เพียงพริบตาก็ถึงวันล่าสัตว์ที่นัดไว้แล้ว ซูหว่านเปลี่ยนเป็นชุดล่าสัตว์ที่หลิวซื่อสั่งให้คนตัดเย็บให้นางอย่างเร่งรีบ ชุดทะมัดทะแมงสีฟ้าไพลินทำให้นางดูมีชีวิตชีวาเป็นอย่างมาก
หลิวซื่อพอใจกับการแต่งกายของซูหว่านในวันนี้เป็นอย่างมาก เห็นซูหว่านขึ้นม้าอย่างทะมัดทะแมง หลิวซื่อก็กุลีกุจอสั่งความกับองค์รักษ์ให้ดูแลคุณหนูให้ดี ให้นางเดินทางอย่างปลอดภัยไปจนถึงลานล่าสัตว์
มองจนกระทั่งซูหว่านขี่ม้าไกลออกไป หลิวซื่อถึงได้ถอนหายใจอย่างเบาใจ จนเดินกลับเข้าไปยังจวนโหว
ภูเขาผู่ซานลานล่าสัตว์ห่างจากเมืองหลวงเป็นระยะร้อยลี้ ต่อให้เป็นม้าสีเลือดก็ยังต้องออกแรงประมาณหนึ่งจึงจะเร่งรุดมาถึง เนื่องจากตั้งใจออกจากบ้านก่อนเวลาทำให้ซูหว่านไม่เร่งรีบทำเวลานัก บนถนนที่มุ่งหน้าไปยังลานล่าสัตว์เปล่งประกายแห่งฤดูใบไม้ร่วงปรากฏผ่านสายตา บ้านเรือนสีทองประกอบกับใบไม้สีเหลืองทอง
ซูหว่านก็ค่อยๆ ซึมซับวิวทิวทัศน์ตลอดทางอย่างช้าๆ ในขณะที่เคลื่อนไปข้างหน้า องค์รักษ์สองนายด้านหลังก็ได้แต่บังคับม้าตามหลังซูหว่านเท่านั้น
ในเวลาไม่นาน บนถนนสัญจรก็ปรากฏเสียงฝีเท้าม้าฝูงหนึ่งดังสนั่นขึ้น เสียงนั้นดูคล้ายกับไกลออกไปจากทั้งสามคนแต่ก็ดังไล่เข้ามาเรื่อยๆ เป็นกองทัพที่พร้อมเพรียง ก่อให้เกิดฝุ่นตลบบนทางสัญจรที่กว้างใหญ่
มาแล้ว!
ซูหว่านอดไม่ได้ที่จะหันหลังกลับไปมอง กองทัพทั้งคนและม้ายิ่งใกล้เข้ามาเรื่อยๆ
เกราะอ่อนสีดำ ชุดฉลองพระองค์สีแดง
แน่นอนว่าเป็นเครื่องแต่งกายประจำกองกำลังเสือดำของเฉินอวี้ซู ในยามนี้ด้านหลังของกองทัพของเขายังมีรถม้าคันหนึ่งตามมาด้วย คาดว่าบนรถม้านั่นจะต้องเป็นเฉินชิงเหยาที่ไม่ถนัดการขี่ม้านั่งอยู่เป็นแน่
สำหรับเฉินชิงจิ่น ในเวลานี้นางก็สวมใส่ชุดทะมัดทะแมงสีดำ ดูไปไม่ต่างจากบุรุษอกสามศอก ถึงแม้อายุเพิ่งจะสิบหกปีแต่สีหน้าแฝงความองอาจ ประกายตาของนางเมื่อเทียบกับคนอายุรุ่นราวคราวเดียวกันแล้ว เป็นประกายนิ่งและมั่นคงกว่าผู้อื่นนัก
เฉินชิงจิ่นก็ขี่ม้าด้วยตัวเอง ขี่อยู่ด้านข้างของเฉินอวี้ซู ทั้งสองคนถูกกองทัพเสือดำล้อมรอบให้อยู่ตรงกลาง หากจะเทียบกับกองทัพเสือดำที่อยู่รอบกาย เหนือคิ้วทั้งสองข้างของเฉินชิงจิ่นก็ห้าวหาญไม่แพ้กันแม้แต่น้อย
ซูหว่านอดคิดขึ้นมาไม่ได้ว่า พระเอกฉินเย่ว์อาจจะพ่ายแพ้ให้กับเสน่ห์ของนางเอกในการล่าสัตว์ในครั้งนี้ เพิ่มความสนใจและใส่ใจมากขึ้นหลายเท่าตัว
สำหรับชายโฉดองค์ชายห้าฉินถิง แต่เดิมเขากะจะใช้รูปลักษณ์อ่อนโยนงดงามของตัวเองเพื่อพิชิตใจของเฉินชิงจิ่น แน่นอนว่าจุดประสงค์แอบแฝงก็เพื่อจะกระชับความสัมพันธ์กับจวนชิ่งชวนและกองทัพเสือดำของเฉินอวี้ซูเพียงเท่านั้น
ชาติที่แล้ว ฉินถิงใช้คำหวานของตัวเองหลอกล่อเฉินชิงจิ่นแห่งจวนซินอู๋เฉิง ส่วนเฉินชิงเหยาที่ภายนอกดูบริสุทธิ์ใสซื่อแต่ภายในอิจฉาริษยาเฉินชิงจิ่นมาโดยตลอด หลังจากที่ฉินถิงและเฉินชิงจิ่นเกี่ยวดองกันแล้ว ก็ใช้ฐานะของตัวเองในการเข้าออกจวนอ๋องฉินอยู่บ่อยครั้ง ด้านหนึ่งวางแผนให้เฉินชิงจิ่นจากไปไม่หวนกลับ อีกด้านหนึ่งก็ไปเพื่ออ่อยฉินถิง
สุดท้ายชายโฉดก็ทนต่อการยั่วยวนนั้นไม่ไหวถูกเฉินชิงเหยาจับเข้าจนได้ เฉินชิงจิ่นก็น่าสงสารถูกทอดทิ้งก็ตายไปในที่สุด
แน่นอนว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นในอดีตชาตินานมาแล้ว ตอนนี้เฉินชิงจิ่นได้มาเกิดใหม่อีกครั้งไม่เพียงมองทะลุโฉมหน้าที่แท้จริงของหญิงโฉดชายชั่ว แต่ยังเหมือนกับชาตินี้มีโจโฉลงมาประทับร่างอย่างไรอย่างนั้น ไปทางไหนก็คำนวณวางแผนได้ทะลุปรุโปร่ง พบเจอเรื่องราวร้ายๆ ก็สามารถรับมือและแก้ไขให้ดีขึ้นมาได้
หากว่าในชาติก่อนๆ โง่ตาย เกิดใหม่อีกครั้งสติปัญญาเหลือล้น พลังในการต่อสู้เต็มพิกัด ซูหว่านรู้สึกว่าการกลับมาเกิดใหม่จะต้องยุ่งวุ่นวายมากเป็นแน่…
ทำให้นางอยากจะกระโดดกลับลงไปในเตาเผาเสียจริงๆ…
“ย่า!”
ในเวลานี้กองทัพของเฉินอวี้ซูได้มาถึงข้างหน้าของซูหว่านแล้ว
“หยุด”
เฉินอวี้ซูและเฉินชิงจิ่นต่างพร้อมใจกันดึงบังเ**ยนโดยพร้อมเพรียงกัน ตาทั้งสองคู่จับจ้องมายังซูหว่าน
วันนี้ซูหว่านสวมใส่ชุดทะมัดทะแมงสีฟ้าไพลิน ภายใต้ความสง่าผ่าเผยปรากฏความอ่อนเยาว์ อดชมไม่ได้ว่าสายตาคมกริบของหลิวซื่อนั้นช่างไร้ที่ติ วันนี้ไม่เพียงแต่ช่วยซูหว่านจัดเตรียมเรื่องเสื้อผ้า แม้แต่ทรงผม ปิ่นปักที่งดงามรวมไปถึงผ้าคาดหัวสีขาวบริสุทธิ์ก็ล้วนเป็นหลิวซื่อเลือกเองกับมือทั้งสิ้น
หากเทียบกับเฉินชิงจิ่นที่สวมชุดสีดำทำเป็นลึกลับแล้ว ก็เหนือกว่าอย่างไม่เห็นฝุ่น
เฉินอวี้ซูคิดไม่ถึงว่าจะมาเจอซูหว่านที่นี่ เมื่อสักครู่ยังเห็นนางขี่ม้าชมวิวทิวทัศน์ข้างทางอย่างเพลิดเพลินอยู่ไกลลิบ ในตอนนั้นถึงแม้จะเป็นเพียงเงาเล็ก แต่อากัปกิริยาที่เอื่อยเฉื่อยนั้น ประกอบกับผมสีดำขลับที่กระจายอยู่บนแผ่นหลัง และผ้าคาดหัวสีขาวบริสุทธิ์ ก็สามารถหยุดสายตาของเฉินอวี้ซูได้
เมื่อ เห็นใบหน้าที่คุ้นเคยเต็มตา ภายในหัวของเฉินอวี้ซูพลันปรากฏชื่อหนึ่ง-7hoมา
ซูหว่าน
คุณหนูจวนจิ้งหนิงโหว คู่หมั้น…ของเขา
เมื่อก่อน เฉินอวี้ซูไม่รู้สึกอะไรกับการคลุมถุงชนนี้ ไม่แม้กระทั่งคาดหวัง
แต่ตอนนี้เพียงชั่วะริบตา พลันทำให้เขาเกิดความรู้สึกดีที่ไม่เหมือนเดิมกับหญิงสาวตรงหน้า
“พี่อวี้ซู น้องชิงจิ่น บังเอิญนัก!”
หลังจากที่เห็นทั้งสองคนแล้วซูหว่านก็รีบส่งยิ้มอันสดใสไปให้กับพี่น้องสกุลเฉินทั้งสอง
“ใช่ บังเอิญมาก”
เฉินอวี้ซูก็พยักหน้าไปทางซูหว่านอย่างอ่อนโยน มีเพียงแต่เฉินซูจิ่นด้านข้างที่ถึงแม้จะกำลังยิ้ม แต่ภายในตากลับเต็มไปด้วยความเย็นชา
แน่นอนว่านางรู้ว่าซูหว่านลงทุนมารอเจอนางและพี่ชายอยู่ที่นี่ และเมื่อดูการแต่งตัวก็รู้ได้เลยว่านางพิถีพิถันมาเป็นอย่างดี
ดูท่าแล้วนางจะดูถูกแม่สมองกลวงนี้ไปเสียหน่อย ใจที่อยากจะแต่งเข้าตระกูลเฉินช่างแรงกล้านัก!
แต่ว่า…ชาตินี้ทั้งชาติฟ้าน่าจะกำหนดให้นางต้องผิดหวังเสียแล้ว…
“ในเมื่อมาพร้อมหน้ากันเช่นนี้ พวกเราก็ไปที่ลานล่าสัตว์ด้วยกันเถอะ!”
เฉินอวี้ซูเห็นว่าข้างกายซูหว่านมีเพียงองค์รักษ์สองนาย เขาก็ออกคำสั่งเสียงต่ำให้ทำตามความเห็นของตัวเอง
เมื่อได้ฟังคำของเฉินอวี้ซูแล้ว ซูหว่านก็แสดงท่าทางขวยเขินราวเด็กสาวออกมา “ข้า…จริงๆ แล้วทักษะในการขี่ม้าของข้าค่อนข้างแย่ ข้าขี่ม้าช้า จะเป็นภาระของทั้งสองคนเสียเปล่าๆ!”
“ไม่เป็นไร”
เห็นท่าทีของซูหว่านแล้ว เฉินอวี้ซูกลับหัวเราะออกมาอย่างไม่ถือสา “ไม่เห็นเกี่ยวกันเลย เวลามีเหลือเฟือ พวกเราก็ไม่ได้รีบด้วย”
“เช่นนั้นก็ดีเลย”
มีการแสดงสีหน้าดีใจออกมาในจังหวะที่เหมาะสม ซูหว่านก็สบโอกาสเข้าร่วมกับกองขบวนของเฉินอวี้ซู ทำเป็นไม่เห็นเฉินชิงจิ่นที่นิ่งเงียบ ซูหว่านอาศัยจังหวะของตัวเองสร้างบทสนทนากับเฉินอวี้ซูขึ้นมา ตั้งแต่เรื่องชีวิตชายแดนไปจนถึงร้านเหล้าที่เปิดใหม่ในเมืองหลวง ซูหว่านและเฉินอวี้ซูพูดคุยหัวร่อต่อกระซิกกันมาตลอดทาง ไม่ทันไรก็เข้ามาแทนที่ตำแหน่งของเฉินชิงจิ่นที่อยู่ข้างกายของเฉินอวี้ซูไปเสียแล้ว
ในตอนที่พระอาทิตย์ขึ้นสูง ทั้งคนและม้าก็มาถึงบริเวณรอบนอกลานล่าสัตว์เขาผู่ซาน ในขณะนั้นบริเวณรอบนอกก็ปรากฏรถม้าหรูหราคันหนึ่งจอดอยู่ บนรถปรากฏตัวอักษร “จิ้น” ตัวใหญ่ท้าทายสายตา
“เป็นรถม้าของอ๋องจิ้นชิน”
เฉินอวี้ซูตกใจเล็กน้อย ถึงแม้ว่าลานล่าสัตว์ผู่ซานจะเป็นสถานที่ที่ฝ่าบาทประทานให้กับอ๋องจิ้นชิน แต่ทั้งราชสำนักล้วนทราบโดยทั่วกันว่าอ๋องจิ้นชินร่างกายอ่อนแอมาตั้งแต่เด็ก ทั้งยังไม่ถนัดในการยิงธนู น้อยครั้งนักที่เขาจะปรากฏตัว ณ ที่แห่งนี้
รถม้าคันนี้…
ซูหว่านที่เห็นรถม้านี้ก็ม่านตาดำหด
รถม้านี้…แค่กแค่ก นางจำได้
ในเวลานี้ม่านของรถม้าพลันเลิกขึ้น ซูรุ่ยนั่งอยู่ภายในตัวรถมองเห็นซูหว่านและเฉินอวี้ซูขี่ม้าเคียงข้างกันมาแต่ไกล โดยเฉพาะสายตาอ่อนโยนและชื่นชมที่เฉินอวี้ซูมองมายังซูหว่าน ซูรุ่ยก็อดอยากฆ่าคนขึ้นมาเสียมิได้
ในยามนี้ กลุ่มคนได้มาถึงด้านหน้าของรถม้า เฉินอวี้ซูเป็นคนแรกที่ลงจากม้า ยกมือขึ้นทำความเคารพไปยังรถม้าของซูรุ่ย “ภายในรถใช่ท่านอ๋องจิ้นหรือไม่”
“เป็นข้าเอง”
ซูรุ่ยได้ฟังความของเฉินอวี้ซู รีบใช้มือเลิกผ้าม่านขึ้น ปรากฏเป็นหน้าตาสลักเสลาแฝงแววเย็นชา
เนื่องจากคาแรคเตอร์ของฉินมู่เหยียนผู้นี้คือสุขภาพอ่อนแอมีโรคภัยรุมเร้า ดังนั้นในตอนนี้สีหน้าของซูรุ่ยจึงได้ขาวซีดราวกับเจ็บป่วยอยู่จริงๆ
“ข้าน้อยคาราวะท่านอ๋อง!”
เมื่อเห็นว่าภายในรถเป็นอ๋องจิ้นเอง เฉินอวี้ซูและกลุ่มคนเบื้องหลังก็พร้อมใจกันทำความเคารพ
ซูหว่านลอบขบเขี้ยวเคี้ยวฟันเก็บกดความโมโหภายในใจไว้ ในตอนที่เงยหน้าขึ้นมาก็มีสีหน้าปกติ นางในเวลานี้ราวกับมองไม่เห็นซูรุ่ยอย่างไรอย่างนั้น มีแต่ภาพของเฉินอวี้ซูอยู่เต็มสองตา
ซูรุ่ย…
ข้าจะทน
“อ๋องจิ้นชิน ท่านก็มาล่าสัตว์เหมือนกันเหรอเพคะ”
มาพบซูรุ่ยที่นี่ทำให้เฉินชิงจิ่นพลันเกิดตั้งคำถามขึ้นมา
ความทรงจำในชาติที่แล้วที่เหลืออยู่ อ๋องจิ้นชินไม่เคยมาปรากฏตัวที่ลานล่าสัตว์แห่งนี้มาก่อน
“อืม”
ได้ฟังคำของเฉินชิงจิ่น ประกายเย็นเยียบของซูรุ่ยก็ปรากฏเพียงชั่วครู่ก่อนจะจางหายไป
ซูรุ่ยรู้ว่าในคืนวันนั้นเป็นฝีมือของเฉินชิงจิ่น หากว่าเป็นซูรุ่ยเมื่อก่อน เฉินชิงจิ่นคไม่ได้งอยู่มาถึงวันนี้แน่
แน่นอนว่า ในตอนนี้เขาก็อยากจะสะบั้นคอนางเสียให้ขาด แต่หากเฉินชิงจิ่นหรือพระเอกเป็นอะไรไป เกรงว่าซูหว่านจะจากโลกนี้ไปเป็นแน่
นี่ไม่ใช่สิ่งที่ซูรุ่ยอยากจะเห็น อย่างน้อย..ก็รอจนกว่าซูหว่านจะไม่โกรธแล้ว เจ้าคนขวางหูขวางตานี่ถึงจะตายได้
ดังนั้นตอนนี้ซูรุ่ยจึงทำได้เพียง…อดทนต่อไป