“แม้จะลองตรวจดูอีกครั้งแล้วแต่จะบอกว่าเป็นเพราะยาพิษไม่ได้หรอกครับ อาจจะเป็นเพราะพิษที่ได้รับมีจำนวนน้อย จึงไม่ส่งผลอะไรครับ โล่งอกไปจริงๆ นะครับ”
อาเรียตื่นขึ้นมาหลังจากนอนไปทั้งวัน เมื่อได้ยินคำพูดของหมอที่ตรวจอาการตัวเองก็เผยสีหน้าดีใจออกมา แต่ทว่าเคานติสที่ฟังคำวินิจฉัยอาการอยู่ด้วยกลับต่างออกไป
“แล้วทำไมถึงได้หลับไปนานนักล่ะ”
“แม้จะเป็นจำนวนเล็กน้อย จึงคิดว่าร่างกายทำการฟื้นตัวจากการถอนพิษครับ”
“ถ้าอย่างนั้นก็หมายความว่าตอนนี้ไม่เป็นไรแล้วใช่ไหมล่ะ”
“ก็คิดว่าน่าจะเป็นเช่นนั้นนะครับ…”
อาเรียได้รับสายตาที่แฝงไปด้วยความเป็นห่วงจากทุกคน เพราะยังไม่อยากจะทำเป็นสบายดีแล้ว จึงส่งยิ้มตอบอย่างไร้เรี่ยวแรงพลางตอบด้วยท่าทางที่ดูไม่ค่อยปกตินัก
“…น่าจะไม่เป็นไรจริงๆ แล้วละค่ะ ถึงจะยังไม่มีแรงก็เถอะ… แล้วก็ง่วงด้วยค่ะ ไม่ค่อยมีแรงเท่าไร”
“ตายจริง…!”
ท่าทางที่น่าสงสารทำเอาเคานติสขอบตาแดงก่ำ ท่านเคานต์เมื่อได้ยินว่าอาเรียฟื้นแล้วก็รีบตรงปรี่เข้ามาด้วยใบหน้าที่เป็นห่วงอย่างมาก ดูเหมือนว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนที่แล้วจะยังคาใจย้อนกลับมาอยู่
อาเรียจึงแสร้งทำเป็นจับหัวตัวเองเหมือนกับว่ายังไม่หายดี
“แล้วก็ปวดหัวด้วย…นิดหน่อยค่ะ นี่ก็เป็นขั้นตอนที่จะฟื้นตัวใช่ไหมคะ”
เส้นผมที่หลุดร่วงเล็กน้อยทำให้อาการของเธอดูน่าเป็นห่วง
ผลของการรับการรักษา นอกจากอาการอ่อนเพลียแล้วก็ไม่มีอาการอื่น หมอจึงตอบด้วยสีหน้าพะว้าพะวัง
“อืม อาจจะยังไม่ฟื้นตัวได้เต็มที่จริงๆ เลดี้พักสักหน่อยน่าจะดีครับ ทานอาหารให้ครบ ทำจิตใจให้สบายนะครับ เพราะอาการช็อกทางจิตก็ไม่ควรเพิกเฉยเหมือนกันครับ”
“เอ่อ…!”
เพราะคำพูดของหมอตรงกับสถานการณ์ที่เธอนึกออกอยู่พอดี ใบหน้าของอาเรียจึงถอดสี เพราะใช้ชีวิตปิดบังด้วยหน้ากากมาเป็นเวลานานก็น่าจะส่งผลให้เป็นแบบนี้อยู่เหมือนกัน
เจสซี่ชงน้ำผึ้งผสมน้ำอุ่นมาให้อาเรียที่ดูไม่ค่อยสบายใจสักเท่าไรนัก เจสซี่ก็เป็นห่วงจนนอนไม่หลับ ใต้ตาเปลี่ยนเป็นสีทึบลงอย่างเห็นได้ชัด
เธอรู้สึกได้อีกครั้งว่ามีแค่หล่อนที่ยังไม่เปลี่ยนไปตั้งแต่ต้นจนตอนนี้ จากนั้นจึงกัดริมฝีปากพลางถาม
“เอ่อ…แล้วเบอร์รี่ล่ะคะ”
“ฝากเรื่องไว้กับกองรักษาการณ์แล้วล่ะ ปล่อยคนไปตามหาแล้วด้วย อีกไม่นานก็น่าจะถูกจับ ไม่ต้องเป็นห่วงไปเลย”
แม้ท่านเคานต์จะตอบอย่างมั่นใจแต่สีหน้าของอาเรียกลับดูหม่นลง
“…ใช่หล่อนทำจริงๆ เหรอคะ เอ่อ…ยาพิษนั่นน่ะค่ะ”
“ต้องสอบวนถึงจะสืบเรื่องได้ แต่ตอนนี้ก็คงมองได้แค่แบบนั้นน่ะ”
เพราะใบหน้าของเธอที่ดูไม่เชื่อเท่าไร ทำให้สีหน้าคนที่สังเกตอยู่รอบๆ ต่างหม่นลงตามไปด้วย เป็นสายตาของเหล่าข้ารับใช้ที่รู้ความจริงว่าเจ้านายตัวเองทำเรื่องน่าเกลียดแบบนั้น
‘แต่ไม่โดนจับได้มานานแล้วอย่างไรล่ะ’
แต่โชคร้ายที่อาเรียกลับรู้สึกดีใจกับเหตุการณ์นี้จนแทบกระโดดโลดเต้น
ยิ่งเวลาที่หล่อนหนีไปนานเท่าไร เรื่องทั้งหมดก็จะถูกซัดไปที่หล่อน หากตอนเช้ามีข่าวลือว่าเหตุการณ์นี้ถูกโยงเกี่ยวกับมิเอลด้วยก็จะถือว่ารับโชคสองต่อ
“มิเอล เธอไม่เป็นไรใช่ไหม”
อาเรียพูดกับมิเอลที่เข้ามาในห้องอย่างเงียบๆ ยืนอยู่ตรงมุมห้อง ทันใดนั้นหล่อนก็ตกใจสะดุ้งโหยงพลางพยักหน้า
ใช่แล้ว ลักษณะเหมือนคนร้ายเลยล่ะ
“มะ..ไม่เป็นไรค่ะ…”
“โล่งอกไป ให้ฉันเป็นคนเดียวก็ดีแล้วล่ะ ถ้าเธอโดนเรื่องน่ากลัวแบบนี้ไปด้วย พี่ยอมไม่ได้เลยจริงๆ “
เธอหมายความอย่างนั้นจริงๆ หากโดนด้วยไปกัน ก็ไม่สามารถโยนความผิดไปให้หล่อนได้สินะ แน่นอนว่านั่นก็เป็นโชคชะตาของเธอที่จะไม่โง่ดื่มยาพิษด้วยตัวเอง
‘เอ่อ จะว่าไปในอดีตกลับตรงกันข้ามสินะ’
มิเอลเป็นคนบงการเรื่องแต่ดันแกล้งดื่มยาพิษนั่นไป ทุกคนต่างคิดว่าผู้ร้ายก็คือตัวเธอเอง
แน่นอนว่าเป็นความจริงที่อยากให้เบอร์รี่ตกหลุมพรางเรื่องใส่ยาพิษลงไป แต่คนบงการคนแรกก็คือมิเอลต่างหาก เหมือนเช่นตอนนี้
เพราะอย่างนั้นชีวิตของอาเรียตอนนั้นจึงจบสิ้นลง มิเอลหน้าโง่ หากเธอทำเป็นแกล้งดื่มยาพิษก็น่าจะดีกว่านี้ ยังไม่รู้ตัวอีกว่าได้รับความเห็นอกเห็นใจจากคนป่วยที่ตัวเองกลั่นแกล้งแท้ๆ
“…เดี๋ยวพี่ก็ดีขึ้นค่ะ”
ไม่ได้หวังว่าจะให้ตายไปตรงนั้นหรอกเหรอ
ต่างจากปกติมิเอลที่ดูไม่พอใจสักเท่าไรกลับส่งยิ้มให้อาเรีย
“ขอบคุณนะมิเอล เธอมาเป็นกำลังใจให้แบบนี้พี่มีแรงขึ้นมาเลย”
มิเอลเห็นสภาพเธอที่แม้จะดูอ่อนแอลงแต่ก็ไม่ถึงกับตายทำให้แววตาสั่นไหว ราวกับอยากจะหนีไปจากตรงนี้ทันทีเสียอย่างนั้น
“…แต่อย่างไรก็ตามเห็นพี่ตื่นขึ้นมาแบบนี้ก็โล่งอกไปค่ะ ดูเหมือนว่าฉันจะมารบกวน ถ้าอย่างนั้นฉันขอตัวก่อนนะคะ”
แล้วก็พ่นคำว่าจะหนีไปออกมา ดูท่าจะทนไม่ได้ที่เห็นคนที่สมควรจะตายกลับรอดมายิ้มแบบนี้ หันหลังกลับไปโดยไม่ย้อนกลับมามองแม้แต่น้อยทำให้อ่านความรู้สึกของหล่อนออก
“ถ้าอย่างนั้นดิฉันออกไปด้วยนะคะ เรียกได้เสมอเลยนะคะเลดี้”
“ดีเลย ต้องพักผ่อนอย่างเต็มที่สิถึงจะดีขึ้น งั้นฉันก็ออกไปด้วยเหมือนกัน”
หลังจากที่มิเอลบอกว่าจะออกไป คนอื่นๆ ก็บอกว่าปล่อยให้พักผ่อนน่าจะดีพลางออกจากห้องไปตามๆ กัน
คนที่เหลืออยู่จนสุดท้ายคือแอนนี่และเจสซี่ ดูเหมือนแอนนี่ยังไม่หายตกใจดี จึงฟุบหน้าลงร้องไห้อยู่บนเตียงข้างอาเรีย
“ดิฉัน… คิดว่าเลดี้จากไปแล้วจริงๆ …!”
แม้ตอนนี้น้ำตาไหลอยู่ก็ตามแต่ในอดีตหล่อนกลับอยู่ฝ่ายคนที่คิดจะฆ่าเธอด้วยซ้ำ ท้ายที่สุดแล้วเธอจะสามารถเชื่อใจใครได้กันนะ
ด้วยความรู้สึกที่สับสนอาเรียที่ปัดผมแอนนี่อยู่กลับชะงักมือลง
“เจสซี่ อีกเดี๋ยวตาของแอนนี่ก็จะบวมเป่งแน่เลย เอาผ้าเย็นมาให้หน่อยได้ไหม ชาที่ฉันดื่มไปน่ะ”
เพราะสาวใช้คนอื่นไม่อยู่แล้วจึงวกกลับมาใส่ใจเจสซี่และแอนนี่ โดยเฉพาะเจสซี่ที่รู้ว่าเป็นเรื่องที่เธอต้องคอยสังเกตการณ์จึงตอบอย่างเงียบๆ พลางออกไปนอกห้อง
“บรรยากาศข้างนอกเป็นอย่างไรบ้างล่ะ”
แอนนี่ที่เข้าใจเจตนาของอาเรียก็หยุดร้องไห้พลางตอบ
“ไม่ต้องพูดถึงเรื่องนั้นเลยค่ะเลดี้ ทั้งคฤหาสน์พลิกเป็นไฟไปหมดค่ะ แล้ววันนั้นก็ยังมีแขกมาด้วยนะคะ แขกท่านนั้นเป็นไวเคานต์เวอร์รี่ที่รู้จักคนไปทั่ว ดูเหมือนว่าข่าวลือจะกระจายไปแล้วค่ะ”
“งั้นเหรอ ข่าวลืออะไรล่ะ”
“ที่สาวใช้…ตั้งใจจะ…วางยาพิษเลดี้น่ะค่ะ”
นอกจากนั้นก็จะไม่มีอะไรให้ไปคุยเกินจริง ดูเหมือนว่านอกจากข้อเท็จจริงแล้วเรื่องอื่นยังไม่ถูกส่งต่อออกไปสินะ
‘หรือจะยังไม่ถึงเวลากัน’
เพราะเหตุการณ์เกิดขึ้นผ่านไปยังไม่ถึงสองวัน ที่จริงแล้วก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะคุยเกินเรื่องจริงได้ เพียงแค่โดนยาพิษไปก็เหลือรสชาติหอมหวานนั่นแล้วล่ะ
“อย่างไรก็ตาม ตอนนี้บรรดาข้ารับใช้ในคฤหาสน์ต่างโกรธหล่อนอยู่ทุกคนเลยค่ะ! มีกระทั่งข้ารับใช้บางคนขู่ด้วยนะคะว่าถ้าเบอร์รี่กลับเข้ามาจะฆ่าให้ตายเลย”
“…งั้นสินะ
แค่นั้นก็เป็นผลลัพธ์ที่เพียงพอแล้ว เมล็ดที่เพาะไว้ตอนนั้นเริ่มแตกยอด เติบโตขึ้น จนจะได้ลิ้มรสผลที่หอมหวานแล้วสินะ แต่ส่วนใหญ่แล้วข่าวลือที่แพร่ออกไปข้างนอก มักจะเริ่มจากข้างในเป็นธรรมดา
“แอนนี่ มีอะไรจะให้เธอทำแล้วล่ะ”
“ทำอะไรเหรอคะ”
“ดีเลย ไม่รู้ว่าเธออาจจะยุ่งมากขึ้นก็ได้นะ”
อาเรียแสยะยิ้มออกมา สภาพก่อนหน้าที่จับหัวตัวเอง ทำเป็นไม่สบาย หายไปในพริบตา แอนนี่ที่รู้สึกไม่คุ้นชินจึงกลืนน้ำลายดังอึก
“ต้องแก้ข่าวลือหน่อยไม่ใช่หรอกเหรอ จะต้องมีอีกหลายคนที่สงสัยสถานการณ์ในคฤหาสน์อยู่แล้วล่ะ”
“เอ่อ…”
เพียงเท่านั้นแอนนี่ก็เข้าใจได้ว่าอาเรียต้องการอะไร
แอนนี่รีบผงกหัวทันที
“มะ ไม่ต้องกังวลไปเลยค่ะเลดี้! เรื่องนั้นดิฉันถนัดอยู่แล้วนี่คะ”
“ดีเลย จะเชื่อแค่เธอนะแอนนี่ ตายจริง เรื่องระหว่างเธอกับบารอนเวอร์บูมก็ดูจะไปได้ดีนี่ ได้เรื่องอย่างไรเล่าให้ฟังหน่อยนะ”
ระดับความสนใจของบารอนเวอร์บูมที่มีให้เธอดูท่าจะพุงเฉียดฟ้าล่ะมั้ง หากเป็นอย่างนั้นเขาจะต้องส่งต่อข่าวลือได้ดีกว่าแอนนี่แน่นอน ปูกระดานไว้ให้เรียบร้อยแล้วที่เหลือก็แค่รอเท่านั้น
โยนอุบายที่เรียกว่าแอนนี่ แสร้งขังตัวเองไว้ในห้องบอกว่าไม่สบายถึงขนาดที่เข้าเยี่ยมไม่ได้ แต่แล้วก็มีแขกที่ไม่ได้คาดคิดมาเยี่ยม
นั่นก็คือซาร่าและมาร์ควิสวินเซนต์
“อาเรีย…!”
“ซาร่า”
เมื่อเห็นใบหน้าซีดเซียวของอาเรียก็โพล่งร้องฟูมฟายออกมาทันที เพราะเธอทำให้ดูเหมือนป่วยโดยไม่ทานอาหารตามที่ควร
มาร์ควิสวินเซนต์ก็ทักทายเธอด้วยสีหน้าราวกับสงสารเธอ
“ยุ่งมากเลยนี่คะ มาได้อย่างไรกัน…”
เนื่องจากซาร่ายังตอบคำถามของอาเรียไม่ได้ มาร์ควิสจึงตอบให้แทน
“ได้ยินมาว่าเลดี้โดนปองร้าย เลยไม่ทันได้บอกกล่าวก่อนรีบมาเยี่ยมแบบนี้ครับ”
เพราะเธอดูเหมือนป่วยมากมาร์ควิสจึงมองเธอด้วยสีหน้าเศร้า ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อเขาสบตากับซาร่าภรรยาของเขาก็ไม่สามารถเอ่ยปากพูดอะไรได้อีก เพียงแค่เฝ้ามองภาพนั้นอย่างเงียบๆ
“ได้ยินว่ายังจับตัวคนร้ายไม่ได้ค่ะ”
“ดูเหมือนว่าจะวิ่งหนีไปตอนที่สลบน่ะค่ะ”
“ถ้าอย่างนั้นผมก็จะช่วยกระจายกำลังออกตามหาเพื่อให้จับได้ในเร็ววันครับ”
อาเรียที่ได้ยินว่ามีกำลังคนพร้อมที่จะออกตามจับตัวก็นั่งนิ่งพลางพยักหน้าอยู่เรื่อยๆ
แม้คิดว่าเพียงแค่ข้ารับใช้หนีไปคนเดียวเท่านั้นเอง ถึงกับต้องจ้างกำลังคนขนาดนั้นเลยเหรอ แต่เพราะเขาอธิบายอย่างเคร่งเครียดจึงทำได้แค่นั่งฟังนิ่งๆ
ซาร่าที่หยุดร้องไห้แล้วจึงจับมืออาเรียพลางพูด
“ไม่ต้องกังวลไปเลยอาเรีย เพราะมีฉันอยู่ข้างเลดี้อาเรียอย่างไรล่ะคะ”
“ซาร่า”
“แล้วก็ท่านมาร์ควิสด้วยค่ะ ใช่ไหมล่ะคะ”
“จริงด้วยค่ะ”
มาร์ควิสผงกหัวไปกับคำถามของซาร่า
‘หากเธอทำตัวเป็นนางร้ายต่างจากข่าวลือที่ว่ากัน พวกเขาจะยังอยู่ฝ่ายเดียวกับเธอไหมนะ’
ไม่แน่ว่าซาร่าอาจจะร่วมด้วยก็ได้ แม้จะเป็นนางร้าย หรือทำเรื่องไม่ดีแค่ไหนก็ตาม เธอน่าจะคิดว่ามีเหตุผลที่ต้องทำสินะ
เป็นความเชื่อใจที่ไม่เคยได้รับแม้แต่จากแม่ของเธอ
“…ขอบคุณนะคะ”
ทันทีที่อาเรียตอบทั้งที่ขอบตาแดงก่ำ ซาร่าก็ดึงตัวอาเรียเข้าไปกอดและเริ่มร้องไห้ จนตาบวมเป่งจึงหยุดร้อง เนื่อจากจะกลับไปในสภาพนี้ไม่ได้ อาเรียจึงเอาหมวกให้เธอยืมไปใส่ปิดบังแล้วกลับคฤหาสน์ไป
คำพูดของซาร่าที่บอกว่าจะอยู่ข้างเธอไม่ใช่คำพูดเปล่าๆ เพราะจากที่เธอสัมผัสมาด้วยตัวเองว่า ‘อาเรียไม่ใช่นางร้าย แต่เป็นเด็กหญิงแสนดีต่างหาก’ เธอจึงเริ่มส่งต่อความเห็นตัวเองไปทั่วซึ่งมาร์ควิสวินเซนต์ก็ยังสนับสนุนบอกว่า ‘หวังว่าจะแก้ไขปัญหาของเลดี้โรสเซนต์ได้ในเร็ววัน’ อีกด้วย
คำพูดโน้มน้าวจากผู้มีอำนาจแน่นอนว่าต้องส่งผลมากกว่าข่าวลือที่ส่งปากต่อปากอยู่แล้ว
ไม่นานมานี้เองที่เข้าร่วมพิธีหมั้นของซาร่า ทำให้คนในงานต่างชื่นชอบและสนใจอาเรียมาก
เพราะฉะนั้นแทนที่จะปล่อยข่าวลือไม่รู้ต้นตอ จึงเลือกที่จะปล่อยให้เธอที่ได้รู้จักสนิทสนมจริงๆ ได้พูดความเห็นของตัวเองทีละอย่างสองอย่าง
แน่นอนว่าใช้แอนนี่ให้เป็นประโยชน์ด้วย เพราะหล่อนปล่อยข่าวไว้ที่นู่นที่นี่บ้าง ทำให้ภาพลักษณ์ของอาเรียกลายเป็นเลดี้ที่โดนเคราะห์ร้ายอย่างเสียไม่ได้
ข้ารับใช้ในคฤหาสน์ก็ซุบซิบนินทาจากนั้นท่านเคานต์ก็ไม่พอใจ ส่วนเคานติสก็ขอบตาแดงก่ำ
แล้วข่าวลือพวกนั้นก็ค่อยๆ เปลี่ยนไป ในช่วงหลายวันผ่านมามิเอลที่ไม่ได้ออกจากห้องเลยก็ได้รับจดหมายจากองค์หญิงอีกครั้ง
……………………….