แกรก แกรก
โล่ทรงกลมดำขาวส่งเสียงออกมา ดูท่าคงใกล้จะแตกทลายลงเต็มที
เลือดสดๆ ทะลักออกมาจากจมูกของ ‘ใจมาร’ หลิงลี่
ร่างของเขาสั่นสะท้านรุนแรง สีหน้าขาวซีดจนน่ากลัว และรู้สึกได้ถึงการมาเยือนของความตาย
พลังของเจียวยักษ์แข็งแกร่งจนน่ากลัว
ณ เสี้ยวขณะนี้ ใจของเขาพลันรู้สึกเสียใจภายหลัง
ไม่ควรละโมบของล้ำค่าในตัวมังกรเจียวและประมาทเลย
อย่างไรเสียนี่ก็คือเจียวที่ใกล้แปลงเป็นมังกร บำเพ็ญตบะมาพันปี
ส่วน ‘หน้าเซียน’ โจวเข่อเอ๋อร์ก็ราวกับเสียสติ ไม่สนใจบาดแผลบนร่างของตน พุ่งไปยังเจียวยักษ์อย่างไม่คิดชีวิต กำลังภายในถูกกระตุ้นจนถึงขีดสูงสุด ทั่วร่างพันล้อมด้วยลายคลื่นกำลังภายในเหมือนเปลวไฟ นางกวัดแกว่งกระบี่คู่ ใช้กระบวนท่าที่เจ็บหนักทั้งสองฝ่าย ด้วยคิดจะช่วยชายคนรักมา
ตูม!
สตรีที่ท่าทางราวกับพยัคฆ์คลั่งโดนโจมตีลอยไปอีกครั้ง
“ไป…”
‘ใจมาร’ หลิงลี่คำรามลั่น
เลือดสดๆ ทะลักออกมาจากจมูกดุจน้ำพุ
มีเพียงแค่ในเวลานี้เท่านั้น เขาจึงจะสัมผัสพลังของเจียวที่ใกล้จะเป็นมังกรได้อย่างแท้จริงว่าน่ากลัวเพียงใด พลังมหาศาลที่โหมบ่ามานั้นไม่ใช่สิ่งที่ผู้แข็งแกร่งขั้นปรมาจารย์จะรับมือได้เลย
‘โล่หยินหยาง’ สีขาวดำไม่ใช่แค่การรวบรวมพลังเวทของเขาเท่านั้น แต่ยิ่งเป็นอาวุธวิเศษที่เขารักดั่งชีวิต เมื่อกระตุ้นลงไปจึงมีอานุภาพเช่นนี้ ทั้งสองเสริมพลังให้กันและกัน มากพอจะต้านทานการโจมตีซึ่งหน้าจากยอดปรมาจารย์ได้ แต่ยามอยู่ในกรงเล็บของเจียวยักษ์ตัวนี้ บนอาวุธวิเศษกลับเต็มไปด้วยรอยร้าวแล้ว
เมื่ออาวุธวิเศษแหลกทลาย ก็จะเป็นเวลาตายของเขา
ในฐานะที่เป็นคนในสำนัก นับจากที่เขาก้าวเข้ามาในเส้นทางยุทธจักรอันเนิบช้ายาวนาน ก็รู้ว่าช้าเร็วก็ต้องมีวันนี้
เครื่องกระเบื้องยังมีครั้งพลาดแตก นักรบอย่างไรเสียก็มีวันรบพ่าย
เขาแค่คิดไม่ถึงว่าตนไม่ตายในการต่อสู้กับผู้ชำนาญการต่อสู้ ไม่ตายในการเข่นฆ่ากับศัตรูคู่อาฆาต แต่กลับมาตายในกรงเล็บของสัตว์ตัวหนึ่ง
ยิ่งรู้ถึงความน่ากลัวของเจียวยักษ์ ใจของเขาก็ยิ่งสิ้นหวัง
และก็ยิ่งรู้ว่า ‘หน้าเซียน’ โจวเข่อเอ๋อร์ไม่ใช่คู่มือของเจียวยักษ์ ไม่อาจช่วยตนเองออกไปได้เช่นกัน
“รีบหนีไป…น้องหญิง อย่ามองข้าตาย”
หลิงลี่ที่หน้าตาอัปลักษณ์ ในดวงตามีเลือดทะลักออกมา ทำให้ยิ่งดูน่ากลัว แต่กลับพูดอย่างอ่อนโยนนัก
เขารักผู้หญิงที่สู้สุดชีวิตเพื่อเขาเบื้องหน้าคนนี้อย่างหมดหัวใจ
เขาไม่อยากให้นางต้องมาตายเพราะตน
“ไม่…” โจวเข่อเอ๋อร์ใกล้จะบ้าคลั่งแล้วเต็มที น้ำตาทะลักออกมาราวกับสายน้ำ ไม่สนใจอะไรทั้งนั้น
ไกลออกไป ผู้สืบทอดสำนักหมาป่าสวรรค์ไป๋หรูซวงใบหน้าขาวซีด แขนซ้ายหักห้อยต่องแต่ง คิดอยากจะลงมือแต่กลับลังเล
ตอนนี้หากมองไม่ออกว่าสามสี่คนนี้ไม่ใช่คู่มือของเจียวยักษ์ เช่นนั้นก็เป็นคนโง่แล้ว…
เผชิญหน้ากับสัตว์ยักษ์ที่โกรธเกรี้ยวเช่นนี้ หากฝืนต่อไปก็รนหาที่ตาย
ถึงแม้ของวิเศษเลือดเจียวจากเจียวยักษ์จะเป็นของดี แต่ก็ต้องมีชีวิตได้ใช้
“ช่วยเขาด้วย…” ‘หน้าเซียน’ โจวเข่อเอ๋อร์ขอความช่วยเหลือจากผู้อื่น “ข้ายอมจ่ายค่าตอบแทนทุกอย่าง”
แต่ไป๋หรูซวงมองผู้คุมกฎสำนักดับนิวรณ์ผู้งดงามราวเทพธิดาแวบหนึ่ง สุดท้ายก็ส่ายหน้าไม่พูดสักคำ แล้วจึงหมุนตัวจากไปทันที ร่างเคลื่อนไปราวกับดาวกะพริบ หายไปไกลลับตา
ผู้สืบทอดสำนักหมาป่าสวรรค์คนนี้ไร้ซึ่งจิตใจจะต่อสู้ หนีหายไปแล้ว
“รีบหนีไป น้องหญิง…ไป”
‘หน้ามาร’ หลิงลี่ฝืนไม่ไหวแล้ว
เลือดสดทะลักออกจากทวารทั้งห้า[1]บนใบหน้า
ของวิเศษคุ้มกายส่งเสียงกังวานดังเปรี๊ยะๆ แตกเป็นรอยร้าว ใกล้จะสลายเต็มที
แรงกดดันมหาศาลทำให้เขารู้สึกเหมือนตัวเองเป็นแมลงที่ถูกบีบอัดอยู่กลางก้อนหินขนาดมหึมาสองก้อน ร่างกายพร้อมจะแหลกเหลวทุกเวลา และในความเป็นจริงก็คือ…กระดูกทั่วร่างเขาตอนนี้หักไปแล้วไม่รู้ต่อกี่ท่อนแล้ว
แม้แต่พลังเวทคุ้มกายก็เริ่มสลายแล้ว
“หนีไปเร็วเข้า…” หลิงลี่ตวาด
หากตนตายแล้วนางเผชิญหน้ากับเจียวที่โมโหคุ้มคลั่ง โจวเข่อเอ๋อร์เพียงคนเดียวยากที่จะรับมือได้ และไม่มีทางหนีพ้นแน่นอน ในช่วงเวลาเช่นนี้ ชายที่หน้าตาอัปลักษณ์ทิ้งความคิดที่จะมีชีวิตรอดไป หวังเพียงสตรีที่ตนรักอย่างสุดซึ้งผู้นี้จะรอดหนีไปได้
“ไม่…” โจวเข่อเอ๋อร์เจ็บปวดสิ้นหวัง “ใครก็ได้ช่วยข้าที…”
ช่วงเวลาความเป็นความตายในชั่วพริบตา เทพธิดาที่แต่ไหนแต่ไรมามากปัญญากลอุบายเหนือกว่าคนทั่วไปยากจะนิ่งสงบได้
นางตื่นตระหนกลนลานเหมือนกับคนทั่วไปที่อับจนหนทาง
และในเวลานี้เอง…
“แกรก…”
‘โล่หยินหยาง’ คุ้มกายบนร่างของ ‘หน้ามาร’ หลิงลี่แตกทลายลงโดยสมบูรณ์
“ไม่…”
โจวเข่อเอ๋อร์โกรธแค้นจนดวงตาแทบทะลักออกจากเบ้า พลางตะโกนออกมาอย่างสิ้นหวังน่าสังเวช
นางเหมือนจะเห็นหลิงลี่โดนขยี้แหลกกลายเป็นเนื้อเละๆ
แต่ว่าเสียงร้องตะโกนเช่นนี้ดังอยู่ไม่นานเท่าไหร่
ฟุ่บ!
เงาร่างหนึ่งก็บินเข้ามา
“พาเขาไปจากสนามต่อสู้”
เสียงอ่อนเยาว์ที่ไม่คุ้นเคยดังขึ้น ทั้งยังหนักแน่นมีพลัง
‘หน้าเซียน’ โจวเข่อเอ๋อร์แทบจะรับไปโดยสัญชาตญาณ
นางก้มลงมอง เงากลุ่มนี้คือ ‘ใจมาร’ หลิงลี่ที่ก่อนหน้านี้อยู่ในกรงเล็บเจียวนั่นเอง
‘ใจมาร’ หลิงลี่ในตอนนี้สลบไปแล้ว ทั่วร่างเต็มไปด้วยเลือด ราวกับเพิ่งงมขึ้นมาจากสระเลือดก็ไม่ปาน ในขณะเดียวกันแขนขาก็อ่อนปวกเปียกไร้เรี่ยวแรง เห็นได้ชัดว่ากระดูกแหลก แต่ยังมีลมหายใจอยู่
ทว่านี่ก็เพียงพอแล้ว
สำหรับผู้แข็งแกร่งระดับเขา กระดูกทั่วร่างแหลกละเอียดก็ไม่เป็นไร ขอแค่ไม่ตายอยู่ตรงนั้น อาการบาดเจ็บเช่นนี้ไม่ว่าจะสาหัสเพียงใด สุดท้ายก็สามารถอาศัยพลังเวท กำลังภายใน หรือของวิเศษล้ำค่าต่างๆ มาเสริมบำรุงให้ฟื้นสภาพคืนมาได้
อย่างไรเสียจอมยุทธ์ก็แข็งแกร่งยิ่งนัก..โดยเฉพาะพลังชีวิตของผู้ปราดเปรื่องด้านยุทธ์
‘หน้าเซียน’ โจวเข่อเอ๋อร์นึกว่าตัวเองฝันไป
นางกะพริบตาโดยไม่รู้ตัว มองดูอย่างละเอียด ยืนยันว่าคนที่นางกอดอยู่ในอ้อมอกคือชายคนรักหลิงลี่จริงๆ
เขายังมีชีวิตอยู่
ความยินดีมากล้นทำเอาโจวเข่อเอ๋อร์สั่นสะท้านอย่างตื่นเต้น
ความคิดสติสัมปชัญญะของนางกระทั่งว่าค่อนข้างสับสน
เสี้ยวขณะเมื่อครู่นั้น กรงเล็บเจียวยักษ์เห็นอยู่ชัดๆ ว่าใกล้จะขยี้หลิงลี่ให้กลายเป็นเนื้อเละเต็มที แต่ทำไมช่วงเวลาสุดท้ายกลับ…
นางมองไปข้างหน้าทันที
เจียวกำลังคำรามอย่างโมโห
โจวเข่อเอ๋อร์ได้เห็นภาพที่ไม่คาดฝัน
ขุนนางเมืองน้อยคนนั้น เด็กหนุ่มที่ผมดกดำแต่กลับสั้นเกรียนราวกับพระภิกษุ ไม่รู้ว่ากระโดดไปอยู่ในกรงเล็บของเจียวตั้งแต่เมื่อใด
แขนทั้งสองที่ทั้งยาวและแข็งแรง กล้ามเนื้อนูนขึ้นราวเนินเขาลูกเล็กๆ มือทั้งสองคว้านิ้วหนึ่งของกรงเล็บเจียวเอาไว้ได้ ท่ามกลางเสียงคำราม เขาง้างกรงเล็บที่มั่นคงทรงพลังและไม่อาจขัดขืนได้ซึ่งใกล้จะกำสนิทออกกว้างทีละน้อย
นี่ช่างเป็นภาพน่าตื่นตะลึงที่ทำให้คนยากจะเชื่อได้
ภาพที่เห็นราวกับมดตัวหนึ่งยกเท้ายักษ์ราวกับเขาไท่ซานที่เหยียบลงมาขึ้นไปทีละนิด
ที่แท้ขุนนางเมืองอำเภอขาวพิสุทธิ์ง้างกรงเล็บของเจียวเอาไว้ได้ในชั่วเวลาเส้นยาแดงผ่าแปด และช่วยญาติผู้พี่ของนางออกมาได้
โจวเข่อเอ๋อร์เข้าใจในทันที
ในหัวของนางมีความรู้สึกตื่นตะลึงยากที่จะบรรยายถาโถมออกมาราวกับคลื่นยักษ์อันบ้าคลั่ง
พลังที่เจียวบีบกรงเล็บในชั่วพริบตานั้นน่ากลัวเพียงใด เพียงแค่อาวุธวิเศษที่สามารถต้านทานยอดปรมาจารย์ได้ซึ่งๆ หน้าถูกบีบแหลกละเอียด ก็รู้แน่ชัดแล้วว่าเทียบได้กับยอดฝีมือชั้นยอดขั้นปรมาจารย์เช่นพวกเขาได้แน่นอน
แต่เด็กหนุ่มคนนี้กลับอาศัยพลังกายของตนง้างกรงเล็บเจียวที่บีบเข้ามาได้ทีละนิดๆ…นี่ หรือเด็กหนุ่มคนนี้จะเป็นมังกรบรรพกาลแปลงกายมา?
หากพูดว่าก่อนหน้านี้หลี่มู่โยนหินทุ่มเจียวยักษ์ร่วงลงไปในทะเลสาบติดกันสองครั้ง ความรู้สึกที่สร้างให้กับ ‘หน้าเซียน’ โจวเข่อเอ๋อร์คือความตื่นตะลึงแล้วละก็ เช่นนั้นในยามนี้ ภาพที่เขาง้างกรงเล็บเจียวได้อย่างหน้าตาเฉย ความรู้สึกที่นำมาให้สตรีฉลาดมากเล่ห์ผู้นี้กลับเป็นความหวาดกลัว
ใช่แล้ว เป็นความหวาดกลัว
พลังกายที่แข็งแกร่งได้ถึงขั้นไร้เหตุผลเช่นนี้ ใครกันเล่าจะไม่กลัว
ข้างล่าง ขอทานเฒ่าและสุนัขอ้วนสีน้ำตาลลายขาวยืนอยู่ข้างๆ โลลิน้อยหมิงเยวี่ยที่เงียบจนผิดปกติ
“เจ้าว่าอย่างไร ต้าหวง?” ปากของขอทานเฒ่าเปิดปิดเหมือนเครื่องจักร
สุนัขสีน้ำตาลก็ราวกับรูปสลัก ก่อนอ้าปากเห่า “โฮ่ง!”
……
“กางออก!”
หลี่มู่ตะโกนสั่ง
เลือดทั่วร่างของเขาเหมือนกำลังเผาไหม้
เขากระทั่งได้ยินเสียงกระดูกทุกข้อทั่วร่างของตนส่งเสียงกร๊อบๆ ราวกับถั่วระเบิด
พลังที่ไม่เคยมีมาก่อนปะทุขึ้นในร่างอย่างหนำใจ
เขาแผ่คลื่นพลัง กางเล็บของเจียวออก
จากนั้นก็สำแดงวิชาตัวเบาหลบออกมาดั่งสายฟ้าฟาด
เพื่อช่วย ‘ใจมาร’ หลิงลี่ เขาตกอยู่ในอันตราย
หลี่มู่ไม่เคยทำตัวเป็นพ่อพระสละชีพตัวเองเพื่อช่วยคนอื่น
ระหว่างเขากับ ‘หน้าเซียนใจมาร’ ก็ไม่ได้มีความสัมพันธ์อะไรกัน
ก่อนหน้าคืนนี้ อย่าว่าแต่เคยเจอหน้าเลย ไม่เคยได้ยินว่ามีคนสองคนนี้อยู่ด้วยซ้ำ
แต่ต้องยอมรับว่าเพราะเขามาจากโลก หลี่มู่ที่ได้รับค่านิยมของชาวจีนโบราณและการอบรมสั่งสอนด้านคุณธรรมจริยธรรมมา เคยได้ยินโศกนาฏกรรมความรักอย่างนางพญางูขาวกับสวี่เซียน[2] หรือโรมิโอกับจูเลียตมามากมาย ทำให้เกิดความรู้สึกเห็นใจขึ้นได้ง่าย
คนอย่างเขาไม้อ่อนไม้แข็งใช้ไม่สำเร็จ แต่เนื้อแท้แล้วเป็นคนใจอ่อน
หลิงลี่และโจวเข่อเอ๋อร์แสดงความรู้สึกเศร้าสลดเช่นนั้นออกมาในช่วงความเป็นความตาย โดยเฉพาะหญิงงามที่นำมาซึ่งหายนะเช่นโจวเข่อเอ๋อร์ ท่าทางเศร้าโศกหมดหวังและลนลานสร้างความซาบซึ้งให้กับหลี่มู่ ทำให้เขาที่บุ่มบ่ามอยู่แล้วอารมณ์ร้อนขึ้นอีกครั้ง
‘บ้าเอ๊ย จะทำตัวเป็นพ่อพระไม่ได้สิ…ซี้ซั้วอวดเก่ง บุ่มบ่ามเกินไป’
เสี้ยวขณะที่หลี่มู่หลบออกมาได้ ในใจก็สบถด่าตัวเอง
เขาสำแดง ‘หมัดยุทธ์แท้’ กระบวนที่สองซึ่งแฝงด้วยแก่นแท้ของวิชาตัวเบาจนแทบถึงขีดสูงสุด ความเร็วราวกับสายฟ้าแลบ ปลายเท้าเหยียบลงบนเกล็ดเจียว จากนั้นก็เคลื่อนมายังหัวของเจียวเสมือนใช้พลังเคลื่อนย้ายในชั่วพริบตา
เพียงแค่ยืนมือคว้า
เขาก็คว้ามุมเขาของเจียวเอาไว้ได้
“ก๊าซ…” เจียวยักษ์ที่สัมผัสได้ว่าคู่ต่อสู้ยืนอยู่บนหัวส่งเสียงร้องคำรามอย่างโมโห
มันไม่อาจยอมรับได้ว่าแมลงตัวเล็กจ้อยจะหลุดจากกรงเล็บแข็งแกร่งของมันออกได้ จึงเริ่มสะบัดหัวอย่างบ้าคลั่ง คิดจะสลัดหลี่มู่ให้ร่วงลงมา ในขณะเดียวกันหางที่น่ากลัวก็ฟาดลงมาอย่างแม่นยำ หมายจะฟาดหลี่มู่ให้เละไปกับหัว
“สหายตัวโต อย่าได้บุ่มบ่าม ข้าไม่ได้จะเอาชีวิตเจ้า แค่อยากจะขอเลือดเจ้านิดหน่อยก็เท่านั้นเอง”
หลี่มู่จับมุมเขาเอาไว้แน่นพลางรักษาสมดุลของร่างกาย
“มา ให้ข้าได้เห็นพลังที่แท้จริงของเจ้าสักหน่อยเถอะ”
หลี่มู่เลือดเดือดพล่าน
พลังปั่นป่วนราวกับมหาสมุทรคลั่งของเขา ในที่สุดก็ได้เจอคู่ต่อสู้ที่สมน้ำสมเนื้อเสียที
……………………………………………………
[1] ทวารทั้งห้าประกอบด้วย ตา 2 จมูก 2 และ ปาก 1
[2] สวี่เซียน ตัวละครเอกจากหนึ่งในสี่วรรณกรรมพื้นบ้านเรื่องนางพญางูขาว