หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – ตอนที่ 1025

ตอนที่ 1025

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1025 เผ่าหมาป่าเวหะ
รัศมีความตายสีเทาแผ่ซ่านออกไป

ความรู้สึกเย็นเยือกนั่น แม้แต่คลื่นหลิงก็ไม่สามารถปิดกั้นได้อย่างสมบูรณ์ เส้นใยรัศมีความตายที่บุกเข้ามาในร่างกายทีละนิด จะค่อยๆ ทำให้คลื่นหลิงในร่างถูกกัดกร่อน

ทั้งกลุ่มยืนอยู่บนยอดเขาด้านนอกสุสานหมื่นอสูร สายตาจดจ่อไปที่รัศมีความตายที่เต็มพื้นที่ ก่อนที่จะมองไปที่สุสานขนาดใหญ่บนท้องฟ้า แววตาก็ค่อยๆ เคร่งเครียดลง

สุสานหมื่นอสูรทำให้พวกเขารู้สึกหวาดกลัว

“สมกับเป็นเขตอันตรายของดินแดนเสินโซ่” มู่เฉินถอนหายใจ

“ที่นี่ไม่ได้มีเพียงมหาเทพอสูรหนึ่งเดียวที่ละสังขาร…” หานซันพยักหน้า มหาเทพอสูรคือสุดยอดของเหล่าเทพอสูรซึ่งเปรียบได้กับจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนเลยทีเดียว แต่สุดท้ายก็ต้องยังมีดินกลบหน้าอยู่ในสุสานหมื่นอสูรนี้

ยิ่งสิ่งมีชีวิตทรงพลังมากเท่าไรก็จะยิ่งปล่อยรัศมีความตายรุนแรงออกไปมากเท่านั้น หากสถานที่ละสังขารไม่ได้รับการปกป้องอย่างดี ด้วยจำนวนรัศมีความตายที่น่าอัศจรรย์มากมายในสุสานนี้ เหตุผลส่วนใหญ่ก็คงเป็นเพราะมหาเทพอสูรที่ละทิ้งร่างไว้ที่นี่

“ใกล้เวลาแล้ว พวกเราเตรียมเข้ากันเถอะ…”

หานซันมองไปที่ท้องฟ้าก่อนที่จะสะบัดแขนเสื้อ ทันใดนั้นไฟสีขาวหลายดวงก็บินไปหากลุ่มมู่เฉิน พวกเขารับไว้ก็เห็นแสงสีขาวเปลี่ยนเป็นเปลวไฟสีขาวตกลงบนบ่าอย่างรวดเร็ว ขณะที่เปลวไฟสีขาวลุกลามก็ค่อยๆ ห่อหุ้มร่างพวกเขาเอาไว้

เมื่อร่างถูกปกป้องด้วยเปลวไฟสีขาว พวกมู่เฉินก็รู้สึกว่าร่างกายค่อยๆ อุ่นขึ้น รัศมีความตายที่รุกรานเข้ามาหายไปอย่างรวดเร็ว

เห็นได้ชัดว่าเปลวไฟนี้แข็งแกร่งกว่าของหานซันที่ใช้ตอนเดินทาง

“นี่คือเพลิงต้านอาสัญ… สามารถขับไล่รัศมีความตายและยังช่วยสัมผัสได้ถึงอสูรวิญญาณที่ถูกกัดกร่อนโดยรัศมีความตายได้ด้วย ทว่าเพลิงนี้ไม่สามารถอยู่ได้นาน ดังนั้นจำเป็นต้องเพิ่มเชื้อเพลิงอยู่เรื่อย ซึ่งข้าให้ไว้กับพวกเจ้าไปก่อนหน้านี้แล้ว”

หานซันยิ้มขณะเปลวไฟสีขาวก็ลอยขึ้นเหนือไหล่ จากนั้นเขาพลิกนิ้วโยนใบไม้สีขาวลงไปในเปลวไฟก็ถูกเผาไหม้อย่างรวดเร็ว ก่อนที่เพลิงจะมีพลังมากขึ้น

พวกมู่เฉินพยักหน้ารับรู้

“งั้นก็ไปกันเถอะ”

