บทที่177 ตัวตลก
“ฮ่าๆ อะหยางนายก็มีช่วงเวลาที่ถูกผู้หญิงปฏิเสธด้วยหรือ”
เพื่อนทั้งสองที่มากับชายหนุ่มกำลังหัวเราะเยาะเขา
การโดนเย็นชาใส่ซ้ำๆ ทำให้ชายคนนี้ที่ชื่ออะหยางหงุดหงิดอย่างมาก เขาจึงมองไปที่เฉินห้าวซึ่งเป็นคนแย่งความสนใจของจูหมิ่นไป หลังจากมองอย่างหัวจรดเท้าเขาก็ขมวดคิ้วและจมอยู่ในความคิดชั่วคราว หลังจากนั้นไม่นานเขาก็ชี้ไปที่เฉินห้าวและ ตะโกน: “เฮ้ คุณเป็นคนที่ชื่ออะไรนั่น ชื่อหลี่ห้าวหรือเปล่า?”
เขาอ้อมแอ้มอยู่นาน สุดท้ายก็พูดนามสกุลของเฉินห้าวผิด เห็นได้ชัดว่าทั้งสองคนไม่ค่อยสนิทกัน
“ฉันชื่อเฉินห้าว” เฉินห้าวพูดด้วยเสียงราบเรียบ เขาจำคนนี้ได้แล้ว เขาเป็นอดีตศิษย์เก่าถันป๋อหยางทั้งสองคนมีวิชาเอกที่แตกต่างกัน พวกเขาเคยพบกันในชั้นเรียนสาธารณะด้วยกันไม่กี่ครั้ง เลยไม่ได้สนิทกันมากนัก
“ใช่ๆ คุณชื่อเฉินห้าว ไม่ได้เจอมาหลายปี ดูเหมือนว่าชีวิตคุณจะไปได้สวยเชียวนะ”
ถันป๋อหยางมองดูชุดเวอร์ซาเช่ที่เฉินห้าวสวมใส่ด้วยความประหลาดใจ
“ผมจำได้ว่าตอนที่คุณอยู่โรงเรียน สภาพค่อนข้างยากจน กางเกงยีนส์ก็ซักจนเกือบเป็นสีขาว ตอนนี้ชีวิตดีขึ้นนะ ยังพาแฟนมาดื่มด้วย”
ถันป๋อหยางคนนี้ทำเหมือนมาเพื่อระลึกถึงอดีต แต่เขาพูดจาแปลกๆ และยังแฉจุดด้อยของเฉินห้าวออกมาอีก จิตใจช่างร้ายกาจเหลือเกิน
แต่สิ่งที่เขาพูดกลับทำให้จูหมิ่นยิ่งอยากรู้เกี่ยวกับเฉินห้าวมากขึ้น สมัยเรียนเขายังคงเป็นครอบครัวที่ยากจน แต่จบการศึกษาไม่นาน เขาก็กลายเป็นเศรษฐีที่สามารถซื้อหมู่คฤหาสน์จงหัวงั้นหรือ? ถึงแม้จะถูกรางวัลที่หนึ่งก็ไม่สามารถรวยขนาดนั้นได้
อย่างไรก็ตามจูหมิ่นได้ออกมาชี้แจงว่า เธอและเฉินห้าวไม่ได้เป็นแฟนกัน เธอเป็นนักข่าว และกำลังสัมภาษณ์อยู่ ให้คุณสุภาพบุรุษคนนี้โปรดอย่ารบกวนเธอ
“คุณนักข่าว สัมภาษณ์ผมสิครับ ผมมีร้านค้าสองแห่งในใจกลางเมือง เป็นโสดและยังไม่เคยได้แต่งงาน” บทนำของถันป๋อหยาง เหมือนเป็นเป็นการประกาศหาคู่แต่งงานเล็กน้อย และเสเพลมักชอบจีบสาวไปเรื่อย
การสัมภาษณ์ของจูหมิ่นถูกขัดจังหวะซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนเขาอดไม่ได้ที่จะกลั้นความโกรธและพูดว่า: “การสัมภาษณ์ต้องเป็นเรื่องที่น่าสนใจ ไม่ใช่ใครก็มีคุณค่าพอให้สัมภาษณ์”
บรรทัดฐานของประโยคนี้คือการพูดว่า “อย่างแกหรือ อย่าหวังเลย มันเทียบไม่ได้กับเฉินห้าวเลยสักนิด มีระยะห่างเสมือนมดกับช้าง”
ก็แหงล่ะ คนหนึ่งเป็นแค่เด็กหนุ่มธรรมดาที่มีเงินแต่ไม่มากนัก อีกคนเป็นเศรษฐีที่พึ่งซื้อหมู่คฤหาสน์จงหัว ไม่ใช่ระดับเดียวกันจริงๆ
ถันป๋อหยางยังคงไม่พอใจอย่างมาก ถูกสาวสวยที่ตัวเองชอบมองข้ามซ้ำแล้วซ้ำเล่า เขาจึงอดไม่ได้ที่จะหงุดหงิดและพูดขึ้นว่า: “ผมเนี่ยนะไม่มีคุณค่าพอให้สัมภาษณ์? จะดูถูกกันมากเกินไปแล้ว ในเมืองภาคใต้คุณลองไปถามดูว่าใคร ไม่รู้จักคนที่ชื่ออะหยาง”
เฉินห้าวฟังแล้วก็อดขำไม่ได้ อย่างน้อยเขาก็ไม่เคยได้ยินเรื่องของคนที่ชื่ออะหยาง ถ้าวันนี้ไม่ได้พบเขาตรงนี้ เขาคงจำไม่ได้ว่าเคยมีเพื่อนร่วมชั้นคนนี้ ยิงไม่คาดคิดว่า อดีตศิษย์เก่าคนนี้จะมีพฤติกรรมต่อต้านตัวเองแบบนี้
เฉินห้าวไม่ได้โกรธเขา หากผู้แข็งแกร่งดูหมิ่นผู้อ่อนแอผู้อ่อนแอก็น่าจะโกรธ แต่ถ้าผู้อ่อนแอมาดูถูกผู้แข็งแกร่ง มันเพียงแค่ทำให้ผู้แข็งแกร่งรู้สึกน่าขำ
จูหมิ่นไม่สนใจอะหยางคนนี้แม้แต่น้อย และเมื่อเขาต้องการที่จะตำหนิเขา เฉินห้าวก็กระซิบบอกเธอว่า: “เฮ้ คนอย่างเขาก็ถือว่าเป็นเรื่องเฉพาะเหมือนกันไม่ใช่หรือ”
การที่เฉินห้าวให้คำแนะนำนี้กับเธอ เป็นเพราะเขารู้สึกว่าการสัมภาษณ์ของจูหมิ่นนั้นเริ่มน่าเบื่อ มีชายหนุ่มซื่อบื้ออย่างถันป๋อหยางมาช่วยเขาแบ่งปันความสนใจของนักข่าวคนสวย มันไม่ดีตรงไหน
ดวงตาของจูหมิ่นสว่างขึ้นทันที คำแนะนำนี้ถือว่าใช้ได้ทีเดียว อย่างผู้ชายหลงตัวเองแบบนี้ หากได้รับการแต่งเติมอย่างเหมาะสม ก็สามารถใช้เป็นข่าวบันเทิงเพื่อความสนุกสนานได้เช่นกัน ยิ่งไปกว่านั้นข้างๆยังมีเศรษฐีลึกลับคนหนึ่งเป็นการเปรียบเทียบกับเขา ก็จะได้ประเด็นสนุกๆเหมือนในละคร
“งั้นก็ได้ ฉันจะสัมภาษณ์นายด้วย ขอถามหน่อยว่าคุณถันนายมีทรัพย์สินเท่าไหร่?” จูหมิ่นถามอย่างกลั้นหัวเราะ และเธอจงใจวางเครื่องบันทึกไว้ข้างๆทำเหมือนว่านี่เป็นการสัมภาษณ์
ถันป๋อหยางกล่าวอย่างภาคภูมิใจว่า: “ร้านค้าสองแห่งของผมมีรายได้ต่อปีมากกว่าหนึ่งล้านหยวน และมีบ้านสามหลังรถสามคัน และยังมีการลงทุนในหุ้นต่างๆ โดยมีทรัพย์สินหลายสิบล้าน”
ไม่ว่าสิ่งที่ถันป๋อหยางพูดมาจะเป็นจริงหรือเท็จ ในสังคมปัจจุบันนี้ คนที่มีทรัพย์สินหลายสิบล้านถือว่าเป็นคนรวยแล้ว แต่นี่ไม่ใช่เหตุผลที่จะต้องอวด เราควรรู้ไว้เสมอว่า เหนือฟ้ายังมีฟ้า เหนือคนยังมีคน อย่างเฉินห้าวที่อยู่ข้างๆเขายังไม่พูดอะไรสักคำเลย
“อ๋อ ดีมากเลย เรียกได้ว่าเป็นคนรุ่นใหม่ที่ประสบความสำเร็จ” ทันทีที่จูหมิ่นพูดลักยิ้มเล็กๆทั้งสองก็ชัดเจนขึ้น เห็นแล้วถันป๋อหยางก็รู้สึกหวั่นไหวในใจ และยิ่งอยากจะครอบครองนักข่าวคนสวยมากกว่าเดิม
“อีกสักครู่ผมอยากชวนคุณไปขับรถเล่น แลนด์โรเวอร์ใหม่ของผมมีมูลค่าอยู่ที่1.6 ล้านหยวน!”
ถันป๋อหยางเป็นเหมือนเด็กอนุบาล เอากุญแจรถออกมาโชว์ ปกติขอแค่มีรถหรูอัตราความสำเร็จในการจีบผู้หญิงในบาร์ก็สูงมาก
แต่จูหมิ่นไม่ใช่ผู้หญิงที่เห็นแก่เงิน เธอยิ้มและพูดว่า: “ขอโทษคะ ฉันมีรถที่ดีกว่าให้แล้ว”
เธอหยิบกุญแจรถของเฉินห้าวออกมา และขยับนิ้วของเธอไปมา กุญแจของปอร์เช่918 นั้นมีเอกลักษณ์มาก มันเป็นโลโก้ที่เป็นเอกลักษณ์ของรถหรู
ถันป๋อหยางตกใจมาก และถามอย่างไม่แน่ใจ: “นี่คือรถของเฉินห้าวหรือ?”
จากความทรงจำของเขา เขาจำได้ว่าสมัยเรียนเฉินห้าวมีชีวิตที่ยากจน เป็นไปไม่ได้ที่จะมีรถหรู การที่เขาขับรถปอร์เช่นั้น เป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้องตามหลักวิทยาศาสตร์เลย
“ไม่นับรถยนต์ อาจเช่าหรือยืมมาก็ได้ หากต้องการพูดถึงความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจก็ขึ้นอยู่กับอสังหาริมทรัพย์”
ถันป๋อหยางไม่สามารถเปรียบเทียบกับรถได้ เขาเลยพูดถึงบ้านขึ้นมา และยังบอกใบ้ว่าถ้าเขามีแฟนในอนาคต หลังแต่งงานเขาจะส่งบ้านให้หนึ่งหลัง คำใบ้นี้คือถึงจูหมิ่นนั่นค่อนข้างชัดเจน
อันที่จริงนี่เป็นเพียงวิธีของเขาในการจีบสาว โดยใช้สิ่งเหล่านี้ดึงดูดผู้หญิง และหลังจากเบื่อหน่ายแล้ว เขาก็จะบอกเลิกโดยอ้างว่าบุคลิกต่างกันเข้ากันไม่ได้ นี่มักเป็นวิธีที่พวกผู้ชายเหี้ยๆใช้กัน
ความดึงดูดของการให้บ้านหลังหนึ่งนั้นมันใหญ่มาก แต่วันนี้จูหมิ่นได้เห็นถึงการประมูลหมู่คฤหาสน์จงหัวในราคากว่า200ล้าน เลยรู้สึกว่าบ้านที่มีขนาดหนึ่งร้อยตารางเมตรนั้นเล็กมาก แทบไม่ได้อยู่ในสายตาเธอเลยด้วยซ้ำ เพียงรู้สึกว่าถันป๋อหยางเป็นแค่ตัวตลกที่ชอบโอ้อวดเท่านั้น