ภารกิจขโมยใจ ผจญภัยต่างโลก – ตอนที่ 10 ฝันร้ายหมายเลขเก้า (10)
น้ำเสียงคุ้นเคยถูกส่งผ่านมาจากประตู ฟังดูขาดช่วงและร้อนรนท่ามกลางความเงียบงันยามค่ำคืน
ซูหว่านลุกจากเตียงอย่างหวั่นใจจนลืมใส่รองเท้าเดินในบ้านก่อนจะเดินดุ่มโซเซออกไปที่ห้องนั่งเล่น เข่าของเธอชนเข้ากับโต๊ะกระจกกลางห้องนั่งเล่นเพราะรีบร้อนเกินไป อย่างไรก็ตามซูหว่านไม่มีเวลามาสนใจเรื่องพวกนี้ในเวลาแบบนี้ นิ้วของเธอสั่นระริกขณะที่ปลดล็อกประตู และเมื่อเห็นเงาที่คุ้นเคยยืนอยู่ตรงหน้าประตู เธอก็ไม่ลังเลที่จะโผเข้าหาอ้อมแขนของชายคนนั้น
“จื่อเซวียน จื่อเซวียน นั้นนายใช่ไหม”
น้ำเสียงซูหว่านสั่นพร่าแฝงไปด้วยความตื่นตระหนก แขนคู่เรียวโอบชายตรงหน้าเธอ
“ซูหว่าน”
เสียงของอี้จื่อเซวียนทุ้มต่ำ “ฉันเอง เธอไม่เป็นไรใช่ไหม”
“ฉัน…”
ดวงตาของเธอพลันแดงก่ำเมื่อได้ยินคำถามของเขา “จื่อเซวียน ฉันกลัวจังเลย ฉันกลัวมากเลย! ฉันจะทำยังไงดีๆ”
เธอเงยหน้าอย่างลุกลี้ลุกลน ดวงตาฉ่ำรื้นไปด้วยหยาดน้ำ
“ไม่ต้องกลัวนะ”
ดูเหมือนกับมีเวทมนตร์บางอย่างในน้ำเสียงของเขาที่ชวนให้ซูหว่านสงบใจลงได้ชะงัด
“เธออยู่บ้านคนเดียวเหรอ”
อี้จื่อเซวียนเหลือบมองแสงไฟสลัวในห้องนั่งเล่น เขาเคาะประตูอยู่นานและมีเพียงซูหว่านที่ออกมาหา ดูเหมือนว่าพ่อแม่ของเธอคงออกไปทำงานกะกลางคืน
“อื้ม”
ซูหว่านครางฮือเป็นคำตอบ เธอผละออกจากอ้อมกอดของเขาคล้ายนึกถึงบางอย่าง “คือว่า…เข้ามานั่งด้านในก่อนสิ”
เธอหันไปเปิดไฟในห้องนั่งเล่นก่อนจะขยับปกเสื้อชุดนอนอย่างเกร็งๆ ไม่น้อย ก้มหน้าและกลัวจะสบตากับเขาหน่อยๆ
พวกเขาเลิกกันไปแล้ว
“เข่าเธอเป็นอะไรไป”
ผิดกับสายตาที่เฉียบคมของอี้จื่อเซวียน มองเพียงแวบเดียวเขาก็เห็นผิวที่เป็นแผลบริเวณหัวเข่าของเธอ มันมีเลือดไหลสีแดงสดไหลซึมออกมาแล้ว
“ไม่ ไม่มีอะไรหรอก แค่บังเอิญชนบางอย่างเข้าน่ะ”
ในที่สุดซูหว่านซึ่งไม่ได้ขวัญเสียอีกแล้วก็กลับมาทีท่าทีตามปกติ “ฉันจะไปเอาน้ำมาให้นายนะ นายยังดื่มชาเขียวอยู่หรือเปล่า”
“ไม่ละ”
อี้จื่อเซวียนนั่งลงบนโซฟา แววตาส่งประกายลึกล้ำ “น้ำเปล่าก็พอแล้ว”
“โอ้”
ซูหว่านหงุดหงิดใจหากแต่ยังรักษาสีหน้าให้แสดงรอยยิ้มออกมา “รอเดี๋ยวแล้วกัน ฉันจะไปเอาในครัวมาให้”
สายตาของเขายิ่งอ่านยากเกินบรรยายเมื่อมองร่างของเธอขณะที่หันหลังกลับไป
เขาควรจะเชื่อใครบ้างในโลกใบนี้
ควรค่าที่จะเชื่อในตัวเธอหรือไม่ ซูหว่าน
อันที่จริงแล้วอี้จื่อเซวียนไม่รู้ว่าเขาควรเชื่อใจอดีตแฟนสาวของตนเองโดยไม่มีข้อกังขาหรือไม่ ทว่าตอนนี้เมื่อเทียบกับคนอื่นที่หอพัก ซูหว่านเป็นคนที่ไร้พิษสงที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย ต่อให้เธอจะมุ่งร้ายกับเขาเขาก็คงรู้ทันทีและสามารถแก้เกมของเธอได้เพราะเขามีพลังพิเศษ
อี้จื่อเซวียนเอนหลังกับโซฟาและค่อยๆ ปิดตาลง ภาพอุบัติเหตุทางรถยนต์ฉายในความคิดของเขา
ก้อนหินถล่มลงมาอย่างกะทันหัน อี้จื่อเซวียนทำเพียงปลุกพลังการย้อนเวลาของตัวเองในท้ายที่สุด ตอนนี้ที่เขายกระดับมาถึงขั้นที่ห้า เขาสามารถย้อนเวลากลับไปได้ถึงสามสิบวินาที
