พลิกนาฬิกา ย้อนชะตานางร้าย – ตอนที่ 5

ตอนที่ 5

บทที่ 5
Ink Stone_Romance
การปักลวดลายตราประจำตระกูลเล็กๆ ที่มุมผ้าไม่ได้ใช้เวลานานเท่าใดนัก นั่นก็เพราะเธอมีอาจารย์ที่ดีนั่นเอง หากมีส่วนไหนที่ไม่ละเอียดซาร่าก็จะเป็นคนคอยแก้ไขให้

ผ้าเช็ดหน้าสีดำที่ปักลายอย่างสวยงามด้วยด้ายสีเงินเป็นรูปดอกลิลลี่ซึ่งเป็นตราประจำตระกูลนั้น สมบูรณ์แบบเสียจนหากนำไปขายในตลาดด้วยราคาที่สูงก็คงจะขายหมดได้ในทันที

อาเรียพับผ้าเช็ดหน้าที่เสร็จเรียบร้อยแล้วเก็บลงในลิ้นชักก่อนจะหันไปขอความช่วยเหลือจากซาร่าอีกรอบว่าเธออยากจะปักผ้าเช็ดหน้าอีกสักผืน

“เป็นลายแบบไหนดีคะ”

“ดอกกุหลาบค่ะ”

“กุหลาบ… หรือคะ”

หากเป็นดอกกุหลาบล่ะก็จะต้องเป็นตราสัญลักษณ์ของดยุกเฟรดเดอริกไม่ผิดแน่ กลีบดอกไม้สีทองถือเป็นสัญลักษณ์ของเขาเพราะมาจากตระกูลที่สืบสายตรงมาจากราชวงศ์

อาเรียหยิบผ้าสีแดงกับด้ายสีทองออกมา เธอส่งของสิ่งเดียวกันไปให้ซาร่า ทางด้านซาร่าเองนั้นได้แต่ถามเหตุผลจากอาเรียที่กำลังยิ้มกว้างด้วยสีหน้าเป็นกังวล

“เลดี้ทราบหรือไม่คะ ว่าดอกกุหลาบสีทองหมายความว่าอย่างไร”

“อยู่แล้วค่ะ ก็เป็นตราสัญลักษณ์แห่งดยุกเฟรดเดอริกยังไงล่ะคะ”

และทายาทแห่งตระกูลนั้นยังเป็นรักข้างเดียวของมิเอลด้วยน่ะสิ

ทั้งสองคนอดีตได้ติดต่อกันหรือเปล่านะ เธอพยายามนึกย้อนไปแต่ก็ไม่ได้คำตอบที่แน่นอนนัก เธอจำได้ว่ามีการหมั้นหมายกันเกิดขึ้นแต่กลับจำไม่ได้ว่าเกินเลยไปถึงขั้นแต่งงานหรือไม่

อาเรียจงใจจะให้ผ้าเช็ดหน้ากับทายาทแห่งดยุกก่อนมิเอล ผ้าเช็ดหน้าที่ปักลายตราสัญลักษณ์ประจำตระกูลของเขา

ต่อให้เขาไม่รับก็ไม่จำเป็นต้องถามว่าเธอจะทำอย่างไรต่อ นั่นเพราะเธอคิดจะให้เขาในตอนที่เขาไม่อาจปฏิเสธได้ เหมือนอย่างที่มิเอลเคยทำมาแล้วในอดีตอย่างไรล่ะ

เธอรู้ดีว่าเขาไม่มีทางชอบเธอทันทีด้วยผ้าเช็ดหน้าเพียงผืนเดียวแน่นอน ผ้าเช็ดหน้าก็เป็นเพียงแค่ช่องทางหนึ่งเท่านั้นล่ะ

