หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – ตอนที่ 1012

ตอนที่ 1012

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1012 บรรลุ
ตู้ม!

เมื่อราชันสงครามโลหิตก้าวออกมา ท้องฟ้าในสนามรบก็เปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ คลื่นโลหิตพวยพุ่งกระจายออกไปครอบคลุมขอบฟ้า พลังอำนาจในการเปลี่ยนแปลงนี้ ทำให้ทั้งสี่รู้สึกว่าหนังหัวชาวาบไป

พวกเขาจินตนาการไม่ออกเลยว่าทำไมการทดสอบชั้นห้าถึงโหดหินนัก นั่นเป็นเพราะนี่ดูเหมือนไม่มีทางผ่านไปได้เลย!

แต่ไม่ว่าพวกเขาจะรู้สึกไม่เชื่อมากแค่ไหน จิตสังหารรอบร่างราชันสงครามโลหิตบนท้องฟ้าก็ถูกกวนถึงขีดสุดก่อนที่จะเหวี่ยงหมัดลงมา

ครืน!

ทันทีที่หมัดถูกชกออก บนท้องฟ้าอากาศดูเหมือนจะถูกผลักออกจากบริเวณนี้ มากจนเกิดรอยแตกกระจายออกไปในมิติ

กำปั้นโลหิตที่มีขนาดใหญ่พันจั้งกดตัวลงมาจากฟากฟ้า!

ราวกับกำปั้นมารสวรรค์ก็มิปาน!

แม้ว่าหมัดนี้จะยังไม่ได้ลงมาถึง แต่พื้นที่ในรัศมีพันจั้งรอบตัวพวกเขาก็พังทลายลงแล้ว รอยเหวลึกมากมายแผ่ออกมาจากใต้ฝ่าเท้าของพวกเขา

หมัดเดียวเกือบทำลายแผ่นดินนี้เลยทีเดียว

ทั้งสี่คนฉายสีหน้าหวาดผวาสุดขีดขณะที่จ้องมองหมัดโลหิต แม้ว่าหมัดจะยังอยู่ห่างไกลออกไป แต่ไอสังหารก็แทบจะกดพวกเขาแนบลงบนพื้นแล้ว

คลื่นหลิงไร้ขอบเขตพวยพุ่งรุนแรงจากทั้งสี่ต้านทานแรงกดดันที่น่ากลัว แต่ถึงกระนั้นพวกเขาก็รู้สึกว่าหัวเข่าค่อยๆ ทรุดลงจากแรงกดดันที่น่ากลัวนี้

ภายใต้สถานการณ์นี้หัวใจของทั้งสี่ก็สั่นเทา หมัดยังไม่ถึงพื้นแค่เพียงพลังอำนาจก็บังคับให้พวกเขาอยู่ในสภาพที่น่าสมเพช ถ้าซัดลงมาจะไม่ตายคาตั้งแต่วินาทีแรกที่สัมผัสเลยเหรอ?!

ตอนนี้พวกเขาตระหนักได้ว่าคำสัญญาก่อนหน้าเป็นเรื่องบ้าบอเพียงใด

โอกาสในการได้รับทักษะเทพไม่ใช่สิ่งที่คนทั่วไปจะเพลิดเพลินได้!

แต่ไม่ว่าพวกเขาจะเสียใจแค่ไหนในใจก็สายเกินไปแล้ว ดังนั้นพวกเขาทำได้เพียงแค่กัดฟันแน่น สิ่งเดียวที่พวกเขารู้สึกโชคดีก็คือหมัดนี้ดูเหมือนจะไม่ได้เล็งมาที่พวกเขา แต่เป็นพื้นดินเบื้องล่าง

มิฉะนั้นแค่พลังจากหมัดเพียงอย่างเดียว ก็เพียงพอที่จะบดร่างพวกเขาให้แหลกละเอียดแล้ว

โฮก!

หานซันคำรามลั่นฟ้า แสงสีดำพุ่งพรวดรอบตัวก่อเป็นแรดยุคดึกดำบรรพ์ตัวมหึมาเลือนราง แรดอสูรยืนตระหง่านบนโลกต่อต้านปรงกดจากกำปั้นใหญ่

แสงสีทองกระจายรอบร่างจงเถิง กระเรียนปีกทองคำปรากฏขึ้น ลวดลายนับไม่ถ้วนปรากฏบนปีกสีทองปกคลุมไปรอบๆ เป็นการป้องกันที่มีประสิทธิภาพ

มั่วเฟิงสูดหายใจลึก เพลิงหงส์ฟ้าพุ่งทะยานรอบตัวก่อนที่รัศมีสูงส่งจะระเบิดออก เมื่อเพลิงลุกไหม้ก็รวมตัวเป็นหงส์ฟ้าสีแดงขนาดใหญ่ที่มีเปลวเพลิงลุกโชนขึ้นบนร่าง ทำให้อุณหภูมิระหว่างสวรรค์และโลกเพิ่มสูงขึ้น

รูปแบบเทพอสูรของมั่วเฟิงไม่ได้เป็นของเผ่าวิหคโลกันตร์แต่กลับเป็นของเผ่าหงส์ฟ้า!

