การแต่งงานของซูหว่านกับเสิ่นอวี้ซูเป็นความเห็นชอบของชิ่งชวนโหวเสิ่นเช่อ และจิ้งนิ่งโหวซูอวิ๋น และแน่นอนว่าทั้งหมดทั้งมวลเป็นเพราะว่าซูอวิ๋นเป็นฝ่ายเสนอขึ้นมา เขามีเพียงบุตรสาวสุดที่รักคนนี้คนเดียวนี่นา และบุตรสาวก็ดันไปปักใจรักมั่นแค่เสิ่นอวี้ซู
โชคดีที่ชิ่งชวนโหวเสิ่นเช่อก็พอใจในฐานะของซูหว่าน จวนจิ้งนิ่งโหวมีแค่ซูหว่านที่เกิดจากภรรยาเอกคนนี้แค่คนเดียว อีกอย่างจวนนี้ก็เป็นตระกูลใหญ่ มีกิจการมากมาย ตามกฎหมายของต้าฉิงแล้ว ในอนาคตถึงแม้ว่าซูหว่านจะแต่งเข้าจวนชิ่งชวนโหวแล้ว แต่นางก็ยังมีสิทธิ์เป็นผู้สืบทอดกิจการของจวนจิ้งนิ่งโหวอยู่ หรือถ้าหากว่าซูหว่านกับเสิ่นอวี้ซูมีบุตรชายด้วยกันสองคน ทั้งสองคนก็จะมีสิทธิ์เป็นผู้สืบทอดของจวนชิ่งชวนโหวและจวนจิ้งนิ่งโหวคนละจวน
ในจวนจิ้งนิ่งโหวหลิวซื่อถือว่าเป็นผู้มีอำนาจสูงสุด นางรักและตามใจบุตรสาวสุดที่รักคนนี้มาโดยตลอด จะว่าไปแล้วการที่เจ้าของร่างเดิมสามารถมีชีวิตอยู่อย่างสุขสบายไม่มีความทุกข์ร้อนใดๆ ก็เป็นเพราะว่านางมีบิดามารดาที่รักและตามใจนางเป็นอย่างมาก เข้าสำนวน พ่อแม่รังแกฉัน พ่อแม่คู่นี้เลี้ยงดูเจ้าของร่างเดิมอย่างตามใจจนทำให้นางเอาแต่ใจจนเสียคนและไม่สนโลก ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ภายนอกนางดูเป็นคนแข็งแกร่งเฉลียวฉลาด แต่ในความเป็นจริงแล้วนางเป็นคนไม่มีพิษภัย ไม่มีเล่ห์เหลี่ยมใด ๆ เลย จึงถูกคนที่คิดไม่ซื่อหลอกใช้ได้อย่างง่ายดาย
ตอนนี้ได้ยินซูหว่านบอกว่าจะขอยกเลิกการหมั้นหมาย หลิวซื่อจึงเผลอสบถออกมาด้วยเสียงดัง เห็นว่าสีหน้าของซูหว่านสงบนิ่งดั่งเดิมคล้ายว่าตัดสินใจแน่วแน่แล้ว หลิวซื่อก็อดที่จะขมวดคิ้วไม่ได้ ยื่นหน้าเข้ามาถามซูหว่านด้วยเสียงไม่ดังมากนัก “หว่านเอ๋อร์ เจ้าบอกความจริงกับแม่มาเร็ว เป็นเพราะว่าเรื่องนั้น….เสิ่นอวี้ซูรู้เรื่องแล้วใช่หรือไม่”
ในสายตาของหลิวซื่อแน่นอนว่าบุตรสาวของตนเองนั้นดีพร้อมทุกอย่าง แต่นางก็รู้ดีอยู่แก่ใจว่าเสิ่นอวี้ซูนั้นไม่ค่อยจะชอบบุตรสาวของตนเท่าไร และวันนี้เสิ่นอวี้ซูยังมานั่งรอซูหว่านที่จวนด้วยสีหน้าราบเรียบอยู่ได้ตั้งครึ่งค่อนวัน พอมาลองคิด ๆ ดูแล้วหลิวซื่อก็มีความรู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ชอบมาพากล
เสิ่นอวี้ซูนั้นเป็นคนที่ถ้าไม่มีเรื่องอะไรก็จะไม่มาเหยียบที่จวนเด็ดขาด หรือว่าเขาจะมาหาซูหว่านเพื่อขอยกเลิกงานแต่งกัน?