แม้จะดูเหมือนไม่มีอะไร แต่มันก็เป็นช่องทางที่จะเปิดโอกาสให้เธอได้คุยกับเขา สำหรับเธอแล้ว เธอมีความสามารถที่ยอดเยี่ยมมากกว่าการเย็บผ้าอีกมากมายแต่เธอจะใช้มันเป็นเพียงช่องทางในการตัดกำลังก็เท่านั้น

ซาร่าลังเลที่จะตอบเมื่อได้ยินอาเรียพูดออกมาอย่างสดใสและสบายใจอย่างนั้น กุหลาบของตระกูลเฟรดเดอริกถือเป็นลายที่ถูกใช้อยู่บ่อยครั้งเพราะเป็นลวดลายที่งดงามและผู้คนให้ความนับถือมากมาย แต่สถานการณ์อาจจะต่างไปเล็กน้อยหากผู้ให้เป็นบุตรสาวจากครอบครัวเลี้ยงเดี่ยวเช่นอาเรีย

แม้แต่เรื่องผ้าเช็ดหน้าก็เหมือนกัน ยิ่งไปกว่านั้น มิเอลผู้เป็นน้องสาวของอาเรียก็อาจจะต้องเป็นดองกับทายาทของฝั่งนั้นอีกด้วย

เธอควรจะระมัดระวังอากัปกิริยามากกว่าคนอื่นๆ แต่หากอ่อนให้อีกหน่อยก็คงต้องห้ามปรามและตักเตือนให้ดี

ซึ่งแน่นอนว่าแม้จะไม่อ่อนให้ เธอก็ต้องตกเป็นที่นินทาอยู่ดี ยิ่งเธอเป็นเด็กที่มักจะต้องเจ็บปวดจากข่าวลือที่ไม่มีมูลด้วยแล้วยิ่งไปกันใหญ่ หากอาเรียปักผ้าเช็ดหน้าเป็นลายกุหลาบแล้วมอบมันเป็นของขวัญให้รัชทายาท ซาร่าคิดว่าเธอจะต้องตกที่นั่งลำบากจนไม่สามารถออกไปเจอผู้คนได้แน่

‘ทั้งที่เธอออกจะเป็นเด็กน้อยที่งดงามและจิตใจอ่อนโยนแท้ๆ…’

ซาร่าคิดว่าเธอคงหลับไม่ลงเพราะอาการใจสลายแน่ถ้าหากเด็กสาวที่แสนสดใสและงดงามผู้นี้ต้องมาเจอเรื่องแบบนั้น

เมื่อแรกเจอนั้นซาร่าเคยคิดว่าอาเรียจะต้องเติบโตมาเป็นหญิงสาวที่มัดใจคนในสังคมได้อยู่หมัด แต่ตอนนี้ดูเหมือนความเชื่อนั่นจะเปลี่ยนไปเล็กน้อย

ซาร่านึกไม่ออกเลยว่าเด็กสาวที่แสนไร้เดียงสาและจิตใจดีอย่างเธอจะสามารถอยู่รอดในซ่องโจรที่แสนน่ากลัวนี้ได้อย่างไร

ซาร่าจับมืออาเรียเอาไว้ ทันใดนั้นนัยน์ตาสีเขียวเป็นประกายก็เงยขึ้นมามองหญิงสาว แววตาที่มีแต่ความบริสุทธิ์ของอาเรียไม่เหมาะที่จะอยู่ในโคลนตมอันสกปรกและชั่วร้ายของสังคมชั้นสูงนี่เลยสักนิด

ซาร่าค่อยๆ เอ่ยปากพูดอย่างระมัดระวังหลังจากที่คิดแล้วคิดอีกว่าควรจะพูดอย่างไรให้คุณหนูของเธอเจ็บปวดน้อยที่สุด

“…คุณหนูจะทำไปให้บุตรชายของดยุกหรือคะ”

“ไม่ใช่อย่างนั้นนะคะ”

“ถ้างั้น… ให้คุณออสการ์หรือคะ”

อาเรียรู้สึกได้ว่ามือของซาร่าที่จับมือเธออยู่กำลังสั่นน้อยๆ

เดาได้แล้ว บางทีซาร่าอาจกำลังกลัวว่าเธอที่แสร้งทำเป็นใสซื่อจิตใจดีมีเมตตาจะเข้าไปเกี่ยวพันกับผู้เข้าแข่งขันมากมายมหาศาลพวกนั้นล่ะมั้ง

‘ก็หล่อนไม่รู้นี่นะว่าฉันนี่ล่ะชั่วร้ายกว่าใครเขา’

ในอดีตเธอเคยถูกหลอกใช้ก็จริงแต่เธอเองก็แสดงพฤติกรรมต่ำช้าออกไปเช่นกัน เพราะหากเธอเป็นคนดีด้วยจิตใจจริงๆ เธอคงเอ่ยปฏิเสธและไม่ทำตัวหยาบช้า ต่อให้จะถูกยุแยงตะแคงรั่วแค่ไหนก็ตาม

หรือแม้แต่ในตอนนี้ที่เธอได้ชีวิตใหม่แล้ว เธอก็ยังนึกถึงแต่เพียงว่าจะแก้แค้นมิเอลอย่างไรให้สาสมที่สุด โดยไม่เคยคิดจะทำความดีอะไรเลยสักครั้ง

เพราะแบบนั้นอาเรียจึงทำได้แค่ซ่อนจิตใจอันดำมืดของตนไว้และยิ้มออกไปอย่างสดใส เพื่อไม่ให้หลงไปติดกับและเปิดเผยทุกอย่างออกมาอย่างโง่เขลาเหมือนครั้งในอดีตอีก

อาเรียส่ายหน้า

“ไม่ใช่หรอกค่ะ หนูเห็นว่าตราสัญลักษณ์ของตระกูลนี้สวยดีเลยอยากจะลองทำดูสักครั้งน่ะค่ะ หนูไม่ทราบด้วยซ้ำว่าพวกท่านๆ ที่อาจารย์ซาร่าพูดถึงเป็นใคร”

ในความเป็นจริงแล้วเธอรู้ดียิ่งกว่าใครเลยล่ะ เพราะครั้งหนึ่งเธอเองก็เคยพยายามจะยั่วยวนออสการ์ด้วยเหมือนกัน แม้หลายครั้งสายตาแสนเย็นชาและน่ากลัวของเขาจะทำให้เธอไม่กล้าแม้แต่จะมอง แต่ไม่ว่าอย่างไรเธอกับเขาก็มักจะได้พบเจอกันอยู่บ่อยๆ

สีหน้าของซาร่าดูจะโล่งใจขึ้นมาหน่อยเมื่อได้ฟังคำตอบของอาเรีย รอยยิ้มที่เคยแข็งทื่อกลับมาเป็นรอยยิ้มที่อ่อนโยนและรักใคร่เอ็นดูเธออีกครั้ง

ตราสัญลักษณ์ของตระกูลดยุกเฟรดเดอริกนั้นสวยงามมากจริงๆ ซาร่าจึงดูเหมือนจะเห็นด้วยว่าเธออยากทำแบบนั้นเพราะเป็นตราสัญลักษณ์ที่งดงามอย่างที่อาเรียพูดไว้

ซาร่าไม่คิดกังขาหัวใจอันบริสุทธิ์ของอาเรียอีกต่อไป จากนั้นจึงได้เริ่มอธิบายเกี่ยวกับตราสัญลักษณ์แห่งตระกูลดยุกเฟรดเดอริกให้ฟัง หญิงสาวเองก็เคยปักลายนี้มาก่อนจึงบอกจุดที่ควรระวังให้อาเรียรู้อย่างละเอียด

“ลายดอกกุหลาบจัดว่าเป็นลายที่ยากมากๆ เลยค่ะ เพราะหากจุดกึ่งกลางเบี้ยวไปเพียงเล็กน้อยก็จะทำให้รูปทรงทั้งหมดเบี้ยวไปด้วย เพราะฉะนั้นคุณหนูต้องจับแกนกลางให้ดีแล้วค่อยๆ ขยายกลีบดอกไม้ให้ใหญ่ขึ้นเหมือนล้อมจุดนั้นไว้นะคะ”

ฟังจากที่ซาร่าพูดแล้วการปักลายกุหลาบดูจะเป็นงานที่ยากและเหนื่อยเอาการเลยทีเดียว เพราะหากเธอปักเบี้ยวไปแม้เพียงจุดเดียวทุกอย่างก็จะพังไม่เป็นท่า

แค่การปักลายตราสัญลักษณ์ของตระกูลโรสเซนต์ก็กินเวลาไปมากกว่าครึ่งวันแล้ว เธอจึงตัดสินใจเลื่อนตรากุหลาบไปเรียนคาบหน้าแทน

* * *

เย็นวันนั้น

ท่านเคานต์กลับมายังคฤหาสน์เพราะเลื่อนงานออกไปทำให้ทั้งครอบครัวได้ทานอาหารพร้อมหน้าพร้อมตากันอีกครั้งหลังจากผ่านมานาน

มิเอลคุยจ้อเป็นนกจาบฝนว่าตนเอาแต่ตั้งใจเรียนโดยไม่หยุดพักผ่อนตลอดเวลาที่ผ่านมา ส่วนเคนก็กล่าวว่าตัวเขาต้องกลับไปอยู่หอพักของวิทยาลัยหลังหมดช่วงปิดเทอม

“จะกลับแล้วหรือ”

“ผมว่าจะออกเดินทางในสุดสัปดาห์นี้ครับ”

ช่างเป็นเรื่องที่ดีเสียจริง อาเรียเผยยิ้มออกมา แต่เพราะไม่มีใครให้ความสนใจเธอจึงไม่เป็นที่สังเกตเห็น

อาเรียเฝ้ามองสมาชิกในครอบครัวที่แสนปรองดองอยู่เงียบๆ พวกเขาใช้เวลายิ้มหัวเราะไปด้วยกันโดยที่ไม่มีเธอ ถึงแม้จะเป็นเรื่องที่น่าเศร้าเพราะผู้เป็นมารดาก็ยังพลอยเป็นไปกับเขาด้วย

มิเอลเลือกแต่ประเด็นที่อาเรียไม่รู้มาพูดราวกับจงใจจะตัดเธอออกไปจากบทสนทนา

‘ประเด็นคือเธอเพิ่งอายุสิบสามเท่านั้นเองนะ’

หล่อนรู้จักธุรกิจของพ่อตัวเองดีขนาดนี้เลยน่ะหรือ อาเรียรู้สึกซาบซึ้งจนน้ำตาแทบไหล

“ถ้าอย่างนั้นทำไมท่านพ่อไม่ลงทุนกับพวกเครื่องหนังสวยๆ บ้างล่ะคะ หนูได้ยินว่าพวกบุตรสาวของตระกูลชั้นสูงมักจะใส่เครื่องหนังไปในเดรสกันด้วยนะคะ ใช้เครื่องหนังใส่ซ้อนไปให้ดูแปลกใหม่เหมือนเครื่องรัดทรงที่ใส่ตรงเอวน่ะค่ะ”

“ชื่อเสียงของเครื่องหนังถูกพูดถึงมาตั้งแต่เมื่อสองปีก่อนแล้วนี่นะ มันอาจจะดูช้าไปหน่อยแต่ก็อย่างที่ลูกพูด มันคงจะดีกว่าหากมีการรับประกันเครื่องหนังที่มีคุณภาพดีเสียที”

ท่านเคานต์โรสเซนต์สนับสนุนคำพูดของมิเอลด้วยใบหน้าปีติยินดี ภาพของเด็กตัวน้อยที่กล้าแสดงความเห็นออกมาอย่างตรงไปตรงมานั้นช่างน่ารักเสียจริง

