“ท่านประธานซูคะ นี่คือใบลาของผู้ช่วยเสิ่นค่ะ”
ตอนเช้าเมื่อซูหว่านเดินเข้ามายังประตูใหญ่ของบริษัท พนักงานต้อนรับที่ล็อบบี้ก็ยื่นใบลาฉบับหนึ่งไปยังด้านหน้าเธอด้วยความนอบน้อม ซูหว่านชำเลืองมองปราดหนึ่งก็เห็นลายมืออันประณีตเป็นระเบียบของเสิ่นเหว่ย แม้มือจะไม่ได้เคลื่อนไหวใดๆ แต่ดวงตาทรงดอกท้อคู่นั้นชำเลืองมองอย่างขัดใจ “เธอบอกเสิ่นเหว่ย ถ้าไม่รีบมาทำงาน ก็ส่งใบลาออกมาให้ฉันเลยแล้วกัน ฉันให้เวลาครึ่งชั่วโมง!”
ใครกันที่ทำให้เขากล้าขนาดนี้ ยังมีหน้ามาเขียนใบลาอีกเหรอ เรื่องเมื่อวานยังไม่ได้คิดบัญชีกับเขาเลย
เห็นซูหว่านหันตัวกลับเดินเข้าไปยังลิฟต์สำหรับผู้บริหารระดับสูงของบริษัทอย่างไม่ลังเล สาวน้อยที่ล็อบบี้ก็ได้แต่เม้มปาก แล้วต่อสายตรงไปค่ะเสิ่นเหว่ย “พี่เสิ่น หนูพยายามแล้วนะ แต่ท่านประธานซูเธอดุจริงๆ…”
ครึ่งชั่วโมงให้หลัง เสิ่นเหว่ยก็ปรากฏตัวที่ห้องสำนักงานของซูหว่านด้วยสภาพเหงื่อเปียกโชก
“ลูก…ลูกพี่”
เสิ่นเหว่ยปาดเหงื่อบนหน้าผากพลางมองไปยังซูหว่านที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ผู้จัดการอย่างระวัง
“นายสายไปหนึ่งนาทีกับอีกยี่สิบเจ็ดวินาที”
ซูหว่านเงยหน้าขึ้นมาด้วยใบหน้านิ่งเฉย เมื่อเห็นใบหน้าที่เหมือนกับหมูของเสิ่นเหว่ย เธอก็นิ่งอึ้งไปชั่วขณะ แล้วเธอก็เลิกคิ้วขึ้นเบาๆ “นี่คือเหตุผลที่นายไม่มาทำงานใช่ไหม”
“เอ่อ”
หน้าบานๆ ของเสิ่นเหว่ยโดนต่อยจนบวมเหมือนกับหัวหมูในตอนนี้เริ่มแสดงอารมณ์ลังเลสับสน ดูแล้วน่ารำคาญตาเสียจริง
ซูหว่านเลื่อนสายตาไปมองยังกราฟหุ้นบนหน้าจอคอมพิวเตอร์ที่อยู่ด้านข้าง หุ้นของเครือบริษัทเฮ่าเย่ว์สองสามวันนี้ขยับตัวขึ้นเพียงเล็กน้อย
เมื่อเห็นซูหว่านไม่ได้มองตนด้วยสายตาอันประหลาดอีก เสิ่นเหว่ยในที่สุดก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก เขาไม่กล้ารายงานกับซูหว่านตามตรงว่าการที่หน้าเขาต้องพกช้ำบวมเขียวเช่นนี้เป็นเพราะคุณชายฟัง
ถ้าพูดถึงผู้ชายที่จิตใจคับแคบและมีความปรารถนาจะครอบครองอย่างแรงกล้าซ้ำยังขี้หึงด้วย เสิ่นเหว่ยใช่ว่าจะไม่เคยพบเห็นมาก่อน แต่คุณชายฟังคนนี้จะไร้เหตุผลเกินไปหน่อยไหม
เขาก็แค่ผู้ชายที่ถูกจับมาเป็นคู่ออกงานของลูกพี่หว่านเพียงครั้งเดียวเท่านั้นไม่ใช่เหรอ อิริยาบถที่ใกล้ชิดที่สุดอย่างมากก็แค่ควงแขน เขาไม่ได้แตะต้องแม้เพียงปลายนิ้วของซูหว่าน สุดท้ายกลับต้องโดนฟังจื่อมู่ล็อกตัวไว้ในห้องเก็บของในห้องน้ำที่บ้านตระกูลเซียว การต่อยในครั้งนั้น รอยแผลบนหน้านี้ยังนับว่าเบา แต่รอยแผลบนตัวที่มองไม่เห็นเหล่านั้น นั่นสิถึงจะเรียกว่าเจ็บจริง
เมื่อนึกถึงวิธีการโจมตีอย่างรวดเร็วเทียบได้กับหน่วย FBI ของฟังจื่อมู่ แม้แต่ตอนนี้ร่างกายของเสิ่นเหว่ยก็ยังคงรู้สึกเจ็บปวดรุนแรงไปทั้งบนล่าง
เราสู้ไม่ได้ ก็ต้องหลบให้เป็น
“ลูกพี่หว่านครับ”
เสิ่นเหว่ยผู้ซึ่งตัดสินใจแน่วแน่ว่าหลังจากนี้ไปเมื่อพบคุณชายฟังจะต้องหลีกให้ไกล ในเวลานี้ก็เริ่มกลับมาถกคิดปัญหาเรื่องงานของตนอีกครั้ง
“ทำไมนายยังอยู่ที่นี่อีก”
ซูหว่านได้ยินเสียงของเสิ่นเหว่ยก็หันกลับมามองเขา “วันนี้นายไม่มีงานทำเหรอ”
“เอ่อ…ลูกพี่หว่านครับ คือเป็นไปได้ไหม…เป็นไปได้ไหมที่ผมจะเปลี่ยนตำแหน่ง”
เสิ่นเหว่ยส่งยิ้มไปยังซูหว่านด้วยความระวัง “ลูกพี่เห็นแล้วว่าสองสามวันนี้ผมทำงานพลาดใหญ่โตแค่ไหน จริงๆ แล้วผม…”
“นายพูดไม่ผิด”
ซูหว่านยกมือขึ้น ใช้นิ้วมืออันเรียวยาวเคาะเอกสารบนโต๊ะสำนักงานของเธอ “วันนี้นายไปรายงานตัวที่แผนกธุรการชั้นสี่ คนที่จะมาเป็นผู้ช่วยส่วนตัวเดี๋ยวฉันให้แผนกบุคคลจัดการ”
เอ่อ..หา?
เสิ่นเหว่ยมองซูหว่านด้วยความประหลาดใจ โธ่ฟ้า ได้โปรดเถอะ เขาเพียงแค่ไม่อยากรับตำแหน่งงานสูงส่งอย่างผู้ช่วยส่วนตัวแบบนี้ต่อไปเท่านั้น แต่ไม่ได้คิดว่าจะถูกลดขั้นไปเริ่มใหม่ตั้งแต่เริ่มต้นที่แผนกธุรการชั้นล่าง
“ลูกพี่หว่าน…ลูกพี่…ท่านประธานซูครับ! ที่จริงแล้วผม…”
เสิ่นเหว่ยร้อนรนจนไม่รู้จะเริ่มพูดจากตรงไหนดี มือไม้เขาวุ่นวายพัลวันต่อหน้าซูหว่านอยู่สักพักใหญ่ ทั้งยังร้อนใจจนเหงื่อโชกไปทั้งตัว
“ตามนั้นแล้วกัน”
ซูหว่านมองใบหน้าที่ร้อนรนจนบิดเบี้ยวของเสิ่นเหว่ย คำพูดสุดท้ายนั้นเท่ากับได้โยกย้ายตำแหน่งงานของเสิ่นเหว่ยเรียบร้อย
เสิ่นเหว่ยในตอนนี้ได้แต่ก้มหน้ากลับไปเก็บของใช้ส่วนตัวของตัวเอง ซูหว่านยิ้มเบาๆ เธอหยิบคอมพิวเตอร์แท็บเล็ตที่ใช้ส่วนตัวของเธอออกมาจากลิ้นชักโต๊ะสำนักงาน กรอกรหัสลับบัญชีธนาคารต่างประเทศของตัวเองอย่างคล่องแคล่ว เห็นตัวเลขเงินฝากแปดหลักในนั้น ซูหว่านก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วหน้านิ่ว เงินจำนวนแค่นี้เมื่อเทียบกับทรัพย์สินทั้งหมดของเครือบริษัทเฮ่าเย่ว์ก็ไม่ต่างอะไรกับศูนย์
ดูไปแล้ว ถ้าจะใช้สถานะครอบครัวของเธอในเวลานี้เพื่อจะทำให้คนในตระกูลเซียวสั่นคลอนคงเป็นภารกิจที่ไม่สามารถทำให้สำเร็จได้
ยังดีที่…
ซูหว่านพิงลงบนเก้าอี้ คิดถึงซูรุ่ยขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว ตอนนี้เขาเป็นคุณชายใหญ่ตระกูลฟัง ในเวลาเดียวกันก็น่าจะยังเป็นผู้ที่ตามจีบลั่วชูชูอีกด้วย
ถึงแม้ว่าตอนนี้ยังบอกไม่ถูกว่าซูรุ่ยจะทำยังไงต่อลั่วชูชู แต่อย่างน้อย ซูรุ่ยและเซียวจิ่งมั่วก็อยู่ในสถานะเป็นปรปักษ์กัน
ศัตรูของศัตรู ก็คือพันธมิตรของเรา
อืม ถึงแม้ว่าจะไม่ใช่พันธมิตรที่พึ่งพาได้สักเท่าไหร่ แต่อย่างน้อยก็ยังมีค่าพอให้ใช้งานไม่น้อย ไม่ใช่เหรอ
…………
แบรนด์ EVFA เขตหัวเซี่ย แบรนด์ระดับสูงที่ได้รับความนิยมอย่างมาก ดำเนินธุรกิจด้านแฟชันเครื่องแต่งกายชายชั้นสูง น้ำหอมชายรวมถึงเครื่องประทินผิวสำหรับผู้ชายอีกหลายตัว
ซูหว่านจับพลัดจับผลูมาอยู่ที่เมืองเซียงเฉิงได้สักพักหนึ่งแล้ว ในช่วงเวลานี้ในที่สุดเธอก็สามารถจัดการงานทั้งหมดเหล่านั้นที่ผู้รับตำแหน่งคนเก่าทิ้งเอาไว้ให้จนแล้วเสร็จ
ตอนนี้งานหลักที่สุดของบริษัทก็คือการเปิดตัวสินค้าใหม่ฤดูใบไม้ร่วงและพรีเซนเตอร์คนใหม่
พรีเซ็นเตอร์ของ EVFA เขตหัวเซี่ยคนเดิมฉู่เฉินหนุ่มน้อยหน้าใสไอดอลแห่งวงการแฟชั่นที่กำลังเป็นที่ชื่นชอบในเขตหัวเซี่ยอยู่ ณ เวลานี้ สุดท้ายเมื่อสองเดือนที่ผ่านมาฉู่เฉินถูกแฉเรื่องคบชู้ ทำให้ชื่อเสียงของเขาในวงการดับวูบ EVFA จึงต้องเลิกสัญญาฉู่เฉินกับด้วยเหตุนี้ ในตอนนี้ตำแหน่งพรีเซ็นเตอร์จึงว่างลง มีบริษัทอีเวนต์มากมายติดต่อเสนอความร่วมมือ แต่ไม่มีใครเลยที่เข้าตาซูหว่าน
ซูหว่านคุ้นเคยกับการสวมบทว่าต่อให้เป็นใครก็ต้องทุ่มเทสุดกำลัง จะทำงานใดก็ต้องพยายามทำให้ดีที่สุด
EVFA เป้าหมายผู้บริโภคกำหนดไว้คือสุภาพบุรุษผู้มีรายได้สูง ในตอนแรกเป็นเพราะฉู่เฉินมีหน้าตาดูหนักแน่นเข้มแข็งเป็นผู้นำ ทางบริษัทถึงถูกใจอยากให้เขาเป็นพรีเซ็นเตอร์ตั้งแต่แรกเห็น แต่ตอนนี้ข่าวฉาวเรื่องคบชู้มีผลกระทบร้ายแรงต่อชื่อเสียงและยอดขายของ EVFA
สินค้าสำหรับท่านชายส่วนใหญ่ ที่จริงแล้วอำนาจการซื้อล้วนมาจากผู้หญิง ไม่ว่าผู้หญิงคนไหนก็ล้วนไม่อาจชอบแบรนด์ที่มีพรีเซ็นเตอร์เป็นคนไม่ซื่อสัตย์ต่อความรัก ไม่ซื่อสัตย์ต่อภรรยาของตน…
ในสำนักงานต่างยุ่งอยู่กับงานไปอีกวัน พนักงานจากแผนกต่างๆ ก็ทยอยกันเดินออกบริษัทไป ซูหว่านคลึงหว่างคิ้วเบาๆ เธอโยนเอกสารภาพถ่ายของหนุ่มน้อยหน้าใสเหล่านั้นที่กองสุมอยู่บนโต๊ะของเธอทั้งหมดทิ้งลงในถังขยะ จากนั้นจงลุกขึ้นหยิบเสื้อคลุมที่พาดอยู่บนเก้าอี้ขึ้นมาแล้วหันตัวเดินออกจากสำนักงานของเธอไป
ที่จอดรถชั้นใต้ดินในเวลานี้ดูโล่งกว่าช่วงกลางวันมาก ซูหว่านสวมรองเท้าส้นสูงทุกจังหวะก้าวของเธอทำให้เกิดเสียงสะท้อนดังก้องกังวานขึ้นไปทั่วลานจอดรถที่กว้างโล่ง
บริษัทได้จัดหารถเก๋งโฟล์คสวาเกนรุ่นซากิตาร์สีขาวคันหนึ่งให้กับเธอ เช้าวันนี้ตอนที่เสิ่นเหว่ยออกจากตำแหน่งงานได้คืนกุญแจให้กับซูหว่าน เพียงแต่ซูหว่านคิดไม่ถึงว่าเจ้าคนไม่ได้เรื่องอย่างเสิ่นเหว่ยนั้นจะจอดรถของเธอไว้ด้านในสุดของลานจอดรถแบบนี้
“ซูหว่าน”
ซูหว่านยังเดินไปไม่ถึงด้านหน้ารถ เธอก็ถูกเซียวจิ่งมั่วเรียกเอาไว้
ได้ยินเสียงทุ้มต่ำไพเราะของเซียวจิ่งมั่ว ซูหว่านอึ้งไปชั่วครู่ ร่างกายที่เกร็งทื่อค่อยๆ หันกลับ ก็เห็นเซียวจิ่งมั่วเอียงตัวพิงรถเชฟโรเล็ตรุ่นโคเวอเร็ตลิมิเต็ดเอดิชั่นคันหนึ่ง สัญลักษณ์ของรถเรซซิ่งระดับสูงที่หรูหราสง่างาม เข้าคู่กับใบหน้าท่าทางอันหล่อเหลาเข้มแข็งหนักแน่นนั้น
การเข้าชุดอันงดงามหรูหราอย่างนี้ ไม่รู้ว่าหากคิดจะจัดอีกชุดจะได้สักครึ่งหนึ่งของคู่นี้ไหม
…………
“ท่านประธานเซียว”
แม้ว่าในใจเธอจะก่นด่าสักแค่ไหน แต่สายตาของซูหว่านที่มองไปยังเซียวจิ่งมั่วก็ยังคงเป็นประกายเหมือนกับมีความในใจที่อยากบอกแต่ไม่ได้พูดออกมา
ในตอนแรกที่ได้ยินซูหว่านเรียกเขาอย่างห่างเหินเช่นนี้ เซียวจิ่งมั่วรู้สึกหงุดหงิดลึกๆ ในใจ แต่เมื่อมองไปยังสายตาที่เต็มไปด้วยความรู้สึกที่เธอมองมายังเขาแล้ว อารมณ์ของเซียวจิ่งมั่วก็สงบลงในทันใด
“หาที่คุยกันสักหน่อยเป็นยังไง” เซียวจิ่งมั่วส่งยิ้มไปยังซูหว่าน หันตัวกลับเปิดประตูรถซิ่งด้วยท่าทีอันแสนจะสุภาพบุรุษ
“ก็ได้ค่ะ”
ซูหว่านมองนิ่งไปยังเซียวจิ่งมั่ว “พอดี ฉันเองก็มีเรื่องที่อยากจะคุยกับคุณเหมือนกันค่ะ”