ณ ตำหนักซิ่วหนิง
หลังจากที่หว่านซินเดินกลับจากกองแรงงาน เธอก็รีบเข้าไปยังห้องบรรทมของเหลียงเฟย ยามนี้เหลียงเฟยกําลังเอาตัวดูหนังสือภาพอยู่บนตั่ง เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าเร่งรีบของหว่านซิน ดวงตาของนางก็เป็นประกาย มือที่ขาวดั่งหยกผายพลิกแล้วปิดหนังสือภาพในมือลง
นายหญิง
หว่านซินโน้วตัวลงพิงตั่งอย่างระมัดระวัง ก้มตัวลงกระซิบข้างหูเหลียงเฟยสองสามประโยค เหลียงเฟยจึงพยักหน้า ดวงตาหงส์ทอประกายวาววับ หว่านซิน เจ้าทําได้ดีมาก อย่าลืมไปให้ตรงเวลาในวันพรุ่งนี้ด้วยนะ
เพคะ
หว่านซินพยักหน้า จากนั้นจึงกระซิบด้วยเสียงเบาๆ อย่างลังเลว่า นายหญิงคะ ฝั่งจวนเซียงนั้น…
ข้าจะมอบจดหมายให้ท่านลุงไปหนึ่งฉบับ เพื่อบอกให้เขาอย่าทําอะไรโผลงผาง การกระทําของฝ่าบาทในช่วงสองวันนี้มีนัยลึกซึ้งมาก เกรงว่าเหล่าผู้อาวุโสดื้อรั้นแห่งสำนักทางใต้คงนั่งไม่ติดที่แล้ว อีกทั้ง…ข้ายังได้ยินว่าวันนี้คนในตำหนักฉือหนิงท่านนั้นโกรธมากทีเดียว ฮ่าๆ ๆ
เหลียงเฟยหัวเราะเสียงเย็น ภายใต้การประคองของหว่านซิน เหลียงเฟยจึงค่อยๆ ลุกขึ้นนั่งตัวตรง การตายของอวี้กุ้ยเหริน ข้าไม่สามารถตัดสินใจได้จริงๆ แต่เรื่องที่ตำหนักจิ้งอวิ๋นและกองพระภูษาจะต้องมีบางอย่างเชื่อมโยงกันอย่างแน่นอน เจ้าต้องช่วยข้าสืบหาความจริงให้จนได้
รู้เขารู้เราจึงจะรบร้อยครั้งไม่มีวันพ่าย พระสนมเหลียงมีภูมิหลังมาจากชนชั้นสูงในจิงตู บิดาเป็นรองเสนาบดีกระทรวงพิธีการ ลุงเป็นเสนาบดีฝ่ายซ้าย นางศึกษาตำราพิชัยยุทธ เก่งกาจด้านวรรณกรรมมาตั้งแต่เล็ก ตอนที่อายุยังน้อยก็มีบุตรหลานขุนนางไม่น้อยที่มาขอหมั่นหมาย น่าเสียดายที่สุดท้ายนางก็เข้าวังมาเป็นพระชายาตามคําร้องขอของลุง
เพราะภูมิหลังต้นตระกูลที่ดี ครั้งที่เข้าวังมาใหม่ๆ นางจึงได้รับการอวยยศเป็นพพระชายา และปลูกรักหวานชื่นกับตงฟางเย่าในช่วงเวลาหนึ่ง แต่เมื่อเวลาผ่านไปตงฟางเย่าก็เริ่มเหินห่างกับตนเอง
ความจริงแล้วเหลียงเฟยเข้าใจดีว่าฮ่องเต้ไม่ได้โปรดปรานนางเลย การที่แต่งตั้งตำแหน่งพระชายาให้กับนางก็เพราะเห็นแก่ตระกูลของนางเท่านั้น แม้แต่ความโปรดปรานในตอนแรกก็ทำเพียงเพื่อให้นางตายใจอยู่ในวังหลัง
สตรีที่เฉลียวฉลาดอย่างเหลียงเฟย ตงฟางเย่าย่อมไม่ให้นางได้มีโอกาสรับความโปรดปรานในตําหนักทั้งหกหรือแม้แต่การประสูติโอรสธิดา
ทั้งชีวิตนี้หากทางตระกูลของตนไม่ล้ม นางจะไม่ต้องกังวลเรื่องอยู่ดีกินดีไปตลอดทั้งชาติจนกระทั่งแก่ตายไปในวังหลังนี้ หากโชคร้ายที่ตระกูลนางล้มลง สิ่งที่รอคอยนางก็คือวังเย็นบุโรทั่ง
ความจริงแล้วก็เพียงเช่นนี้ หากสตรีธรรมดาก็ย่อมอยู่อย่างสันติ แต่เหลียงเฟยไม่ยินยอม นางมีพรสวรรค์แต่ไร้ซึ่งที่แสดงออก นางไม่ยินยอมที่จะเป็นสนมที่ไม่มีใครสนใจในวังหลังอันกว้างใหญ่แห่งนี้ ฝ่าบาทไม่ต้องการเรียกหางั้นหรือ? ไม่เป็นไร นางสามารถบ่มเพาะขุมกําลังของตนเอง นางต้องเลี้ยงนางสนมผู้เป็นที่โปรดปรานออกมาด้วยตนเอง แล้วทำให้วังหลังนี้วุ่นวายในที่สุด…
ค่ำคืนมืดสลัว คนส่วนใหญ่ในหอแรงงานต่างกันแถวเพื่อรออาบน้ำหลังจากทำงานเหน็ดเหนื่อยกันมาทั้งวันแล้ว จากนั้นก็พวกเขาก็แทบรอไม่ไหวที่จะได้กลับไปพักผ่อนที่ห้อง
เวลานี้ซูหว่านไม่ได้กลับไปที่ห้อง แต่กลับนั่งเพียงลำพังที่อยู่ในลานหลังเรือนอย่างเหม่อลอย ไม่นานเงาร่างที่คุ้นเคยก็ลอยออกมา
เมื่อเห็นชุดขันทีรับใช้สีเทาบนร่างของซูรุ่ย ซูหว่านก็เบิกตากว้าง ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม ฝ่าบาท ท่านกําลังเล่นอะไรอยู่หรือเพคะ? คอสเพลย์อย่างงั้นหรือ?
อะแฮ่ม
ซูรุ่ยกระแอมไอสองครั้งแล้วพูดอย่างจริงจังว่า วันนี้ยังมีงานอะไรอีก? ที่รักคุณสั่งมาได้เลย
ซูหว่าน …
อย่าบอกนะว่าแม่ทัพซูคิดว่าตัวเองเป็นพ่อพิมพ์แรงงานที่แสนโดดเด่นของประเทศจริงๆ !
แล้วคืนนี้เหรอ ปรนนิบัติฉันตอนที่อาบน้ำนี่นับหรือเปล่า?
ซูหว่านดึงเสื้อผ้าของตนเองด้วยความรังเกียจ อยู่ที่นี่มาสองวัน ทั้งร่างสกปรกจะตายอยู่แล้ว ในเมื่อฝ่าบาทรักงานใช้แรงงานมากขนาดนี้ นายก็ช่วยฉันอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วกัน หากทําได้ดีแล้วละก็ จะมีรางวัลให้นะ!
รางวัลอะไรกัน
ใบหน้าของซูรุ่ยถมึงทึง คงไม่ใช่ซุปบํารุงอีกแล้วนะ?
ได้เห็นท่าทางเกรงกลัวของแม่ทัพ ซูหว่านก็รู้สึกอารณ์ดีเป็นพิเศษ แน่นอนว่า…ไม่ใช่
ถ้าอย่างนั้นก็ดี!
เมื่อได้ยินว่าในที่สุดคุณภรรยาก็เลิกวางกับดักแล้ว แม่ทัพซูก็อุ้มที่รักของตนกลับเข้าห้องอาบน้ำใหญ่ในตำหนักกลางเพื่อชำระร่างกายอย่างมีความสุข หลังจากอาบน้ำเสร็จแล้ว ซูหว่านก็ดึงวังอี้เข้าไปในห้องครัวเพื่อทำอาหาร เมื่อรอจนเธอกลับมา ในมือของเธอถือมีน้ำซุปมาชามหนึ่ง
ซูรุ่ย ไหนว่าไม่ใช่ซุปบำรุงแล้วไง?
เมื่อเห็นซูรุ่ยหน้าเปลี่ยนสี ซูหว่านก็ยิ้มตาหยีพลางยกชามน้ำซุปขึ้นบนโต๊ะ แล้วนายจะดื่มหรือว่าไม่ดม?
กิน
ซูรุ่ยพยักหน้าอย่างแรง แต่ทันทีที่น้ำซุปเข้าปาก กลิ่นอันหอมหวานก็ทําให้คิ้วที่ขมวดเข้าหากันของเขาคลี่คลายลง ที่รัก นี่คือ…….
ช่วยขจัดความหงุดหงิดไง
ซูหว่านยิ้มพลางยักไหล่ จากนั้นเธอก็เดินไปที่โต๊ะในเรือนอุ่นอย่างสบายๆ มองดูหนังสือฎีกาที่กองอยู่บนโต๊ะ เธอจึงพลิกดูตามอําเภอใจ พอเห็นว่าเป็นหนังสือฏีกาของฝ่ายตรวจการ ซูหว่านก็อดไม่ได้ที่จะเบ้ปาก เป็นฮ่องเต้นี่เหนื่อยจริงๆ เลย!
ภายนอกต้องจัดการกับเรื่องต่างๆ ของราชวงศ์เพื่อความสมดุลของกองกําลังของฝ่ายต่างๆ ในราชสํานัก ภายในยังต้องระวังความขัดแย้งของเหล่าข้าราชบริพานอีก
สําหรับภายใน ผู้หญิงทั้งวังหลังล้วนแต่แก่งแย่งแย่งดีกันทั้งวัน ไหนเลยยังมีไทเฮาผู้ใจโลภคอยจับตาดูอยู่ข้าง ๆ อนิจา ตงฟางเย่าเป็นฮ่องเต้นี่ช่างลําบากจริง ๆ
เมื่อได้ยินคําอุทานของซูหว่าน ซูรุ่ยที่อยู่ข้างๆ ก็ไม่ปฏิเสธ เขาเคยเป็นเจ้าเมืองที่ต้องแย่งชิงอำนาจ และเคยเป็นแม่ทัพที่นํากองกำลังทหารขึ้นก่อกบฏ นี่เป็นครั้งแรกที่เป็นฮ่องเต้ แม่ทัพซูไม่ชอบตําแหน่งนี้จากใจจริง ทว่าคนนับไม่ถ้วนล้วนพยายามที่จะนั่งบนบัลลังก์มังกรนี้ให้ได้มาตั้งแต่อดีตกาล
จะว่าไป คาดว่าอีกไม่กี่วันตงฟางหลีก็คงจะเข้าวังอีก ส่วนรุ่ยอ๋องผู้ที่จับจ้องบัลลังก์นี้มาตลอดก็เฝ้ารอที่จะได้จับผิดตงฟางเย่าอยู่เสมอ ตอนนี้การนองเลือดในวังหลังที่ตงฟางเหยาก่อได้กระตุ้นให้ฝ่ายใต้และไทเฮาไม่พอใจแล้ว หากตงฟางหลีไม่ฉวยโอกาสทําอะไรสักอย่าง ก็คงเสียดายกับบทบอสตัวร้ายของเขาที่ถูกตั้งค่าไว้มากเกินไป
ในใจคิดถึงเรื่องของตงฟางหลี แววตาของซูรุ่ยสับสนขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ ควรจะสังหารเจ้าภัยพิบัตินั้นไปเพื่อตัดปัญหาดี หรือจะเก็บเขาไว้เพื่อใช้การอย่างอื่นดี?
นายท่าน
ทันใดนั้นเสียงของวังอี้ก็ดังมาจากที่ไกล ๆ เขารีบเดินเข้ามาจากนอกตําหนัก บนร่างยังมีไอเย็นยะเยือกของยามค่ำคืน นายท่าน ไทเฮาเสด็จพะยพค่ะ!
หืม?
ซูรุ่ยเงยหน้าขึ้นอย่างเย็นชา ไทเฮาผู้นี้ช่างใจร้อนเสียจริง แค่นี้ก็ทนไม่ไหวแล้วเหรอ
ต้องบุกเข้าไปมาในตำหนกกลางกลางดึกแบบนี้เลย?
นายท่าน แต่ว่า แม่นางซูนาง…
เมื่อเห็นว่าซูรุ่ยไม่พูดอะไร แววตาของวังอี้ก็เหลือบมองไปทางซูหว่าน
ข้าจะไปเข้านอน
ซูหว่านยักไหล่ วางหนังสือฎีกาในมือลง แล้วเดินตรงไปยังห้องบรรทมด้านในของตําหนัก ปลอดม่านสีเหลืองอร่ามลง ทั้งตัวของเธอซ่อนหายไปบนตั่งมังกร
ไทเฮามาเสด็จ!
ตอนนั้นเองเสียงรายงานก็ดังขึ้นพอดี จากนั้นไทเฮาแห่งราชสํานักก็พานางกำนัล 10 คน ขันทีรับใช้ 10 คนเข้ามาอย่างเอิกเกริก
ถวายบังคมไทเฮา
วังอี้คุกเข่าลงและกล่าวฉิ่งอาน[1] น้อมทักทายเสียงดัง ไทเฮามองซูรุ่ยที่ยังคงนั่งดื่มน้ำซุปอย่างช้า ๆ อยู่ข้างโต๊ะมุมปากของเธอโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้มเย็นเยียบ เย่าเอ๋อร์ เจ้าไม่เห็นแม่หรือ?
เหอะ
เมื่อได้ยินคํากล่าวของไทเฮา ซูรุ่ยก็เงยหน้าขึ้นอย่างเกียจคร้าน เรามิได้ตาบอด ย่อมเห็นไทเฮาอยู่แล้ว
เจ้า… เย่าเอ๋อร์ สองวันมานี้เจ้าชักจะทำทำเกินไปแล้ว วังหลังนี้เป็นสถานที่ที่ข้าเป็นผู้ควบคุม เจ้าสังหารอวี้กุ้ยเหรินก็แล้วไปตามอำเภอใจแล้ว เมื่อวานก็ยังสังหารซูเฟยเจ้าไปอีก อีกทั้งในกองพระภูษา เจ้ายังสังหารคนไปถึงสี่คนโดยไม่พูดอะไรสักคำ เจ้ารู้หรือไม่ว่าการกระทำที่โหดเหี้ยมของเจ้าได้กระจายไปทั้งราชสํานักแล้ว ขุนนางอาวุโสหลายท่านล้วนไม่พอใจเป้นอย่างมากและส่งหนังสือคำร้องมายังตำหนักของข้าแล้ว!
ในระหว่างที่พูดอยู่นั้น แววตาของไทเฮาคมกริบ น้ำเสียงแข็งกร้าวราวกดข่ม
เราเป็นผู้สังหารคนพวกนั้น ใต้หล้านี้ล้วนเป็นของเรา เราคิดอยากจะฆ่าใครก็ฆ่าได้ หากพวกเขาไม่พอใจมากสามารถบอกเราด้วยตนเองได้ แล้วเราจะฆ่าจนกว่าพวกเขาทั้งหมดจะหุบปากเอง
ซดน้ำซุปแห่งความรักของภรรยาจนหมดแล้ว ซูรุ่ยจึงล้วงเอาผ้าเช็ดหน้าสีเหลืองอร่ามออกมาเช็ดปากอย่างสง่างามพลางเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยแล้วมองไปpy’ไทเฮาผู้แต่งองค์อย่างสง่างามตรงหน้า หากไทเฮามีเวลาว่างมาก ท่านก็ปลูกดอกไม้ให้อาหารปลาเสีย หากท่านรู้สึกเหงา เราก็ไม่ถือสา หากท่านจะเลือกเสด็จลุงคนใหม่มาแล้วสมรสใหม่ไปเสีย ส่วนเรื่องในราชสํานักและในวังหลังก็ล้วนให้เป็นกิจของเรา ไทเฮาท่านจะได้ไม่ต้องกังวลอีกแล้ว!
สามหาวนัก!
เมื่อได้ยินคําพูดของซูรุ่ย ใบหน้าที่สง่างามของไทเฮาก็โกรธจนเปลี่ยนไป เย่าเอ๋อร์ นับวันเจ้ายิ่งไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง! ก่อนที่เสด็จพ่อเจ้าจะสวรรคต เขาฝากฝังเจ้าไว้กับข้า ข้าจะไม่ยอมให้ราชวงศ์แห่งตระกูลตงฟางของเราเสื่อมเสียในมือของเจ้า!
คําพูดที่ชอบธรรมเช่นนี้ก็ฟังดูมีเหตุผล แต่…
ตระกูลตงฟางหรือ? ที่แท้ไทเฮาก็รู้อยู่แล้วว่าใต้หล้านี้เป็นของตระกูลตงฟางสินะ?
ซูรุ่ยค่อยๆ ลุกขึ้นยืน มองเหยียดลงไปที่ดวงตาของไทเฮาด้วยสีหน้าเย็นเยือก เราได้ยินมาว่า ช่วงนี้ตระกูลหยวนยกตนเป็นใหญ่ในตงจิงมาก ประยูรญาติฝั่งท่านเข้ามาวุ่นวายกิจการบ้านเมือง ไทเฮาอย่าบอกนะว่าท่านเองก็จะแย่งชิงบัลลังก์เช่นกัน?
นี่มัน…เป็นการใส่ร้าย ล้วนแต่เป็นข่าวลือทั้งนั้น!
เมื่อรู้สึกถึงไอเย็นเยือกที่แผ่ออกมาจากร่างของซูรุ่ย ไทเฮาก็อดไม่ได้ที่จะถอยหลังไปสองก้าว น้ำเสียงก็อ่อนแรงลง ข้า ข้าเพียงอุทิศตนเพื่อฮ่องเต้องค์ก่อน ทุทิศตนเพื่อช่วยฝ่าบาท เย่าเอ๋อร์เจ้ายังไม่เข้าใจหรือ?
ใช่ ไทเฮาท่านและเสด็จพ่อมีรักลึกซึ้งต่อกัน ข้าเห็นว่าระยะนี้ท่านคำนึงถึงเสด็จพ่อมาตลอด จนพาลอับเฉาไปหมดแล้ว
เมื่อพูดถึงตรงนี้ ซูรุ่ยก็เหยียดริมฝีปากขึ้นยิ้ม วังอี้ นำราชโองการของเราลงไป ไทเฮาตรอมพระทัยด้วยเพราะคิดถึงฮ่องเต้พระองค์ก่อนจนไม่สบายพระวรกาย นับจากนี้ไป ให้ตําหนักฉือหนิงปิดประตูไม่รับแขก หากใครกล้ารบกวนไทเฮาในช่วงพักฟื้น ไม่ว่าจะเป็นใคร ต้องโทษตายสถานเดียว!
เจ้า… ตงฟางเย่า เจ้าจะกักบริเวณข้าหรือ?
เมื่อได้ยินคําสั่งของซูรุ่ย ไทเฮาก็ตื่นตระหนกขึ้นมาทันใด ตอนนี้นางไม่มีกะจิตกะใจทำตัวตามพิธีอีกแล้ว จึงคำรามนามต้องห้ามของตงฟางเย่าออกมาโดยตรง ตงฟางเย่า บังอาจนักนะ ข้า ข้า…
เด็กๆ ตอนนี้ไทเฮาฃอารมณ์รุนแรงเกินไปแล้ว ร่างกายน่าเป็นห่วงนัก ยังไม่รีบพานางกลับไปพักผ่อนอีกหรือ? หากนายหญิงของพวกเจ้าเกิดเรื่องอะไรขึ้นมา พวกเจ้าก็อย่าได้คิดที่จะมีชีวิตอยู่เลย!
เสียงของซูรุ่ยขัดจังหวะคําพูดของไทเฮาอย่างดุดัน เหล่าขันทีและนางกำนัลที่อยู่ข้างๆ ต่างก็ได้ยินข่าวเรื่องความกระหายเลือดและโหดเหี้ยมของฝ่าบาทในช่วงสองวันที่ผ่านมานี้ เพื่อรักษาชีวิตน้อยๆ ของตนไว้ ตอนนี้พวกเขาจึงทําได้เพียงประคองไทเฮาออกไปอย่างเชื่อฟัง…
——
[1] ฉิ่งอาน เป็นธรรมเนียมการน้อมทักทายแบบชาวแมนจู เป็นการทักทายแบบกึ่งพิธีการ เพื่อแสดงถึงความนอบน้อมต่อผู้อาวุโส บ่าวในเรือนเมื่อพบนายก็ต้องทำหารฉิ่นอาน ท่าที่ใช้ในการทักทายของชายหญิงจะแต่งต่างกันไป