โลกความฝันนี้ซ้อนทับกันซ้ำแล้วซ้ำเล่าหรือว่าเราจะติดอยู่ในฝันนี้ไปเรื่อยๆ กัน ซูหว่านรู้ตัวดีว่าเธออยู่ในโลกฝันร้ายหมายเลขเก้า ทว่าทุกอย่างในโลกนี้ดูต่างจากโลกที่เธอรู้มาตั้งแต่แรกลิบลับ
ท่ามกลางความมืดมิดทุกสิ่งถอยห่างไปจากเส้นทางเดิม ท่ามกลางความมืดใครกันเป็นคนที่คอยบงการทุกอย่าง
ครั้งนี้สภาพจิตใจของฉีมู่หลังจากตื่นขึ้นมาดูท่าไม่ดีนัก ดูจากสายตาของเขาที่มองมาที่เธอกับฟังเถียนเถียน เธอก็เข้าใจเรื่องราวได้มากแล้ว
เขาต้องจำความฝันนั้นได้อย่างแน่นอน
พวกเขาทานอาหารเช้าง่ายๆ ก่อนจะปรึกษากันว่าจะเดินทางต่อไปในเส้นทางใด ฉีมู่เริ่มสติไม่อยู่กับร่องกับรอย ในขณะที่ฟังเถียนเถียนไม่มีความคิดเห็นใดๆ แสดงออกมา
“เราจะไม่ไปไหนทั้งนั้น”
สุดท้ายยังคงเป็นซูหว่านที่เอ่ยตัดสินใจ “เราจะรออยู่ที่นี่ ถ้าพวกเขายังอยู่ในป่านี้จริง พวกเขาต้องหาเราเจอแน่”
ใช่แล้ว ความจริงซูหว่านได้หมายมั่นไว้ในใจตั้งนานแล้ว ครั้งนี้เธอจะไม่เป็นฝ่ายรุกโจมตีก่อน เธอจะฝากฝังมันไว้กับโชตชะตา
เมื่อได้ยินคำพูดของซูหว่าน ฟังเถียนเถียนพยักหน้ารับในขณะที่ฉีมู่ทำเพียงมองหน้าซูหว่านด้วยท่าทีคล้ายเลื่อนลอย ไม่มีคำคัดค้านใดในท้ายที่สุด
การเฝ้ารอเป็นหนึ่งในสิ่งที่ยากที่สุด ในจังหวะนี้มันเหมือนกับช่วงเวลาถูกยืดออกไปยาวนานไม่สิ้นสุด
ทั้งวันคล้ายผ่านพ้นไปเนิบช้าเป็นพิเศษ และมันยากเย็นไม่น้อยที่จะทานทนจนกระทั่งตกดึก ฟังเถียนเถียนเอนพิงซูหว่านอย่างเคยอย่างต้องการซึมซับความอบอุ่น
ฉีมู่ซึ่งมีรอยคล้ำเข้มใต้ตาที่เผยให้เห็นชัดเจนว่าเขานั้นนอนหลับไม่เพียงพอเอาแต่จับจ้องไปยังกองไฟ
“ทำไมพี่ไม่หลับล่ะคะ”
อีกฟากหนึ่ง ซูหว่านใช้กิ่งไม้เล็กๆ เขี่ยกองไฟเป็นครั้งคราวก่อนเหลือบตาขึ้นมองฉีมู่ที่อยู่อีกด้านอย่างสงสัย
“ฉัน…”
ฉีมู่พยายามพูดบางอย่าง เขาไม่กล้าหลับ เขาหวาดกลัวว่าหลังจากผล็อยหลับไปตนเองจะตกอยู่ในฝันร้ายอีกครั้ง ความรู้สึกนั้นช่างน่าขนลุกขนพองเหลือเกิน
“ซูหว่าน เธอเชื่อว่าในโลกนี้มีปีศาจไหม”
ฉีมู่ครุ่นคิดอยู่กว่าครึ่งวันแต่อดไม่ได้จะยิงคำถามนี้กับซูหว่าน
“ปีศาจเหรอคะ”
ซูหว่านเม้มริมฝีปาก ไม่ว่าเธอจะคิดอย่างไรหากแต่เธอก็ตอบกลับไปอย่างไม่ใส่ใจนัก “มีปีศาจแล้วยังไงล่ะคะ พวกเขาจะน่ากลัวไปกว่าคนเหรอคะ”
เธอคิดเช่นนั้นมาตลอด ในโลกใบนี้นับตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันสิ่งที่น่ากลัวที่สุด เลวทรามที่สุด ร้ายกาจที่สุด ก็คือจิตใจของมนุษย์
ไม่มีใครมั่นใจเรื่องนี้ไปมากกว่าซูหว่านอีกแล้ว
ห้วงอารมณ์ของเธอหดหู่ยากจะบรรยาย ราวกับเธอเผลอนึกถึงความทรงจำที่ควรลืมเลือนไปเสีย เธอฝืนตัวเองสูดหายใจลึกก่อนสายตาและอารมณ์จะกลับมาเข้าที่เข้าทางอีกครั้ง
ฉีมู่ที่อยู่อีกด้านหนึ่งเริ่มมีอาการเหม่อลอยหลังจากได้ยินคำตอบของซูหว่าน ความเงียบงันระหว่างทั้งสองคนยังคงแผ่ขยายต่อไปไม่หยุด
หนึ่งวินาที หนึ่งนาที เวลาไหลผ่านพ้นไปเรียบเรื่อย
ซูหว่านเองไม่อาจหลับลงเช่นกัน เธอกำลังเฝ้ารอ รอฉากเปิดในคืนนี้ หรือบางทีอาจรอโอกาสที่จะนำพาเรื่องนี้ให้สิ้นสุดลง
ไม่ทันได้รู้ตัว ยามค่ำคืนก็ยิ่งลึกลับ ลมหนาวโชยพัดผ่านแนวป่า ซูหว่านเผลอขดตัวเอง ฉีมู่ยังคงฝืนตาตื่นอยู่อีกฝั่ง เมื่อเห็นเขาเล่นเกมในโทรศัพท์ไม่เลิกอยู่ทางนั้น ซูหว่านก็ทำเพียงเบือนหน้าไปทางอื่น
“แม่แกสิ!”
ขณะนั้นเองฉีมู่ที่อยู่ด้านหลังเธอขว้างโทรศัพท์ของเขาทิ้งอย่างหัวเสีย “ทนมานานขนาดนี้แต่มันก็ยังไม่ห้าทุ่มเลยเนี่ยนะ! กลางคืนไม่สิ้นสุดแบบนี้ ฉันจะทนอยู่ทั้งคืนได้ไหมเนี่ย”
ซูหว่านพลิกตัวกลับไป สายตาหยุดอยู่ที่ฉีมู่
“ฉัน…ฉันรบกวนเธอเหรอ”
บางทีอาจเป็นเพราะฝันร้ายสุดสยองที่ทำให้เขากรุ่นโกรธ หากแต่ต่อหน้าสาวงามเขาก็ยังคงรักษาภาพลักษณ์สง่างามของเขา
“ไม่มีอะไรหรอกค่ะ”
สายตาของเธอเคลื่อนไปตกอยู่ที่หน้าจอโทรศัพท์ของเขา
“ตอนนี้กี่โมงแล้วคะ”
เธอเผลอถามประโยคนี้ออกไป
“สี่ทุ่มห้าสิบ” ฉีมู่ตอบเสียงอ่อนแรงอย่างไม่นึกสังเกตท่าทีของซูหว่านซึ่งอยู่ไม่ห่างออกไปที่ส่งกลับมาแม้แต่น้อย
เสียงฝีเท้าแปลกๆ ดังก้องมาจากในป่าในตอนนั้นเอง
ซูหว่านรีบหันไปมองกันและกัน ทั้งสองกลั้นหายใจไว้ ฉีมู่ถึงกับหยิบมีดทหารเล็กๆ ออกจากกระเป๋าข้างตัว
สองร่างปรากฏขึ้นเหมือนกับเห็นกองไฟที่นี่ เดินโซเซออกมาจากป่าทึบ
“พวกเธอนี่เอง!”
ซูหว่านไม่รู้ว่าตัวเองควรถอนหายใจอย่างโล่งอกหรือระวังตัวมากขึ้นเมื่อได้เห็นใบหน้าของทั้งสองคน
ใช่แล้ว ทั้งสองคนนี้ก็คือเมิ่งถิงเหยากับฟั่นซูจวิน
เธอได้เจอสี่คนในความฝันทั้งสองที่ผ่านมาแล้ว ซูหว่านคาดการณ์ว่าครั้งนี้พวกเขาคงได้เจอฟั่นซูจวินกับเมิ่งถิงเหยาไว้เช่นกัน อย่างไรก็ตามการได้พบกันเช่นนี้ดูจะผิดกับสิ่งที่เธอคิดไว้ไปหน่อย
ตอนนี้เมิ่งถิงเหยาถูกฟั่นซูจวินพยุงไว้อยู่ ขาข้างหนึ่งของเธอโชกเลือด แม้เธอจะดูผิดหูผิดตามาก เมิ่งถิงเหยาก็ยังคู่ควรกับการได้ชื่อว่าเป็นบุปผาบนยอดเขาสูง ถึงจะโทรมขนาดนี้ก็ยังถนอมความงดงามชวนหลงใหลของเธอไว้ ครั้นเห็นกองไฟตรงหน้า รวมถึงซูหว่านกับฉีมู่ ดวงตาคู่สวยของเธอมองซูหว่านกับฉีมู่ด้วยความประหลาดใจ “ฉันไม่คิดว่าพวกเธอจะอยู่ด้วยกันเลยนะ”
ซูหว่านหวาดหวั่นในใจเมื่อได้ยินคำพูดของเมิ่งถิงเหยา อีกฟากหนึ่งท่าทีของฉีมู่เปลี่ยนไปมากก่อนมองบริเวณด้านหลังของซูหว่าน
ที่ตรงนั้นว่างเปล่าไม่มีหลงเหลือ
ฟังเถียนเถียนซึ่งกำลังนอนหลับอยู่ข้างซูหว่านหายตัวไปในพริบตาอย่างไม่คาดฝัน!
“เกิดอะไรขึ้นเหรอ”
บางทีอาจเป็นเพราะท่าทีของซูหว่านกับฉีมู่ในตอนนี้ดูไม่สู้ดีนัก เมิ่งถิงเหยาจึงเผลอตัวมองไปทางด้านหลังของซูหว่านเช่นกัน เธอถามขึ้นอย่างไม่รู้เรื่องรู้ราว “มีอะไรผิดปกติอย่างนั้นเหรอ”
“ฟังเถียนเถียน”
ฉีมู่สูดหายใจลึก เอ่ยชื่อนี้ออกมาด้วยเสียงสั่น “เธออยู่กับเรามาตลอด เมื่อกี้เธอยังอยู่ตรงนี้อยู่เลย”
ฟังเถียนเถียนหรือ
เมิ่งถิงเหยามุ่นคิ้ว ฟั่นซูจวินที่คอยประคองเธออยู่มาตลอดเปิดปากอย่างกล้าๆ กลัวๆ “เธอเห็นฟังเถียนเถียนที่สวมชุดกีฬาสีฟ้าเหรอ”
“พวกเธอรู้ได้ยังไง”
ซูหว่านกับฉีมู่มองไปทางฟั่นซูจวิน เดิมทีทุลักทุเลไม่น้อยเพราะกำลังพยุงเมิ่งถิงเหยา หลังจากได้ฟังคำถามของทั้งสอง เขากลับยิ่งดูอึดอัดกว่ากว่าเดิม “คือว่า…จริงๆ แล้ว…จริงๆ…”
ฟั่นซูจวินดันแว่นตัวเองขึ้นอย่างไม่รู้ตัว “พวกเธอไม่รู้สึกว่าที่นี่มันแปลกมากบ้างเหรอ”
เวรเอ๊ย!
นายเบี่ยงประเด็นรุนแรงเสียขนาดนี้ ไม่รู้ตัวบ้างเลยหรืออย่างไร
แม้ว่ามันจะไม่ใช่นิสัยปกติของเธอ ตอนนี้ซูหว่านก็อยากจะมองค้อนใส่จริงๆ ทว่าคำพูดต่อมาของฟั่นซูจวินทำให้เธอชะงักลมหายใจชะงัด “ฉันไม่รู้ว่าพวกเธอเคยเล่นเกม ‘โลกรอง’ หรือเปล่านะ แต่ว่าตัวเอกของเกมนี้สามารถเดินทางไปทั่วจักรวาลคู่ขนานได้ตามใจอยากและยังสามารถใช้ชีวิตไปพร้อมๆ กันได้ด้วย ตอนนั้นเขาเชื่อว่าตัวเองได้ครอบครองพลังที่ข้ามมิติเวลาได้ แต่ความจริงแล้วเขากำลังอยู่ในโลกความฝันที่ซ้อนทับกันต่างหาก โลกนั้นรู้จักกันในชื่อโลกรอง! ในโลกรองทุกคนมีสิทธิ์เป็นตัวเอกในความฝันของตัวเอง พวกเขาจะทำอะไรก็ได้ตามใจในโลกนั้น พวกเขาสามารถเติมเต็มความฝันและความต้องการของตัวเองได้”
“นายคงไม่ได้คิดว่าเรากำลังอยู่ในโลกรองประหลาดนั้นหรอกใช่ไหม”
เรื่องบ้าอะไรกันเนี่ย!
น้ำเสียงฉีมู่ออกจะแหบพร่าแต่กลับดูลนลานยิ่งกว่า “มันคงจะดีถ้ามันเป็นโลกความฝันที่เรากำหนดได้ตามใจตัวเองจริงๆ!”
เบื้องบนรู้ว่าเขาฝันถึงอะไร ประสบการณ์การถูกปีศาจสาวไล่ล่ามันไม่น่ากลัวไปหน่อยหรือ
“ความจริงแล้วฉันแค่ใช้เป็นตัวเปรียบเทียบน่ะ”
เมื่อได้ยินคำพูดของฉีมู่ ฟั่นซูจวินก็หลุบตาลงอย่างเก้อๆ
ซูหว่านส่งสายตาไปทางฟั่นซูจวิน เธอนึกถึงสายโทรศัพท์จากเขาก่อนหน้านี้
เขาเอาแต่พูดว่า ‘ลำดับที่เก้า’ ในสาย ‘ลำดับที่เก้า’ ย่อมาจากอะไรกัน สุดท้ายแล้วเขาต้องการจะบอกอะไรกันแน่
ที่สำคัญที่สุดคือไม่ทันที่เขาจะพูดจบ คำว่า ‘เมิ่ง’ ที่ว่ามาจากเมิ่งถิงเหยาหรือเปล่า
“พวกเธอเจอเรื่องแปลกๆ บ้างหรือเปล่า”
ซูหว่านมองหน้าเมิ่งถิงเหยาทันที ท่าทางของเธอเต็มไปด้วยความจริงจังขณะที่เอ่ยถาม
สายตาเมิ่งถิงเหยาฉายวาววับเล็กน้อย “เรา…”
“ตอนนี้เธอต้องบอกความจริงแล้วนะ”
ซูหว่านว่าสำทับอย่างไม่มีทางเลือก
เมิ่งถิงเหยาลังเลใจน้อยๆ ก่อนจะนั่งลงข้างกองไฟในท้ายที่สุด เปลวไฟสะท้อนใบหน้างดงามน่ามองของเธอ ตอนนี้สีหน้าของเธอดูซีดเผือดไปพอควร
“ฉัน…ก่อนที่จะเจอกับฟั่นซูจวิน ฉันอยู่ในป่านี้ตามลำพังตลอด”
เธอเผลอขบริมฝีปากตัวเองราวกับนึกบางอย่างได้ “หลังจากนั้นฉันก็เจอกับฉินลู่ จากนั้นก็เป็นไป๋เสี่ยวเย่ว์ แต่ว่าพวกเขา…พวกเขา…”
“เกิดอะไรขึ้นกับพวกเขา”
ฉีมู่เริ่มเค้นเอารายละเอียด ตอนนี้เขาเองรู้สึกแน่ชัดเช่นกันแล้วว่าบางทีเมิ่งถิงเหยาอาจเจอสถานการณ์ที่คล้ายคลึงกับเขา
“พวกเขาตายแล้ว”
คนที่พูดไม่ใช่เมิ่งถิงเหยา หากแต่เป็นซูหว่าน