ที่จริงมั่วเฟิงไม่คิดจะเปิดเผยเรื่องนี้ แต่ในเวลานี้ถ้าเขาต้องการทนรับหมัดนี้ เขาก็ต้องใส่ไม่ยั้งพุ่งไปสุดตัว

สัมผัสได้ถึงปฏิกิริยาจากมั่วเฟิง หานซันและจงเถิงที่ใช้พลังทุกหยาดหยดที่มี มู่เฉินก็มีสีหน้าเคร่งเครียดไม่กล้าที่จะชักช้า แสงพราวพวยพุ่งออกมาจากร่าง เสียงคำรามของมังกรและหงส์ฟ้าดังสะท้อนทั่วสรรพางค์กาย เขาเร้ากายามังกรหงส์ให้ถึงขีดสุด ซึ่งทำให้เขาดูราวกับว่าทำจากทองคำที่ไม่สามารถทำลายได้

ขณะที่ทั้งสี่เผยไพ่ตายออกมาอย่างสมบูรณ์แบบ หมัดโลหิตที่กดลงมาจากขอบฟ้าก็พุ่งเข้ามาหาพื้นดินซึ่งห่างอีกไม่กี่ร้อยจั้ง พลังอันน่าสะพรึงกลัวของกำปั้นห่อหุ้มพวกเขาไว้อย่างแท้จริง

ปัง!

ผืนดินพังทลายเป็นชั้นๆ ผืนฟ้าโดยรอบหดลงอย่างรวดเร็ว เนื่องจากเกิดเป็นหลุมจากพื้นดินที่ยุบตัว โดยที่ทั้งสี่คนห่างจากขอบมากขึ้นเรื่อยๆ

ร่างเทพอสูรของมั่วเฟิง หานซันและจงเถิงระเบิดด้วยเสียงโศกเศร้าในเวลานี้ ร่างยักษ์ทรุดลงก่อนที่แสงจะหรุบหรู่อย่างรวดเร็ว

ทั้งสามคนไม่สามารถทนรับพลังหมัดนี้ได้อีก ทำให้ต้องคุกเข่าลงข้างหนึ่ง ทันใดนั้นก้อนหินที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าก็ระเบิดเป็นฝุ่น ใบหน้าแต่ละคนเขียวคล้ำ พวกเขาเร้าคลื่นหลิงรุนแรงพยายามปกป้องตัวเอง แต่ก็ไม่ยืนขึ้นมาได้

ร่างเทพอสูรรอบตัวพวกเขาทรุดลงบนพื้นพลางส่งคำรามแต่ก็ไร้ประโยชน์

ขณะที่ทั้งสามคนอยู่ในสภาพที่น่าสังเวช มู่เฉินก็ไม่ได้ดีไปกว่ากัน แม้เขาจะเร้ากายามังกรหงส์ถึงขีดจำกัด ทำให้ร่างดูราวกับทำมาจากทองคำอย่างไรอย่างนั้น ทว่ากำปั้นที่น่ากลัวก็ยังทำให้เกิดเสียงลั่นเปรียะดังออกมาราวกับกระดูกกำลังจะแตกสลาย

เท้าทั้งสองฝังลึกลงไปในพื้นจนถึงน่อง รอยแตกกระจายออกมาจากท่อนขาของเขา

ที่ด้านนอกของเจดีย์ ทุกคนตกตะลึงบนใบหน้าขณะที่จ้องมองร่างน่าสมเพชทั้งสี่ในหน้าจอแสง ขณะนี้พวกเขาไม่ได้มีท่วงท่าของจอมยุทธ์ชั้นสูงอีกแล้ว

พวกเขารู้ว่าไม่ใช่เพราะทั้งสี่อ่อนแอ แต่หมัดโลหิตที่ตกลงมาจากท้องฟ้าทรงพลังจนถึงขั้นที่น่ากลัวต่างหาก

“การโจมตีที่น่ากลัวเช่นนี้ พวกเขาจะสามารถต้านทานได้อย่างไรกับขุมพลังที่มี?” สีหน้าของจิ่วโยวเปลี่ยนไปและอดไม่ได้ที่จะพูด ความยากนี้อย่างน้อยก็ต้องเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าถึงจะสามารถต้านทานและเอาชีวิตรอดจากหมัดนี้ได้

ใบหน้าของมั่วหลิงซีดเซียว เห็นได้ชัดว่านางกลัวกำปั้นนี้อย่างที่สุด

จอมยุทธ์เผ่าอื่นๆ ก็รู้สึกไม่ต่างกัน ความยากที่น่าสะพรึงนี้ชัดว่าไม่คิดที่จะให้ใครผ่านชั้นห้าเลย

การโจมตีแบบนั้นไม่ใช่สิ่งที่คนในระดับพวกเขาจะรับได้

ครืน!