เขายังได้ยินเสียงของเฉินอวี้เฟิงกับไป๋เสี่ยวเย่ว์ทะเลาะกันในรถเมื่อนึกทวนถึงช่วงนั้นในภายหลัง หากแต่เขาไม่ได้ควบคุมได้มากนัก เขาหมดพลังไปเยอะและตะโกนให้ฉีมู่จอดรถ
ตอนนั้นเขาตกอยู่ในความหวาดผวา
กระทั่งฉีมู่จอดรถเข้าข้างทางอี้จื่อเซวียนถึงได้ถอนหายใจอย่างโล่งอก
เราปลอดภัยกันแล้วหรือ
ไม่ใช่
ในจังหวะที่อุบัติเหตุเกิดขึ้นอีกครั้ง ทั้งร่างของอี้จื่อเซวียนชะงักงัน เขาย้อนเวลาด้วยความลนลานและหัวเสีย เห็นๆ กันอยู่ว่าเวลาถูกย้อนกลับไปครั้งแล้วครั้งเล่าทว่าอุบัติเหตุก็ยังคงเกิดขึ้น เรื่องคงต่างกันออกไปในช่วงเวลาที่ต่างกันออกมา สิ่งเดียวที่เหมือนเดิมมีเพียงโชคชะตาของพวกเขา
มันคือชะตากรรมที่ไม่อาจเปลี่ยนไปได้
ครั้นเข้าใจมาจนถึงจุดนี้เขาก็พบว่าตัวเองอยู่ในห้องคนไข้ตอนที่ลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง
“เอานี่ ดื่มน้ำหน่อยสิ”
ซูหว่านถือถ้วยน้ำร้อนและมายืนตรงหน้าเขาเงียบๆ เธอเม้มริมฝีปากเมื่อเห็นว่าเขาพิงตัวบนโซฟาด้วยความอ่อนแรง ยังคงเอ่ยถามออกไปเสียงแผ่วทั้งที่ลังเลใจ “นายก็รู้…ใช่ไหม”
เกี่ยวกับเหตุรถชนนั้น เกี่ยวกับโลกแห่งความฝันนี้
อี้จื่อเซวียนพลันลืนตาขึ้น แววตาวูบไหวก่อนจะจางหายไป “ซูหว่าน เธอเชื่อใจฉันไหม”
“เชื่อสิ”
ซูหว่านพยักหน้ารับแข็งขัน
“ทำไมล่ะ”
อี้จื่อเซวียนจ้องหน้าเธอเขม็งราวกับไม่อยากพลาดท่าทีที่เปลี่ยนแปลงไปของเธอแม้สักนิด
“เพราะนายมาปกป้องฉันทันทีถึงเราจะ…เลิกกันแล้วก็ตาม ฉันก็เลยเชื่อใจนาย”
ซูหว่านส่งยิ้มให้อี้จื่อเซวียน ดวงตาฉายแววสดใสเป็นพิเศษ
ยากที่จะปิดบังความอ่อนโยนที่แฝงในสายตาแจ่มจ้านั้น
“อืม”
เขาพยักหน้ารับ ลุกขึ้นก่อนยกมือวางบนไหล่ของเธอ “ฉันเองก็เชื่อใจเธอที่สุดในบรรดาทุกคนเหมือนกัน ซูหว่าน เชื่อฉันนะ ฉันจะปกป้องเธอเหมือนกัน”
พอได้ยินคำสัญญาขึงขังของอี้จื่อเซวียน ใบหน้าซูหว่านอดจะขึ้นสีระเรื่อน้อยๆ ไม่ได้ “อย่างนั้นเรา…ทีนี้เราจะทำยังไงกันดีล่ะ เราจะตามหา…ผีพวกนั้นได้ยังไง”
ซูหว่านไม่เชื่อว่าตัวเองจะตายแล้ว เธอรู้สึกว่าตัวเองยังมีชีวิตอยู่อย่างแน่นอน
อี้จื่อเซวียนชั่งใจอยู่บ้างเมื่อได้ฟังคำพูดของเธอ หลบซ่อนประกายในแววตาและจดจ้องไปที่เธอ “เธอเห็นบางอย่างที่ประหลาดมากๆ บ้างหรือเปล่า อย่างเช่น…ตัวเลขปริศนา?”
ตัวเลขหรือ
ซูหว่านตาวาววับ “เลขห้า! ฉันเห็นเลขห้าในฝันของฉัน! จื่อเซวียน นายก็เห็นเหมือนกันเหรอ”
“เธอเห็นเลขห้าเหรอ”
สายตาของเขาเปลี่ยนไปเล็กน้อย
“อะไรกัน นายไม่ได้เห็นเลขห้าเหรอ”
เธอสัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลงของเขาและยิงคำถามใส่เขาอย่างกระวีกระวาด
“ฉันเห็นเลขเก้าน่ะ”
เขาตอบกลับเสียงเบา
เก้าอย่างนั้นหรือ
ซูหว่านงุนงงไปครู่ใหญ่เช่นกัน เดิมทีเธอคิดว่าเลขที่เธอเห็นหมายถึงจำนวนคนเป็นและคนตาย ทว่าในเมื่ออี้จื่อเซวียนเห็นเลขเก้า ความคิดของเธอจึงผิดไปอย่างแน่นอน
เลขนี้ไม่ได้หมายถึงจำนวนคนแต่เป็นเลขประจำตัวอย่างนั้นหรือ
ซูหว่านหมายเลขห้าในขณะที่อี้จื่อเซวียนหมายเลขเก้าอย่างนั้นหรือ
หมายเลขประจำตัวพวกนี้มีความหมายพิเศษอะไรแอบแฝงอยู่กัน