จอมศาสตราพลิกดารา – บทที่ 269 มีใจหมายปราบโจร

บทที่ 269 มีใจหมายปราบโจร
ท่ามกลางเสียงตะโกนสังหาร ในโถงหอบวงสรวงหลักของโรงฝึกยุทธ์พลังพายุเงียบกริบ
ใบหน้างามล้ำของถังฮูหยินมีความสงบนิ่งที่ชวนให้คนมองไม่ออกบางอย่าง
ในอ้อมอกของนางอุ้มถังมี่บุตรสาวคนเล็กเอาไว้ พลางฮัมเพลงเบาๆ กล่อมถังมี่เข้านอน ในมือของเด็กน้อยกำถังหูลู่ซานจา[1]ไม้หนึ่งไว้แน่น นางกินสองลูกที่เสียบอยู่ข้างบนไปแล้ว เหลืออีกสี่ลูก น้ำตาลใสที่เคลือบผลซานจาเอาไว้ส่องประกายแวววาว
ใบหน้าของถังมี่เผยยิ้มพอใจและมีความสุข
เด็กน้อยยังไม่รู้ว่าตัวเองกำลังจะเผชิญหน้ากับชะตาชีวิตอย่างไร แต่เทียบกับชีวิตก่อนหน้านี้ที่กินไม่อิ่ม ต้องทนหนาวเหน็บ หลายวันมานี้นางไม่ต้องทนหนาว ไม่ต้องทนหิว แถมยังได้กินถังหูลู่ที่ตัวเองชอบมากที่สุดอีกต่างหาก มารดากับพี่สาวอยู่เคียงข้าง บนโลกนี้ยังมีเรื่องอะไรที่สุขมากไปกว่านี้อีกหรือ?
ลูกสาวคนโตถังถังลับกระบี่อยู่อีกด้านหนึ่ง
แต่เดิมนางก็มีพื้นฐานวิชากระบี่ที่ไม่เลวอยู่แล้ว หลายวันมานี้ก็อดทนฝึกซ้อมมาตลอด
นางที่เคยชอบยิ้มและไม่อยู่นิ่ง กลับกลายเป็นเงียบขรึม ในดวงตาฉายประกายเคียดแค้นเป็นบางครั้ง หรือยามคิดถึงใครบางคน ก็จะฉายความหวังรางๆ ออกมา หลังจากที่บิดาถูกใส่ความจนตาย หลายวันนี้เด็กสาวผู้ร่าเริงสดใสและงดงามเลื่องชื่อที่สุดในเมืองฉิน กลายเป็นคนพูดน้อยเงียบขรึม มีน้อยครั้งที่จะยิ้ม
สุภาพบุรุษวาโยหวางเฉินยืนอยู่หน้าประตู มองลอดผ่านช่องหน้าต่างไปข้างนอกอย่างร้อนใจ
ส่วนองค์หญิงฉินเจินที่อยู่อีกด้านหนึ่งกลับยืนอย่างสงบ
นางมีชาติกำเนิดจากราชวงศ์ มีสายเลือดสูงส่งและใบหน้าที่งดงามเหนือใคร แต่เดิมนางควรเป็นที่รักของโลกนี้ ทว่า…ยามได้ยินเสียงสังหารและเสียงร้องโหยหวนดังมาจากข้างนอก คิ้วของนางก็เริ่มขมวดแน่น ความละอายฉายขึ้นในดวงตา
เป็นนางที่ทำร้ายคนของโรงฝึกยุทธ์พลังพายุ
องค์ชายสองรู้สถานที่กบดานของพวกนางได้อย่างไร?
ฉินเจินคิดไม่ออก
แต่เรื่องนี้ก็ไม่มีความหมายอะไรแล้ว
ปัญหาคือ วิกฤตอันตรายเบื้องหน้านี้เหมือนจะหนีไม่พ้น
นางไม่กลัวตาย
เพื่อเรื่องของแม่ทัพถังฉง นางทำสุดกำลังแล้ว เรื่องดำเนินมาถึงตอนนี้ นางไม่มีสิ่งใดต้องละอาย แต่นางกลัวว่าหากตัวตาย น้องชายวัยเยาว์จะทำอย่างไร? ในราชสำนักมีลมฝนกระหน่ำอันตราย สถานการณ์พลิกผัน น้องชายนางเคยได้รับความโปรดปรานจากจักรพรรดิฉิน เกรงว่าคนพวกนั้นไม่มีทางปล่อยเขาไปแน่นอน
สถานการณ์อันตรายยิ่ง เหมือนจะเกินกำลังสวรรค์แล้ว
พลังของมนุษย์ต้องมีสิ้นสุดในสักวัน
แอ๊ด
ประตูถูกเปิดออก
หัวหน้าโรงฝึกยุทธ์พลังพายุถานเยี่ยนจือเดินเข้ามา