ขณะที่หมัดโลหิตกระแทกลงมา พลังอำนาจที่น่าสะพรึงก็เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว สุดท้ายก็ห่อหุ้มร่างสามร่างจนถึงจุดที่ร่างเทพอสูรยิ่งใหญ่กำลังจะแตกสลาย เห็นได้ชัดว่าพวกเขาไม่สามารถทนได้อีกต่อไปแล้ว

ใบหน้าทั้งสามซีดเซียวและรู้สึกว่าไม่สามารถขยับร่างกายภายใต้พลังหมัดนี้ได้ นอกจากนี้พวกเขายังสามารถสัมผัสได้ถึงจิตการละทิ้งชีวิตและแสวงหาความตายบนหมัด ซึ่งทำให้พวกเขารู้สึกว่าเจ้าของหมัดได้วางเดิมพันชีวิตไว้บนนั้น

หมัดปีศาจพลีชีพคือการสละชีวิตตัวเองงั้นรึ? ช่างน่าเกรงขามแท้จริง ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมถึงถูกเรียกว่าหมัดปีศาจ!

จอมยุทธ์ทั้งสี่หัวใจสั่นสะท้านรุนแรงภายใต้ปณิธานการเสียสละ ยามนี้พวกเขาเข้าใจได้อย่างชัดเจนว่าเมื่อหมัดลงมาถึงตัวเมื่อไรก็จะเป็นเวลาตายของพวกเขา

เมื่อถึงตอนนั้นอยากหนีก็หนีไม่ได้แล้ว!

ทั้งสี่ทุ่มกำลังทั้งหมดลงไป แต่ก็ยังคงเป็นความพยายามที่ไร้ประโยชน์ เลือดสดเริ่มไหลซึมออกจากร่างกายแสดงให้เห็นร่องรอยของการบี้บด

แม้ว่ามู่เฉินจะบรรลุขั้นแรกของกายามังกรหงส์ แต่ร่างกายเขาก็เริ่มแตกสลาย ริ้วเลือดกระจายบนผิวหนังทำให้ดูน่ากลัวอย่างมาก

ครืน!

หมัดอยู่ห่างจากพวกเขาไม่ถึงห้าสิบจั้งแล้ว ท้องฟ้าเหมือนถูกปกคลุมไว้ด้วยกำปั้นในเวลานี้

ปัง! ปัง! ปัง!

ร่างเทพอสูรของทั้งสามคนก็ทนไม่ได้อีกต่อไป ถูกบีบจนระเบิดออกอย่างสมบูรณ์

อั้ก! อั้ก!

ทั้งสามคนพ่นเลือดออกมาในเวลาเดียวกัน รัศมีก็ลดลงมาก

“บ้าเอ้ย ข้ายอมแพ้!” ใบหน้าของจงเถิงซีดเผือด เขารู้สึกว่าร่างกายแทบจะระเบิดจากแรงกดดัน ดังนั้นเขาจึงทำได้แค่ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันและคำราม เขารู้สึกว่าถ้ารั้งไว้นานกว่านี้ เขาคงจะตายในสถานที่แห่งนี้จริงๆ

แม้ว่าวิทยายุทธระดับเสินทงเป็นรางวัลที่น่าดึงดูดใจ แต่เขาก็ต้องมีชีวิตเพื่อที่จะสนุกได้

ฮึ่ม

พร้อมกับที่จงเถิงเลือกยอมแพ้ แสงก็ปรากฏขึ้นรอบตัว ก่อนที่ร่างเขาจะหายวับไป ชัดว่าเขาถูกส่งออกจากเจดีย์เรียบร้อย

ต่อจากนั้นมั่วเฟิงและหานซันก็ต้านไว้อีกสิบกว่าลมหายใจ ก่อนที่จะรู้สึกว่าพลังหมัดที่ซัดเข้าใส่ ทำให้พวกเขาสิ้นหวัง

นี่ไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาจะต่อต้านได้

ดังนั้นหลังจากดิ้นรนในใจ ทั้งสองก็เลือกยอมแพ้เช่นกัน

ฮึ่ม! ฮึ่ม!