เมืองหลวงเล็กขนาดนี้ มีใครไม่รู้จักใครบ้างล่ะ?
ถ้าหากว่าถูกตระกูลเสิ่นมาขอยกเลิกการแต่งงานขึ้นมาแล้วตระกูลซูจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน
ถ้าเกิดว่าเรื่องนั้นถูกแพร่งพรายออกไป ถ้าอย่างนั้นชีวิตของบุตรสาวก็จะต้องถูกทำลายไปด้วย!
ในขณะที่หลิวซื่อกำลังคิดให้วุ่นวายในใจอยู่นั้น ซูหว่านที่นั่งอยู่ข้างๆ ก็ส่ายหัวไปมา “ท่านแม่ เรื่องนั้นเขายังไม่รู้เรื่อง ที่ข้าอยากจะขอยกเลิกการแต่งงาน เพราะว่า…ข้าชอบคนอื่นเข้าให้แล้ว”
ชอบคนอื่นเข้าให้แล้ว!
ซูหว่านไม่ได้ปรับเสียงพูดให้เบาลง เหวินเย่ว์และเหวินอวี้ที่ยืนอยู่ด้านข้างพอได้ยินสิ่งที่ซูหว่านพูดออกมา ต่างก็หันไปมองแผ่นหลังของซูหว่านโดยไม่ได้นัดหมาย สีหน้าของเหวินอวี้เต็มไปด้วยความตกใจ แต่เหวินเย่ว์กลับรอฟังคำตอบของฮูหยินอย่างใจจดใจจ่อ
“อ๋อ ที่แท้เขายังไม่รู้เรื่องหรอกหรือ! แต่เป็นเพราะว่าเจ้าชอบ…อะไรนะ”
หลิวซื่อที่ความรู้สึกช้ารีบเด้งตัวลุกขึ้นมาจากเก้าอี้ที่นั่งอยู่ เบิกตากว้างมองไปทางบุตรสาวสุดที่รักอย่างไม่เชื่อสายตา “เจ้าบอกว่าชอบคนอื่นเข้าให้แล้วหรือ”
“เจ้าค่ะ”
ซูหว่านพยักหน้ารับอย่างแข็งขัน
ได้ฟังคำตอบของซูหว่าน หลิวซื่อตบหน้าตัวเองเบา ๆ ไม่ใช่ความฝันนี่
หรือว่าหว่านเอ๋อร์จะไม่ชอบเสิ่นอวี้ซูแล้วจริง ๆ แต่ปั่นใจไปชอบผู้ชายคนอื่นแล้ว
“ใครกัน”
สายตาของหลิวซื่อเป็นประกาย สีหน้าจริงจังจ้องมาทางซูหว่าน “หล่อกว่าเสิ่นอวี้ซูหรือไม่ ฐานะสูงกว่าตระกูลเสิ่นหรือไม่ แน่นอนว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดคือเขาดีต่อเจ้าหรือไม่”
“เขาดีต่อข้ามาก อีกอย่าง เขาหล่อกว่าเสิ่นอวี้ซูมาก เก่งกาจกว่าเขามาก ฐานะก็สูงส่งกว่า ถ้าเอาตระกูลเสิ่นมาเทียบกับเขาแล้ว เรียกว่าเทียบไม่ติดเลยเจ้าค่ะ!”