นางสวมเกราะอ่อนเข้ารูป สง่างามองอาจ นวมทองขนาดใหญ่คู่หนึ่งแทบจะหุ้มแขนเล็กๆ ของนางเอาไว้ข้างใน อัตราส่วนดูไม่สมดุล ชวนให้คนเป็นห่วงว่านวมทองครบชุดนั่นจะทำท่อนแขนเรียวหักเอา สีหน้าเคร่งเครียดที่น้อยครั้งจะได้เห็นปรากฏอยู่บนใบหน้าของสตรีเหมือนเด็กน้อยผู้นี้
“เจินเจิน ขอโทษด้วย คนของข้าเกรงว่าคงจะยืนหยัดได้ไม่นานเท่าใด” นางเดินมาถึงเบื้องหน้าฉินเจินก่อนเอ่ย “มารดามันเถอะ ไม่รู้ว่าไอ้ชั่วตัวไหนเผยข่าวออกไป…”
ฉินเจินยิ้มๆ ก่อนจะเอ่ย “ข้าทำให้เจ้าต้องลำบากแล้ว”
“อย่าพูดแบบนี้เลย” ถานเยี่ยนจือกล่าวพลางแตะใบหน้าของฉินเจิน “ตายต่อหน้าโฉมสะคราญ ต่อให้ตายเป็นผีก็ยังสง่างามองอาจ ฮี่ๆ ข้าเคยบอกแล้วนี่ ขอแค่วันใดเจินเจินร้องขอข้า ต่อให้ต้องตายก็ไม่เสียดาย”
ฉินเจินขมวดคิ้ว แต่สุดท้ายก็อยู่นิ่งไม่ได้หลบ
มือเล็กๆ ขาวเนียนของถานเยี่ยนจือสัมผัสใบหน้าฉินเจิน ท่าทางนางตกใจถึงขีดสุด ครู่หนึ่งถึงโดดโหยง “เจ้า…เจินเจินเจ้าไม่หลบงั้นรึ อ๊า เจ้าไม่หลบจริงๆ ด้วย ข้าได้สัมผัสแล้ว…ลื่นมาก นิ่มมาก วะฮะฮ่า ในใจของเจ้ามีข้าอยู่จริงๆ ด้วย ในที่สุดก็ยอมให้ข้าจับแล้ว แม่คนไร้หัวใจตัวน้อยนี่”
นางทำท่าทางเจ้าชู้กรุ้มกริ่ม
ฉินเจินพูดอย่างทั้งโมโหทั้งขำ “จนเวลานี้แล้ว…” เสียงเพียะดังขึ้น นางปัดมือของถานเยี่ยนจือออก เพราะฝ่ายหลังกำเริบขึ้นเรื่อยๆ จับจากหน้าลามไปคอและหน้าอกแล้ว
ถานเยี่ยนจือหัวเราะอย่างแค้นใจ ดมมือแล้วหัวเราะชั่วร้าย “หอมมาก” ท่าทางราวคนบ้าตัณหา
“เจ้ามอบตัวพวกข้าออกไปเถอะ บางทีอาจจะรักษาโรงฝึกยุทธ์เอาไว้ได้” ฉินเจินแนะนำ
นางเหมือนจะตัดสินใจอะไรบางอย่างได้แล้ว
“เจ้าหมายความว่าอย่างไร? ไม่มีทาง ข้าไม่มีทางขายผู้หญิงของข้าเด็ดขาด” ถานเยี่ยนจือสวมนวมทองอีกรอบ เอ่ยเสียงดังว่า “อย่างดีพวกเราก็สู้ตายด้วยกัน เป็นนกเป็ดน้ำคู่ระทมทุกข์…”
ฉินเจินอับจนคำพูด
ตอนนี้เอง เทพพยากรณ์วิ่งเข้ามาอย่างรีบร้อน “ลูกพี่ เจ้าสำนักยมบาลลงมือแล้ว เจ้าเป๋กับเจ้าบอดเอาไม่อยู่ ได้รับบาดเจ็บ ประตูชั้นที่สองต้านไม่อยู่…” เสียงรบราด้านนอกใกล้เข้ามาแล้วจริงๆ อีกทั้งยังมีระลอกพลังที่น่ากลัวมากกลุ่มหนึ่งแผ่มาจากที่ไกล ชวนให้คนอกสั่นขวัญแขวนนัก เห็นได้ชัดว่ามีผู้แข็งแกร่งขั้นเหนือมนุษย์ลงมือแล้ว
“ไอ้หมาแก่ยมบาลหน้าไม่อาย ลงมือเร็วขนาดนี้เชียวรึ…” ถานเยี่ยนจือพูดอย่างโมโห “ให้ยายผีกับเหล่าต่งต้านเอาไว้”
……
เขม่าควันลอยคลุ้งทั่วทิศ
ประตูใหญ่ของโรงฝึกยุทธ์พลังพายุมีหัวมนุษย์หลายสิบหัวเสียบไว้ด้วยหอกยาว ส่งกลิ่นคาวเลือดคละคลุ้ง
ผู้ตายเหล่านี้ล้วนเป็นคนในยุทธจักรที่พยายามจะช่วยพวกถังฮูหยินในช่วงสามวันที่ผ่านมานี้
แม่ทัพเจิ้นกั๋วถังฉงคบสหายมากมายยามมีชีวิต นิสัยเปิดเผยตรงไปตรงมา เพราะมีชาติกำเนิดมาจากยุทธจักร ดังนั้นจึงมีชื่อเสียงอยู่ในยุทธจักรด้วย เขาคบค้าสหายไม่น้อย เรื่องที่เขาตายลงกะทันหันนัก คนในยุทธภพจึงไม่ทันได้ตั้งตัว ครั้งนี้เรื่องที่ฉางอันไล่สังหารถังฮูหยินและบุตรสาวทั้งสองอย่างอึกทึกครึกโครม เดิมก็สร้างความโกรธแค้นได้ง่ายอยู่แล้ว ชาวยุทธ์เลือดร้อนมากมายจึงมีใจคิดที่จะช่วยจริงๆ
แต่ทว่า กำลังที่กระจัดกระจายก็ราวแมลงเม่าบินเข้ากองไฟไม่เกิดประโยชน์อะไรนัก
สามวันมานี้ คนในยุทธจักรไร้ชื่อแซ่สามสิบกว่าคนถูกสังหาร ในนั้นมีผู้แข็งแกร่งขั้นฟ้าประทานสองคน
‘อาชาสวรรค์หอกเงิน’ เมิ่งอู่ลงมาบัญชาการศึกด้วยตัวเอง
ตอนนี้มีชาวยุทธ์สี่คนถูกล้อมอยู่ในวงล้อมทหารเกราะ กำลังสู้รบกันอยู่
“ฮ่าๆ เจ้าพวกโง่ไม่รู้จักตาย ฆ่ามันให้หมด ตัดหัวมันออกมา” เมิ่งอู่หน้าตาเหี้ยมโหด นั่งอยู่บนอาชาสวรรค์สีขาวเขาเดียว
นับจากถูกหลี่มู่ตบหน้า ปลดทรัพย์ อารมณ์ของเขาก็ไม่ดีมาตลอด ฉุนเฉียวโกรธง่าย เฆี่ยนทหารคนสนิทไปไม่น้อย สำหรับทหารคนสนิทที่ไปตรอกไล่หมูกับเขายี่สิบนาย วันนั้นที่กลับมายังกองกำลังคมโลหิตก็ถูกสังหารทันที เมิ่งอู่ไม่มีทางให้คนอื่นเห็นสภาพน่าอดสูของตัวเองเป็นอันขาด
เสียงรบราฆ่าฟันดังขึ้น
ยอดฝีมือหนุ่มสี่คนปรากฏตัวขึ้นทันทีที่กองทัพโจมตีโรงฝึกยุทธ์พลังพายุ และเข้าสังหารพวกทหาร คิดอยากจะสร้างความวุ่นวาย แต่เดิมเป็นฝ่ายได้เปรียบ น่าเสียดายที่ปะทะกับ ‘อาชาสวรรค์หอกเงิน’ เมิ่งอู่ซึ่งคุมทัพไล่ตามมา ทหารใต้บังคับบัญชาการบุกมาล้อมพวกเขาทั้งสี่ไว้ตรงกลาง
“สังหาร!”
“มีใจหมายปราบโจร แต่สุดทานลิขิตสวรรค์ จะทำอะไรได้ จะทำอะไรได้เล่า?” ชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่เหมือนวานรยักษ์ มือทั้งสองถือขวาน กวัดแกว่งราวสายลม ท่าทางองอาจดุดัน แต่ทหารที่ล้อมโจมตีเขาคือชั้นหัวกะทิที่สุดของกองกำลังคมโลหิต อาวุธยุทโธปกรณ์ดีเยี่ยม หลังยืนหยัดได้ไม่ถึงหนึ่งก้านธูป เขาก็ถูกหอกยาวแทงทะลุหัวใจ ได้แต่คำรามโกรธแค้นเจ็บใจอย่างอดไม่ได้
เลือดอาบย้อมไปทั่วถนนทอดยาว
“น้องสอง…”
คนที่เหลือทั้งสามร้องคร่ำครวญทั้งตาแดงก่ำ ไม่อาจไปช่วยได้เลย
สุดท้ายชายหนุ่มถือขวานใช้ขวานสับใบหน้า ทุบหัวของตนจนเละ และขว้างขวานบินออกไป ฟันทหารชุดเกราะของกองกำลังคมโลหิตตายไปอีกหลายคน ถึงจะค่อยล้มลงไปช้าๆ ช่างฮึกเหิมแต่น่าเศร้า
มีทหารชุดเกราะพุ่งไปฟันหัวที่แหลกของเขา แล้วนำมามอบให้กับเมิ่งอู่
“ฮึ ทำลายรูปลักษณ์? กลัวว่าข้าจะจำได้จนพลอยให้สหายและสำนักเดือดร้อน?” เมิ่งอู่แค่นเสียงเย็น “ปรมาจารย์วิถียุทธ์อายุสามสิบกว่า ใช้ขวานคู่ เคล็ดวิชาที่ใช้คือ ‘ขวานศึกสิงเทียน[2]’ ในยุทธจักรทิศพายัพจะมีสักกี่คน? แขวนหัวมันเอาไว้…รอให้เรื่องวันนี้เสร็จเรียบร้อย ข้าจะไปล้างสำนัก ‘สำนักขวานสิงเทียน’ ”
การต่อสู้ดุเดือดเป็นอย่างมาก
ไม่นานนัก อีกสองคนในกลุ่มชายหนุ่มทั้งสี่ก็ได้รับบาดเจ็บสาหัส
เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ตัวตนถูกเปิดเผย ก่อนตายพวกเขาก็ทำเหมือนชายหนุ่มถือขวานคนนั้น ใช้อาวุธทุบใบหน้าจนเละไปพร้อมทั้งผ้าดำอำพรางหน้า
เมิ่งอู่หัวเราะเสียงเย็น ไม่ได้พูดอะไร แต่ตัดหัวของยอดฝีมือในยุทธจักรทั้งสองคนนี้แล้วใช้หอกยาวเสียบเอาไว้สูง
ชายหนุ่มคนสุดท้ายที่เหลืออยู่รูปร่างสูงโปร่ง สวมชุดขาว ใช้ผ้าขาวปิดหน้า มือถือกระบี่คู่ ดูประหนึ่งมังกรเคลื่อนไหว พลังอยู่เหนือกว่าคนอื่นๆ และยังคงยืนหยัดต่อไปได้
“พี่ใหญ่ พี่รอง พี่สาม…” เขาพยายามพุ่งไปสุดกำลัง อยากจะฝ่าคลื่นทหารชุดเกราะไปแย่งหัวของพวกเขากลับมา แต่ก็ถูกขัดขวางต้านกลับไปครั้งแล้วครั้งเล่า
“มดปลวกโง่เง่า…” เมิ่งอู่ยกขางัดหอกเงินขึ้นมาทันที จากนั้นกระตุ้นอาชาสวรรค์ช้าๆ แยกตัวออกมาจากกลุ่มทหารชุดเกราะ พร้อมเอียงหอกเล็งไปยังชายหนุ่มสวมผ้าปิดหน้าสีขาว ค่อยๆ เพิ่มความเร็วขึ้น แล้วพุ่งเข้าไปด้วยกำลังดุจหิมะถล่ม
……
ตรงข้ามประตูหน้าโรงฝึกยุทธ์พลังพายุ มีหอสูงแห่งหนึ่งชื่อ ‘ราชันสวรรค์’
หอราชันสวรรค์สูงสิบแปดจั้ง มีทั้งหมดเจ็ดชั้น เป็นสิ่งก่อสร้างที่สูงที่สุดในบริเวณหลายสิบลี้ ปกติมีแต่ผู้ที่มีอำนาจระดับสูงเท่านั้นถึงจะเข้ามาข้างในได้ และในวันนี้ คนในหอราชันสวรรค์ถูกไล่ออกจากพื้นที่ทั้งหมด ที่ชั้นเจ็ดข้างบนสุด มีชายหนุ่มหน้าตางดงามจนแทบจะเหมือนปีศาจผู้หนึ่งกำลังยืนเอามือไพล่หลัง เป็นองค์ชายสองนั่นเอง
ข้างหลังองค์ชายสอง พวกหลิวเฉิงหลงยืนอย่างเงียบสงบ
เมื่อมองจากชั้นเจ็ดลงไป จะเห็นทุกอย่างที่เกิดขึ้นในโรงฝึกยุทธ์พลังพายุอย่างชัดเจน
“เจ้าสำนักกูลงมือเอง พรรคพวกถังฉงกลุ่มนั้นในโรงฝึกยุทธ์พลังพายุต้องตายไร้ที่ฝังเป็นแน่” หลิวเฉิงหลงเอ่ยอย่างนอบน้อม เจ้าสำนักกูก็คือเจ้าสำนักยมบาลแซ่กู หลายวันมานี้หลิวเฉิงหลงสนิทคุ้นเคยกับคนคนนี้ดี
องค์ชายสองไม่กล่าวอะไร
สายตาของเขาที่จับจ้องประตูโรงฝึกยุทธ์พลังพายุพลันฉายแววตกใจ
ตูม!
คลื่นโจมตีรุนแรงปะทะเข้ามา
เห็นแต่ชายหนุ่มชุดขาวปิดหน้าคนนั้น ชูกระบี่คู่ขึ้นฟ้ารับแรงโจมตีมหาศาลที่ ‘อาชาสวรรค์หอกเงิน’ เมิ่งอู่ยืมพลังของม้าส่งออกมาไว้ได้
…………………………
[1] ซานจา ผลไม้ชนิดหนึ่ง ลูกมีลักษณะคล้ายแอปเปิล แต่เล็กกว่ามาก มีสีแดง รสชาติเปรี้ยวจัด
[2] สิงเทียน เป็นเทพยุคดึกดำบรรพ์ของจีน มีอาวุธเป็นขวาน เนื่องจากรบแพ้เลยถูกตัดหัวแต่ไม่ตาย ใช้หน้าอกเป็นตา สะดือเป็นปาก
จอมศาสตราพลิกดารา

จอมศาสตราพลิกดารา

ตอนที่ 1 – 59 อ่านนิยาย

สำนักฝึกวิชายุทธ์ชั้นสูงบนกลุ่มดาวจื่อเวยได้สร้างค่ายกลเคลื่อนย้ายมวลสารขนาดใหญ่อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน

เพื่อให้สะดวกต่อการบุกเบิกดาราจักรทางใต้ของทางช้างเผือก

ชีพจรพลังเซียนของค่ายกลต้องตัดผ่านโลกมนุษย์พอดี หลังจากนี้อีกราว 20 ปี…โลกจะถูกทำลาย

หลี่มู่ เด็กหนุ่มกำพร้าผู้ปราดเปรื่อง

อาศัยอยู่กับซินแสเฒ่าสติไม่ดีที่วันๆ พร่ำเพ้อแต่การฝึกวิชา ซึ่งไม่จำเป็นสำหรับโลกปัจจุบันนี้สักนิด

แต่แล้ววันหนึ่ง เขากลับถูกส่งไปยังโลกที่เต็มไปด้วยเคล็ดวิชาและยอดฝีมือ

กลายเป็นขุนนางเมืองบนดาวดวงนี้ ออกแรงแค่เล็กน้อยก็ส่งผลร้ายแรงมหาศาล

ด้วยสัญชาตญาณการเอาตัวรอด เขาจำต้องสวมบทบาทผู้นำ พร้อมหาวิถีทางกอบกู้โลกให้ทันกาล…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท