“พวกเขาตายไปแล้ว” ซูหว่านเอ่ยประโยคนี้เสียงหนัก ทั้งสามที่อยู่ด้านข้างหันมามองเธอพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย
“ซูหว่าน เธอเองก็ฝันใช่หรือเปล่า…”
ฉีมู่พลันจ้องหน้าเธอขณะที่เร่งเร้าถามเธอ
“ใช่ ฉันเองก็ฝันแปลกๆ เหมือนกัน แล้วก็…” สายตาซูหว่านส่อแวววูบไหวขณะที่มองทั้งสามคน “ถ้าฉันเข้าใจไม่ผิด ตอนนี้เราก็ยังอยู่ในความฝัน ความฝันที่ต่อเนื่องไม่จบสิ้น เราเชื่อกันว่าตัวเองได้สติจากการตื่นมาจากฝัน แต่ความจริงเรากำลังข้ามผ่านจากความฝันลึกไปความฝันที่ลึกไปกว่าเดิมต่างหาก”
นี่เป็นความสยดสยองที่แท้จริงของฝันร้าย มันจะทำให้คุณอยู่ในฝันร้ายไปตลอดกาล ไม่มีหนทางหนีรอดไปได้ ไม่มีหนทางให้หันหลังกลับ
“มันจะเป็นไปได้ได้ยังไงกัน!”
ฉีมู่ซึ่งเป็นคนที่อายุมากที่สุดและผ่านประสบการณ์มาโชกโชนกลับเป็นคนแรกที่เสียอาการ
บางทีจากคำอธิบายนี้เขาอาจพูดได้ว่าเรื่องเหลวไหลนี้นั้นแนบเนียนเกินไปจนทำให้เขายากที่จะยอมรับมัน เทียบกันแล้วเมิ่งถิงเหยาดูใจเย็นกว่ามาก เธอมุ่นคิ้วและสงวนท่าทีห่างเหินของเธอไว้ ในขณะที่ฟั่นซูจวินช้อนตามองซูหว่าน ประกายปริศนาฉายในดวงตาเบื้องหลังเลนส์แว่น
“โลกความฝันงั้นเหรอ หรือมันจะเหมือนมิติที่ช่วงชิงมาจากความฝัน ถ้าเป็นอย่างนั้นก็ต้องมีจุดที่เชื่อมต่อกับโลกความเป็นจริงใช่ไหม”
ฟั่นซูจวินยิงคำถามรัวๆ น้ำเสียงแฝงร่องรอยความตื่นเต้น
คนทั่วไปย่อมไม่อาจเข้าใจความคิดที่พูดออกมาในภาษาวงการเกม
อย่างไรก็ตามซูหว่านพินิจพิจารณาฟั่นซูจวินโดยละเอียด คนบ้าเกมคนนี้ไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน
“ใช่แล้ว ต้องมีจุดเชื่อมต่อกับโลกความเป็นจริงอยู่”
เธอหยิบโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋าและถือไว้ตรงหน้าทุกคน “ตลอดช่วงที่ผ่านมาเวลาบนโทรศัพท์ฉันหยุดอยู่ที่สี่ทุ่มห้าสิบ ฉันคิดว่าฉันเดาได้รางๆ ว่าเป็นตอนที่ตัวเองถูกดึงเข้าไปในวงจรความฝันไม่จบสิ้นนั้น”
เป็นเวลาสี่ทุ่มห้าสิบตรงเผงตอนที่ฟั่นซูจวินโทรมา หลังจากเขาวางสายไปซูหว่านก็ถูกล่อเข้าไปในความฝันมิตินี้
“แล้วจุดเชื่อมต่อคืออะไรล่ะ”
ในที่สุดเมิ่งถิงเหยาซึ่งเงียบมาตลอดก็หยุดสายตาที่ซูหว่าน แววตาฉายจับผิดและนึกสงสัย
“ฉันไม่รู้”
ซูหว่านส่ายหน้า “บางทีเราน่าจะตามหาอี้จื่อเซวียนกับเฉินอวี้เฟิงกันก่อน หลังจากนั้นอาจจะหาทางกลับไปโลกความเป็นจริงได้”
เมื่อได้ยินคำพูดของซูหว่าน สายตาเมิ่งถิงเหยาส่อวาววับ “เธอรู้ได้ยังไงว่าอี้จื่อเซวียนกับเฉินอวี้เฟิงยังมีชีวิตอยู่”
หากฟังเถียนเถียนตายไปอย่างนั้นมันก็เป็นไปได้ว่าอี้จื่อเซวียนอาจจะตายไปแล้วก็ได้ แม้แต่…ซูหว่านกับฉีมู่ที่อยู่ตรงหน้าพวกเขา…
เมิ่งถิงเหยาได้แต่รู้สึกตัวเย็น เธอไม่กล้าคิดถึงมันต่อ
“อี้จื่อเซวียนไม่ตายหรอก”
ซูหว่านว่าขึ้นอย่างแน่วแน่ระคนมั่นใจ
ในฐานะตัวหลักชายคนแรกของโลกนี้ อี้จื่อเซวียนจะตายง่ายๆ ได้อย่างไรกัน
“เธอมั่นใจในตัวเขาจริงๆ นะ”
เมิ่งถิงเหยาเองก็รู้เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างซูหว่านกับอี้จื่อเซวียนดีเช่นกัน ตอนที่ทั้งสองเลิกรากันไป มันไม่อาจบอกได้ว่าใครผิดใครถูก ซูหว่านเกิดในเมืองหลวงและต้องการไขว่คว้าชีวิตในแบบที่เธอต้องการ ในขณะที่อี้จื่อเซวียนมาจากต้าซานและหมายจะคว้าความสำเร็จกลับไปที่หมู่บ้านบนเขา ความฝันของทั้งสองคนต่างกับลิบลับ แรกเริ่มเดิมทีพวกเขารักกันหวานชื่น หากแต่มันก็เป็นเพียงแรงดึงดูดระหว่างคนต่างเพศธรรมดา
แม้ว่าเมิ่งถิงเหยาจะอยู่ห้องเดียวกับซูหว่าน พวกเธอก็ไม่ได้ไปมาหาสู่กันมากนัก เธอเองไม่เข้าใจนิสัยของซูหว่านเช่นกัน และในเวลานี้เธอยิ่งไม่เข้าใจอีกฝ่ายมากกว่าเดิม
ค่ำคืนนี้ทั้งสี่คนนั่งล้อมกองไฟและผลัดกันไปพักผ่อน คืนนั้นผ่านพ้นไปโดยไม่มีเรื่องใดๆ เกิดขึ้น
วันถัดมาพวกเขาปรึกษากันและยังคงตัดสินใจจะอยู่รอ พวกเขารออยู่ที่เดิม ทว่าน่าเสียดายที่ตลอดสามวันที่เฝ้ารอ แม้ไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นแต่อี้จื่อเซวียนกับเฉินอวี้เฟิงก็ยังไม่ปรากฏให้เห็น
ตอนนี้อาหารและน้ำดื่มที่เหลืออยู่สำหรับทั้งสี่คนนั้นไม่มากนัก
“พรุ่งนี้ไปตามหาพวกเขากันเถอะ”
ท่ามกลางแสงสว่างยามดึก น้ำเสียงของฉีมู่อ่อนระโหยกว่าปกติ “เราไปกันอย่างนี้ไม่ได้นะ”
“แต่มันก็เป็นทางเดียวนี่คะ” เมิ่งถิงเหยามองหน้าเขาก่อนเลื่อนสายจาไปทางซูหว่าน ซูหว่านพยักหน้ารับน้อยๆ เช่นกัน
ฟั่นซูจวินอยู่ห่างออกไปอีกด้านราวกับจะปลีกตัวออกมาให้มากที่สุด เราก้มหน้าเล่นเกมของเขาอยู่ตลอดเวลา เหมือนกันว่าเขาไม่ได้อยู่กลางป่าน่าพิศวงแต่เป็นบนเตียงของเขาในหอ
ทุกคนสลับกันไปพักผ่อนอย่างไม่กี่วันที่ผ่านมา เมื่อถึงคราวที่ซูหว่านอยู่เฝ้าเวรกลางตืน เธอเห็นฟั่นซูจวินยังคงไม่ง่วงอย่างน่าทึ่ง ทว่าเขากลับไม่ได้เล่นเกมอยู่ในเวลานี้แต่กำลังจ้องมองท้องฟ้ายามค่ำคืนที่มีใบไม้บดบังเหนือศีรษะไปอย่างเลื่อนลอย
“นายคิดอะไรอยู่เหรอ”
ซูหว่านนั่งลงข้างเขาเงียบเชียบ เธอหลุบตาลงและมองเขาอย่างจริงจัง ฟั่นซูจวินในตอนนี้ถอดแว่นตาหนาเตอะออก เป็นครั้งแรกที่ซูหว่านพินิจใบหน้าของเขาเช่นกัน ความจริงแล้วเขามีดวงตาที่สวยมากและด้วยไม่ได้ออกไปไหนมานานผิวของเขาจึงขาวไม่เบา เครื่องหน้าประณีตเข้ากับผิวขาวๆ ของเขาได้ดี เขาไม่ได้ดูเหมือนพวกหมกมุ่นตัวยงแม้แต่น้อย
“ไม่ได้คิดอะไรทั้งนั้น เบื่อ แล้วก็งงๆ น่ะ“
ฟั่นซูจวินหันหน้ามามองเธอด้วยสาตาพร่าเลือน
ซูหว่านรู้ว่าเขาไม่อาจเห็นสีหน้าของเธอตอนนี้ได้ชัดเจนนัก ด้วยเขาสายตาสั้นมากจึงมองเห็นได้รางๆ เพราะไม่ได้ใส่แว่นอยู่
“นายเคยฝันเห็นฟังเถียนเถียนหรือเปล่า”
แม้เธอจะรู้ว่าเขามองสีหน้าของเธอไม่ออกก็ยังคงจ้องตาเขาอย่างเป็นนิสัย
“อืม”
เขานึกลังเลใจแต่ยังพยักหน้ารับ “ฝัน…
…ในฝันฟังเถียนเถียนสวมชุดกีฬาสีฟ้า”
เขาค่อยๆ หลับตาราวกับกำลังย้อนนึกถึงบางอย่าง
เสื้อผ้าสีฟ้า… ซูหว่านขมวดคิ้ว ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาพูดถึงรายละเอียดนั้น “เสื้อผ้าชุดนั้น…”
“ฟังเถียนเถียนไม่เคยใส่เสื้อผ้าสีฟ้า”
บางทีอาจเป็นเพราะเขาหลับตา บางทีอาจเป็นเพราะเขาง่วงเกินไป น้ำเสียงของฟั่นซูจวินเริ่มแผ่วเบาและอ่อนแรง “เธอบอกว่าเธอชอบสีฟ้า แต่สีฟ้าไม่เข้ากับผิวของเธอ ในตู้เสื้อผ้าของเธอเลยไม่มีชุดสีฟ้าเลย”
ด้วยเขาใส่ใจคนคนหนึ่งมากไป เขาจึงมักจดจำทุกคำที่เธอพูดไว้ในใจ แม้แต่ในความฝันเขาก็ไม่อาจลืมได้ลง
ฟังเถียนเถียนผู้ที่ชอบสีฟ้าแต่ไม่เคยสวมเสื้อผ้าสีฟ้า
ฟั่นซูจวินรู้ว่าเขากำลังฝันอยู่เมื่อเธอปรากฏตัวต่อหน้าเขาในชุดกีฬาสีฟ้า
เดิมทีฟั่นซูจวินชอบพอฟังเถียนเถียนอยู่
ซูหว่านอดจะเข้าอกเข้าใจไม่ได้ หากพวกเขาอยู่ในโลกความเป็นจริงคนหมกมุ่นคนนี้คงไม่มีทางเปิดเผยความลับนี้หรอกใช่ไหม เพราะว่ามันเป็นความฝันก็เลย…
แววตาซูหว่านพลันฉายวาบขึ้นมา
ความฝันคืออะไรกัน
ปีศาจคอยบงการความฝันได้อย่างไร มันกักขังทุกคนเอาไว้ได้ มันสร้างฝันร้ายที่ไม่อาจหลีกหนีไปไว้ได้ แต่มันไม่สามารถควบคุมตัวตนลึกๆ ของผู้คนได้
อย่างฟังเถียนเถียนที่เห็นๆ กันอยู่ว่าเธอชอบสีฟ้าแต่เพื่อความดูดีของตัวเอง เธอไม่เคยยอมสวมใส่มันสักครั้ง อย่างไรก็ตามเธอยังรู้ตัวในความฝันถึงได้ใส่เสื้อผ้าสีฟ้า
อย่างฉีมู่ที่เป็นผู้จัดการอาวุโสทรงอำนาจและเด็ดเดี่ยวในบริษัทควบตำแหน่งนายน้อยมาดดี แต่ในโลกความฝันเขากลับใจร้อนและขี้กลัวเมื่อเทียบกับทุกคนที่เหลือ ทั้งยังเป็นสามีติดบ้านแสนดีอย่างคาดไม่ถึงอีกด้วย
และว่ากันถึงฟั่นซูจวิน พวกหมกมุ่นปลีกวิเวกและเงียบขรึมทว่ากลับมีไหวพริบกว่าใครในโลกนี้ มีสติกว่าทุกคนที่เหลือ…
หากทุกคนสามารถเปิดเผยตัวตนส่วนลึกที่สุดในโลกใบนี้ได้ แล้วตอนนี้อี้จื่อเซวียนอยู่ที่ไหน เขากำลังทำอะไรอยู่กัน
ซูหว่านย้อนนึกถึงบ้านไม้ไผ่นั้น เธอเห็นบ้านหลังนั้นในมิติฝันแรก บ้านไม้ไผ้ที่ชวนให้รู้สึกแปลกๆ แต่กลับคุ้นเคยเช่นกัน
พอเธอครุ่นคิดถึงมันแล้ว เธอไม่ได้เคยเห็นมันในความทรงจำของเจ้าของร่างเดิมหรือ ภาพวาดบ้านไม่ไผ่ที่อี้จื่อเซวียนให้เธอมาอย่างนั้นหรือ
แล้ว…การมีอยู่ของบ้านไม้ไผ่หลังนั้นและการปรากฏตัวของอี้จื่อเซวียน มันเป็นภาพสะท้อนตัวตนลึกๆ ของซูหว่านหรือไม่
เจ้าของร่างเดิมยังคงตัดใจจากความรักไม่ได้
เช่นเดียวกับฟังเถียนเถียน…
บ้านไม่ไผ่หลังนั้นคงเป็นความคิดของเจ้าของร่างเดิมที่เฝ้าปรารถนาในตัวอี้จื่อเซวียน
อย่างนั้นฟังเถียนเถียนก็คงเป็นภาพสะท้อนใจจริงของซูหว่าน
ตั้งแต่ที่เธอตื่นขึ้นมาเธอก็ถูกบงการ
ซูหว่านยังคงจำได้ว่าคนแรกที่เธอตื่นขึ้นมาเจอก็คือฟังเถียนเถียน เป็นธรรมดาที่เธอจะคิดว่าว่าตัวเองอยู่ในความฝันมิติแรก และฟังเถียนเถียนคงเป็นคนแรกที่ตาย
ดังนั้นในฝันต่อมาฟังเถียนเถียนถึงได้ปรากฏตัวต่อหน้าเธอต่อไปและเปลี่ยนเป็นโครงกระดูกสีขาว
ทุกอย่างเป็นเพราะเธอหมายใจไว้นานแล้วว่าฟังเถียนเถียนคงตายความฝันจึงเป็นไปตามนั้น
แล้วหากเธอแทนที่ตัวเองกับอี้จื่อเซวียนล่ะ
ซูหว่านหลับตาช้าๆ จินตนาการว่าได้เจอกับอี้จื่อเซวียนในความฝัน…
ถ้าหากอี้จื่อเซวียนรู้ตัวว่าอยู่ดีๆ ก็มาโผล่กลางป่าดิบแปลกประหลาดอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยเขาจะทำอย่างไร
ซูหว่านค่อยๆ นึกร่างภาพอี้จื่อเซวียนขึ้นมา เขายืนอยู่กลางป่าทึบที่ไร้ซึ่งแสงสว่าง เขาตกใจในทีแรก ไม่นานหลังจากนั้นอี้จื่อเซวียนก็ใช้พลังของเขาอย่างไม่นึกลังเลใจ…
ย้อนเวลา!
มันคือการย้อนเวลา!
เขาคงไม่ตั้งรับการถูกโจมตีด้วยนิสัยของอี้จื่อเซวียน เขาคงใช้พลังของเขาในทันที เขาคงย้อนเวลากลับไปในอดีต จากนั้นก็คงวางแผนก่อนจะลงมือ
ดังนั้นอี้จื่อเซวียนคงไม่มีทางมาปรากฏตัวที่นี่
กลางป่าแห่งนี้ในโลกฝันร้าย ร่างของอี้จื่อเซวียนคงไม่มีทางโผล่มาที่นี่
“น่าเสียใจจัง”
ซูหว่านถอนใจแผ่วเบา
เพราะไม่มีทางได้พบกับอี้จื่อเซวียนที่นี่ อยู่ที่นี่ต่อไปจะมีประโยชน์อะไรอีก
“ถึงเวลาตื่นแล้วล่ะ”
ซูหว่านหลับตาลงอย่างผ่อนคลาย สิ่งที่เธอเห็นเมื่อเปิดเปลือกตาขึ้นอีกครั้งคือผนังสีขาวราวหิมะและผ้าม่านสีฟ้าอ่อน
ที่นี่คือห้องคนไข้ส่วนตัวในโรงพยาบาลประจำเมือง
หน้าผากของเธอส่งสัญญาณเจ็บปวดเล็กน้อย เธอยกมือขึ้นและพบว่าหน้าผากตัวเองถูกผ้าพันแผลพันรอบหลายชั้น
ดูเหมือนเธอจะบาดเจ็บอยู่ มันเจ็บไม่น้อยเลย
ซูหว่านพลันระบายยิ้ม เธอรู้ว่าตัวเองกำลังหลุดออกมา
เธอออกมาจากความฝันของตัวเอง เพียงแค่ไม่รู้ว่าเข้ามาในฝันของใคร
ตั้งแต่ที่เธอถูกค้างคาวโจมตีในป่า ซูหว่านก็รู้สึกว่ามีบางอย่างแปลกไปมาก เธอเก็บผ้าที่เธอเช็ดเลือดไว้และพบเอาทีหลังว่ามันไม่หลงเหลือรอยเลือดแม้แต่น้อย
หลังจากนั้นก็ถูกฉีมู่ช่วยเอาไว้ตอนที่เธอตกอยู่ในอันตรายในความฝันลึก และในช่วงคับขันเธอก็คิดปล่อยให้ฉีมู่ตื่นขึ้นเขาจึงตื่นขึ้นมาจริงๆ
ฝันร้ายปรากฏอยู่ทุกหนทุกแห่ง แต่ข้อสันนิษฐานสำคัญคือมันทำได้เพียงโผล่เข้าไปในฝันของคนอื่นและทำตัวตามใจในความฝันเหล่านั้นได้
ซูหว่านจึงรู้ว่าเธอถูกบงการตั้งแต่ที่เข้าสู่โลกนั้น
โชคดีที่เมื่อสักครู่เธอมีสติครบถ้วนสมบูรณ์และตื่นขึ้นมาจากความฝันของเธอเพราะรู้สึกตัว…