ซูหว่านตอบคำถามของหลิวซื่อด้วยสีหน้าไม่แยแส ยังไม่ทันได้พูดจบหลิวซื่อก็ยกมือขึ้นมาตบหน้าตัวเองอีกที…
ไม่ได้อยู่ในความฝันนี่นา?
ซูหว่าน “…”
นี่ท่านไม่เชื่อมั่นในตัวลูกสาวขนาดนั้นเลยหรืออย่างไรกัน
“เฮ้อ”
หลิวซื่อที่ยืนยันได้แล้วว่าตัวเองไม่ได้กำลังฝันกลางวันอยู่นั้น รีบพุ่งเข้าไปตรงหน้าของซูหว่านด้วยสีหน้ายิ้มแย้มพลางดึงมือของซูหว่านอย่างอ่อนโยนไปมาเบา ๆ “ลูกรักของแม่ ข้ารู้อยู่แล้วว่าเสิ่นอวี้ซูนั้นเป็นคนที่มีตาหามีแววไม่ เขาไม่ใช่คนที่ดีพอสำหรับลูก มาๆๆ เจ้าบอกแม่มาหน่อยสิ ว่าคนที่เจ้าชอบนั้น เป็นใคร ใช่เหล่าเชื้อพระวงศ์หรือไม่”
จะว่าไปในเมืองหลวงแห่งนี้ เสิ่นอวี้ซูก็ถือว่าเป็นบุรุษที่ดีพร้อมทั้งหน้าตาการศึกษาความสามารถและชาติตระกูล ถ้ามีคนที่ดีพร้อมกว่าเขา ฐานะสูงส่งกว่าเขา ถ้าอย่างนั้นก็คงจะเป็นเหล่าพระญาติราชวงศ์ชั้นสูงแล้วล่ะ
เห็นสีหน้าและแววตาภาคภูมิใจในตัวลูกสาวมากมายของหลิวซื่อแล้ว ซูหว่านก็อดที่จะสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เสียไม่ได้ “เขาเป็นคนในราชวงศ์ แล้วก็ฐานะสูงส่งมากด้วย”
พอพูดถึงตรงนี้ ซูหว่านก็พลิกฝ่ามือมาจับมือของหลิวซื่อไว้ “ท่านแม่ ท่านหวังว่าจะให้ข้าแต่งกับผู้ชายที่มีฐานะสูงส่ง หรือว่าแต่งให้กับผู้ที่ดีต่อข้ากันเจ้าคะ”
“ก็ต้องเป็นคนที่ดีต่อเจ้าสิ!”
หลิวซื่อตอบคำถามได้อย่างเด็ดขาด จากนั้นก็กล่าวเสริมไปอีกด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “แน่นอนว่าฐานะยิ่งสูงก็ยิ่งมีความสามารถ อย่างนี้ถึงจะปกป้องดูแลเจ้าได้ดีกว่า แม่ก็ไม่ใช่คนที่จะเห็นแก่อำนาจอะไร จวนจิ้งนิ่งโหวของเราไม่ได้หวังจะเป็นหงส์คู่มังกร แต่แม่จะต้องให้เจ้าได้แต่งออกไปให้ยิ่งใหญ่สมฐานะไม่ให้น้อยหน้าไปกว่าใคร”
“อืม ถ้าอย่างนั้น…”
ซูหว่านยิ้มกว้างให้หลิวซื่อ “ท่านแม่ ท่านคิดว่าจิ้นชินอ๋องเป็นอย่างไร”
“จิ้นชินอ๋อง? เขาก็ต้องดีมากสิ!”
หลิวซื่อก็เหมือนกับประชาชนทั่วไปในเมืองหลวง ถ้าพูดถึงจิ้นชินอ๋องละก็ จะต้องปรบมือชื่นชมไม่ได้ขาด
กฎหมายใหม่ของต้าฉิง ราษฎรมีชีวิตความเป็นอยู่ที่สงบร่มเย็น ต่างก็เป็นผลงานของจิ้นชินอ๋องทั้งนั้น
ในฐานะของพระปิตุลา เขาไม่ใช้อำนาจแทรกแซงราชสำนัก แต่กลับมีชื่อเสียงขจรขจายไปทั่วหล้า
“จิ้นชินอ๋องท่านนี้นี่นะ…เดี๋ยวก่อน!”
หลิวซื่อที่กำลังจะชื่นชมผลงานความดีความชอบของเสด็จอาบางคนดั่งเช่นปกติทั่วไป แต่กลับหยุดพูดกะทันหัน ท่าทางชะงักค้างก้มศีรษะลงเล็กน้อยมองดูซูหว่านที่ทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้อยู่ตรงหน้า
“หว่านเอ๋อร์ เมื่อครู่นี้…เจ้า เมื่อครู่นี้เจ้าพูดถึงใครอยู่หรือ แม่ แม่รู้สึกเหมือนว่าจะฟังผิดไป”
“ท่านฟังไม่ผิดหรอกเจ้าค่ะ”
ซูหว่านรู้อยู่ว่าว่าหลิวซื่อจะต้องมีปฏิกิริยาเช่นนี้ แต่ว่านางก็ไม่ได้มีเจตนาจะปกปิดความสัมพันธ์ระหว่างนางกับซูรุ่ยอยู่แล้ว
“ข้าชอบจิ้นชินอ๋อง ข้าจะแต่งเป็นพระชายาของเขาเจ้าค่ะ!”
ซูหว่านพูดจาเด็ดเดี่ยว และไม่มีการหลบสายตาเลยแม้แต่น้อย
ได้ยินคำพูดของซูหว่าน หลิวซื่อก็หน้ามืด เป็นลมล้มลงไปเลย
“ฮูหยิน!”
ยังดีที่สาวใช้ประจำตัวของหลิวซื่อมือไม้ไว รับร่างของหลิวซื่อไว้ได้ทันแล้วประคองไว้ในอ้อมกอดของตัวเอง “คุณหนู ท่านว่า…”
“พาท่านแม่ของข้ากลับไปพัก ท่านแม่คงจะดีใจมากเกินไปหน่อย ถึงได้เป็นลมเป็นแล้งไปแบบนี้”
ซูหว่านหลุบตาลง สั่งความกับสาวใช้เบาๆ
สาวใช้คนนั้น “…”
คุณหนู ท่านช่วยเข้าใจอะไรหน่อยได้หรือไม่ ฮูหยินเป็นลมไปเพราะตกใจต่างหาก
“ทำไมเจ้ายังไม่ไปอีกล่ะ”
ซูหว่านช้อนตาขึ้นอีกครั้ง แต่กลับเห็นว่าสาวใช้คนดังกล่าวยังคงยืนเหม่อประคองหลิวซื่ออยู่ที่เดิม
“อ่า เอ่อ เจ้าค่ะ”
สาวใช้คนดังกล่าวจึงได้แต่ประคองหลิวซื่อออกไปจากเรือนพักของซูหว่านอย่างทุลักทุเล พอลับหลังพวกเขาออกไป ซูหว่านจึงค่อยถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก ลุกขึ้นยืนช้าๆ “เหวินเย่ว์ วันนี้มือของเจ้าถูกถ่านลวกจนบาดเจ็บ เจ้ากลับไปพักก่อนเถอะ ให้เหวินอวี้อยู่ดูแลข้าก็พอ”
สำหรับเหวินเย่ว์ คำสั่งของซูหว่านถือเป็นประกาศิตที่ต้องทำตาม รอจนเหวินเย่ว์จากไป ภายในห้องพักจึงเหลือแค่ซูหว่านและเหวินอวี้เพียงสองคน
สีหน้าของเหวินอวี้มีความสับสนอยู่บ้าง นางใช้มือทั้งสองข้างกำปลายเสื้อไว้แน่นอย่างไม่รู้ตัว อยากที่จะถามบางอย่างกับซูหว่าน แต่กลับไม่มีความกล้าที่จะถามออกไป
ซูหว่ายปรายตามาเห็นท่าทางของเหวินอวี้แต่ก็ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา เพียงแค่เดินไปหยุดอยู่ตรงข้างหน้าต่างอย่างเงียบๆ จัดการผลักหน้าต่างห้องพักออกไปอย่างกะทันหัน ทำให้ลมหนาวจากภายนอกพัดเข้ามาทันที
“คุณหนู! ”
เหวินอวี้ที่ยืนอยู่อีกด้านหนึ่งตกใจกับการกระทำของซูหว่าน รีบพุ่งตัวไปดึงหน้าต่างให้ปิดลงในทันที “คุณหนูท่าน…”
เหวินอวี้หันมามองซูหว่านอย่างไม่เข้าใจ แต่ภาพที่สะท้อนเข้าไปในม่านตาของนางกลับเป็นสีหน้าซีดเผือดของซูหว่าน
“เหวินอวี้”
ซูหว่านร้องเรียกเบาๆ มองไปทางเหวินอวี้ที่อยู่ตรงหน้าด้วยสายตาสับสน “จริงๆ แล้ว เจ้าก็ชอบพี่อวี้ซูใช่หรือไม่? ”
“คุณหนู! ”
ได้ยินคำพูดของซูหว่าน สีหน้าของเหวินอวี้ก็เปลี่ยนไปทันที นางก้าวถอยหลังไปหลายก้าวด้วยความตื่นตกใจพร้อมกับรีบเร่งคุกเข่าลงตรงหน้าซูหว่านเสียงดังตุบ “คุณหนู ชีวิตของเหวินอวี้คุณหนูเป็นผู้ให้มา ในชาติภพนี้เหวินอวี้จะขอเป็นบ่าวรับใช้คุณหนูไปตลอดชีวิต ส่วนคุณชาย…คุณชายเสิ่น กับทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับตระกูลเสิ่น ไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆ กับบ่าวมาตั้งนานแล้วเจ้าค่ะ”
เหวินอวี้เคยพลาดไปแล้วหนึ่งครั้ง และไม่อยากที่จะผิดพลาดอีกต่อไป
เคยทำเรื่องละอายใจ เคยได้รับการลงโทษไปแล้ว ทำให้นางเข้าใจแล้วว่าชีวิตของคนเราอย่าได้ก้าวผิดพลาดแม้แต่ก้าวเดียว
มีบางคนทำความดีสะสมบุญมาโดยตลอดแต่กลับไม่ได้สุขสบายร่ำรวยเงินทอง ผู้อื่นอาจจะคิดว่าชีวิตของคนแบบนี้ช่างขาดทุนจริงๆ แต่ในความเป็นจริงแล้ว การที่เราได้ใช้ชีวิตอย่างสบายๆ อย่างไม่ต้องกังวลไม่ทุกข์กายทุกข์ใจ ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขไปตลอดชีวิต ถือว่าเป็นความกรุณาจากสวรรค์มากแล้ว
มีแต่คนที่เคยก้าวพลาดมาแล้วถึงจะรู้ว่า การที่เราก้าวพลาดไปเพียงก้าวเดียว จะทำให้เราพลาดไปเรื่อยๆ และพลาดไปตลอดชีวิต
“เจ้าไม่ต้องกลัวขนาดนั้นหรอก”
เห็นสีหน้าซีดเซียวของเหวินอวี้ที่คุกเข่าอยู่บนพื้น ซูหว่านจึงก้มตัวลงไป ใช้มือทั้งสองข้างออกแรงประคองให้เหวินอวี้ลุกขึ้นยืน “หรือว่าจนถึงตอนนี้เจ้าก็ยังกลัวข้าอยู่อย่างนั้นหรือ ข้ารู้ว่าคนข้างนอกเขาลือกันว่าข้าเป็นคนเอาแต่ใจไร้สมอง พวกเขาต่างก็รู้สึกว่าข้าไม่คู่ควรกับพี่อวี้ซู ถึงได้มีคนวางแผ่นคิดทำลายข้าที่จวนชิ่งชวนโหว”
“คุณหนู?”
ได้ยินคำพูดของซูหว่าน ร่างของเหวินอวี้ก็เกิดแข็งค้างไป “คุณหนูท่าน…หรือว่า…”
ปลายตาไปเห็นสายตาไม่น่าเชื่อของเหวินอวี้ ซูหว่านจึงแค่นยิ้ม “เหวินอวี้เจ้าไม่รู้สึกสงสัยบ้างหรือว่าทำไมข้าต้องออกแรงช่วยเจ้าด้วย ที่จริงแล้วเหตุผลนั้นง่ายนิดเดียว เพราะว่าเรื่องในครั้งนั้นเจ้าเองก็เป็นผู้ถูกกระทำ ข้าเองก็เช่นกัน! ”
ในขณะที่กำลังพูดอยู่ สองมือของซูหว่านก็ตรงไปจับต้นแขนของเหวินอวี้ไว้ ออกแรงบีบอย่างแรงโดยที่ไม่สามารถควบคุมได้ สองมือของซูหว่านออกแรงบีบ แต่ทั้งร่างกลับสั่นไม่หยุด
เหมือนว่าเหวินอวี้จะไม่รับรู้ถึงความเจ็บปวดที่สองแขน นางเพียงแค่เบิกตากว้าง สายตามองตรงไปที่ร่างของซูหว่านที่กำลังสั่นไหวอย่างเหม่อลอย
วันนั้น หรือว่านางก็ถูกคน…
คิดถึงความเป็นไปได้ในข้อนี้ หัวใจของเหวินอวี้ก็รู้สึกเสียใจและละอายใจขึ้นมา เป็นความผิดของนางเอง นางเป็นคนลงมือเอง เป็นนางที่ทำร้ายคุณหนู ทำร้ายตัวเอง
เป็นเพราะเรื่องนี้ นางจึงได้รับบทลงโทษที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิต และคนที่ช่วยนางออกมาจากขุมนรกนั้น ไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นคนที่ถูกนางทำร้ายอย่างสาหัสตรงหน้าคนนี้
“คุณหนู คุณหนูข้า…”
เหวินอวี้ขยับริมฝีปากขึ้นลง อยากจะบอกเล่าทุกอย่างออกไป แต่พอคำพูดมาถึงริมฝีปาก นางกลับไม่มีความกล้าพอที่จะจะเอ่ยออกไป
ความผิดบาปของนางนั้นหนักหนานัก ถึงตายไปก็ไม่เสียดายชีวิต
แต่ว่านางก็ยังมีความคาดหวังที่จะมีชีวิตอยู่ มีชีวิตอยู่ต่อไป
จวนจิ้งนิ่งโหวเป็นบ้านหลังที่สองของนาง คุณหนูกับเหวินเย่ว์ก็ดีต่อนางมาก เหวินอวี้ไม่อยากจากที่นี่ไป อีกอย่าง…
นางรู้สึกว่าสวรรค์ให้นางมาอยู่ที่นี่ เพื่อให้นางได้มีโอกาสมาไถ่โทษ
นางจะต้องไถ่โทษให้หมดก่อน
มันจะต้องมีโอกาส!
มันจะต้องมีวิธีสิ!
นางจะต้องมีโอกาสที่จะได้ช่วยเหลือคุณหนูได้!
“คุณหนู อันที่จริง อันที่จริงท่าน…”
เหวินอวี้ข่มความเสียใจของตัวเองไว้ กล่าวด้วยเสียงอันเบาออกไป “อันที่จริงแล้วท่านยังชอบคุณชายเสิ่นอยู่ใช่หรือไม่เจ้าคะ”