แสงกะพริบวาบขึ้น ร่างทั้งสองก็หายไป

เมื่อทั้งสามคนออกไป ก็เหลือมู่เฉินเพียงหนึ่งเดียวในสนามรบ แต่ตอนนี้เขาก็มีสภาพไม่ดีอย่างยิ่ง ร่างกายที่เต็มไปด้วยเลือดทำให้เขาดูเหมือนมนุษย์โลหิต

พลังอำนาจของหมัดที่ซัดมาจากทุกทิศทาง ทำให้เขารู้สึกราวกับว่าตนเองอยู่ลึกในมหาสมุทรกว่าหนึ่งหมื่นลี้ รับแรงกดดันที่น่ากลัวอย่างมาก

แต่ก็เป็นแรงกดดันนี้ที่ทำให้เกิดความบ้าคลั่งในดวงตาของมู่เฉิน ถึงนี่จะอันตราย แต่ก็เป็นโอกาสสำหรับเขาเช่นกัน!

นี่เป็นโอกาสสุดยอดสำหรับเขาที่จะบรรลุขั้นสองของคัมภีร์หลงเฟิ่ง!

ทุกพัฒนาการล้วนเกิดจากการก้าวเท้าลงไปในหลุมแห่งความตายทั้งนั้น!

และตอนนี้นี่ก็เป็นสถานการณ์ที่สมบูรณ์แบบที่สุด!

“บรรลุซะ!”

มู่เฉินเปล่งเสียงคำรามต่ำ หมุนเวียนคัมภีร์หลงเฟิ่งเร็วรี่ เลือดในร่างกายพล่านไปทั่วในเวลานี้ จากนั้นก็เทลงในลวดลายมังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริงบนแขนของเขาโดยไม่มีที่สิ้นสุด

พร้อมกับเลือดจำนวนมากไหลเข้าไปในท่อนแขน ลวดลายสีม่วงทองก็เริ่มมีริ้วสีแดงเพิ่มขึ้น

แต่สีแดงสดนี้กลับเพิ่มความรู้สึกมีชีวิตชีวาให้กับลวดลายมังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริง

ในอดีตแม้ว่าลวดลายนี้จะทรงพลังแต่ก็ขาดความมีชีวิตชีวา ราวกับว่าไม่มีชีวิตและไม่มีจิตวิญญาณ แต่ตอนนี้ภายใต้การคุกคามของความตาย มู่เฉินได้เทเลือดทั้งหมดลงบนลวดลาย ทำให้ลวดลายที่ดูดซับพลังมากเริ่มมีจิตวิญญาณก่อตัวขึ้น

ทันใดนั้นเมื่อจิตวิญญาณก่อตัวขึ้น ลวดลายที่อยู่ในท่อนแขนของมู่เฉินก็ลืมตาโพลง

เสียงคำรามของมังกรและหงส์ฟ้าสะท้อนก้องระหว่างสวรรค์และโลก ราวกับว่าเป็นราชันแห่งโลกนี้

ในที่สุดยามนี้คัมภีร์หลงเฟิ่งก็บรรลุขั้นสองตามที่มู่เฉินปรารถนาแล้ว!

ทว่าจังหวะนี้เอง หมัดโลหิตก็พุ่งลงมากระแทกกับร่างมู่เฉินซึ่งไม่ได้เคลื่อนไหว…

ทั้งชั้นฟ้าและชั้นดินสั่นสะเทือนเลื่อนลั่น

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler ฟรี ได้ที่ novel-fast 


เรื่องย่อ

โดย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler บางส่วนของนิยาย

บทนำ

หนึ่งในใต้หล้าจากปลายปากกาของเทียนฉานถูโต้ว กล่าวถึงมู่เฉิน เด็กหนุ่มจากสำนักศึกษาเป่ยหลิง ผู้ที่ได้รับเลือกให้เข้าฝึกในสงครามเทพยุทธ์ซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าคนเก่งกาจ ทว่า… อยู่ดีๆ เขากลับถูกขับไล่ออกมาด้วยเหตุผลที่ไม่มีใครล่วงรู้ มู่เฉินพยายามฝึกหนักอีกครั้งเพื่อจะพาตัวเองกลับเข้าไปในเส้นทางแห่งนี้ เขาจำเป็นต้องใช้สิ่งนี้เป็นใบเบิกทางเพื่อเข้าศึกษาที่ภาคเบญจภาคี เพื่อ… ปกป้องหญิงสาวที่ตนรัก และยิ่งกว่านั้นคือเพื่อค้นหาเบาะแสของมารดาที่หายสาบสูญไป

‘มหาพันภพ’ เป็นที่ที่มิติทั้งหลายเชื่อมต่อกันในระบบสุริยจักรวาล สถานที่แห่งนี้มีขั้วอำนาจมากมายอาศัยอยู่ จักรพรรดิที่มาจากพิภพเขตล่างต่างเป็นตำนานที่ผู้อื่นปรารถนาขึ้นไปบนเส้นทางแห่งกฎของโลกไร้ขอบเขตนี้

แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว เทพจักรพรรดิอัคคีควบคุมเปลวเพลิงกวาดข้ามสวรรค์

แคว้นหวู เทพจักรพรรดิสงครามผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำให้ทั้งสวรรค์และโลกหวาดกลัว

ตำหนักซีเทียน จักรพรรดิสัประยุทธ์ที่แข็งแกร่งไม่มีผู้ใดเทียบเท่า ในเนินเขารกร้างทางเหนือ ดินแดนวั้นมู่ของจักรพรรดิอมตะครองเหนือภพ

เด็กหนุ่มจากมณฑลเป่ยหลิงออกท่องยุทธภพกับวิหคโลกันตร์คู่ใจ มุ่งหน้าสู่โลกภายนอกที่เต็มไปด้วยสีสัน ใครกันที่จะเป็นผู้กุมชะตากรรมในเส้นทางการเป็นหนึ่ง?

ในมหาพันภพที่สงครามนับหมื่นอุบัติ ข้าคือผู้กุมชะตาฟ้าดิน…

เรื่องย่อ

เมื่อคำพูดของมู่เฉินกระจายออกไป ไม่เพียงแต่จะไม่มีการตอบสนอง แม้แต่ด้านนอกเจดีย์ก็ถูกห่อหุ้มด้วยบรรยากาศราวกับป่าช้า…

ทุกคนตกตะลึงไปกับฉากนี้ พวกเขาจ้องมองจุดที่ลู่สุยหายตัวไป ราวกับว่ายังไม่สามารถฟื้นจากอาการตะลึงงันที่เกิดขึ้นได้

ก่อนหน้าเมื่อลู่สุยออกกระบวนท่าที่น่าสะพรึง ผู้คนส่วนใหญ่ก็คิดว่าผลลัพธ์ของการต่อสู้ได้ถูกกำหนดแล้ว ทว่าพวกเขาไม่คิดเลยว่ามู่เฉินจะพลิกสถานการณ์ได้อีกครั้ง เตะลู่สุยที่เหมือนจะคว้าชัยชนะออกไป

ทุกคนตะลึงไปพักใหญ่ ก่อนที่พวกเขาจะหลุดออกจากอาการได้ สายตาเคร่งเครียดลง การประลองกันครั้งนี้มู่เฉินไม่ได้ใช้ค่ายกล แต่เขาก็สามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดอย่างลู่สุยได้ด้วยความแข็งแกร่งที่อยู่ในขั้นหกเท่านั้น แม้ว่าจะมีผลจากลู่สุยประมาทเองในตอนแรก แต่นั่นก็แสดงให้เห็นว่ามู่เฉินน่ากลัวแค่ไหน

พลังเช่นนี้เขาสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์อันดับต้นๆ ในเจดีย์ฝึกพลังกายได้เลยทีเดียว

ทางฝั่งกลุ่มกระเรียนฟ้า ใบหน้าของหลิ่วชิงกลายเป็นเขียวสลับขาว นางมองไปที่ร่างสูงโปร่งบนหน้าจอ กลืนน้ำลายเหนียวหนืด ความกลัวปรากฏในดวงตาของนางเป็นครั้งแรก

มาถึงจุดนี้นางคงโง่แน่ถ้ายังคิดปฏิบัติต่อมู่เฉินเหมือนกับจอมยุทธ์ขั้นหกทั่วไป

ด้วยพลังในการต่อสู้ที่เขาแสดงออกมา บวกกับค่ายกลทรงพลัง แม้แต่จงเถิงก็ยากจะได้เปรียบหากพวกเขาต่อสู้กัน

ก่อนหน้านี้นางหัวเราะเยาะและมองจิ่วโยวด้วยความดูถูก แต่ตอนนี้นางอายแทบแทรกแผ่นดินหนี ซึ่งจุดนี้รู้ได้จากสายตาเยาะเย้ยเหล่านั้นที่ปรายมองเข้ามา

“ทำไมมู่เฉินถึงทรงพลังเช่นนี้?” จงฮั้วที่พ่ายแพ้ให้กับมู่เฉินก็มีสีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดเช่นกันว่ามู่เฉินพึ่งพาเพียงค่ายกลเพื่อจัดการกับศัตรู แต่ใครจะคิดว่าเมื่อไม่มีการใช้ค่ายกลมู่เฉินก็สามารถเอาชนะลู่สุยแบบดุร้ายยิ่งกว่าอะไร

“ดูเหมือนว่ามีเพียงพี่ใหญ่จงเถิงเท่านั้นที่สามารถจัดการกับเขาได้” จอมยุทธ์อีกคนของเผ่ากระเรียนฟ้าพยักหน้า

หลิ่วชิงพยักหน้าเบาๆ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะพิจารณาพลังของมู่เฉินพลาดไปเท่านั้น แม้แต่จงเถิงก็ตัดสินอีกฝ่ายผิดไป ชายคนนั้นเป็นสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง

ฟิ้ว!