แต่เครื่องหนังก็ไม่ได้รับความนิยมอีกหลังจากผ่านไปไม่กี่ปีต่างจากที่มิเอลและท่านเคานต์คาดการณ์ไว้ ไม่สิ ไม่อีกเลยตลอดไป

เพราะเครื่องหนังที่ทั้งหนักและแข็งนั้นหนาเกินกว่าที่จะสวมทับอะไรไว้ด้านใน นอกจากนั้นยังใส่ยากและทำให้ผู้ที่สวมใส่ไม่สบายตัวอีกด้วย มันจึงกลายเป็นเครื่องแต่งกายที่คนค่อยๆ เลี่ยงไปในที่สุด

แถมรูปแบบและสีสันก็ไม่หลากหลาย ไหนจะกลิ่นเหม็นอับอันเป็นเอกลักษณ์ของเครื่องหนัง ทำให้มันไม่ค่อยตรงกับรสนิยมของสาวๆ ชนชั้นสูงซึ่งเป็นผู้นำแฟชั่นเท่าไหร่นัก

อาเรียที่นั่งฟังบทสนทนาระหว่างพ่อลูกสุดที่รักอยู่เงียบๆ หยิบผ้าเช็ดปากขึ้นมาเช็ดริมฝีปากก่อนจะพูดขึ้นมาช้าๆ ถึงเวลาที่เธอจะต้องพูดถึงอนาคตข้อแรกที่เธอรู้แล้ว

“ท่านพ่อ ลูกพอจะพูดอะไรบ้างได้ไหมคะ”

“อาเรีย ลูกน่ะหรือ เอาเถอะ อยากจะพูดอะไรก็พูดมาพ่อจะฟัง”

เมื่ออาเรียที่นั่งเงียบมาตลอดเข้ามามีส่วนร่วมในบทสนทนา ทุกสายตาก็จับจ้องมาทันที ทั้งสายตาเสียดสีกระแนะกระแหน สายตาที่ดูคาดไม่ถึง และสายตาที่แสดงความกังวลนั้นอาเรียก็ทำใจดีสู้เสือพร้อมกับพูดออกมาอย่างมั่นใจ

“เป็นที่แน่นอนว่าเครื่องหนังกำลังเป็นที่นิยมในหมู่หญิงสาวตระกูลผู้ดีและลูกก็เห็นด้วยกับความคิดที่ว่าปริมาณของมันยังเป็นที่ต้องการอย่างต่อเนื่องเพราะเป็นเสื้อผ้าที่เหล่าบุรุษทั้งหลายก็ใช้กันมาตั้งนานนม แต่มันจะเป็นเช่นนั้นจริงๆ หรือคะ”

สายตาของท่านเคานต์ฉายแววสนใจเมื่อเห็นว่าจู่ๆ อาเรียที่ท่านคิดว่าจะเอาแต่ก่นด่าและกรีดร้องอยู่เสมอกลับเอ่ยปากออกมาด้วยความสุขุม

คำพูดที่ดูโตกว่าอายุและสีหน้าที่เต็มไปด้วยความมั่นใจนั่น ทั้งที่เพิ่งได้รับการศึกษาไปไม่นานแต่เธอกลับพูดออกมาอย่างเป็นลำดับและมีเหตุผล เพียงพอที่จะดึงดูดความสนใจของทุกคนในที่นี้มาหาเธอได้

เครื่องหนังกำลังเป็นที่นิยมในหมู่หญิงสาวชั้นสูงอย่างที่มิเอลพูดก็จริง แต่ก็ไม่ได้แพร่หลายอย่างกว้างขวางทั้งยังได้รับความนิยมเป็นเวลาสั้นๆ เท่านั้น

