ในวันที่ห้าของการพักรักษาตัวของซูหว่าน คฤหาสน์ของนางก็ได้ต้อนรับผู้มาเยือนเป็นคนแรก ซึ่งก็คือคุณหนูรองจากจวนชิ่งชวนโหวเฉินชิงเหยา
เฉินชิงเหยาปีนี้ย่างเข้าสิบห้าปีพอดิบพอดี เป็นช่วงอายุราวดอกไม้กำลังผลิบาน สายตามองเห็นเฉินชิงเหยาที่สวมใส่กระโปรงชาววังทรวดทรงอรชรอ้อนแอ้นสีเหลืองอ่อนมาปรากฏกายหน้าตัวเอง ซูหว่านก็ทำเพียงส่งยิ้มบางไปให้นางเพียงเท่านั้น
“พี่ซูหว่าน อาการป่วยของพี่ดีขึ้นบ้างหรือไม่เจ้าคะ”
เสียงของเฉินชิงเหยาอ่อนนุ่มแสดงออกถึงความห่วงใย เมื่อประกอบกับอากัปกิริยาอ่อนช้อยและดวงตากระจ่างดั่งน้ำใสนั่นแล้ว ดูแล้วมีมิตรจิตมิตรใจเป็นอย่างมาก ไม่แปลกใจที่สามารถหลอกล่อเจ้าของร่างเดิมได้
“สุขภาพของข้า…ตอนนี้ดีขึ้นมากแล้ว ทำให้น้องชิงเหยาเป็นห่วงแล้ว”
ซูหว่านลดสายตาลง ถึงแม้ปากจะบอกว่าอาการดีขึ้นมากแล้ว แต่สีหน้าซ่อนเร้นของนางกลับถูกเฉินชิงเหยามองออกตั้งแต่แรก
เฉินชิงเหยาถึงแม้จะไม่ใช่คนที่เกิดใหม่ แต่นางเป็นสตรีเจ้าเล่ห์ผู้หนึ่ง สำหรับอาการป่วยของซูหว่านนั้น นางใคร่เกิดความสงสัยมานานแล้วเพียงแต่ไม่มีโอกาสได้ทดสอบดูก็เท่านั้น
“ได้ยินพี่หว่านพูดเช่นนี้ข้าก็สบายใจ”
เฉินชิงเหยาส่งรอยยิ้มใสบริสุทธิ์ไปยังซูหว่าน พลันหันหน้ากลับมาเปล่งเสียงอุทานเบา ๆ “พี่หว่านคะ พี่อวี้ซูจริงๆ แล้วก็อยากมาเยี่ยมพี่นะเจ้าคะ แต่นาน ๆ จะมีโอกาสกลับมาที่เมืองหลวงสักที จึงมีงานให้จัดการมากมาย ทั้งที่บ้าน…ที่บ้าน…ยังมีพี่ชิงจิ่นคอยพัวพันท่านพี่อยู่ตลอดเวลา ท่านพี่ไม่อาจหาเวลามาได้จริงๆ”
เสียงของเฉินชิงเหยาเบามาก ถึงแม้จะทำเหมือนแก้ตัวให้กับเฉินอวี้ซู แต่แท้จริงแล้วกลับกำลังยุแยงความสัมพันธ์ของซูหว่านและเฉินชิงจิ่น
ซูหว่านได้ฟังที่กล่าวมาก็ตาเป็นประกายขึ้นมาชั่วครู่ “เป็น…เป็นเช่นนั้นเหรอ มิน่าล่ะ มิน่าล่ะเขาไม่ถึงยอมมาเลยสักครั้ง เดิมข้าคิดว่าเขา…”
เมื่อพูดมาถึงตรงนี้ ซูหว่านยกมือขึ้นจับปกเสื้อตัวเองกำแน่นอย่างเตือนสติ
และเฉินชิงเหยาก็ปรายตามองการกระทำของซูหว่านอย่างรวดเร็ว หางตาของนางก็มองเห็นรอยแดงอ่อน ๆ บนลำคอของซูหว่านในทันที หรือว่านี่คือ…
สัมพันธ์กับเรื่องที่เกิดที่จวนชิ่งชวนโหว ภายในใจของเฉินชิงเหยาพลันเกิดข้อสันนิษฐานขึ้นมาอย่างหนึ่ง เพียงแต่ข้อสันนิษฐานนี้นางไม่กล้าจะสรุปความไปเอง ยังต้องเฝ้าดูอีกสักระยะ
เมื่อคิดได้ถึงตรงนี้ ตาของเฉินชิงเหยาก็เป็นประกาย มองดูเหมือนไม่ใส่ใจแต่เอ่ยปากสอบความว่า “อีกไม่กี่วันก็เป็นวันล่าสัตว์ประจำฤดูใบไม้ร่วงแล้ว ปีก่อน ๆ ท่านพี่ล้วนเข้าร่วมด้วยตัวเอง ข้ากับพี่สาวก็ไปร่วมสนุกด้วย แต่นี้ไม่รู้เหตุใดพี่สาวถึงดึงดันจะเข้าร่วมการล่าสัตว์ในครั้งนี้ด้วย ถึงเวลานั้นเกรงว่าพี่ชายจะห่วงหน้าพะวงหลังคอยดูแลพี่สาว อีกทั้งปีนี้ประจวบเหมาะกับที่องค์ชายสองและองค์ชายห้าก็จะเข้าร่วมการล่าสัตว์ในครั้งนี้ด้วย เกรงว่าพี่อวี้ซูปีนี้น่าจะเสียตำแหน่งราชานักล่าสัตว์ไปเป็นแน่”
คำกล่าวของเฉินชิงเหยานั้นช่างมีวาทศิลป์ เรื่องแรกคือเตือนซูหว่านว่าจะมีการจัดงานล่าสัตว์ขึ้น อย่าลืมไปเข้าร่วม ต่อมาก็หยอดข้อมูลเกี่ยวกับเฉินชิงจิ่นที่คอยพัวพันเฉินอวี้ซูให้ทราบ และสุดท้ายเพื่อให้เป็นประเด็นเก็บไปขบคิดต่อ
ทำไมปีก่อน ๆ เฉินชิงจิ่นที่ไม่เคยเข้าร่วมการล่าสัตว์มาตลอด ปีนี้ถึงได้ดึงดันจะเข้าร่วมให้ได้ เป็นเพราะองค์ชายทั้งสองเข้าร่วม นางจึงต้องการเรียกร้องความสนใจหรือไม่
ซูหว่านไม่อยากจะยอมรับว่าเฉินชิงเหยาที่อายุได้สิบหน้าปีนั้นทเป็นนักจิตวิทยาที่เล่นกับความรู้สึกคนได้อย่างเก่งกาจทีเดียว นางค่อยๆ นำเอาถ้อยคำและความคิดที่ไม่พอใจต่อเฉินชิงจิ่นส่งต่อไปยังจิตใจของซูหว่านทีละนิดโดยไม่ให้รู้ตัว ดังนั้นในชาติที่แล้วเมื่อนางแต่งเข้าตระกูลเฉิน ซูหว่านถึงไม่พอใจเฉินชิงจิ่นเป็นอย่างมาก และหลังจากเฉินชิงจิ่นเกิดเรื่อง ซูหว่านก็ปักใจเชื่อเด็ดขาดว่าเฉินชิงจิ่นไม่ได้ถูกคนใส่ร้าย
เฉินชิงเหยาเพื่อนรัก เจ้านี่มันนักล้างสมองชัด ๆ!
เพื่อให้เฉินชิงเหยาเพื่อนiydรู้สึกประสบความสำเร็จอย่างยิ่งยวด ซูหว่านเมื่อได้ฟังคำของนางพลันตาเป็นประกาย มือสองข้างกำผ้าห่มแน่นโดยไม่รู้ตัว “ข้าเชื่ออวี้ซู…ข้าจะไปเป็นกำลังใจให้เขา เขาจะต้องชนะ”
“อืม”
เมื่อเห็นว่าบรรลุเป้าหมายของตัวเองแล้ว เฉินชิงเหยาหันไปยิ้มปลอบโยนให้กับซูหว่าน “ข้าก็จะเชื่อมั่นในตัวพี่อวี้ซู ถึงตอนนี้พวกเรามาช่วยกันให้กำลังใจเขากัน!”
เมื่อส่งเฉินชิงเหยากลับไปแล้ว หลิวซื่อก็รีบเดินเข้ามาภายในห้องของซูหว่าน “เด็กตระกูลเฉินนันมาทำอะไร”
สถานการณ์ในตอนนี้ สำหรับหลิวซื่อแล้วไม่ว่าใครก็ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ
นางยังหาตัวคนร้ายที่ทำร้ายบุตรสาวนางไม่พบ แต่ทว่าคนร้ายผู้นั้นมีความเป็นไปได้สูงที่จะเป็นคนตระกูลเฉิน
อีกทั้งเป็นเพราะทราบดีว่าบุตรสาวของตัวเองหลงใหลในตัวของเฉินอวี้ซูอย่างหัวปักหัวปำ หลิวซื่อจึงไม่อยากให้ตระกูลเฉินจับได้ว่าลูกสาวของตัวเองได้ชิงสุกก่อนห่ามไปแล้ว
“น้องชิงเหยามาเยี่ยมไข้เจ้าค่ะ แล้วก็มาเตือนว่าอีกไม่กี่วันจะมีการล่าสัตว์ประจำฤดูใบไม้ร่วงที่ภูเขาล่าสัตว์”
ซูหว่านตอบคำถามมารดา แต่เพียงได้ฟังเรื่องล่าสัตว์ประจำฤดูใบไม้ร่วง สายตาของหลิวซื่อก็เบิกกว้าง “ลูกหว่าน แม่จำได้ว่าฝีมือการขี่ม้าของลูกก็ไม่เลว ปีนี้เจ้าก็ไปร่วมสนุกที่ลานล่าสัตว์เสียด้วยสิ ถ้าได้ร่วมกับเฉินอวี้ซูด้วยแล้วล่ะก็…”
หลิวซื่อเดินมาประชิดข้างกายและพูดกรอกหูซูหว่าน มุมปากของนางกระตุกอย่างควบคุมไม่อยู่
หลิวซื่อหาโอกาสให้นางได้แสดงแผนบีบน้ำตาเรียกคะแนนสงสารต่อหน้าเฉินอวี้ซูที่ลานล่าสัตว์ ทางที่ดีหากสามารถจับเฉินอวี้ซูได้ ทำให้เขายอมตกลงปลงใจอยู่กันสองต่อสองชายหญิง จากนั้นก็สานต่อความสัมพันธ์ฉันชู้สาวอะไรทำนองอย่างนั้น
จะต้องสู้ตายขนาดนี้เลยหรือ
ข้าต้องไม่ใช่ลูกในไส้ท่านแน่ ข้าน่าจะเป็นของแถมมาตอนเติมเงินโทรศัพท์เสยมากกว่า!
สำหรับแม่ที่ขายลูกสาวอย่างหลิวซื่อ ซูหว่านก็ไม่รู้จะสรรหาคำใดมาพูดอีกต่อไป
แม่คิดว่าเฉินอวี้ซูโง่หรือไร
หากเกิดเรื่องบัดสีบัดเถลิงขึ้นมาจริงๆ แล้วเขาพบว่านางไม่ใช่สาวบริสุทธิ์ล่ะจะทำเช่นไร
อีกทั้งตัวซูหว่านเองนอกจากซูรุ่ยแล้ว การใกล้ชิดกับผู้ชายนั้นเป็นสิ่งที่เกิดได้ยากมากจริงๆ
ไม่ใช่สิ รวมซูรุ่ยเข้าไปด้วย
พอคิดถึงว่าหลายวันแล้วที่ซูรุ่ยไม่ได้โผล่หน้ามา ซูหว่านก็ยิ่งกังวลใจ
งานล่าสัตว์ประจำฤดูใบไม้ร่วงอะไรนั่น นางจะต้องไปเข้าร่วมแน่!
สำหรับนางแล้วไม่ได้มีความสนใจที่จะร่วมหอลงโลงกับเฉินอวี้ซูนั่นเลยสักนิด แต่นางสนใจในเรื่องอื่นเสียมากกว่า…
ในเวลาเดียวกัน ณ จวนอ๋องจิ้น
“ท่านอ๋อง ท่านจะสเด็จไปลานล่าสัตว์เขาผู่…หรือพะยะค่ะ”
ขันทีผู้ดูแลจวนอ๋องมองไปยังร่างเล็กของผู้เป็นนาย ดวงตาเบิกกว้างอย่างไม่อยากจะเชื่อ
“ทำไมรึ”
บุรุษสวมอาภรม่วงนั่งที่อยู่บนบัลลังก์สูงมองลงมาอย่างเกียจคร้าน น้ำเสียงเย็นยะเยือกและทุ้มต่ำ “ข้าจะไปลานล่าสัตว์ของตัวเอง จะต้องขออนุญาตจากเจ้าก่อนหรือไร”
บรรยากาศเย็นยะเยือกและแรงกดดัน ทำให้พ่อบ้านที่ยืนอยู่ด้านข้างรีบคุกเข่าลง เหงื่อแตกพลั่กบนหน้าผาก “ข้าน้อยมิบังอาจ ขอท่านอ๋องโปรดอภัย!”
“ไสหัวออกไป!”
“พะย่ะค่ะ!”
รอจนกระทั่งพ่อบ้านกระเสือกกระสนออกไปพร้อมเหงื่อผุดพรายบนหน้าผากแล้ว ชายบนบัลลังก์สูงก็ปรับอารมณ์ของตัวเอง
น่าโมโหนัก! อยากจะฆ่าคนต้องทำเช่นไร ?
พอนึกถึงฐานะของตัวเองในตอนนี้ เป็นอ๋องชินที่ลอยชายไปมาไม่มีอำนาจทหารอยู่ในมือ ร่างกายอ่อนแอ เรื่องเข่นฆ่าผู้คนก็ดูว่าจะไม่ค่อยเหมาะสมเท่าใดนัก
แต่ทว่า…
ซูรุ่ยก็ยังรู้สึกโมโหอยู่ดีนั่นแหละ!
ทำไมนางเอกทุกเรื่องจะต้องมีพระเอกที่ร่างกายอ่อนแอแต่ฉลาดเป็นกรดอยู่ข้างกายตลอด
แล้วตัวเองจะตายก็ไม่ตายยังมาอยู่ในสภาพเช่นนี้อีก!
ซูรุ่ยที่ได้กุมอำนาจทหารในสนามรบ ตั้งแต่เด็กมาก็รู้สึกว่าการมีอำนาจทหารไว้ในมือถึงจะเป็นหลักประกันที่มั่นคงได้
แต่ตอนนี้เขากลับกลายเป็นอ๋องเหวิน ฐานันดรในตอนนี้ที่กลายเป็นน้องของฮ่องเต้ที่อายุน้อยที่สุดในปัจจุบัน สองพี่น้องคนหนึ่งบุ๋น คนหนึ่งบู๊ดูแลบ้านเมืองให้สงบสุขนั้นหลอกใครกันแน่
ฮ่องเต้ที่ตายไปมีลูกชายตั้งมากมายที่เก่งทั้งบู๊บุ๋นครบครัน แต่ทำไมถึงให้ความไว้วางใจใช้น้องของตัวเอง ทั้งหลายปีมานี้ก็ไม่เคยมอบงานใหญ่ให้ทำ แต่กลับให้เขาอาศัยอยู่ในเมืองหลวงแห่งนี้ นี่ดูไปเหมือนเป็นการทะนุถนอม แต่ความเป็นจริงแล้วคือการกักขังกลายๆ นั่นเอง
เจ้าฉลาดขนาดนี้ ข้าไม่วางใจให้อยู่ไกลหูไกลตา ดังนั้นจงมาอยู่ในสายตาข้าเสียดีๆ เถอะ
มีพี่ชายที่ร้ายกาจขนาดนี้ ไม่แปลกใจที่เหตุใดฮ่องเต้คนก่อนถึงโปรดปรานเขานัก ทำให้ร่างกายไม่แข็งแรง ราวกับจะเสียชีวิตได้ทุกขณะอย่างนั้นแหละ
“นายท่าน!”
ในตอนที่ซูรุ่ยกำลังตัดพ้อตัวเองอยู่นั้น เงาราวภูติผีก็ปรากฏขึ้นเบื้องหน้าซูรุ่ย นี่เป็นหนึ่งในองค์รักษ์ข้างกายเขา
“มีอะไร”
องค์รักษ์คนนี้เป็นคนที่ซูรุ่ยแอบส่งไปปกป้องซูหว่านที่จวนจิ้งหนิงโหว เขาจะคอยมารายงานสถานการณ์ที่จวนจิ้งหนิงโหวตามเวลาที่กำหนดไว้
“นายท่าน วันนี้คุณหนูรองของจวนชิ่งชวนมาเยี่ยมคุณหนูซูที่จวนจิ้งหนิงโหวขอรับ จากนั้นฮูหยินจวนจิ้งหนิงโหวก็เรียกคนดูแลม้ามาคัดเลือกม้าสองสามตัวมาเลี้ยงดูอย่างดี และยังกำชับให้มีการตัดเย็บชุดทะมัดทะแมงสำหรับฤดูหนาวให้กับคุณหนูซูใหม่อีกชุดด้วย เกรงว่าคุณหนูซูน่าจะเข้าร่วมการล่าสัตว์ประจำฤดูหนาวปีนี้แน่นอน!”
เป็นเช่นนั้น…
หลังจากได้ฟังคำรายงานขององค์รักษ์ ส่วนลึกในใจของซูรุ่ยก็รู้สึกโล่งอก เขารู้ว่าซูหว่านจะต้องเข้าร่วมการล่าสัตว์ประจำฤดูหนาวในครั้งนี้ ถึงเวลานั้นจะได้เจอหน้ากัน…อืม อะแฮ่ม
ซูรุ่ยพลันรู้สึกประหม่าขึ้นมาเล็กน้อย
หลายวันมานี้เขาไม่กล้าไปปรากฏตัวต่อหน้าซูหว่าน เนื่องจากคืนนั้นที่สติของซูหว่านเลือนราง หลังจากที่นางกลับมามีสติ เหมือนจะมีหลายครั้งที่โวยวายให้เขาหยุดลงมือ
แต่ว่า…เรื่องนี้…มันหยุดไม่ได้จริงๆ เข้าใจไหม
หลังจากเกิดเรื่องซูรุ่ยก็เข้าวังเพื่อมารับหน้ากับฮ่องเต้ที่เป็นพี่ชายของตัวเองไปหนึ่งคำรบ ในระหว่างทางกลับจวนอ๋องในหัวของเขาก็ปรากฏเหตุการณ์ในนิยายและซีรี่ส์มาตลอดทาง เมื่อนางเอกเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้นแล้ว ปกติพวกนางก็มักจะ…
นางเอกแบบที่หนึ่ง ข้าไม่อยากมีชีวิตอยู่อกีต่อไปแล้ว ไม่มีหน้าจะไปเจอผู้ใดอีกต่อไปแล้ว ฆ่าตัวตาย ชิ้ง…
ซูรุ่ย เสี่ยวหว่านของข้าไม่เห็นแก่ศักดิ์ศรีขนาดนั้น
นางเอกแบบที่สอง เจ้ากล้ามาทำแบบนี้กับข้าได้ยังไงห๊ะ! ข้าจะฆ้าเจ้าให้ตายไปด้วยกัน!
ซูรุ่ย เสี่ยวหว่านของข้าไม่มุทะลุขนาดนั้น
นางเอกแบบที่สาม หึๆๆ มาสิ ถอดกางเกงเลย ข้าจะ…ตอนเจ้าเอง!
ซูรุ่ย …
เสี่ยวหว่านของข้าไม่…ป่าเถื่อนเช่นนั้นหรอกใช่ไหม (เจ้าแน่ใจนะ)
เอาเถอะ ไม่ว่าจะเป็นแบบไหน แม่ทัพซูผู้ไม่เกรงฟ้ากลัวดินก็เริ่มใจเสาะเป็นครั้งแรก และยังกลัวหัวหดเป็นเต่าหดหัวในกระดองทีเดียว
หากถูกเสี่ยวหว่านตอนจริงๆ ขึ้นมาจะทำเช่นไร
จะฆ่าไม่ฆ่าไม่สำคัญ เรื่องตอนอะไรแบบนี้ ไม่จำเป็นหรอกนะ
ดังนั้น หลายวันมานี้ซูรุ่ยจึงไม่ยอมโผล่หน้า แต่ที่จริงแล้วเขาได้ส่งคนไปตามดูความเคลื่อนไหวของซูหว่านอยู่ตลอดเวลา เขาและซูหว่านเหมือนกันที่คุ้นเคยในเรื่องของความรักใคร่ รู้ว่างานล่าสัตว์ในอีกไม่กี่วันที่จะถึงจะมีฉากรักของพระเอกและนางเอก ฉากรักแบบนี้ คิดแล้วซูหว่านไม่น่าจะพลาด แต่ตัวเองนี่สิ
องค์ชายสุขภาพอ่อนแอท่านหนึ่งกล่าวว่า ลานล่าสัตว์เขาผู่เดิมทีฮ่องเต้ที่ตายไปนั่นยกให้เขา เขาไม่มีอะไรทำจะเดินเล่นในที่ของตัวเองสักหน่อยคงไม่มีปัญหาอะไรหรอกกระมัง