ทุกคนรู้สิ!”
“คุณปู่คะ ไม่ต้องกังวลใจไป หนูไปหาหมอมาแล้ว หมอบอกไม่ได้เป็นอะไรมาก!” กู่หยุนลิ่วรีบพูดปลอบใจผู้เป็นปู่
แม้เธอกับปู่จะทะเลาะกันบ้าง แต่ครอบครัวก็คือครอบครัว ไม่มีที่ไหนอบอุ่นไปกว่าความห่วงใยจากครอบครัวอีกแล้ว..
“เด็กโง่!! จะไม่ให้ปู่กังวลใจได้ยังไงกัน?”
ผู้เฒ่ากู่ถอนหายใจออกมา พร้อมกับเอื้อมมือที่สั่นระริกนั้นไปจับแขนของหลินหนานไว้ ก่อนจะพูดขึ้นด้วยใบหน้าที่อาบไปด้วยน้ำตา
“คุณชายหลิน หลานสาวของผมเป็นอะไรกันแน่?”
ครั้งนี้กู่หยุนลิ่วถึงกับนิ่งเงียบ และไม่กล้าที่จะผยองอีก เธอไม่มีแม้แต่ความกล้าที่จะยอมรับว่าตนเองกำลังป่วย!
หลินหนานได้แต่ส่ายหน้า และไม่พูดอะไรแม้แต่คำเดียว ผู้เฒ่ากู่เห็นท่าทางของหลินหนานก็ถึงกับหัวใจสลาย เพราะนั่นหมายถึงว่า หยุนลิ่วหลานสาวของเขาอยู่กำลังอยู่ในอันตราย!
เกิดเรื่องแบบนี้ได้ยังไงกัน?
“พอจะบอกได้มั๊ยว่า ฉันจะมีชีวิตอยู่ได้อีกนานเท่าไหร่?” หลังจากที่สงบสติอารมณ์ได้ กู่หยุนลิ่วก็เอ่ยถามออกมาด้วยน้ำเสียงที่สงบนิ่ง
“หากใช้ชีวิตอย่างระมัดระวัง ก็น่าจะราวสามเดือน..” หลินหนานตอบ..
“สามเดือน?”
ทั้งปู่และหลานสาวต่างก็ร้องตะโกนออกมาด้วยความตกใจ ต่อให้สามารถทำใจได้ แต่เวลาสามเดือนนั้นสั้นเกินไป..
เพราะแม้แต่ผู้ที่เป็นมะเร็งระยะสุดท้าย ยังสามารถมีชีวิตอยู่ต่อได้อีกสองหรือสามปี..
“ได้โปรดบอกฉันทีว่าฉันป่วยเป็นโรคอะไร?”
กู่หยุนลิ่วหันไปถามหลินหนานด้วยดวงตาแดงก่ำ..