หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1025 เผ่าหมาป่าเวหะ
รัศมีความตายสีเทาแผ่ซ่านออกไป
ความรู้สึกเย็นเยือกนั่น แม้แต่คลื่นหลิงก็ไม่สามารถปิดกั้นได้อย่างสมบูรณ์ เส้นใยรัศมีความตายที่บุกเข้ามาในร่างกายทีละนิด จะค่อยๆ ทำให้คลื่นหลิงในร่างถูกกัดกร่อน
ทั้งกลุ่มยืนอยู่บนยอดเขาด้านนอกสุสานหมื่นอสูร สายตาจดจ่อไปที่รัศมีความตายที่เต็มพื้นที่ ก่อนที่จะมองไปที่สุสานขนาดใหญ่บนท้องฟ้า แววตาก็ค่อยๆ เคร่งเครียดลง
สุสานหมื่นอสูรทำให้พวกเขารู้สึกหวาดกลัว
“สมกับเป็นเขตอันตรายของดินแดนเสินโซ่” มู่เฉินถอนหายใจ
“ที่นี่ไม่ได้มีเพียงมหาเทพอสูรหนึ่งเดียวที่ละสังขาร…” หานซันพยักหน้า มหาเทพอสูรคือสุดยอดของเหล่าเทพอสูรซึ่งเปรียบได้กับจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนเลยทีเดียว แต่สุดท้ายก็ต้องยังมีดินกลบหน้าอยู่ในสุสานหมื่นอสูรนี้
ยิ่งสิ่งมีชีวิตทรงพลังมากเท่าไรก็จะยิ่งปล่อยรัศมีความตายรุนแรงออกไปมากเท่านั้น หากสถานที่ละสังขารไม่ได้รับการปกป้องอย่างดี ด้วยจำนวนรัศมีความตายที่น่าอัศจรรย์มากมายในสุสานนี้ เหตุผลส่วนใหญ่ก็คงเป็นเพราะมหาเทพอสูรที่ละทิ้งร่างไว้ที่นี่
“ใกล้เวลาแล้ว พวกเราเตรียมเข้ากันเถอะ…”
หานซันมองไปที่ท้องฟ้าก่อนที่จะสะบัดแขนเสื้อ ทันใดนั้นไฟสีขาวหลายดวงก็บินไปหากลุ่มมู่เฉิน พวกเขารับไว้ก็เห็นแสงสีขาวเปลี่ยนเป็นเปลวไฟสีขาวตกลงบนบ่าอย่างรวดเร็ว ขณะที่เปลวไฟสีขาวลุกลามก็ค่อยๆ ห่อหุ้มร่างพวกเขาเอาไว้
เมื่อร่างถูกปกป้องด้วยเปลวไฟสีขาว พวกมู่เฉินก็รู้สึกว่าร่างกายค่อยๆ อุ่นขึ้น รัศมีความตายที่รุกรานเข้ามาหายไปอย่างรวดเร็ว
เห็นได้ชัดว่าเปลวไฟนี้แข็งแกร่งกว่าของหานซันที่ใช้ตอนเดินทาง
“นี่คือเพลิงต้านอาสัญ… สามารถขับไล่รัศมีความตายและยังช่วยสัมผัสได้ถึงอสูรวิญญาณที่ถูกกัดกร่อนโดยรัศมีความตายได้ด้วย ทว่าเพลิงนี้ไม่สามารถอยู่ได้นาน ดังนั้นจำเป็นต้องเพิ่มเชื้อเพลิงอยู่เรื่อย ซึ่งข้าให้ไว้กับพวกเจ้าไปก่อนหน้านี้แล้ว”
หานซันยิ้มขณะเปลวไฟสีขาวก็ลอยขึ้นเหนือไหล่ จากนั้นเขาพลิกนิ้วโยนใบไม้สีขาวลงไปในเปลวไฟก็ถูกเผาไหม้อย่างรวดเร็ว ก่อนที่เพลิงจะมีพลังมากขึ้น
พวกมู่เฉินพยักหน้ารับรู้
“งั้นก็ไปกันเถอะ”
พอเห็นว่าทุกคนเตรียมตัวพร้อมแล้ว หานซันก็ไม่ได้พูดต่อ ทะยานออกไปเป็นคนแรก เขาเปลี่ยนเป็นร่างแสงเหาะเหินเข้าไปในรัศมีความตายสีเทาที่ล้อมรอบบริเวณนี้
เมื่อเห็นดังนั้นคนอื่นๆ ก็ติดตามอย่างรวดเร็ว
เมื่อพวกเขาเข้าใกล้ มู่เฉินก็สัมผัสได้ถึงรัศมีความตายที่หนาวสะท้านยิ่งขึ้น พื้นดินด้านล่างเป็นสีดำราวกับโคลนเน่า
“กำลังจะเข้าไปแล้ว!”
หานซันที่อยู่ด้านหน้าคำรามเตือน ทันใดนั้นพวกมู่เฉินก็รู้สึกว่าอุณหภูมิทั่วบริเวณนี้เย็นเยือกลง แม้ว่าจะได้รับการปกป้องจากเพลิงต้านอาสัญ แต่การรุกรานของรัศมีความตายก็ยังทำให้คนสั่นเทาได้
รัศมีความตายโดยรอบหนาแน่นจนถึงจุดที่ปิดกั้นวิสัยทัศน์ นอกจากนี้ภายใต้รัศมีความตายที่กัดกร่อนรุนแรง มู่เฉินรู้สึกได้ว่าแม้แต่คลื่นหลิงในร่างกายก็ถูกระงับไม่สามารถขยายไปได้ไกลมากนัก
ยอดเขาโดยรอบค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีเทาอ่อนไม่มีสีสันของพืชพันธุ์สักนิด ที่นี่ราวกับโลกแห่งความตาย
โฮก!
เหมือนจะมีเสียงคำรามโหดเหี้ยมเยือกเย็นดังมาจากที่ไกล ซึ่งไม่มีร่องรอยพลังชีวิตในเสียงแม้แต่น้อย ราวกับว่าเป็นผีดิบอย่างไรอย่างนั้น
วาบ! วาบ!
ขณะที่ทั้งกลุ่มเดินทางผ่านเทือกเขา พวกเขาก็เคลื่อนไหวอย่างระมัดระวัง ร่างเกร็งแน่นขณะมองไปรอบๆ
กึก
หานซันที่อยู่หน้าสุดหยุดลงกะทันหัน ร่างเขาไปปรากฏบนซากต้นไม้แห้งกรังขณะมองออกไปเบื้องหน้า บนท้องฟ้ามีเงาหลายเงาลอยอยู่ คลื่นรัศมีความตายเย็นเยือกถูกปล่อยออกมาจากร่างพวกนั้นอย่างต่อเนื่อง
“นั่นอสูรวิญญาณรึ?”
มู่เฉินมองไปเบื้องหน้า ก็เห็นว่าเงาเหล่านั้นเป็นสีเทาซีด ดวงตาว่างเปล่าไม่มีสติปัญญา ทั้งหมดมีรูปลักษณ์ที่แตกต่างกัน บางตัวมีรูปร่างครึ่งสัตว์ครึ่งมนุษย์ แต่ทุกร่างต่างเปล่งรัศมีความตายทรงพลัง ใครก็ตามที่มีขุมพลังต่ำกว่าระดับจื้อจุนขั้นห้าคงต้องตายเมื่อสัมผัส
“จัดการให้เร็วที่สุด ต้องระเบิดหัวพวกมัน ไม่งั้นมันจะกวนเราไม่รู้จบ นอกจากนี้ก็ต้องทำให้เร็ว ไม่เช่นนั้นพวกมันอาจเรียกตัวอื่นๆ มาอีกก็ได้ ถึงเวลานั้นหนาวแน่ถ้าโดนล้อมกรอบเอาไว้”
หานซันพูดเสียงเบา จากนั้นก็โบกมือกระจายกำลังกำจัดเป้าหมายอย่างรวดเร็ว
คนอื่นๆ พยักหน้า อึดใจก็ทะยานออกไปในเวลาเดียวกัน พุ่งไปยังเงาหมองหม่นบนท้องฟ้า
มู่เฉินปรากฏเบื้องหน้าร่างเงาสีขี้เถ้าซีดร่างหนึ่ง มันถูกปกคลุมไปด้วยขนสีขาว ตัวสีซีดจางดูอ่อนแอ ทว่าที่จริงกลับแข็งแรงกว่าโลหะ
เมื่อมู่เฉินปรากฏที่เบื้องหน้า แสงสีเทาก็กะพริบในดวงตาอสูรวิญญาณ ทันใดนั้นมันก็เงยหน้าขึ้นพุ่งเป้ามาที่มู่เฉิน กรงเล็บแหลมคมตวัดใส่หน้าอกของมู่เฉิน
การโจมตีเฉียบคมและโหดเหี้ยมมาก ทำให้มู่เฉินประหลาดใจไปเล็กน้อย ดูเหมือนว่าอสูรวิญญาณเหล่านี้ยังคงมีสัญชาตญาณการต่อสู้ของตอนมีชีวิตอยู่ ไม่อย่างนั้นไปไม่ได้ที่การโจมตีจะมีฝีมือแบบนี้
เผชิญหน้ากับอสูรวิญญาณระดับนี้ หากเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นหกสามัญ พวกเขาอาจต้องเสียแรงไม่น้อยถึงจะจัดการพวกมันได้
แต่น่าเสียดายที่มู่เฉินไม่ได้อยู่ในระดับธรรมดา
ดังนั้นเมื่อกรงเล็บแหวกอากาศเข้ามา มู่เฉินก็ไม่ได้หลบแต่ยื่นมือคว้ากรงเล็บเอาไว้ กรงเล็บซึ่งเปรียบได้กับอาวุธพบสวรรค์ กลับไม่สามารถแม้แต่จะบาดผิวหนังของเขาได้
แคร็ก
มู่เฉินใส่พลังในมือมากขึ้นก่อนจะบดขยี้กรงเล็บ ทว่าอสูรวิญญาณไม่รู้สึกเจ็บปวดใดๆ กลับกวาดกรงเล็บอีกข้างที่ห่อหุ้มด้วยรัศมีความตายพุ่งไปที่ลำคอของมู่เฉิน
ปัง!
มู่เฉินชกหมัดออกไปด้วยสีหน้าเฉยเมย ฉีกผ่านมิติซัดลงบนหัวของอสูรวิญญาณจังใหญ่ ทันใดนั้นเสียงระเบิดก็ดังกึกก้อง หัวของอสูรวิญญาณแตกออกดังโพละเหมือนลูกแตงโม
แต่เมื่อหัวระเบิดกลับไม่มีเลือดสักหยด มีเพียงขี้เถ้าฟุ้งกระจาย ส่วนร่างมันก็แข็งทื่อก่อนที่จะร่วงหล่นมาจากท้องฟ้า หน้าทิ่มลงดิน
มู่เฉินไม่ได้มองอสูรวิญญาณที่ร่วงลงไป แต่มองที่กำปั้นแทน หลังจากทุบหัวของอสูรวิญญาณ มือของเขาก็ถูกห่อด้วยไอสีเทาบางจาง ซึ่งก็คือรัศมีความตายที่กัดกร่อนเข้ามา
“รัศมีความตายเป็นปัญหาจริงๆ”
มู่เฉินขมวดคิ้วจากนั้นก็หมุนเวียนคลื่นหลิงขับไล่รัศมีความตาย ในสุสานหมื่นอสูรรัศมีความตายหนาแน่นเกินไป ถ้าประมาทให้มันบุกเข้ามาในร่างกายละก็ คงต้องจ่ายราคามหาศาลเลยทีเดียว
หลังจากที่มู่เฉินจัดการอสูรวิญญาณได้ไม่นาน คนอื่นๆ ก็จัดการเรียบร้อยเช่นกัน ทุกคนมารวมตัวไม่ได้พูดอะไร ตามหลังหานซันออกไปอย่างรวดเร็ว
“อสูรโภคะที่พบอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของสุสานหมื่นอสูร เราระมัดระวังกันหน่อยน่าจะใช้เวลาประมาณครึ่งวันไปถึง” ระหว่างทางหานซันก็เอ่ยขึ้น
“เผ่าหมาป่าเวหะและเผ่าราชสีห์ทองคำจะถึงก่อนไหม?” มู่เฉินถาม
“ในแง่ของความเร็วพวกเขาไม่น่าเร็วขนาดนั้น เพราะพื้นที่ที่อสูรโภคะสิ้นชีพเต็มไปด้วยอันตราย ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะผ่านไปได้” หานซันตอบ
มู่เฉินพยักหน้าไม่พูดอะไรอีก
ทั้งกลุ่มเดินทางอย่างรวดเร็วผ่านสุสานหมื่นอสูรเทาหม่น ทว่าขนาดของสุสานเกินกว่าจินตนาการของพวกเขาอย่างชัดเจน ไม่ว่าจะผ่านภูเขากี่ลูกก็ยังมองไม่เห็นจุดสิ้นสุดสักที
ระหว่างทางพวกเขาปะทะกับอสูรวิญญาณมากมาย แม้จะมีหานซันนำทาง แต่เส้นทางที่หานซันรู้ก็มีการเปลี่ยนแปลง ทำให้พวกเขาตกอยู่ในดงวิญญาณเหล่านี้หลายครั้ง แม้สุดท้ายจะหลุดพ้นมาได้ แต่ก็ดูน่าสมเพชยิ่งนัก
ทว่าโชคดีที่ไม่ได้พบอสูรวิญญาณทรงพลัง ไม่เช่นนั้นความเร็วของพวกเขาจะต้องลดฮวบลงมาก
นอกจากนี้มู่เฉินยังหมุนเวียนจิตวิญญาณหงส์ฟ้าแท้จริงอย่างเงียบๆ ตลอดเส้นทางที่พุ่งสู่สถานที่ตั้งของอสูรโบราณโภคะเพื่อสัมผัสกับร่องรอยวิหคอมตะ แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ผลลัพธ์อะไร ซึ่งทำให้พวกเขาค่อนข้างผิดหวัง
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วขณะเดินทาง
ไม่รู้ผ่านภูเขาไปแล้วกี่ลูก ในที่สุดมู่เฉินก็รู้สึกว่าหานซันเริ่มชะลอตัวลงและส่งสัญญาณมือบอกให้พวกเขาระวังตัว
มู่เฉินและจิ่วโยวแลกเปลี่ยนสายตากันอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็เพิ่มการป้องกัน ดูเหมือนว่าพวกเขาจะเข้าใกล้ร่างอสูรโบราณโภคะแล้ว
ผ่านภูเขาตรงหน้าไป เบื้องหน้าครรลองสายตามู่เฉินก็ปรากฏวิวทิวทัศน์ป่าขาวโพลนซึ่งปกคลุมไปด้วยรัศมีความตายเสมือนร่างภูตผีที่ทำให้รู้สึกหนาวสั่นไปตามสันหลัง
มู่เฉินมองไปที่ป่าขาวโพลนเบื้องหน้า ดวงตาก็หรี่ลง ในสถานที่แห่งนี้เขารู้สึกได้ถึงความผันผวนของคลื่นหลิงคลุมเครือ
เขาเหลือบมองไปที่จิ่วโยวและมั่วเฟิงอย่างรวดเร็ว ทั้งสองก็สัมผัสได้เช่นกัน พวกเขายกระดับการป้องกันขึ้น
หานซันจ้องไปที่ป่าเบื้องหน้า จากนั้นก็หยิบนกหวีดเป่าเป็นจังหวะ เมื่อคลื่นเสียงแผ่ออกไป ใบไม้ในป่าสีขาวก็พลิ้วไหวก่อนที่พวกมู่เฉินจะเห็นร่างหลายร่างที่ปกคลุมด้วยรัศมีโหดเหี้ยมพุ่งออกมาจากแนวป่ายืนจังก้าอยู่ตรงหน้าพวกเขา
ผู้ที่มาใหม่มีรูปร่างกำยำ ร่างกายปกคลุมไปด้วยรอยแผลเป็นทำให้ดูดุร้าย ขณะนี้ดวงตาสีแดงก่ำจับจ้องอยู่ที่กลุ่มหานซัน
บนหว่างคิ้วมีรูปพระจันทร์เสี้ยวซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของเผ่าหมาป่าเวหะ
คนเหล่านั้นเป็นจอมยุทธ์ของเผ่าหมาป่าเวหะนั่นเอง
เมื่อมู่เฉินเห็นพวกเขาก็ไม่ได้ผ่อนการป้องกันลง ตรงกันข้ามกลับยกระดับมากขึ้น
จอมยุทธ์ที่ยืนอยู่ตรงหน้ากลุ่มเป็นชายที่มีรอยแผลเป็นบนใบหน้า ดวงตาสีแดงเข้มมองไปที่พวกหานซัน ก่อนที่จะจ้องมาที่พวกมู่เฉินเขม็ง ทันใดนั้นรัศมีร้ายกาจก็กำจายบนใบหน้า
“หานซัน พวกเขาไม่ใช่สมาชิกเผ่าแรดอสูรนี่!”