จอมศาสตราพลิกดารา – บทที่ 127 เมืองฉางอัน

บทที่ 127 เมืองฉางอัน

ผู้ดูแลตำบลสุขสงบซ่งอี้ไม่ได้เป็นพวกเดียวกับหม่าซาน เขาไม่รู้เรื่องการมีอยู่ของห้องลับ และยิ่งไม่รู้ว่าให้ห้องลับมีของพวกนั้นอยู่

ผลลัพธ์นี้ทำให้หลี่มู่ค่อนข้างผิดหวัง

แต่ว่านี่คือเรื่องจริง ไม่ใช่ว่าซ่งอี้จงใจปิดบังอะไร

เพราะระหว่างขั้นตอนการสอบถาม หลี่มู่ใช้วิธีบางอย่างทำให้รู้ว่าซ่งอี้ไม่ได้โกหก

เช่นนั้นตอนนี้ดูจากภายนอก ลำดับขั้นตอนบางอย่างก็ชัดเจนแล้ว…หม่าซานฝืนใจประจบซ่งอี้ ส่งของล้ำค่า ทรัพยากร และหญิงงามไปให้ ทำตัวเหมือนกับสุนัขรับใช้ แต่แท้จริงแล้วกลับอาศัยอำนาจของซ่งอี้แอบทำเรื่องที่ซ่งอี้ไม่รู้

ซ่งอี้และหม่าซานไม่ได้เป็นพวกเดียวกัน

นี่ค่อนข้างน่าสนใจทีเดียว

หลี่มู่เคยเห็นพวกหม่าซาน อันธพาลคนนี้มีเอกลักษณ์ทั้งหมดของพวกนักเลงอันธพาล รวมถึงความกำเริบเสิบสานและบุ่มบ่าม ไม่เหมือนคนที่มีความคิดลึกซึ้งละเอียดรอบคอบ แต่กลับปกปิดซ่งอี้ทำเรื่องมากมายถึงเพียงนี้ ตกลงแล้วหม่าซานแสดงละคร หรือว่าแท้จริงแล้วเบื้องหลังมีผู้คอยบงการบัญชาทุกสิ่งอยู่?

หลี่มู่ค่อนข้างเอียงไปทางความเป็นไปได้อันหลัง

เช่นนั้นผู้บงการอยู่เบื้องหลังพวกนักโทษประหารหม่าซานคืนนี้อยู่แห่งหนใด?

ตายอยู่ในการต่อสู้อันวุ่นวาย?

หรือว่าหนีไปแล้ว?

ระหว่างหลี่มู่คิดอยู่ในใจ จู่ๆ ก็หยุดลง

“เจ้ากลับไปรอข้าที่โรงเตี๊ยมก่อน”

เขาพูดกับเจิ้งฉุนเจี้ยนที่อยู่ในเกี้ยว

พูดจบร่างก็กะพริบวูบ กระโจนขึ้นไปราวกับเหยี่ยวตัวยักษ์ ใช้วิชาตัวเบาจนถึงขีดสุด ก่อนหายไปในท้องฟ้ายามราตรี

……

ฟ้าสว่าง

ตำบลสุขสงบต้อนรับอาทิตย์วันใหม่ทั้งสองลอยขึ้นมาช้าๆ

ความเคลื่อนไหวในคฤหาสน์ของพวกหม่าซานเมื่อวานดึงดูดความสนใจจากพวกชาวบ้านบางคน หลายคนไม่อาจข่มตาหลับได้ รอจนรุ่งสาง ชาวบ้านบางคนที่ใจกล้าก็ไปล้อมดูด้านนอกคฤหาสน์อยู่ไกลๆ เห็นมือปราบของทางการเข้าออกคฤหาสน์ กลิ่นคาวเลือดจางๆ ยังตลบคลุ้งอยู่ในอากาศ แต่กลับไม่เห็นอันธพาลกำเริบเสิบสานพวกนั้นแม้เงา

ไม่นานนัก ข่าวก็แพร่สะพัดไปทั่วทั้งตำบลสุขสงบอย่างรวดเร็วราวพายุ

มีคนกำจัดพวกหม่าซานจนสิ้นซากแล้ว

ในตอนแรกยังมีคนไม่เชื่อ

แต่เมื่อทางการของตำบลมาติดประกาศ ข่าวก็ได้รับการยืนยันโดยสมบูรณ์

อีกทั้งในประกาศของทางการ สำนวนภาษาเฉียบขาด ยกตัวอย่างความผิดสามสิบกว่าข้อของพวกหม่าซานออกมา มีนัยว่าอันธพาลพวกนี้แม้ตายก็ยังไม่สาสม จะไม่สืบสาวเรื่องอื่นๆ ต่อไป หนำซ้ำใช้ถ้อยคำปลอบขวัญชาวบ้านได้อย่างหลักแหลม ใต้เท้าซ่งผู้ดูแลยิ่งออกมาบอกเป็นการพิเศษว่า จะไม่เสียดายกำลังทั้งหมดในการยกระดับการดูแลความสงบเรียบร้อยของตำบลสุขสงบ และจะลงโทษผู้หาเรื่องก่อความไม่สงบอย่างเข้มงวด

ทั่วทั้งตำบลสุขสงบฮือฮาไปทั่ว

หลายปีที่ผ่านมานี้ พวกอันธพาลหม่าซานสร้างวิกฤตให้กับประชาชนในตำบลไม่ใช่น้อย มีทั้งที่บาดเจ็บ มีทั้งที่ตายอยู่กลางถนน มีทั้งที่บ้านแตกสาแหรกขาด พูดได้ว่าชาวบ้านเคียดแค้นกรุ่นโกรธ กล้าโมโหแต่ไม่กล้าพูด วันนี้ไม่นึกเลยว่าเคราะห์ภัยพวกนี้จะถูกกำจัดจนสิ้นซากไม่เหลือสักคนเดียวในชั่วข้ามคืน

สวรรค์ ยังมีเรื่องอะไรที่ทำให้ประชาชนในตำบลดีใจได้ยิ่งกว่านี้อีกหรือ?

ไม่นานนัก ทุกแห่งหนในตำบลก็มีเสียงประทัดดังขึ้น

ทุกที่ล้วนมีเสียงโห่ร้องยินดี

และในกลุ่มคนที่โห่ร้องยินดี ก็มีไช่ไช่ย่าหลานทั้งสองด้วย

“ท่านย่า พี่ชายบ้าบอเขาช่าง…” ไช่ไช่น้อยยืนอยู่หน้าประกาศ ในดวงตาเต็มไปด้วยความยินดี นางพอจะรู้ ‘เบื้องหลัง’ อยู่บ้าง พี่ชายบ้าบอเคยพูดไว้จะไปจัดการพวกหม่าซาน เขาพูดจารักษาคำพูดดังคาดไว้ ไปจัดการแล้วจริงๆ

แม่เฒ่าไช่ก็ดีใจจนน้ำตานอง

ในที่สุดก็ไม่ต้องหลบหนีไปบ้านนอกแล้ว

“ท่านย่า ดีจริงๆ พวกเราไปขายบะหมี่ที่ถนนได้แล้ว คราวนี้ก็จะสามารถเก็บเงินได้เร็วๆ แล้วไปเมืองฉางอันรับท่านพ่อกลับมา” ไช่ไช่นับนิ้วอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนพูดอย่างดีใจขึ้นว่า “พวกเราต้องเก็บอีกแค่สองร้อยสามสิบเอ็ดอีแปะเท่านั้น ก็พอเป็นค่าเดินทางแล้ว”

มือเหี่ยวย่นของแม่เฒ่าไช่ลูบหัวของหลานสาวเบาๆ “ใช่แล้ว ไม่นานก็จะรับพ่อเจ้ากลับมาได้แล้ว”

ในดวงตาของไช่ไช่เต็มไปด้วยความเพ้อฝัน “หลังจากรับท่านพ่อกลับมาแล้ว พวกเราจะไม่แยกจากกันตลอดไป”

“ดีๆๆ” แม่เฒ่าไช่เช็ดน้ำตา

ย่าหลานทั้งสองแบกหาบมาจนถึงหน้าร้านบะหมี่ที่ขายในอดีต ไช่ไช่น้อยกางโต๊ะอย่างชำนาญ จากนั้นก็หยิบชามตะเกียบออกมาจากตู้ข้างล่างกล่องบะหมี่ ในตอนนี้เอง นางพลันร้องอุทานอย่างตกใจ

“เป็นอะไรไปไช่ไช่?” แม่เฒ่าไช่หันมามอง

“ท่านย่า ท่านดูสิ นี่มัน…” นางชี้ไปยังตู้ไม้เล็ก ทองก้อนสุกปลั่งเปล่งประกายอยู่ระหว่างชามกับตะเกียบบนชั้นที่สอง เป็นเงินค่าบะหมี่ที่สตรีชุดขาวจ่ายเกินจำนวนมาเมื่อวาน

นี่มันไม่ถูกสิ เมื่อวานก็คืนทองให้กับสตรีชุดขาวไปแล้วไม่ใช่หรอกหรือ?

สองย่าหลานยืนอึ้งอยู่กับที่

ผ่านไปครู่หนึ่ง ไช่ไช่น้อยขยี้ตา รีบปิดประตูไม้เล็กอย่างรวดเร็ว

“ท่านย่า พี่สาวเทพธิดาก็ไปแล้ว เงินนี่จะคืนให้นางอย่างไรกัน” นางถาม

ในใจของแม่เฒ่าไช่ก็ไม่มีความคิดใดเช่นกัน

“ท่านย่า ไม่อย่างนั้นก็ถือว่าเงินนี่เป็นเงินที่พวกเรายืมพี่สาวเทพธิดามา พวกเราใช้เงินนี่ก่อน ไปรับท่านพ่อกลับมาจากเมืองฉางอันแล้วเราก็ค่อยๆ ขายบะหมี่ชดใช้เงินที่ใช้ไป รอเจอกับพี่สาวเทพธิดาเมื่อไหร่ ค่อยคืนเงินนางไปดีหรือไม่?” ไช่ไช่มองท่านย่าของตนตาปริบๆ

แม่เฒ่าไช่ลังเล

“ท่านย่า ข้าคิดถึงท่านพ่อเหลือเกิน” ไช่ไช่อ้อนวอน

แม่เฒ่าไช่กัดฟัน พยักหน้าแล้วพูดขึ้น “ก็ได้ พรุ่งนี้พวกเราจะออกเดินทาง”

“ดีจริงๆ” ไช่ไช่กระโดดโลดเต้นร้องอย่างยินดี “จะไปรับท่านพ่อกลับบ้านแล้ว”

……

หลี่มู่กลับมาถึงโรงเตี๊ยมด้วยสีหน้ากระอักกระอ่วน

เขาดักซุ่มอยู่ข้างนอกคฤหาสน์อยู่หนึ่งคืนเต็มก็ไม่พบร่องรอยใดๆ อีก ผู้บงการเบื้องหลังที่จะย้อนกลับมาโจมตีตามความคิดของเขาไม่ได้ปรากฏตัวขึ้น…ไม่มีอะไรเกิดขึ้นทั้งนั้น

ก็ได้ นี่มันกระอักกระอ่วนอยู่เล็กน้อย

หลี่มู่รู้ว่าเมื่อคืนวานตนคิดมากเกินไป

เรื่องนี้จบลงแล้ว ต้องไปจากตำบลสุขสงบเสียที

หลี่มู่และเจิ้งฉุนเจี้ยนขี่ม้าดำออกจากตำบลสุขสงบมาท่ามกลางบรรยากาศเฉลิมฉลองยินดีของทั้งตำบล แล้วออกเดินทางกันต่อ

ช่วงเวลาสองวันต่อมา ไม่มีเรื่องอะไรเป็นพิเศษเกิดขึ้น

หลี่มู่ไม่รีบไม่ร้อน เปิดหูเปิดตาดูชีวิตความเป็นอยู่ของคนบนโลกใบนี้

สรุปได้ว่า คนตะวันตกเฉียงเหนือของจักรวรรดิฉินตะวันตกส่วนมากยังใสซื่อบริสุทธิ์ ตรงไปตรงมาและกล้าหาญ การดื่มกินส่วนมากเป็นอาหารจำพวกแป้งสาลี[1]และเนื้อเป็นหลัก โดยเฉพาะเนื้อแกะ ตามรายทางทุกที่ล้วนมีอาหารเลิศรส แต่เนื้อวัวกลับน้อยนัก เพราะวัวเป็นหนึ่งในเครื่องมือการผลิตที่สำคัญอย่างหนึ่ง กฎหมายของจักรวรรดิจึงห้ามไม่ให้ฆ่าวัวกินเนื้อ

แต่ว่า ความสงบเรียบร้อยตลอดทางมานั้นไม่ดีเลย

ภายใต้ความเจริญรุ่งเรืองที่แสดงออกมาให้เห็นภายนอก หลี่มู่สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของความล้มเหลวเสื่อมโทรม

โดยเฉพาะการปกครองของขุนนางท้องถิ่นตลอดทางที่ผ่านมา หละหลวมแต่ก็ทั้งเข้มงวดและโหดร้าย บรรยากาศเจ้าขุนมูลนายเคร่งครัด แต่ประสิทธิภาพต่ำ เมืองอำเภอเล็กๆ บางแห่งยิ่งเป็นด่านบนถนนทางหลวง พูดอย่างสวยหรูว่าเพื่อปกป้องความสงบ แต่แท้จริงแล้วก็เพื่อขูดรีดค่าผ่านด่าน ขบวนสินค้าที่ผ่านไปมาลำบากแสนสาหัส

‘ฉินตะวันตกเหมือนจะมาถึงยุคปลายแล้วละมั้ง ไม่งั้นก็คงไม่เกิดปัญหาภายใน ภาพเหมือนราชวงศ์ยุคปลาย’

หลี่มู่ครุ่นคิดอะไรบางอย่าง

แน่นอน การวิเคราะห์ของเขาเป็นแค่สิ่งที่ได้มาจากทฤษฎีบางอย่างในหนังสือประวัติศาสตร์ขั้นต้นแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ส่วนจะถูกหรือไม่ถูก…กำลังอยู่ในระหว่างการสังเกต

ย่ำค่ำวันที่สอง ก่อนที่ดวงอาทิตย์ดวงเล็กจะลาลับไป ในที่สุดหลี่มู่ก็มาถึงเมืองฉางอัน

เมืองฉางอันในประวัติศาสตร์ของฉินตะวันตกมีสถานะที่แตกต่างไปจากเมืองอื่นๆ

เพราะเมื่อสองร้อยกว่าปีก่อน ฉางอันเคยเป็นเมืองหลวงของจักรวรรดิฉินตะวันตก ถึงแม้ยามฉินตะวันตกสถาปนาราชวงศ์จะไม่ได้ตั้งเมืองอยู่ที่ฉางอัน แต่เมื่อครั้งฉินตะวันออกเสื่อมโทรม ในช่วงเวลาร้อยกว่าปีหลังจากที่จักรพรรดิฉินอู่ตี้ผู้ฟื้นฟูความรุ่งเรืองให้จักรวรรดิฉินย้ายเมืองหลวงไปยังฉางอัน ฉางอันได้ใช้กำแพงสูงของเมืองเป็นเกราะป้องกันลมฝนให้กับจักรวรรดิฉินตะวันตกมาสามร้อยปี

จวบจนเมื่อสองร้อยปีก่อน จักรพรรดิฉินตั้งกวาดล้างศัตรู ขยายอาณาเขต ขับไล่ชนเผ่าแห่งทุ่งหญ้าที่ในอดีตทำให้ฉินตะวันออกต้องล่มสลายไปจากผืนแผ่นดินเดิม และย้ายเมืองหลวงกลับมายังเมืองฉินที่สถาปนาราชวงศ์ ฉางอันจึงนับว่ายุติบทบาทประวัติศาสตร์เมืองหลวงของจักรวรรดิฉินตะวันตกไป

และก็เพราะประวัติศาสตร์ช่วงนี้ ชาวฉินจึงมีความรู้สึกพิเศษกับเมืองฉางอัน

ต่อให้สองร้อยปีก่อนนี้เมืองฉางอันไม่ใช่เมืองหลวงของจักรวรรดิอีกต่อไป เมืองฉางอันตอนนี้เป็นเพียงแค่เมืองในมณฑลนับสิบของจักรวรรดิ และเป็นเมืองที่ไม่มีตำแหน่งการปกครองพิเศษอะไร แต่ความรู้สึกพิเศษนั้นยังคงอยู่ เทียบกับเมืองในมณฑลอื่นๆ เมืองฉางอันนับว่ายังเจริญรุ่งเรือง

เมื่อข้ามผ่านคูเมืองที่กว้างสามสิบจั้งไป หลังจากมองกำแพงเมืองฉางอันที่สูงถึงสามสิบจั้งอย่างเคารพ และทอดถอนใจให้กับกำแพงรอบประตูเมืองที่เต็มไปด้วยรอยดาบรูกระบี่ หลี่มู่และเจิ้งฉุนเจี้ยนจ่ายค่าเข้าเมือง ในที่สุดก็เข้ามาในเมืองโบราณที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานห้าร้อยปีของจักรวรรดิฉิน

กลิ่นอายเรียบง่ายโบราณปะทะหน้ามา

หากเทียบทัศนียภาพที่เป็นธรรมชาติอำเภอขาวพิสุทธิ์เหมือนกับสาวชาวบ้านงดงามบริสุทธิ์ เมืองฉางอันก็ราวกับทหารชุดเกราะยืนตระหง่านท่ามกลางพายุฝน ถนนหนทางสิ่งก่อสร้างใช้หินสีดำเป็นหลัก หอสูงตั้งเรียงราย ถนนราบเรียบ อาคารสูงใหญ่แน่นขนัดยืดยาวเป็นแถวๆ ไปยังที่ไกล สีดำเคร่งขรึมเป็นสีที่คนฉินชอบมากที่สุด และเป็นสัญลักษณ์ของนิสัยคนฉิน ทั้งน่าเกรงขามและเด็ดเดี่ยว

หลี่มู่ขี่ม้าไปบนถนน มีความรู้สึกเหมือนเดินอยู่ในประวัติศาสตร์เกือบพันปีของจักรวรรดิฉิน

บนท้องถนนคนแน่นขนัด พ่อค้าและขบวนสินค้าที่เดินผ่านไปมาจอแจคึกคัก

ตลาดกลางคืนใกล้จะเริ่มแล้ว

กลางคืนของเมืองฉางอันไม่มีข้อห้ามออกจากเคหะสถาน

เทียบกับเมืองฉางอันแล้ว อำเภอขาวพิสุทธิ์เป็นแค่เมืองอำเภอเล็กๆ ไปเลยจริงๆ ถ้าใช้เมืองของโลกมาเปรียบเทียบ ก็เหมือนกับเมืองเล็กไร้ชื่อเสียงมาถึงยังเซี่ยงไฮ้เมืองปีศาจ[2] ความแตกต่างและการเปรียบเทียบเช่นนี้ช่างห่างกันราวฟ้ากับดิน

หลี่มู่ดูจนตาลาย

อารยธรรมของโลกวิถียุทธ์ใบนี้ จะใช้สายตาที่มีเทคโนโลยีก้าวไกลของโลกมาเปรียบเทียบไม่ได้ ถนนหนทางสถาปัตยกรรมทั้งหลายยิ่งใหญ่อลังการจนน่าเหลือเชื่อ สถาปัตยกรรมมากมายก็ไม่อาจใช้ทฤษฎีสิ่งก่อสร้างของโลกมาเปรียบเทียบได้เช่นกัน ยกตัวอย่างเช่นหินยักษ์สีดำหนักหลายหมื่นจินก่อขึ้นเป็นกำแพงทั้งก้อน เทคโนโลยีอันก้าวไกลของโลกไม่อาจทำได้ถึงจุดนี้เลย

หลี่มู่หยุดๆ เดินๆ กินลมชมทิวทัศน์สำราญใจ

หลังจากนั้นครึ่งชั่วยาม ข้างหน้าพลันมีเสียงฮือฮาดังมา

ฝูงชนแน่นขนัดขึ้นทันใด

……………………………………………………

[1] อาหารจำพวกแป้งสาลี คืออาหารที่ทำมาจากแป้งสาลีทั้งหลาย เช่น เส้นบะหมี่ชนิดต่างๆ ซาลาเปา หมั่นโถว เปี๊ยะ เป็นต้น

[2] คนจีนมักตั้งฉายาให้กับมณฑลต่างๆ ฉายาของเซี่ยงไฮ้คือเมืองปีศาจ

จอมศาสตราพลิกดารา

จอมศาสตราพลิกดารา

ตอนที่ 1 – 59 อ่านนิยาย

สำนักฝึกวิชายุทธ์ชั้นสูงบนกลุ่มดาวจื่อเวยได้สร้างค่ายกลเคลื่อนย้ายมวลสารขนาดใหญ่อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน

เพื่อให้สะดวกต่อการบุกเบิกดาราจักรทางใต้ของทางช้างเผือก

ชีพจรพลังเซียนของค่ายกลต้องตัดผ่านโลกมนุษย์พอดี หลังจากนี้อีกราว 20 ปี…โลกจะถูกทำลาย

หลี่มู่ เด็กหนุ่มกำพร้าผู้ปราดเปรื่อง

อาศัยอยู่กับซินแสเฒ่าสติไม่ดีที่วันๆ พร่ำเพ้อแต่การฝึกวิชา ซึ่งไม่จำเป็นสำหรับโลกปัจจุบันนี้สักนิด

แต่แล้ววันหนึ่ง เขากลับถูกส่งไปยังโลกที่เต็มไปด้วยเคล็ดวิชาและยอดฝีมือ

กลายเป็นขุนนางเมืองบนดาวดวงนี้ ออกแรงแค่เล็กน้อยก็ส่งผลร้ายแรงมหาศาล

ด้วยสัญชาตญาณการเอาตัวรอด เขาจำต้องสวมบทบาทผู้นำ พร้อมหาวิถีทางกอบกู้โลกให้ทันกาล…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท