“นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน…”
“กบฏ…!”
“ลอร์ดเคนมีส่วนร่วมในการก่อกบฏอย่างนั้นหรือ…”
“พูดเรื่องเพ้อเจ้ออะไรกัน!”
หลังจากเคนโดนกุมตัวไป เหล่าคนรับใช้ที่เหลืออยู่ตรงบริเวณโถงทางเดินเริ่มพากันกระซิบกระซาบบอกว่าพวกเขาไม่อยากจะเชื่อ
“เป็นอย่างที่คิดไว้จริงๆ ด้วย… ฉันน่าจะหยุดเขาไว้ตอนที่เจ้าชายบอกว่าเขากำลังสืบสวนอยู่…”
อาเรียอ้าปากราวกับว่าเธอรู้อะไรบางอย่าง พลางเช็ดน้ำตาที่เปียกปอนบนใบหน้า ทำให้สายตาทุกคู่มารวมกันอยู่ที่เธอทันที เพราะคิดว่าเธอรู้คำตอบของสถานการณ์อันเหลือเชื่อในตอนนี้
ทว่าต่อให้เธอไม่อธิบาย ยังไงข่าวลือก็จะแพร่ไปทั่วอาณาจักรและข้ามไปยังอาณาจักรอื่นๆ ภายในชั่วพริบตาอยู่ดี อาเรียจึงปิดปากเงียบ แล้วเปิดโอกาสพวกเขาจินตนาการกันไปเองต่างๆ นานา
“ต้องมีอะไรผิดพลาดแน่ๆ ฉันคงจะต้องรอจนกว่าความจริงจะถูกเปิดเผยออกมา…!”
เหล่าคนใช้โกรธและกำหมัดแน่นกับคำพูดของเธอที่บอกว่าเธอไว้ใจและจะรอเคนคนที่บีบบังคับขู่เข็ญเธอราวกับจะฆ่าให้ตายจนกระทั่งถึงเมื่อกี้
เขาทำเรื่องโหดร้ายแบบนั้นกับอาเรียผู้แสนดีขนาดนี้ลงได้อย่างไรกัน
“คุณแม่ได้โปรดตั้งทนายให้ท่านพี่หน่อยนะคะ ทั้งท่านพี่และมิเอลก็จากไปแล้ว ต่อจากนี้คนที่เป็นเจ้าของบ้านที่แท้จริงของตระกูลเคานต์ก็คือคุณแม่ใช่ไหมละคะ”
“…นั่นสินะ อัศวินบอกว่าเขาสามารถขอทนายได้ ก็ควรจะหาให้เขาสิเนอะ เรามาทำในสิ่งที่เราทำได้กันเถอะ”
เคาน์ติสปรับสีหน้าของตัวเองให้ดีขึ้นในไม่ช้า บอกว่าเธอจะหาทนายมาให้เคนเอง ก่อนจะเดินลงไปบันไดไป
ตอนนี้เธอก็คงจะช่วยหาทนายเก่งๆ มาเปิดโปงทุกความผิดบาปของเคน และเธอก็คงใช้มันเป็นข้ออ้างในการหย่ากับท่านเคานต์
เธอที่ฮุบทรัพย์สมบัติทั้งหมด และทอดทิ้งสามีที่ป่วยนั้น มีอิสระที่จะทำอะไรก็ได้
“ตายจริง เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นได้อย่างไร…!”
“นี่ไม่ใช่ความฝันใช่ไหม”
เหล่าคนรับใช้เดินจากไป พร้อมเสียงกระซิบกระซาบกันตามฝีเท้าเบาๆ ของเธอ แล้วอาเรียก็เข้าห้องของเธอไป โดยมีแอนนี่และเจสซี่คอยช่วยพยุง
“เลดี้… นี่มันเรื่องอะไรกันคะ…”
“อัศวินบอกว่าท่านพี่พยายามวางแผนก่อกบฏน่ะ”
อาเรียปรับสีหน้า แล้วตอบคำถามของแอนนี่ที่ยังคงไม่เข้าใจด้วยใบหน้าเรียบเฉย ราวกับเธอไม่เคยหวาดกลัวจนน้ำตาคลอมาก่อน
“เธอไม่เห็นพวกทหารที่ออกไปเมื่อเช้าหรือ ก็คือพวกที่ปลอมตัวตามปกติตลอดช่วงที่ผ่านมานั่นละ และเธอก็น่าจะเคยได้ยินข่าวลือว่าคฤหาสน์ของเหล่าขุนนางคนอื่นๆ เองก็เต็มไปด้วยแขกที่น่าสงสัยนะ”
ตอนนั้นเองที่แอนนี่รู้แล้วว่าพวกเขาคือเหล่าทหารสำหรับการกบฏในครั้งนี้ เธอก็เอามือขึ้นมาปิดปากของตัวเอง เหมือนกับเธอเข้าใจท่าทีการกระทำต่างๆ อันแปลกประหลาดของตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมาของพวกเขา
“ดิฉันก็นึกสงสัยอยู่ว่าพวกเขาคือใครกันแน่ เพราะลอร์ดเคนอนุญาตให้พวกเขาใช้เงินไปมากมายขนาดนั้น ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าจะเป็นพวกทหารนั่นเอง…!”
“เลดี้ทราบอยู่แล้วหรือคะ”
อาเรียเผยยิ้มอย่างมีเลศนัยให้กับคำถามของเจสซี่ที่กำลังตกใจอยู่ แล้วเปลี่ยนหัวข้อสนทนา
“ฉันจะออกไปข้างนอก พวกเธอเตรียมตัวเลย”
“…ออกไปข้างนอกหรือคะ ตอนนี้หรือคะ”
“ใช่ เพราะว่าไฮไลท์ของวันนี้กำลังรอฉันอยู่น่ะสิ ไม่เข้าร่วมไม่ได้หรอก ฉะนั้นก็ต้องเตรียมตัวออกไปสิ พวกเธอก็จะไปด้วยกันใช่ไหม”
แอนนี่และเจสซี่มองหน้ากันหาคำตอบให้กับคำพูดที่พวกเธอไม่เข้าใจ แล้วจึงรีบออกจากห้องไปเตรียมน้ำล้างหน้าทันทีหลังจากที่อาเรียบอกว่าเธอร้องไห้จนแสบตา
* * *
ไอซิสกลับมายังคฤหาสน์หลังอาหารค่ำอันน่าอารมณ์เสีย เธอพูดคุยกับท่านดยุกเกี่ยวกับเรื่องที่จะเกิดขึ้นต่อจากนี้
“ฉันจะส่งพวกราชวงศ์ไปอยู่ในคุกให้หมด แล้วอีกสักพักหนึ่งฉันก็จะเข้ารับช่วงต่อ”
“ค่ะ เพราะไม่ว่าอย่างไรท่านโรฮันก็ต้องดูแลอาณาจักรโครอาด้วยอยู่แล้ว และเหล่าขุนนางอื่นๆ ก็ต้องเห็นด้วยกับเรื่องนั้นเช่นกันค่ะ”
“พอจบเรื่องแล้ว ลูกต้องเข้าพิธีสมรสทันที”
“ค่ะ ลูกกำลังจะพูดถึงเขาพอดีเลย เราตัดสินใจจะจัดพิธีสมรสทันทีที่อาณาจักรตกไปอยู่ในมือของท่านโรฮันค่ะ แล้วลูกก็จัดทำเอกสารใหม่เตรียมไว้เรียบร้อยแล้วค่ะ”
“ดี น่าพอใจมากทีเดียว เป็นเพราะเจ้าชายโง่เง่านั่น เลยทำให้มีปัญหากลางคันนิดหน่อย แต่ก็ทำให้ผลสุดท้ายเราบรรลุผลสำเร็จที่ยิ่งใหญ่กว่า ทำได้ดีมาก ลูกสร้างผลงานได้ยอดเยี่ยม”
“…ไม่หรอกค่ะ ขอบคุณที่เชื่อใจและวางใจให้ลูกทำต่อจนจบนะคะ”
ดวงตาของไอซิสเริ่มแดงขึ้นมา เพราะเธอนึกถึงเรื่องความลำบากทั้งหลายในช่วงที่ผ่านมา
ในตอนที่ท่านดยุกกำลังจะตบไหล่ปลอบใจไอซิสนั่นเอง
“ท่านพี่ ท่านพ่อ! ผมว่าคิดดูใหม่อีกทีจะดีกว่านะครับ…!”
ออสการ์ปรากฏตัวขึ้นอย่างกะทันหัน โดยไม่ได้สนใจบรรยากาศรอบข้าง เขาเสนอข้อกังขาที่ยืนกรานไปตั้งไม่รู้กี่รอบตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมาอีกครั้ง เขามีท่าทีตื่นเต้นมากเป็นพิเศษ คงจะเป็นเพราะศึกตัดสินอยู่ข้างหน้าเขาแล้ว
“ผมมั่นใจว่าเจ้าชายก็ทราบดีว่าพวกคนที่ระบุตัวตนไม่ได้เข้ามาอยู่ในคฤหาสน์ของพวกเราหลายเดือนแล้ว ไม่มีทางที่เขาจะไม่สืบเรื่องอะไรเลยหรอกครับ! เขาต้องเตรียมการอะไรบางอย่างอยู่แน่ๆ ครับ!”
ท่านดยุกตอบกลับข้อกังขาอันมีเหตุผลนั้นราวกับว่าเขาช่างโง่เหลือเกิน
“ตัวตนของพวกเขาทุกคนเพิ่งจะได้รับการยืนยันจากอาณาจักรโครอา ฉะนั้นไม่มีเรื่องอะไรต้องกังวลหรอก แถมต่อให้เจ้าชายมีข้อสงสัย เขาก็ไม่มีทางรู้ว่าเราจะโจมตีเมื่อไหร่ หรือขนาดใหญ่แค่ไหน ฉะนั้นเราก็ควรจะถือเสียว่าชัยชนะอยู่ข้างเราสิ “
และเมื่อท่านดยุกพูดซ้ำคำเดิม ออสการ์ก็เสนอข้อกังขาอื่นอีก เหมือนที่เขาทำทุกครั้ง
“…แล้วผมก็สงสัยว่ากษัตริย์หนุ่มของโครอาอยู่ข้างเราตั้งแต่แรกจริงๆ หรือเปล่าเหมือนกันครับ และนี่ก็ยังไม่ถึงวันเลยที่เขามาเยี่ยมเราแท้ๆ แล้วการโจมตีนั่นมันอะไรกันครับ! มันเร็วเกินไปนะครับ!”
พอเขาสงสัยในสิ่งที่เขาไม่ควรแม้แต่จะสงสัย ท่านดยุกก็จ้องมองเขาตาขมึง แล้วเรียกคนรับใช้ให้มาพาตัวออสการ์ออกไป เหมือนกับไม่มีค่าพอให้ฟังเรื่องที่เขาพูดอีกต่อไป
“เอาเขาไปไว้ในห้อง เฝ้าไว้อย่าให้เขาออกมาได้ล่ะ กั้นประตูเอาไว้ด้วยก็ได้”
“ท่านพ่อครับ! ได้โปรดคิดทบทวนดูใหม่อีกทีเถอะครับ! เราต้องระวังตัวให้มากกว่านี้นะครับ!”
“ไม่ เราจะระวังตัวไปมากกว่านี้ไม่ได้แล้ว มันเกิดขึ้นแล้ว คนเป็นพันกำลังเคลื่อนตัวอยู่นะ!”
สุดท้ายออสการ์ก็ถูกลากตัวไปและถูกขังไว้ในห้องของตัวเอง ทางเข้าถูกกั้นอย่างแน่นหนาด้วยเฟอร์นิเจอร์ชิ้นใหญ่ ทำให้เขาไม่สามารถหนีเล็ดลอดออกไปได้
ลูกชายคนเดียวของเขาดีแต่สร้างปัญหา ทำให้เท่านดยุกอารมณ์เสีย เขาขมวดคิ้วแล้วพูดกับไอซิส
“…ลูกคงจะยุ่งตั้งแต่พรุ่งนี้ไป ฉะนั้นรีบกลับห้องแล้วรีบนอนดีกว่านะ”
“…ค่ะ ท่านพ่อ”
ความรื่นเริงมลายหายไปเพราะการขัดขวางของออสการ์ ไอซิสกลับมาที่ห้อง และก่อนที่เธอจะเข้านอน เธอก็คิดนู่นคิดนี่อยู่พักหนึ่ง
เธอตั้งใจจะคิดถึงความดีอกดีใจแห่งชัยชนะในอีกไม่กี่ชั่วโมงต่อจากนี้ แต่แล้วสิ่งที่ผุดขึ้นมาในหัวของเธออย่างไม่มีสาเหตุก็คือเจ้าชายและอาเรีย
จนถึงตอนนี้ไอซิสไม่เคยเห็นท่าทีของเจ้าชายที่จับมือของอาเรีย แล้วสั่นเทาด้วยความกลัวมาก่อนแม้แต่ครั้งเดียว ไม่สิ แต่มันเป็นท่าทีที่เธอไม่เคยเห็นมาก่อนไม่ว่าจะใครคนไหนก็ตาม ไม่ใช่แค่เจ้าชาย
มันช่างเป็นการกระทำที่ต่ำช้าและน่าอับอายเหมือนกับว่าเขากำลังแสดงให้ทุกคนเห็นถึงวิธีการเล่นเป็นคนรักกับลูกสาวของโสเภณี
‘ก็เขารีบออกไปด้วยสีหน้าประหม่าเสียขนาดนั้น…’
เห็นได้ชัดว่าเขาคงจะทำเรื่องอะไรที่น่าอับอายเกินกว่าจะพูดออกมาจากไปได้แน่ๆ
เขาคงจะทำเรื่องน่ารังเกียจและสกปรกลงไป เพราะเขาติดอยู่กับหญิงชั้นต่ำแบบนั้น เธอจินตนาการไปเรื่อย แล้วขมวดคิ้วจิบชาอย่างหงุดหงิด ก่อนจะมีใครบางคนมาเคาะประตูห้อง
“ดัชเชส ถ้ายังไม่หลับ ผมมีเรื่องอยากจะคุยด้วยสักครู่หนึ่งน่ะ”
“ท่านโรฮัน …เข้ามาได้เลยค่ะ”
โรฮันที่เธอว่าจะไปหาตอนรุ่งเช้านั้น มาหาเธออย่างไม่บอกไม่กล่าว
เพราะเธอคิดว่าเรื่องที่จะคุยน่าจะจบไปตั้งแต่ตอนมื้อค่ำแล้ว เธอคิดสงสัยขึ้นมา แต่ก็คิดว่าเขาน่าจะยังมีเรื่องอะไรที่ต้องคุยเหลืออยู่ เลยเชิญเขาเข้ามาข้างใน
“ไม่เป็นไร คุยกันตรงนี้แหละ ใช้เวลาไม่นานหรอก”
เขาส่ายหัวปฏิเสธไอซิสที่บอกให้เขาเข้ามาข้างใน
“พรุ่งนี้ตอนที่เหล่าทหารไปรบ ดัชเชสเองก็ไปด้วยกันดีไหม”
“…ดิฉันด้วยหรือคะ”
“ใช่ เพราะไม่ว่าอย่างไรมันก็จะจบลงอย่างรวดเร็วอยู่แล้ว ท่านจะพลาดโอกาสรับชมภาพอันน่าตื่นเต้นที่จะมีเพียงแค่ครั้งเดียวในชีวิตเท่านั้นนะ”
มันเป็นภาพที่หาดูไม่ได้ง่ายๆ อย่างที่เขาบอกว่าพวกเขาจะเข้ายึดราชวัง ขับไล่บรรดาราชวงศ์ที่เดินวนไปมาวนมาทำอะไรไม่ถูก แล้วจับกุมพวกเขาราวกับเป็นนักโทษ
ทว่า
“แต่ว่ามันจะไม่อันตรายหรือคะ…”
ถึงแม้จะเป็นการจู่โจมอย่างกะทันหัน แต่แค่เธอจินตนาการว่าจะต้องไปอยู่กลางสนามรบ ก็รู้สึกไม่สบายใจและหวาดกลัวแล้ว โรฮันบอกเธอว่าไม่ต้องกังวล เพราะเขาก็จะไปกับเธอด้วย ราวกับมันเป็นคำถามที่เขาคิดไว้อยู่แล้ว
“ไม่รู้สิ ผมรู้สึกสงสัยมากๆ เลยล่ะ ว่าใบหน้าของพวกที่ไม่รู้ที่ต่ำที่สูงแล้วทำตัวน่ารำคาญจะเป็นใบหน้าแบบไหนน่ะ ถ้าท่านกังวล ผมจะอยู่ข้างๆ ไม่ห่างเอง ถ้าผมอยู่ข้างๆ แล้วจะไม่รู้สึกโล่งใจหรือครับ”
แน่นอนว่าถ้าอยู่ข้างเขาที่เป็นกษัตริย์ของอาณาจักร ก็คงจะปลอดภัยอยู่แล้ว แต่มันคงจะอันตรายกว่าคฤหาสน์ดยุกที่เต็มไปด้วยเหล่าพลทหารไม่ผิดแน่
แต่ถึงอย่างนั้นใจของเธอก็เอนเอียง เพราะใบหน้าชั้นต่ำของอาซและอาเรียที่เธอเห็นเมื่อตอนเย็น
“ไม่ต้องกังวลไปหรอก ผมจะให้พวกอัศวินมาอยู่รอบๆ ท่านด้วย”
“ได้ค่ะ ถ้าอยู่ข้างๆ ท่านโรฮัน ดิฉันก็คงจะปลอดภัยเป็นแน่ค่ะ ถ้าอย่างนั้นดิฉันจะไปกับท่านค่ะ”
เมื่อเธอตอบว่าเธอจะไป โรฮันก็แสดงท่าทีดีใจ ยกมุมปากขึ้นอย่างเต็มที่
“ดีใจที่ท่านเชื่อใจและตัดสินใจแบบนั้นนะ แล้วก็หวังว่าพรุ่งนี้จะเป็นวันที่ดีสำหรับดัชเชสครับ”
“ดิฉันก็หวังว่ามันจะเป็นวันที่ดีสำหรับท่านโรฮันด้วยเช่นกันค่ะ”
“ฮ่าๆ ผมรู้สึกดีไปก่อนแล้วนะนี่”
สีหน้าของโรฮันที่ตอบกลับไปเช่นนั้นดูมีความสุขจากใจจริง สีหน้าเหมือนกับว่าเขาเจอเกมสนุกๆ ที่จะไม่เกิดขึ้นอีกแล้วบนโลกใบนี้
บทสนทนาของเขากับอาซที่ร้านอาหารยังติดใจเธออยู่นิดหน่อย แต่พอเห็นเขาดูมีความสุขขนาดนี้แล้ว เธอก็เข้าใจได้ว่าเขามีความสัมพันธ์ที่ไม่ดีกับอาซจริงๆ
“ถ้าอย่างนั้นก็เจอกันพรุ่งนี้นะ พักผ่อนให้สบาย เพราะต่อจากนี้ท่านก็จะยุ่งขึ้นแล้ว”
“ค่ะ ท่านโรฮันเองก็เช่นกันค่ะ”
หลังจากโรฮันออกไป เธอก็เอนตัวลงบนเตียง เตรียมตัวนอนพักผ่อนสำหรับวันพรุ่งนี้ตามที่เขาบอก
ทว่าความคิดเกี่ยวกับเจ้าชายนั้นได้ผุดขึ้นมาในหัวเธออีกครั้ง ทำให้สุดท้ายรุ่งอรุณก็มาเยือน โดยที่ไม่ได้หลับเลยแม้แต่งีบเดียว มันเป็นวันที่เธอเตรียมตัวเตรียมใจและตั้งหน้าตั้งตารอมาตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา จะให้เธอหลับลงอย่างสบายใจได้อย่างไรกัน
‘ตอนนี้ฉันก็สามารถทำให้เจ้าชายที่ทำให้ฉันอับอายมาคุกเข่าลงแทบเท้าฉันได้แล้ว…! และนางหญิงชั้นต่ำนั่นด้วย!’
ไอซิสแต่งกายอย่างสง่างามให้เหมาะสมกับผู้ครองอำนาจคนใหม่ แล้วออกจากคฤหาสน์ไป
เหล่าทหารที่สวมใส่ชุดเกราะที่ดูแข็งแรงและถือดาบอันแหลมคมต่างมารวมตัวเตรียมพร้อมในชั่วพริบตา พวกเขาดูน่าไว้วางใจราวกับว่าพวกเขาจะฆ่าฟันศัตรูและช่วงชิงราชวังกลับมาให้ในทันทีที่ได้รับคำสั่ง
“ออกมาเร็วจังนะ ดัชเชสไอซิส”
และที่ข้างๆ ของเขามีมิเอลที่กลับมามีใบหน้าบริสุทธิ์ไร้เดียงสา เพราะไม่จำเป็นต้องปลอมตัวอีกต่อไป
มิเอลที่เอาใจโรฮันและช่วยชีวิตเธอไว้ด้วยการขายข้อมูลของเจ้าชายและอาณาจักร ทักทายไอซิส
“อรุณสวัสดิ์ค่ะ ท่านไอซิส”
เธอดูมาดมั่นมากเสียจนยากที่จะพูดได้ว่าเป็นคนเดียวกับหญิงสาวที่ถูกขังและนั่งร้องไห้อยู่ในคุกจนถึงเมื่อไม่นานมานี้
แม้ว่าเธอจะล้มเหลวและพ่ายแพ้ต่อตนเองตั้งไม่รู้กี่ครั้ง แต่มิเอลก็คงจะต้องทนความทุกข์ทรมานมากพอๆ กับเธอ เธอจึงเข้าใจความรู้สึกมิเอล และทั้งสองก็ทักทายกันอย่างยินดี
“สวัสดีตอนเช้าค่ะ ท่านโรฮัน และมิเอล”
“นั่นสินะ ช่างเป็นรุ่งเช้าที่ดีสำหรับการฆ่าลูกจอมโอหังเสียจริงๆ”
“กำลังจะออกกันแล้วใช่ไหมคะ”
“เปล่า เราจะออกเดินทางกันหลังรุ่งสางคงจะดีกว่า เพราะฉันตัดสินใจว่าจะให้พวกทหารที่อยู่ในคฤหาสน์ท่านดยุกดูแลเลดี้น่ะ เลยไม่จำเป็นต้องรีบร้อนอะไรจริงไหม”
เหล่าทหารที่อาศัยอยู่ในคฤหาสน์ท่านดยุกนั้นมีมากกว่าร้อยคน ไอซิสรู้สึกโล่งใจอย่างเห็นได้ชัดและขอบคุณสำหรับความเอาใจใส่ของโรฮันที่ตัดสินใจสั่งให้พวกเขาทั้งหมดมาปกป้องเธอ
“พอมีเหล่าทหารจำนวนมากขนาดนี้มาปกป้อง ก็รู้สึกโล่งใจมากเลยค่ะ และถ้าฉันออกไปหลังฟ้าสว่าง สงครามทั้งหมดก็คงจะจบลงแล้วด้วยค่ะ”
“ก็คงจะเป็นเช่นนั้น”
และแล้วความมืดมิดของช่วงเวลาเช้ามืดได้หายไปอย่างรวดเร็วโดยไม่ต้องรอนาน และฟ้าก็เริ่มสว่างขึ้น
ในขณะเดียวกัน ไอซิสที่ทานอะไรง่ายๆ เป็นมื้อเช้า ได้มุ่งหน้าไปยังราชวังที่คิดว่าเหล่าทหารจำนวนมากน่าจะเข้ายึดครองเรียบร้อยแล้ว เธอขึ้นรถม้าไปกับโรฮันที่หน้าตาดูอารมณ์ดีและมิเอลที่หน้าแดงด้วยความตื่นเต้น
‘…ทำไมมันถึงเงียบอย่างนี้นะ’
ทว่าถนนที่วิ่งผ่านนั้นดูเงียบเหงาเป็นอย่างมาก ราวกับไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น
แม้ปลายทางจะเป็นราชวัง แต่เหล่าทหารจำนวนมากก็ได้ออกเดินทางก่อนรุ่งสางเพื่อไปซุ่มโจมตีแล้ว ดังนั้นพวกที่ไปดูแล้วยืนยันเรื่องนั้นได้แล้วก็น่าจะก่อความโกลาหลวุ่นวายขึ้นแท้ๆ แต่ทำไม
“…การปราบปรามได้… จบลงแล้วใช่ไหมคะ เงียบจังเลยนะคะ”
เมื่อไอซิสถามด้วยความไม่สบายใจ โรฮันก็หัวเราะแล้วบอกว่าก็น่าจะเป็นเช่นนั้น
“ฉันบอกให้จบเรื่องให้เร็วและเงียบที่สุด และดูเหมือนว่าพวกเขาคงจะทำแบบนั้นจริงๆ”
“อย่างนั้นสินะคะ… ถึงอย่างนั้นฉันก็แอบคิดว่ามันเร็วไปนิดหนึ่งน่ะค่ะ”
“ก็เพราะอีกฝ่ายไม่ใช่คนที่แข็งแกร่งอะไร และเราก็ไม่จำเป็นต้องส่งทหารไปจำนวนมากขนาดนั้น แล้วทั้งหมดก็ต้องขอบคุณเลดี้มิเอลที่ให้ข้อมูลฉันมากขนาดนี้”
“…จริงหรือคะ”
มิเอลถามออกไปเช่นนั้น เธอทำตัวไม่ถูกเมื่อจู่ๆ ก็ได้รับคำชมจากโรฮัน เขาหัวเราะเบาๆ ลูบหัวมิเอลอย่างอ่อนโยน แล้วยอมรับ
“แน่นอนสิ เลดี้ช่วยฉันได้มากที่สุดกว่าหนังสือข้อมูลเล่มไหนๆ เลยล่ะ”
“ดิฉันดีใจที่เป็นประโยชน์ให้กับท่านโรฮันได้เจ้าค่ะ…!”
ดวงตาของมิเอลที่หันไปทางโรฮันนั้นส่องประกายงดงาม มันเป็นดวงตาเดียวกับที่เธอเคยส่งให้ออสการ์ในช่วงที่ผ่านมา
ในช่วงเวลาอันสั้นนี้ไอซิสได้รับรู้ว่าเธอได้ตกหลุมรักโรฮันเข้าอย่างจัง
‘ทั้งที่คิดว่าเธอให้ข้อมูลเพื่อเอาชีวิตรอดแท้ๆ แล้วเธอบังอาจมาทำแบบนี้ ไม่รู้ที่ต่ำที่สูง’
เธอทำเหมือนกับว่าจะอุทิศทั้งชีวิตของตนให้กับออสการ์ ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าจะหักหลังเขาในช่วงเวลาสั้นๆ แค่นี้ แค่คิดว่าเธอปล่อยให้มิเอลแต่งงานกับออสการ์โดยที่ไม่รู้เลยว่าความจริงเธอเป็นผู้หญิงแบบนั้น ก็น่าขนลุกแล้ว
ในตอนที่ไอซิสกำลังอารมณ์เสียและคิดว่าถ้ากำจัดตระกูลเคานต์โรสเซนต์ทิ้งหลังพิธีสมรสกับโรฮันก็ไม่เลวนักอยู่นั่นเอง
จู่ๆ รถม้าก็หยุดอยู่ตรงบริเวณลานกว้างที่อยู่ห่างจากราชวังเล็กน้อย
“เหมือนจะถึงแล้วนะ”
“คะ พูดเรื่องอะไรกันคะ ยังอีกตั้งไกลกว่าจะถึงราชวังนะคะ”
ไอซิสถามโรฮัน มิเอลเองก็เบิกตาโพลง แล้วเปิดหน้าต่างของรถม้าออกไปดู
“นั่นน่ะสิ …เอ๊ะ ทำไมคนเยอะขนาดนี้ …เอ๊ะ อ๊ะ!”
เธอนึกสงสัยเพราะดูเหมือนว่าเธอจะพบเห็นอะไรแปลกเข้า แต่เธอก็ไม่สามารถพูดออกมาได้ ไอซิสพยายามจะดูว่ามิเอลเห็นอะไรกันแน่ถึงได้มีสีหน้าตกใจขนาดนั้น แต่แล้วจู่ๆ การมองเห็นของเธอก็เปลี่ยนไป
“กรี๊ด!”
และความเจ็บปวดอย่างสาหัสก็ค่อยๆ ตามมา
“เอาล่ะ ถึงแล้วเราก็ลงไปกันเถอะ ดัชเชสไอซิส เพราะทุกคนกำลังรอดัชเชสอยู่ไงล่ะ”
โรฮันคว้าผมของไอซิส แล้วถีบประตูรถม้าออกด้วยเท้าของเขาราวกับเป็นเรื่องสนุก มิเอลที่เฝ้ามองดูอยู่ใกล้ๆ เริ่มตัวสั่นเทาและหน้าซีดเผือดเมื่อเห็นภาพเหตุการณ์อันไม่น่าเชื่อนี้และโรฮันที่มีท่าทีเปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน
“ไม่ต้องเป็นห่วงนะ เพราะเดี๋ยวพวกเขาก็มารับแล้ว ช่วยรออย่างเงียบๆ ไปก่อนนะ มิเอล”
โรฮันที่กำลังจะออกไปข้างนอกบอกให้มิเอลรู้ว่าเดี๋ยวก็จะถึงตาของเธอแล้วอย่างอ่อนโยน แล้วลากไอซิสออกไปจากประตูที่เปิดอยู่
สิ่งที่รอคอยเธออยู่ ณ ที่นั้น ไม่ใช่สิ่งอื่นใดนอกเสียจากผู้คนที่เธอเกลียดแค้นชิงชังมากอย่างหาที่สุดไม่ได้
…………………………………………….