ท่านเคานต์เองก็ไม่ได้ให้การรับรองสิ่งทอตลอดเวลาที่ผ่านมาเพราะท่านเองก็วิเคราะห์ข้อเสียของเครื่องหนังอยู่ในใจ และก็ไม่ได้คิดจะทำอย่างนั้นในอนาคตด้วยเช่นกัน

ท่านเพียงแค่ให้การสนับสนุนมิเอลเพราะมันเป็นคำพูดของลูกสาวแสนน่ารักของตนเท่านั้น โดยคิดเพียงแค่ว่ามิเอลยังเด็กจึงยังมีมุมมองที่ยังแคบอยู่

แต่ดูเหมือนอาเรียจะต่างออกไป เธอคล้ายจะมีความมั่นใจแบบแปลกๆ ท่านเคานต์รอฟังคำพูดต่อจากนี้ของอาเรียด้วยความคาดหวังในฐานะที่เธอเป็นนักธุรกิจคนหนึ่ง โดยไม่สนใจอายุและกำพืดของเธอ

“หนังเป็นวัสดุที่มีข้อจำกัดของมันอยู่ค่ะ แม้เราจะเอามันไปย้อมสี สีก็ยังหลุดออกง่าย นอกจากนั้นยังซึมซับน้ำได้ไม่ดีด้วย เพราะฉะนั้นมันถึงได้ใช้เวลานานหลายปีเช่นนี้อย่างไรล่ะคะ นั่นหมายความว่ามันแพร่หลายไปในหมู่ชนชั้นสูงได้ง่ายแต่ก็จะหายไปง่ายๆ เช่นกันค่ะ”

“ฮึ่ม ก็จริงนะ”

ท่านเคานต์ลูบปลายคางพลางสนับสนุนคำพูดของเธอ

“และจากที่ลูกได้ฟังนั้น…”

อาเรียละสายตาจากท่านเคานต์ไปจับจ้องมิเอลแทน เธอยิ้มอย่างสดใสไปให้มิเอล มิเอลที่ความเห็นของตนถูกปฏิเสธไปแล้วแม้ว่าอาเรียจะยังไม่ทันได้พูดเข้าประเด็นนั้นได้แต่ปิดปากแน่น

สิ่งที่อาเรียต้องประสบโดยตรงในอดีตก็คือ คนที่เป็นผู้นำแฟชั่นตัวจริงปรากฏตัวขึ้นมาโดยที่สิ่งที่ได้รับความนิยมที่ว่านั้นเป็นอย่างอื่น ไม่ใช่หนัง

เธอผู้นั้นช่างเป็นคนที่สง่างามและสูงค่าจนสามารถทำให้ทุกสิ่งที่เธอสวมใส่กลายเป็นแฟชั่น

และเธอผู้นั้นก็รู้ดีว่าทุกอย่างที่เธอใส่จะกลายเป็นที่นิยมจนต้องระวังไม่ให้เรื่องรั่วไหลออกไปภายนอกก่อนที่เธอจะใส่มันอย่างเป็นทางการเด็ดขาด

แต่อาเรียที่เคยผ่านอนาคตมาครั้งหนึ่งแล้วไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป เธอรู้ทุกอย่าง

หากเธอผู้นั้นใส่เครื่องหนังมันก็คงได้รับความนิยมแต่โชคดีที่สิ่งที่เธอเลือกใส่ไม่ใช่หนัง

“ลูกได้ยินมาว่าเจ้าหญิงที่กำลังเสด็จไปพักผ่อนในชนบทช่วงนี้ทรงสั่งซื้อขนสัตว์เป็นจำนวนมหาศาลค่ะ”

“…ขนสัตว์งั้นหรือ”

“ใช่ค่ะ มีข่าวลือหนาหูว่ามีรถม้าจำนวนหลายคันบรรทุกขนสัตว์เข้าไปในพระราชวัง ขนสัตว์สามารถนำไปย้อมสีได้หลากหลายและยังอ่อนนุ่ม ไม่มีกลิ่นเหม็นหากได้ซักด้วยวิธีของมันเองไม่เหมือนกับหนังด้วยค่ะ”

ที่จริงแล้วไม่มีข่าวลือและไม่มีใครเห็นรถม้าทั้งนั้น แต่ทั้งหมดนี้คือเรื่องจริง

หลังจากกลับมาจากชนบทเจ้าหญิงก็สั่งซื้อขนสัตว์มาเป็นจำนวนมาก และทุกครั้งที่มีการจัดงานเลี้ยงก็มักปรากฏตัวในชุดขนสัตว์ไม่ซ้ำกันจนทำให้มันกลายเป็นที่นิยมอย่างรวดเร็ว

การหาซื้อขนสัตว์และขั้นตอนการแปรรูปทั้งซับซ้อนและต้องใช้เวลานาน ดังนั้นหากจะยื่นมือออกไปลงเล่นในภายหลังก็ไม่มีประโยชน์อันใด

เพราะขนสัตว์คุณภาพดีได้ถูกจำกัดไว้ ดังนั้นผู้ที่ครอบครองย่อมต้องผูกขาดขนสัตว์ทั้งหมดเอาไว้แน่นอน และหากเจ้าหญิงสวมใส่แล้ว มันก็จะแพร่กระจายไปทั่วทุกหัวระแหง ทั่วทั้งราชอาณาจักร

หากคำพูดของอาเรียเป็นความจริงท่านเคานต์ก็ต้องหาขนสัตว์คุณภาพดีมาครอบครองทันที และต่อให้เป็นเรื่องโกหกท่านก็ต้องไปตรวจสอบอยู่ดี

ท่านเคานต์คิดว่าสิ่งที่อาเรียพูดก็ฟังดูมีเหตุผล จึงเรียกผู้ช่วยมาแล้วสั่งให้เขาไปตรวจสอบในสิ่งที่ท่านสงสัย หากเจ้าหญิงทรงซื้อขนสัตว์เป็นจำนวนมากจริงๆ ท่านก็ต้องเริ่มดำเนินการตั้งแต่ตอนนี้ทันที

เธอช่างเป็นแม่ค้าที่หลักแหลมจริงเชียว ไม่น่าเชื่อว่านี่คือสิ่งที่เด็กผู้มีชาติกำเนิดต่ำต้อยพูดออกมา

อาเรียยิ้มกว้างออกมาอย่างพอใจ

…………………………………………………….

พลิกนาฬิกา ย้อนชะตานางร้าย

พลิกนาฬิกา ย้อนชะตานางร้าย

Status: Ongoing

เมื่อมารดาที่เป็นโสเภณีได้แต่งงานกับท่านเคานต์

อาเรียจึงได้ยกระดับฐานะทางสังคมอย่างรวดเร็ว เธอใช้ชีวิตอย่างหรูหราอู้ฟู่

ก่อนจะตกหลุมพลางของมิเอล น้องสาวบุญธรรม

และถูกฆ่าตายท่ามกลางสายตาเย็นชาและคำเยาะเย้ยถากถาง

ทันใดนั้น นาฬิกาทรายก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าราวกับภาพลวงตา

และเธอก็ได้ย้อนเวลากลับมาอย่างปาฏิหาริย์…!

“ข้าอยากเป็นผู้ที่งามสง่าเหมือนกับมิเอล น้องสาวของข้า”

เพื่อต่อกรกับนางร้าย เธอจึงต้องร้ายยิ่งกว่า!

เธอเลือกเส้นทางชีวิตใหม่เพื่อแก้แค้นคนที่บีบให้เธอเข้าสู่เส้นทางแห่งความตาย!

เรื่องราวของนางร้ายที่ร้ายยิ่งกว่านางร้ายจึงเริ่มต้นขึ้น

พร้อมกับการแก้แค้นอันซับซ้อนที่ซุกซ่อนอยู่ในความงดงามที่อันตราย!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท