จวนอ๋องเย่ว์เตรียมพร้อมสำหรับงานมงคล ทั่วทั้งลานบ้านเต็มไปด้วยสีแดงสด ราวกับกลัวคนจะไม่รู้ว่าพวกเขามีความสุขเพียงใด
กำแพงสูงที่กั้นลานบ้านทำให้ได้ยินเพียงเสียงหัวเราะของเจ้าสาว แต่กลับไม่ได้ยินเสียงร้องไห้ของอดีตภรรยา
ชาวบ้านทั่วไปไม่รู้เลยว่าจวนอ๋องจะมีพระชายาองค์ใหม่
พระชายาของอ๋องเย่ว์หรือ? ใครกัน? ผู้สูงศักดิ์เช่นนั้นชาวบ้านอย่างเราจำเป็นต้องรู้จักด้วยหรือ
ใช่ ถนนสือหลี่ฉางในเมืองหลวงคึกคักเช่นเคย เฉพาะขุนนางระดับสูงผู้ใกล้ชิดองค์ฮ่องเต้เท่านั้นที่ล่วงรู้ว่าพระชายาคนโปรดของท่านอ๋องเย่ว์ไม่ใช่จวิ้นจู่น้อยที่ป่วยหนัก หากแต่เป็นบุตรีของใต้เท้าเยี่ยที่สุดท้ายก็ได้ตบแต่งเข้าจวนอ๋อง
ปกติฮ่องเต้น่าจะทรงกริ้วแล้ว ทว่าครั้งนี้ไม่เหมือนเดิม ตระกูลเยี่ยเพิ่งเปิดโปงแผนการร้ายองค์ชายห้า ซึ่งเป็นการทำคุณประโยชน์อัน “ใหญ่หลวงและชอบธรรม” กลบข่าวจวิ้นจู่น้อยที่ป่วยหนักใกล้ตายไปเสียสิ้น
ถึงแม้จวิ้นจู่น้อยจะมีสายเลือดเชื้อพระวงศ์ แต่ผู้ที่อยู่วงในรู้ดีว่าซูหว่านไม่เป็นที่ชอบพอของคนในจวนท่านแม่ทัพ เมื่อนางแต่งเข้าจวนอ๋องเย่ว์ นางก็ตัดสัมพันธ์กับตระกูลซู
ฉะนั้น สำหรับจวิ้นจู่น้อยซูหว่านผู้ที่ทั้งพ่อตัวเองและพ่อสามีต่างไม่ชอบนั้น นางจะสุขหรือทุกข์ อยู่หรือตาย ใครเล่าจะใส่ใจ
ในสมัยราชวงศ์ต้าซย่า สตรีอยู่ในสถานะที่เป็นรองบุรุษ ถึงแม้จะสืบเชื้อสายมาจากกษัตริย์ แต่ในยุคสมัยนี้สตรีก็เป็นเพียงตัวหมากรุกบนกระดานที่ใช้เดินไปเชื่อมสัมพันธ์กับตระกูลอื่นด้วยการแต่งงาน ซูหว่านยิ่งเป็นเพียงตัวหมากรุกที่ไร้ประโยชน์และใกล้ตาย นางจึงถูกทอดทิ้งมาตั้งนานแล้ว
ตำหนักเย็นเป็นส่วนหนึ่งของจวนอ๋องทว่าไม่มีการตกแต่งด้วยสีแดง จึงดูแล้วขัดๆ กับส่วนอื่นๆ ในจวน
ยามอาทิตย์อัสดง เสียงสนุกสนานครื้นเครงจากหน้าลานบ้านดังอย่างต่อเนื่องและไม่มีทีท่าว่าจะเงียบลง ซูหว่านสวมเสื้อบางยืนอยู่ตรงลานจวน มองไปไกลในทิศทางของเรือนหลัก
“นายท่านเจ้าคะ อากาศเย็นระวังจะเป็นหวัด”
ลี่ว์จูค่อยๆ บรรจงเอาเสื้อคลุมสีขาวปานหิมะมาคลุมไหล่ให้ซูหว่าน
“อากาศเย็นเช่นนี้ จะทำให้ใจข้าเย็นได้หรือไม่”
ซูหว่านกัดริมฝีปากเบาๆ ร่างกายได้ท่านหมอซือมาดูแลจนอาการดีขึ้นมาก ก็แค่ร่างกายที่อ่อนแอขี้โรค แต่ตอนนี้เธอกำลังแสดงละครบทขมขื่น เวียนศีรษะ แขนขาอ่อนแรงไปหมด
“จวิ้นจู่!”
ร่างบอบบางรีบเดินเข้าประตูพระจันทร์ไป คืนนี้ท่านหมอซือสวมเสื้อคลุมยาวหนาสีน้ำเงินที่ถักทอด้วยเส้นไหมทองสั่งตัดพิเศษโดยช่างเสื้อประจำจวน เพื่องานเลี้ยงฉลองสมรสในครั้งนี้
เสื้อผ้าใหม่เอี่ยมลวดลายสวยงาม แต่ท่านหมอซือกลับดูเก้ๆ กังๆ เมื่อสวมเสื้อผ้าเหล่านี้โดยเฉพาะเมื่อเขาได้ยินเพื่อนพูดว่า “อย่างกับชุดของสตรี” และ “ถ้าของเก่าไม่ไป ของใหม่ก็ไม่อาจมาได้” ในระหว่างที่อยู่ในงานเลี้ยง จนท่านหมอซือไม่อาจระงับความขุ่นเคืองใจเอาไว้ได้
พวกเขานำจวิ้นจู่ไปเปรียบกับเสื้อผ้าชุดเก่าโดยที่ไม่รู้อะไรเลยสักนิด!
ท่านหมอซือรู้จักเยี่ยจือหวา เขาเคยตรวจรักษาอาการป่วยของนางมาก่อน เขาคิดว่านางเป็นหญิงที่ใจดีและอ่อนโยนคนหนึ่ง อย่างไรก็ดี คืนนี้เขาได้เห็นนางและอ๋องเย่ว์มีความสุขสนุกสนานจัดงานสมรสใหญ่โตแต่งตั้งพระชายา เขาหวนระลึกถึงความสุขและความอยู่ดีกินดีของนางที่สร้างขึ้นบนความทุกข์ความเจ็บปวดของจวิ้นจู่น้อย ถึงตอนนี้ ความพึงพอใจของเขาที่มีต่อนางก็ลดน้อยถอยลงอย่างเหลือคณา
“ท่านหมอหลวงซือ”
เมื่อเห็นร่างของท่านหมอซือ ซูหว่านก็ตาเบิกโพลงและเงียบงันลงในทันที
“ใต้เท้าซือ ท่านมาได้จังหวะพอดี”
ลี่ว์จูไม่ได้รู้สึกกระอักกระอ่วนกับบรรยากาศอึมครึมระหว่างสองคนนี้ นางรีบเดินตรงไปยังท่านหมอซือและมองเขาด้วยสายตาวิงวอน “ท่านช่วยพูดกับจวิ้นจู่ได้หรือไม่ว่าให้ระวังสุขภาพ! ร่างกายนางจะทนไม่ไหวหากยังตากลมอยู่เช่นนี้”
“จวิ้นจู่”
ใจท่านหมอซือนั้นเจ็บปวดแทบทนไม่ได้แต่ต้องเดินหน้าต่อไป
“กลับไปที่ห้องเถิดจวิ้นจู่ วันนี้ข้า…นำขนมหร่วนอี้นุ่มๆ ที่ท่านชอบมาด้วย”
พูดพลางก็หยิบของห่อเล็กๆ ออกมาจากอกเสื้อ ซึ่งทำจากร้านเลื่องชื่อในเมืองหลวง
“ข้าไม่หิว”
ซูหว่านจ้องตาเป็นประกายมองไปยังแสงไฟที่อยู่ไกลๆ จากนั้นสายตาของนางก็หยุดอยู่ที่ท่านหมอซือ “ท่านหมอซือ ท่าน…..พาข้า…”
แววตาท่านหมอซือเป็นประกายขึ้นมาทันที จวิ้นจู่น้อยจะพูดอะไร
นางขอให้เขาพานางหนีหรือ?
ความคิดแวบเข้ามาในสมองจนเขาไม่อาจสะกดกลั้นไว้ได้อีกต่อไป
ที่แห่งนี้ทำให้นางเศร้าใจมาก ก็ไม่ผิดอะไรหากนางปรารถนาจะจากที่นี่ไป
และนางก็ไม่ใช่พระชายาของอ๋องเย่ว์แล้ว เหตุใดเขาจะพานางหนีไม่ได้
เมื่อคิดเช่นนี้ ร่างกายท่านหมอซือก็สั่นเทิ้ม เสียงซูหว่านหยุดอยู่เพียงเท่านั้น
คำว่า “หนีไป” ไม่ทันได้พูดออกมา ทันใดนั้นร่างสูงใหญ่กำยำก็ปรากฏขึ้นท่ามกลางความมืด
คิ้วมืดทะมึน ดวงตากระหายเลือด
ชายผู้ดูร้ายกาจและเย็นชามากยืนเด่นตระหง่านอยู่ภายใต้ประตูพระจันทร์ เขายิ้มให้ซูหว่านด้วยรอยยิ้มประหลาดอย่างปีศาจ “เสี่ยวซูหว่าน ข้ามารับท่าน…..กลับบ้านเถิด!”
เมื่อเสียงนั้นเปล่งออกมา ลี่ว์จูราวกับเห็นผี หน้าซีดเผือด รีบวิ่งไปซ่อนหลังซูหว่าน
“ท่านคือแม่ทัพซูหรือ”
ท่านหมอซืออึ้งไปครู่หนึ่ง เขารีบหันหน้าไปเห็นซูรุ่ยสวมเสื้อเกราะอ่อน
มีคำกล่าวว่าถ้าบิดาเป็นสิงโต บุตรชายไม่อาจเป็นสุนัขได้ ตระกูลซูเป็นตระกูลแม่ทัพที่เก่าแก่มีชื่อเสียง จนมาถึงรุ่นปัจจุบัน ถึงแม้ซูรุ่ยจะเป็นบุตรชายคนเดียว แต่เขาก็ทรงพลังและกระหายเลือดมากกว่าบิดาเขาเสียอีก ในวัยหนุ่ม เขาทำให้คนแปลกใจกันทั้งแว่นแคว้นเพราะเขาเป็นแม่ทัพที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ราชวงศ์ต้าซย่า
ซูหว่านกำมือแน่นแต่ในที่สุดก็คลายมือ
นางยังกลัว
ท่านหมอซืออยู่ใกล้ชิดกับซูหว่านมาก เป็นครั้งแรกที่เขาสังเกตเห็นความผิดปกติของซูหว่านและลี่ว์จู คนภายนอกลือกันว่าซูหว่านถูกขับออกจากตระกูล แล้วสาเหตุที่แท้จริงที่นางถูกขับออกจากตระกูลคืออะไร
เป็นความลับภายในตระกูลที่ไม่มีใครล่วงรู้
“เสี่ยวจวิ้นจู่…”
ท่านหมอซือจับมือซูหว่านโดยไม่รู้ตัว แต่ซูหว่านปัดออก นางหัวเราะอย่างสิ้นหวังให้กับท่านหมอซือ “น้องชาย เจ้ามารับข้าจริงๆ หรือ”
มาตอนนี้เนี่ยนะ!
ให้ตายสิ เจ้ามาตอนนี้จริงๆ น่ะหรือ
ซูหว่านด่าซูลุ่ยลึกๆ อยู่ในใจเป็นร้อยแปดพันเก้าครั้ง หากดูแค่ใบหน้า นางดูนุ่มนวลและอ่อนแอ แต่ในใจลึกๆ ตายด้าน สงบเยือกเย็นดังน้ำนิ่งไหลลึก นางไม่อาจมีความรักให้ใครได้อีกแล้ว
“ท่านยังจำคำที่ข้าพูดได้หรือไม่ตอนที่ท่านแต่งงานออกเรือนไป”
ซูรุ่ยก้าวเดินทีละก้าวอย่างมั่นคงและเปี่ยมอำนาจ แล้วมาหยุดอยู่ตรงหน้าซูหว่านโดยไม่สนใจไยดีท่านหมอซือที่อยู่ข้างๆ รูปร่างกำยำสูงใหญ่บดบังสายตาซูหว่านจนหมดสิ้น แขนสองข้างอันทรงพลังสามารถโอบล้อมและดึงซูหว่านเข้าไปในอ้อมกอดได้อย่างง่ายดาย
อ้อมกอดอันเยือกเย็นแฝงด้วยกลิ่นคาวเลือดคละคลุ้ง
“เมื่อไรที่เซวียนหยวนรุ่ยทิ้งท่าน เมื่อนั้นข้าจะมารับท่าน”
ซูรุ่ยโน้มตัวลงมาใกล้หูซูหว่านจนริมฝีปากเขาเกือบจะโดนหูของนาง ลมหายอุ่นรินรดเข้าหูซูหว่าน
ให้ตายเถอะ นางขนลุกไปทั้งตัว
ซูหว่านหลับตายอมรับชะตากรรมปล่อยให้ซูรุ่ยกอดนาง ลมหายใจเขาเยือกเย็นราวประสงค์ร้ายทว่าอ้อมกอดของเขานั้นนุ่มนวล
“ลี่ว์จู ทำไมยังไม่มาอีก!”
เสียงต่ำดังขึ้น ลี่ว์จูตกใจกลัวซูรุ่ยอยู่พักหนึ่งก่อนทำตามคำสั่ง รีบกลับไปหาเขาด้วยความตกใจกลัว
“ท่านแม่ทัพซู จวิ้นจู่ ท่าน….”
ท่านหมอซือที่อยู่ด้านหลังอดรนทนไม่ได้จะเปิดปากพูด แต่ถูกซูรุ่ยขัดจังหวะอย่างไร้ความปรานี “ท่านไม่จำเป็นต้องดูแลพี่สาวของข้าแล้ว ตอนนี้นางมีข้าแล้ว”
พี่สาวของเจ้ากำลังเลี้ยงปีศาจร้าย
ซูหว่านได้แต่หลับตาและโน้มตัวเข้าสู่อ้อมกอดของซูรุ่ย นางไม่มีกำลังจะไปเยาะเย้ยใครได้ นางคิดจะสร้างความประทับใจให้ท่านหมอซือให้ได้มากที่สุด แต่ดูเหมือนจะไม่มีโอกาสอีกแล้ว
ท่านหมอซือนะท่านหมอซือ ท่านค่อยรักษาหน้าพี่สาวโดยสร้างความร้าวฉานระหว่างนายท่านกับนายหญิงทีหลังเถอะ พี่สาวคนนี้อยากให้ท่านสู้เขานะ
จากตำหนักเย็นไปยังเรือนหลักนั้นไม่ไกลนัก
ตลอดทางเดินเต็มไปด้วยโคมไฟสีแดง ซูหว่านซบหน้าลงกับอกของซูรุ่ย แม้เขาจะสวมเสื้อเกราะหนา แต่ซูรุ่ยสังเกตเห็นการเคลื่อนไหวของซูหว่านได้อย่างชัดเจน เขาเห็นว่านางกำลังร้องไห้
“จะร้องไห้ให้กับคนใจร้ายหลายใจไปทำไม คุ้มค่าแล้วหรือ?”
เมื่อได้ยินคำพูดเย้ยหยันของซูรุ่ย ทันใดนั้นซูหว่านที่ตาแดงก่ำก็จับแขนของซูรุ่ยไว้มั่น “พาข้าไป!”
“ยังไม่ยอมแพ้อีกหรือ”
ซูลุ่ยเลิกคิ้วหนา พูดด้วยน้ำเสียงที่ไร้ความกังวล
“ไม่ นี่ล่ะคือวิธีจะทำให้ข้ายอมแพ้อย่างสิ้นเชิง”
ซูหว่านลดเสียงลงต่ำแต่ซูรุ่ยได้ยินชัดเจน แสงเย็นแวบมาเข้าตาเขา เขายกริมฝีปากยิ้มอย่างกระหายเลือด ทันใดนั้นเขาก็ใช้วิชาตัวเบาทะยานตัวลอยขึ้นไปในอากาศ เหยียบบนกำแพงสูง แขนตระกองกอดซูหว่านเอาไว้
ขณะนี้พิธีการแต่งตั้งพระชายาได้สิ้นสุดลงแล้ว เซวียนหยวนรุ่ยเบิกบานใจกับเยี่ยจือหวาที่อยู่ในชุดสีแดง พวกเขาสนทนาหัวร่อต่อกระซิกกับกลุ่มขุนนาง ทันใดนั้น ทหารองครักษ์หน้าประตูก็ตะโกนร้องขึ้น ทุกคนรู้สึกเหมือนมีลมหนาวมาปะทะอย่างแรง ร่างสูงใหญ่ปรากฏตัวขึ้น
“มีคนบุกรุก! อารักขาท่านอ๋องเย่ว์!”
เหล่าทหารองครักษ์รีบรุดเข้ามาดูว่าใครเป็นผู้บุกรุก แต่แล้วก็ผงะนิ่งอึ้งไป
ไม่ใช่สิ ต้องบอกว่าทุกคนในห้องโถงล้วนตะลึงงัน
ไม่มีใครคาดคิดว่าซูรุ่ยจะมา แถมยังมาแบบนี้อีก