ขณะที่นอกเจดีย์ต่างตกตะลึงกับผลลัพธ์ที่มู่เฉินนำมา ทันใดนั้นแสงก็กะพริบบนแท่นนอกเจดีย์ ร่างน่าสังเวชปรากฏขึ้น

เมื่อร่างนั้นออกมาก็รีบถอยกลับไปปรากฏตัวขึ้นในกลุ่มอีกาสายฟ้าทันควัน นี่ก็คือลู่สุยที่มีสีหน้าซีดขาว คลื่นหลิงของเขาถดถอยลงอย่างมาก

สายตาโดยรอบยิงเข้าหาในเวลานี้ทันที

ใบหน้าของลู่สุยเขียวคล้ำ สายตาเกลียดชังมองไปที่มู่เฉินที่อยู่บนหน้าจอ ก่อนที่จะหันหัวสาดสายตาดุร้ายใส่จิ่วโยวและมั่วหลิง ที่ข้างๆ พรรคพวกของเขาก็มีท่าทางไม่ดีเช่นกัน

ทว่าจิ่วโยวไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับสายตาเหล่านั้น นางเค้นเสียงอย่างเย็นชา “ลูกหมาที่ถูกฟาดยังกล้าที่จะออกมาแยกเขี้ยวอีกเหรอ?”

ตอนนี้ลู่สุยบาดเจ็บสาหัส สูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปหมด ส่วนคนที่เหลือก็ไม่มีอะไรต้องกลัว หากพวกเขากล้าที่จะคิดบัญชีกับพวกนาง จิ่วโยวก็ไม่คิดปล่อยพวกเขาไว้เป็นภัยคุกคามในอนาคตหรอก

สายตาแสดงความเกลียดชังของลู่สุยจ้องเขม็งอยู่ที่จิ่วโยว แต่สุดท้ายเขาก็ต้องถอนสายตาออกไปอย่างไม่เต็มใจ ก่อนที่จะถอยกลับนั่งลงบนซากปรักหักพังเข้าสมาธิเพื่อฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ

จอมยุทธ์กลุ่มอีกาสายฟ้าก็ปรากฏรอบตัวเขาเพื่อปกป้อง

เมื่อจิ่วโยวเห็นการตอบสนองนั่น นางก็ไม่ได้ใส่ใจกับพวกเขาอีก นางมองไปที่หน้าจออีกครั้งโดยพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ร่างเงาอ่อนเยาว์ มือที่กำแน่นผ่อนคลายลง

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงสำหรับนางที่มู่เฉินจะเอาชนะได้เด็ดขาดแบบนี้ นั่นเป็นเพราะตามการประเมินของนางแม้ว่ามู่เฉินจะยืนยงอยู่ได้ก็เป็นยากที่จะเอาชนะลู่สุยด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นหกและถ้าการต่อสู้ถูกลากไปจนสุดอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบคาดไม่ถึง

ทว่าผลลัพธ์สุดท้ายที่ได้ก็ทำให้นางทั้งประหลาดใจและดีใจ

เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินได้รับประโยชน์มหาศาลจากสามชั้นแรกของเจดีย์ฝึกพลังกาย ไม่เช่นนั้นเขาไม่สามารถแสดงพลังเป็นที่ประจักษ์เช่นนี้ได้

“ว่ากันว่าในชั้นสี่มหัศจรรย์กว่านี้มาก หากใครสามารถเข้าไปได้ พวกเขาจะสามารถได้รับผลประโยชน์เกินกว่าสามชั้นแรกมาก…”

จิ่วโยวยิ้มบาง ดูจากสถานการณ์ปัจจุบันไม่น่ามีปัญหาใดๆ ที่มู่เฉินจะเข้าสู่ชั้นสี่ สำหรับมั่วเฟิงความแข็งแกร่งของเขาเป็นหนึ่งในอันดับต้นของกลุ่มที่เข้าไป ดังนั้นจึงไม่ยากสำหรับเขาที่จะได้หนึ่งในห้าที่นั่งนี้ไปเช่นกัน

ดูเหมือนว่าการเดินทางมาที่เจดีย์ฝึกพลังกายโบราณครั้งนี้เผ่าวิหคโลกันตร์อาจเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

บนลานเมฆสายฟ้า

ไม่มีใครตอบคำถามของมู่เฉิน ขณะนี้แม้แต่จอมยุทธ์ทรงอำนาจอย่างหานซันและสีคุนก็ยังรู้สึกหวาดระแวงมู่เฉินอยู่บ้าง ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะไม่ไปปะทะกับมนุษย์ผู้นี้

ดังนั้นคนทั้งหมดที่อยู่ที่นี่จึงเงียบลง ก่อนที่จะถอยออกจากรัศมีโดยรอบมู่เฉินอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณบอกว่าพวกเขาไม่ต้องการต่อสู้กับเขา

เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ก็ไม่มีอารมณ์ใดบนใบหน้า แต่ในใจกลับรู้สึกโล่งอก คนอื่นๆ เห็นเพียงฉากการต่อสู้ตระการที่เขาเอาชนะลู่สุยได้ แต่พวกเขาไม่รู้หรอกว่าหมัดที่เขาชกออกไปก่อนหน้านี้คือพลังงานส่วนเกินจากสามชั้นแรก

ร่างกายของมู่เฉินก่อนหน้าเปรียบเสมือนฟองน้ำที่ดูดซับน้ำจนถึงขีดจำกัด หมัดของเขาจึงเท่ากับบีบน้ำออกจนหมด ทำให้ร่างกายที่อัดแน่นกลับสู่สภาพเดิม

ดังนั้นถ้าให้เขาโจมตีแบบนั้นอีกครั้ง พลังก็จะไม่ทรงประสิทธิภาพเหมือนเมื่อครู่แน่นอน

ประสิทธิผลพิเศษชนิดนี้ของการสะสมพลังงานในร่างกายเป็นทักษะที่ได้มาจากกายามังกรหงส์ ด้วยวิธีนี้เขาจะได้รับผลลัพธ์ที่ไม่มีใครคาดคิดไว้ กลายเป็นไพ่ลับอีกใบหนึ่ง

“คัมภีร์หลงเฟิ่งทรงพลังจริงๆ”

แม้แต่มู่เฉินก็ยังชื่นชมในสิ่งนี้ คัมภีร์หลงเฟิ่งสมแล้วที่เป็นทักษะยอดเยี่ยมแท้จริง จากการประเมินของเขาคัมภีร์นี้ต้องอยู่ในระดับเสินทงแน่นอน ซึ่งไม่ธรรมดาแม้จะอยู่ในกลุ่มวิทยายุทธระดับเสินทงด้วย

มู่เฉินชื่นชมก่อนที่จะใจเย็นลง แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีใครท้าทายเขา แต่เขาก็ไม่ตั้งใจที่จะท้าทายคนอื่นด้วยเช่นกัน เขายืนนิ่งบนตำแหน่งตนเองรอผลการคัดออก

สำหรับจงเถิง มู่เฉินรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นพวกยุแยงให้ลู่สุยมาปะทะกับเขา แต่เนื่องจากตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ดีในการจัดการ เขาจึงได้แต่ผลักแผนไปก่อน

แต่ถึงกระนั้นสายตาคมกล้าของมู่เฉินก็ยังจ้องเขม็งไปที่จงเถิง รอบตัวเต็มไปด้วยคลื่นหลิงราวกับเสือดาวที่กำลังจะจ้องตะครุบเหยื่ออัดแน่นด้วยภัยคุกคาม

เมื่อเห็นท่าทางของมู่เฉิน จงเถิงที่ประจันหน้ากับมั่วเฟิงก็รู้สึกอึดอัดใจ เขาต้องแยกสมาธิอยู่ตลอดเพื่อจับตามองมู่เฉิน ป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายเคลื่อนไหวมาประสานพลังกับมั่วเฟิง

ด้วยวิธีนี้สมาธิของจงเถิงจึงค่อนข้างฟุ้งซ่าน สุดท้ายเขาได้แต่กัดฟัน ถอนคลื่นหลิงและถอยออกจากบริเวณของมั่วเฟิง

“พี่มั่วยากสำหรับการต่อสู้ของเราที่จะได้ข้อสรุป ทำไมเราไม่ไปจัดการคนอื่นและรับที่นั่งมาล่ะ?” ขณะที่จงเถิงถอยกลับเสียงก็สะท้อนก้องไปด้วย

มั่วเฟิงจ้องมองจงเถิงอย่างไม่แยแสก่อนที่จะพยักหน้า นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าหากพวกเขายังอยู่ในสถานการณ์ยืนจ้องหน้ากันก็จะไม่เกิดผลลัพธ์ใด หากเขาร่วมมือกับมู่เฉิน พวกเขาอาจทำให้จงเถิงบ้าดีเดือดขึ้นมา แม้แต่พวกเขาก็ต้องจ่ายราคามหาศาลจากการตีโต้

ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาคือการได้ที่นั่งเพื่อเข้าสู่ชั้นสี่

เมื่อจงเถิงเห็นคำตอบของมั่วเฟิงก็รู้สึกโล่งใจในใจ เขาถอยกลับอย่างรวดเร็วออกจากจุดที่มู่เฉินและมั่วเฟิงอยู่ เขาครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนจะเลือกปะทะกับคนที่อ่อนแอกว่า

พอมู่เฉินเห็นจงเถิงไปแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจอีกต่อไป สายตาหันมามองมั่วเฟิงแล้วก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มแสดงความขอบคุณในการช่วยเหลือครั้งนี้

สายตาของมั่วเฟิงเป็นมิตรมากขึ้น คิดว่าการที่มู่เฉินเอาชนะลู่สุย ทำให้มั่วเฟิงมองมู่เฉินในฐานะจอมยุทธ์ที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเขา ดังนั้นจึงไม่ได้มีท่าทางเฉยเมยเหมือนเมื่อก่อน

มั่วเฟิงพยักหน้าให้มู่เฉิน ก่อนที่จะหันหลังกลับและเริ่มเลือกคู่ต่อสู้ของตนเอง

ครืน!

เมื่อทุกคนเลือกคู่ต่อสู้แล้ว ทันใดนั้นคลื่นหลิงก็ระเบิดรุนแรงบนลานเมฆสายฟ้า คลื่นกระแทกกวาดออก ทำให้มิติเกิดการสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไม่หยุด

บนลานเมฆสายฟ้าพลังงานหลิงกวาดหายนะ มีเพียงตรงมู่เฉินเท่านั้นที่ไม่ถูกรบกวน เนื่องจากไม่มีใครกล้าเหยียบเข้ามาในรัศมีพันจั้ง ยามนี้เขาเหมือนผู้ชมที่ดูการต่อสู้ติดขอบ ในเวลาเดียวกันก็บันทึกกระบวนท่าที่ทรงพลังของบางคนไว้ในสมอง

แม้ว่าในชั้นนี้พวกเขาอาจไม่ได้ประลองกัน แต่ก็ยังมีอีกสองชั้นรอพวกเขาอยู่ ใครจะสามารถรับประกันได้ว่าจะไม่มีการลดจำนวนลงในชั้นต่อไป?

ดังนั้นถ้ามีโอกาสเขาต้องพยายามจดจำข้อมูลผู้อื่นเก็บไว้

ภายใต้การสังเกตของมู่เฉิน การประลองบนลานเมฆสายฟ้าก็คงอยู่ชั่วระยะหนึ่ง ก่อนที่แต่ละคู่จะมาถึงจุดสิ้นสุด ผลลัพธ์ก็เป็นไปตามที่คาดไว้

หลังจากมู่เฉินก็เป็นหานซันที่เอาชนะคู่ต่อสู้ได้ที่นั่งที่สองไป

จากนั้นมั่วเฟิงและจงเถิงก็คว้าชัยชนะตามมา

ที่นั่งสุดท้ายตกเป็นของสีคุนที่ก่อนหน้านี้เคยแพ้หานซันที่ด้านนอกเจดีย์ ชายนี้มีความแข็งแกร่งที่น่าตกใจ แม้แต่หานซันยังต้องใช้ทักษะเต็มที่ถึงจะได้รับชัยชนะมา

เมื่อสีคุนได้รับที่นั่งสุดท้ายลานเมฆสายฟ้าขนาดใหญ่ก็เงียบลงอีกครั้ง ร่างทั้งห้ายืนอยู่ ขณะรัศมีไร้ขอบเขตทั้งห้าสายพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าชนกันเปรี้ยงปร้าง

ทว่าการชนกันก็ดำเนินไปเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ก่อนที่ทั้งห้าจะถอนคลื่นพลังพร้อมกัน พวกเขาเหลือบมองกันและกัน จากนั้นก็ไม่ลังเลทะยานออกไปปรากฏตัวบนเบาะทั้งห้า

สายตาพวกเขาพุ่งตรงไปยังมิติด้านหลังลานเมฆสายฟ้าด้วยความโลภ ตรงนั้นเส้นดาวหางจำนวนมากกวาดผ่านราวกับฝนดาวตก

ในแสงเหล่านั้นแก่นหยดสายฟ้ากำลังกะพริบด้วยความแวววาว


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท