ตั้งแต่จำความได้ อวี้หรูก็เป็นบ่าวอยู่ในจวนชิ่งชวนโหวแล้ว เพราะนางเป็นคนฉลาดและทำงานประณีตมาตั้งแต่เด็ก จึงโชคดีได้รับเลือกให้เป็นบ่าวดูแลอยู่ในเรือนคุณหนูใหญ่
ในใจของอวี้หรูคุณหนูใหญ่เป็นคนที่จิตใจดี ใสซื่อบริสุทธิ์ และเป็นคนที่ให้ความเป็นกันเองกับบ่าวไพร่มาก ดังนั้นอวี้หรูจึงมีความภักดีต่อเสิ่นชิงจิ่นมาโดยตลอด
เรื่องราวมันเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงไปตั้งแต่เมื่อไรกันนะ? อวี้หรูจำได้ว่ามันคือวันหนึ่งในฤดูใบไม้ผลิของปีนี้ คุณหนูใหญ่จับไข้ไม่สบายจึงสลบไป ในคืนนั้นอวี้หรูนั่งเฝ้าอยู่ข้างเตียงทั้งคืน ในวันที่สองคุณหนูใหญ่ก็ตื่นขึ้นมา แต่ว่าในตอนนั้น แววตาของคุณหนูใหญ่มีความเย็นชาและโกรธแค้น แลดูน่ากลัวมาก
น่าจะตั้งแต่ตอนนั้นเป็นต้นมา คุณหนูใหญ่ก็เปลี่ยนไปเป็นคนละคน กลายเป็นคนที่มีเรื่องราวในใจมากมาย ชอบเหม่อลอย บางทีก็จะแอบจ้องมองคุณหนูรองด้วยสายตามุ่งร้าย
อวี้หรูไม่รู้ว่าคุณหนูใหญ่เป็นอะไรไปกันแน่ นางเป็นแค่บ่าวไพร่คนหนึ่ง รู้แค่ว่าต้องซื่อสัตย์ต่อผู้เป็นนายของตัวเอง คุณหนูสั่งให้ไปทำอะไร ก็ต้องพยายามทำให้ดีที่สุด ดังนั้นในวันที่จัดงานเลี้ยงฉลองให้คุณชายใหญ่ที่จวน เมื่ออวี้หรูได้รับคำสั่งจากเสิ่นชิงจิ่นให้ใส่ยาลงไปในน้ำชายื่นให้กับเฉินเหมี่ยนและซูหว่าน นางจึงไม่ได้มีความลังเลเลยแต่น้อย หลังจากนั้น นางก็ได้ล่อลวงให้ทั้งสองคนมาที่ห้องข้างในเรือนรับรอง แล้วใช้ไม้ฟาดทั้งสองคนจนสลบไป
ที่จริงอวี้หรูรู้ดีแก่ใจว่าการทำแบบนี้เป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง แต่ว่านางเองก็ไม่ชอบคุณหนูใหญ่ซู ไม่ใช่เพียงเพราะว่าคุณหนูซูผู้นั้นนิสัยไม่ดี แต่เพราะว่า…ตัวอวี้หรูเอง ก็แอบชอบเสิ่นอวี่ซูมาโดยตลอด
เพราะฉะนั้น ถึงแม้จะรู้ดีแก่ใจว่าตนเองกำลังลงมือทำลายความบริสุทธิ์ของคนคนหนึ่งอยู่ อวี้หรูก็ยังคงทำมันโดยปราศจากความรู้สึกผิดชอบชั่วดี สุดท้ายกลับเป็นตัวเองที่ได้รับผลกรรมที่ตัวเองก่อขึ้นมา
การดำรงชีวิตในจวนเจิ้งกั๋วกงเป็นชีวิตที่สิ้นหวัง หวังซื่อยังส่งคนมาเฝ้านางโดยเฉพาะ เพราะกลัวว่านางจะปลิดชีพตัวเอง
หลังจากถูกทำร้ายราวกับตายทั้งเป็นมาหลายคืน อวี้หรูภาวนาในใจให้มีคนมาช่วยนาง ถึงแม้ว่าคนผู้นั้นจะยื่นมีดให้นางปลิดชีพตัวเองในทันที นางก็จะรู้สึกขอบคุณคนผู้นั้นมาก และยังสาบานว่าจะเป็นม้าเป็นวัวเพื่อตอบแทนเขาในภพชาติต่อไป
และในตอนนี้…
อวี้หรูเป็นอิสระแล้ว
เมื่ออวี้หรูเปลี่ยนมาสวมใส่ชุดสาวใช้ชุดใหม่ ในตอนที่มายืนอยู่ที่เรือนหลังของจวนจิ้งนิ่งโหว นางก็ยังคงรู้สึกว่าตนเองยังคงอยู่ในความฝัน
ในที่สุดก็มีคนมาช่วยนางออกมา
และคนที่ช่วยนางออกมาจากขุมนรกนั้น ไม่ใช่คุณหนูใหญ่ที่นึกคิดในใจอยู่ตลอดเวลา และไม่ใช่คุณชายใหญ่วีรบุรุษในดวงใจของนาง แต่กลับเป็นคนผู้นั้น คนที่นางไม่เคยนึกชอบเลยตลอดเวลาที่ผ่านมา กระทั่งเคยลงมือทำร้ายนางด้วยสองมือของตัวเองอีกด้วย คนผู้นั้นคือคุณหนูใหญ่ซู
ตอนที่อวี้หรูถูกสาวใช้ประจำตัวของซูหว่านเหวินเย่ว์พาตัวเข้ามานั้น ซูหว่านกำลังนั่งปักดอกไม้ลงแจกันเครื่องลายครามอยู่คนเดียวอย่างเบื่อหน่าย
“คุณหนู มาแล้วเจ้าค่ะ”
เหวินเย่ว์พาอวี้หรูมาตรงหน้าของซูหว่าน จากนั้นก็หมุนตัวเดินไปยืนอยู่ด้านหลังของซูหว่าน
มือที่ถือดอกไม้อยู่ของซูหว่านชะงักไปครู่หนึ่ง ช้อนดวงตาขึ้นมามองไปด้านหน้า ก็เห็นดวงหน้าที่เล็กเท่าฝ่ามือของอวี้หรู จะว่าไปแล้วสาวใช้นางนี้หน้าตาช่างสะสวยงดงามจริงๆ
“คุณ คุณหนูใหญ่ซู”
การที่ได้มาเจอหน้าซูหว่านอีกครั้ง ทำให้อารมณ์ของอวี้หรูค่อนข้างสับสน ไม่รู้ว่าควรจะทำตัวอย่างไรต่อหน้านาง ในขณะเดียวกันในใจของอวี้หรูก็ยังมีความหวาดกลัวอยู่ กลัวว่าผู้คนในจวนจิ้งนิ่งโหวจะรู้ความจริงที่เกิดขึ้นในวันนั้น
“ต่อไปเจ้าก็เรียกข้าว่าคุณหนูเหมือนเหวินเย่ว์เถอะ”
แท้จริงแล้วซูหว่านเข้าใจความรู้สึกของอวี้หรูดี นางจึงเอ่ยสั่งออกไปอย่างไม่ใคร่สนใจใยดี พร้อมกันนั้นก็ลอบมองสำรวจอวี้หรูอย่างละเอียดตั้งหัวหัวจรดเท้าไปด้วย ทำให้นางรู้สึกหนาวสะท้านอยู่ในใจ
“อวี้หรูได้ตายไปแล้ว ต่อจากนี้ไปเจ้าก็จะไม่มีความเกี่ยวข้องกับจวนชิ่งชวนโหวอีก ตั้งแต่วันนี้ไปเจ้าก็เปลี่ยนชื่อเป็นเหวินอวี้ และข้าคือนายของเจ้า เข้าใจหรือยัง”
“เจ้าค่ะ”
เมื่อเห็นว่าซูหว่านไม่ได้มีเจตนาจะทำให้ตัวเองลำบากใจ อวี้หรูก็ลอบถอนหายใจอย่างแรง สายตาที่มองไปที่ซูหว่านก็เต็มไปด้วยประกายแห่งความขอบคุณ “บ่าว…เหวินอวี้ จะดูแลรับใช้คุณหนูให้ดีที่สุดเจ้าค่ะ”
ตั้งแต่วินาทีนี้เป็นต้นไป นางเหมือนว่าได้กลับมาเกิดใหม่อีกครั้ง
เหวินอวี้รู้ดีว่านับแต่นี้เป็นต้นไป นางก็ไม่ใช้อวี้หรูอีกต่อไปแล้วและไม่ได้มีความเกี่ยวข้องใดๆ กับจวนชิ่งชวนโหวอีก การเป็นบ่าวไพร่คนหนึ่ง นางก็ต้องรู้หน้าที่ของตัวเองให้ดี อย่างนี้ถึงจะอยู่ในจวนจิ้งนิ่งโหวต่อไปได้อย่างมั่นคงและยาวนาน…
วันที่ยี่สิบเดือนสิบ หิมะแรกของปีได้ตกลงมายังเมืองหลวง เท้าเล็กๆ ที่กำลังก้าวเดินไปตามทางที่เต็มไปด้วยชั้นหิมะหนาๆ บนพื้นผิวถนน นี่คือครั้งแรกที่ซูหว่านพาคนอื่นมายังจวนจิ้นอ๋อง
ในขณะนี้ เตาไฟให้ความอบอุ่นในห้องกำลังลุกโชน ซูรุ่ยที่อยู่ในเสื้อคลุมสีม่วงหนานุ่มกำลังนอนตะแคงกายอยู่บนตั่งนุ่ม พอเห็นเงาร่างของซูหว่าน ดวงตาของซูรุ่ยก็ฉายความดีใจขึ้นมาทันที แต่พอเหลือบไปเห็นเหวินเย่ว์ที่เดินตามซูหว่านมาไม่ห่าง คิ้วของซูรุ่ยก็ขมวดเข้าหากันทันที
“คนกันเอง”
เหมือนว่าจะอ่านใจของซูรุ่ยได้ ซูหว่านจึงอดไม่ได้ที่จะกล่าวเสียงเบาออกไป
เหวินเย่ว์เป็นบุตรสาวของแม่นมที่เลี้ยงดูซูหว่านมา เติบโตมาด้วยกันตั้งแต่เด็กๆ ถึงแม้ว่านางจะเป็นเพียงบ่าวในเรือน แต่ความสัมพันธ์ของทั้งสองนั้นแน่นแฟ้นมาก แม้กระทั้งหลิวซื่อก็ให้ความเอ็ดดูเหวินเย่ว์มากกว่าสาวใช้คนอื่นๆ
“ที่แท้ก็เป็นคนกันเองหรอกหรือนี่”
ได้ยินคำพูดของซูหว่าน ซูรุ่ยก็วางใจ เก็บอาการแกล้งป่วยอ่อนแรงน้อยที่มักจะแสดงต่อหน้าเหล่าขุนนาง ซูรุ่ยลุกขึ้นมานั่งใบหน้าเต็มไปด้วยความอ่อนโยนมองมาทางซูหว่าน “ทำไมเจ้าถึงไม่มาหาข้าตั้งหลายวัน ”
เนื่องจากสถานะที่ไม่เหมือนใคร ซูรุ่ยจึงไม่ค่อยได้ออกจากจวนอ๋องไปไหน วันนั้นที่ลานล่าสัตว์ ซูรุ่ยให้ต้าไป๋อยู่ที่นั้น ก็เพื่อให้ซูหว่านสามารถมาหาตนเองได้ตลอดเวลา แต่นี่มันก็ผ่านไปครึ่งเดือนแล้ว ซูหว่านเพิ่งจะมาเยือนจวนอ๋องเป็นครั้งแรก
“ข้ายุ่งมาก”
ซูหว่านตอบไปหนึ่งคำ จากนั้นก็นั่งลงด้านข้างซูรุ่ยอย่างเป็นธรรมชาติ “ในจวนอ๋องของท่านคงจะไม่มีสายตาของฝ่าบาทแอบซ่อนอยู่หรอกกระมัง”
“ฮ่าๆ”
ซูรุ่ยหัวเราะ “ที่จวนข้าปลอดภัยมาก ตาแก่ฝ่าบาทคิดว่าข้าตกอยู่ในกำมือเขาตั้งนานละ เพราะฉะนั้นเรื่องในจวนอ๋องเขาจึงไม่ได้สนใจอะไร”
พูดถึงเรื่องนี้ ซูรุ่ยก็รู้สึกนึกเสียใจขึ้นมาบ้าง “เสี่ยวหว่าน หรือว่าข้าจะฆ่าเขาให้ตายๆ ไปซะเลย แล้วให้องค์ชายห้าขึ้นครองราชย์แทน เจ้าว่าดีหรือไม่”
ซูหว่าน “ … ”
เหวินเย่ว์ “แย่แล้ว แย่แล้ว เหมือนว่าบ่าวจะได้ยินเรื่องใหญ่อะไรเข้าให้แล้ว บ่าวคงจะไม่ถูกฆ่าปิดปากด้วยการให้ม้าห้าตัวแยกร่างใช่หรือไม่เจ้าคะ”
……………….
“ข้ารู้ว่าท่านเก่งกาจมาก”
ซูหว่านมองไปทางซูรุ่ยอย่างเหนื่อยหน่ายใจ “แต่ว่าครั้งนี้ท่านต้องอดทนหน่อย การแก้ปัญหาด้วยวิธีการที่รุนแรงแบบนี้ ท่านว่ามันไม่น่าเบื่อไปหน่อยหรือ”
สำหรับโลกนี้ เริ่มแรกซูหว่านก็ไม่ได้สนใจเท่าไรนัก แต่ตอนที่นางเริ่มเข้าสู่ภารกิจก็เกิดเรื่องใหญ่แบบนั้นขึ้น มันจึงทำให้ความเกลียดชังที่ซูหว่านมีต่อเสิ่นชิงจิ่งพุ่งขึ้นมาในทันใด
ซูหว่านไม่ยอมให้เสิ่นชิงจิ่งได้จบเกมเร็วดั่งที่นางหวังไว้หรอก นางจะค่อยๆ ให้นางเห็นถึงความหวังเมื่อถึงช่วงเวลาแห่งการแก้แค้นทีละน้อย จากนั้นก็จะทำให้นางดิ่งจากสวรรค์ลงนรกไปในทันใด
สิ่งที่นางให้ความสำคัญทั้งหมด ในชีวิตนี้นางจะต้องสูญเสียมันไป
สิ่งที่นางต้องการแก้แค้น ในชาตินี้ก็อย่าคิดว่าจะสมหวังเลย
ซูหว่านจะทำให้ผู้หญิงคนนี้นึกเสียใจที่หวนกลับมาเกิดใหม่อีกครั้ง นึกเสียใจกับทุกสิ่งทุกอย่างในชาติภพนี้
ชาติที่แล้วลำบากหรือ เจ็บปวดหรือ นั่นเป็นเพราะความโง่งมของเจ้าเอง
นั่นมันสมควรแล้ว เพราะทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่เจ้าก่อขึ้นมาเอง…
เหลือบมาเห็นสายตาเยือกเย็นของซูหว่าน ซูรุ่ยก็รับรู้ได้เลยว่าซูหว่านเริ่มจริงจังกับภารกิจนี้เข้าให้แล้ว และเมื่อนางจริงจังขึ้นมา ซูรุ่ยก็ทำได้เพียงแค่จุดเทียนให้กับเสิ่นชิงจิ่งแล้วล่ะ
อยากมารังแกเสี่ยวหว่านของเขาดีนัก สมน้ำหน้าที่จะเจอกับความซวย…
และแน่นอนว่าเสิ่งชิงจิ่งจะตายหรือไม่ตาย ซูรุ่ยไม่สนใจอยู่แล้ว เพราะเขาสนใจแค่ “รางวัล” ของตนเอง ดั่งคำกล่าวที่ว่าไขกระดูกรู้รส ได้ลิ้มชิมแล้วอยากชิมอีก ช่วงนี้ท่านแม่ทัพซูของเรานั้นเฝ้าฝันหวานถึงความอุ่นร้อนแต่เก่าก่อนอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ตอนนี้ซูหว่านก็อยู่ข้างกายตัวเองแล้ว จิตใจของซูรุ่ยก็เริ่มกระตือรือร้นขึ้นมาอีกครา เขาลอบยกแขนขึ้นมาโอบไปที่ไหล่ของซูหว่านแบบไม่ให้เจ้าตัวรู้สึกตัว เมื่อเห็นว่าซูหว่านไม่ว่าอะไร กำลังคิดว่าได้คืบจะเอาศอก กลับเห็นสายตาของซูหว่านกำลังจ้องมองอยู่เข้าพร้อมยิ้มเต็มหน้ามองมาที่มือของเขา “ท่านอ๋อง ท่านทำอะไร ”
“แหะๆ”
ซูรุ่ยยกยิ้มกว้าง “วันนี้ไหนๆ เจ้าก็มาแล้ว ก็ไม่ต้องรีบร้อนกลับไป เจ้าอยากกินอะไร ข้าจะสั่งโรงครัวทำให้เจ้ากิน รับรองว่าอร่อยถูกปากกว่าที่จวนจิ้งนิ่งโหวแน่นอน”
“ก็ดีเหมือนกัน”
ได้ยินคำพูดของซูรุ่ย ซูหว่านก็พยักหน้ารับ “ข้ามาที่จวนจิ้นอ๋องครั้งแรก ท่านพาข้าเดินชมหน่อยสิ เหวินเย่ว์ เจ้าไม่ต้องตามมาดูแลหรอก”
เหวินเย่ว์ที่ยืนเม่ออยู่ได้ยินที่ซูหว่านพูดก็ตื่นจากภวังค์ รีบพยักหน้ารับอย่างไม่ค่อยมีสติ “บ่าว บ่าวทราบแล้วเจ้าค่ะ”
ถึงแม้ว่าหิมะที่สวนภายในจวนอ๋องจะถูกเก็บกวาดไปหมดแล้ว แต่ว่าบริเวณสวนหินเทียมและบนต้นไม้ก็ยังคงมีหิมะสีขาวโพลนเกาะอยู่เป็นจำนวนมาก
ซูรุ่ยกลัวว่าซูหว่านจะหนาว พอพ้นจากประตูมาก็รีบปลดผ้าคลุมของตัวเองไปคลุมลงบนไหล่ของซูหว่าน ทั้งสองเดินอย่างไม่รีบร้อนอยู่ในจวนอ๋อง ไม่มีใครปริปากพูดอะไร แต่ในใจของทั้งคู่กลับรู้สึกสงบเป็นอย่างมาก
“ซูรุ่ย ท่านเคยคิดถึงอนาคตบ้างหรือไม่”
ตอนนี้ไม่ใครอยู่ข้างกาย ซูหว่านจึงกล้าเรียกชื่อของซูรุ่ยโดยตรง
ซูหว่านไม่สนหากเหวินเย่ว์จะรู้เรื่องความสัมพันธ์ที่คลุมเครือของคุณหนูซูกับจิ้นชินอ๋อง แต่กลับไม่สามารถให้ใครรับรู้สถานะผู้ปฏิบัติภารกิจของพวกเขาได้…
ต่อไป ในอนาคต…
ซูรุ่ยเก็บสายตาที่ทอดมองไปไกลกลับมา มองตรงไปที่ใบหน้าของซูหว่าน “เจ้าก็คือปัจจุบันของข้า และข้าก็คืออนาคตของเจ้า”
ที่ใดมีข้าอยู่ ที่นั้นย่อมมีเจ้า เพราะที่ที่มีเจ้าอยู่ ข้าจะต้องติดตามไปให้ได้ทุกที่