พอเห็นว่าทุกคนเตรียมตัวพร้อมแล้ว หานซันก็ไม่ได้พูดต่อ ทะยานออกไปเป็นคนแรก เขาเปลี่ยนเป็นร่างแสงเหาะเหินเข้าไปในรัศมีความตายสีเทาที่ล้อมรอบบริเวณนี้

เมื่อเห็นดังนั้นคนอื่นๆ ก็ติดตามอย่างรวดเร็ว

เมื่อพวกเขาเข้าใกล้ มู่เฉินก็สัมผัสได้ถึงรัศมีความตายที่หนาวสะท้านยิ่งขึ้น พื้นดินด้านล่างเป็นสีดำราวกับโคลนเน่า

“กำลังจะเข้าไปแล้ว!”

หานซันที่อยู่ด้านหน้าคำรามเตือน ทันใดนั้นพวกมู่เฉินก็รู้สึกว่าอุณหภูมิทั่วบริเวณนี้เย็นเยือกลง แม้ว่าจะได้รับการปกป้องจากเพลิงต้านอาสัญ แต่การรุกรานของรัศมีความตายก็ยังทำให้คนสั่นเทาได้

รัศมีความตายโดยรอบหนาแน่นจนถึงจุดที่ปิดกั้นวิสัยทัศน์ นอกจากนี้ภายใต้รัศมีความตายที่กัดกร่อนรุนแรง มู่เฉินรู้สึกได้ว่าแม้แต่คลื่นหลิงในร่างกายก็ถูกระงับไม่สามารถขยายไปได้ไกลมากนัก

ยอดเขาโดยรอบค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีเทาอ่อนไม่มีสีสันของพืชพันธุ์สักนิด ที่นี่ราวกับโลกแห่งความตาย

โฮก!

เหมือนจะมีเสียงคำรามโหดเหี้ยมเยือกเย็นดังมาจากที่ไกล ซึ่งไม่มีร่องรอยพลังชีวิตในเสียงแม้แต่น้อย ราวกับว่าเป็นผีดิบอย่างไรอย่างนั้น

วาบ! วาบ!

ขณะที่ทั้งกลุ่มเดินทางผ่านเทือกเขา พวกเขาก็เคลื่อนไหวอย่างระมัดระวัง ร่างเกร็งแน่นขณะมองไปรอบๆ

กึก

หานซันที่อยู่หน้าสุดหยุดลงกะทันหัน ร่างเขาไปปรากฏบนซากต้นไม้แห้งกรังขณะมองออกไปเบื้องหน้า บนท้องฟ้ามีเงาหลายเงาลอยอยู่ คลื่นรัศมีความตายเย็นเยือกถูกปล่อยออกมาจากร่างพวกนั้นอย่างต่อเนื่อง

“นั่นอสูรวิญญาณรึ?”

มู่เฉินมองไปเบื้องหน้า ก็เห็นว่าเงาเหล่านั้นเป็นสีเทาซีด ดวงตาว่างเปล่าไม่มีสติปัญญา ทั้งหมดมีรูปลักษณ์ที่แตกต่างกัน บางตัวมีรูปร่างครึ่งสัตว์ครึ่งมนุษย์ แต่ทุกร่างต่างเปล่งรัศมีความตายทรงพลัง ใครก็ตามที่มีขุมพลังต่ำกว่าระดับจื้อจุนขั้นห้าคงต้องตายเมื่อสัมผัส

“จัดการให้เร็วที่สุด ต้องระเบิดหัวพวกมัน ไม่งั้นมันจะกวนเราไม่รู้จบ นอกจากนี้ก็ต้องทำให้เร็ว ไม่เช่นนั้นพวกมันอาจเรียกตัวอื่นๆ มาอีกก็ได้ ถึงเวลานั้นหนาวแน่ถ้าโดนล้อมกรอบเอาไว้”

หานซันพูดเสียงเบา จากนั้นก็โบกมือกระจายกำลังกำจัดเป้าหมายอย่างรวดเร็ว

คนอื่นๆ พยักหน้า อึดใจก็ทะยานออกไปในเวลาเดียวกัน พุ่งไปยังเงาหมองหม่นบนท้องฟ้า

มู่เฉินปรากฏเบื้องหน้าร่างเงาสีขี้เถ้าซีดร่างหนึ่ง มันถูกปกคลุมไปด้วยขนสีขาว ตัวสีซีดจางดูอ่อนแอ ทว่าที่จริงกลับแข็งแรงกว่าโลหะ

เมื่อมู่เฉินปรากฏที่เบื้องหน้า แสงสีเทาก็กะพริบในดวงตาอสูรวิญญาณ ทันใดนั้นมันก็เงยหน้าขึ้นพุ่งเป้ามาที่มู่เฉิน กรงเล็บแหลมคมตวัดใส่หน้าอกของมู่เฉิน

การโจมตีเฉียบคมและโหดเหี้ยมมาก ทำให้มู่เฉินประหลาดใจไปเล็กน้อย ดูเหมือนว่าอสูรวิญญาณเหล่านี้ยังคงมีสัญชาตญาณการต่อสู้ของตอนมีชีวิตอยู่ ไม่อย่างนั้นไปไม่ได้ที่การโจมตีจะมีฝีมือแบบนี้

เผชิญหน้ากับอสูรวิญญาณระดับนี้ หากเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นหกสามัญ พวกเขาอาจต้องเสียแรงไม่น้อยถึงจะจัดการพวกมันได้

แต่น่าเสียดายที่มู่เฉินไม่ได้อยู่ในระดับธรรมดา

ดังนั้นเมื่อกรงเล็บแหวกอากาศเข้ามา มู่เฉินก็ไม่ได้หลบแต่ยื่นมือคว้ากรงเล็บเอาไว้ กรงเล็บซึ่งเปรียบได้กับอาวุธพบสวรรค์ กลับไม่สามารถแม้แต่จะบาดผิวหนังของเขาได้

แคร็ก

มู่เฉินใส่พลังในมือมากขึ้นก่อนจะบดขยี้กรงเล็บ ทว่าอสูรวิญญาณไม่รู้สึกเจ็บปวดใดๆ กลับกวาดกรงเล็บอีกข้างที่ห่อหุ้มด้วยรัศมีความตายพุ่งไปที่ลำคอของมู่เฉิน

ปัง!

มู่เฉินชกหมัดออกไปด้วยสีหน้าเฉยเมย ฉีกผ่านมิติซัดลงบนหัวของอสูรวิญญาณจังใหญ่ ทันใดนั้นเสียงระเบิดก็ดังกึกก้อง หัวของอสูรวิญญาณแตกออกดังโพละเหมือนลูกแตงโม

แต่เมื่อหัวระเบิดกลับไม่มีเลือดสักหยด มีเพียงขี้เถ้าฟุ้งกระจาย ส่วนร่างมันก็แข็งทื่อก่อนที่จะร่วงหล่นมาจากท้องฟ้า หน้าทิ่มลงดิน

มู่เฉินไม่ได้มองอสูรวิญญาณที่ร่วงลงไป แต่มองที่กำปั้นแทน หลังจากทุบหัวของอสูรวิญญาณ มือของเขาก็ถูกห่อด้วยไอสีเทาบางจาง ซึ่งก็คือรัศมีความตายที่กัดกร่อนเข้ามา

“รัศมีความตายเป็นปัญหาจริงๆ”

มู่เฉินขมวดคิ้วจากนั้นก็หมุนเวียนคลื่นหลิงขับไล่รัศมีความตาย ในสุสานหมื่นอสูรรัศมีความตายหนาแน่นเกินไป ถ้าประมาทให้มันบุกเข้ามาในร่างกายละก็ คงต้องจ่ายราคามหาศาลเลยทีเดียว

หลังจากที่มู่เฉินจัดการอสูรวิญญาณได้ไม่นาน คนอื่นๆ ก็จัดการเรียบร้อยเช่นกัน ทุกคนมารวมตัวไม่ได้พูดอะไร ตามหลังหานซันออกไปอย่างรวดเร็ว

“อสูรโภคะที่พบอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของสุสานหมื่นอสูร เราระมัดระวังกันหน่อยน่าจะใช้เวลาประมาณครึ่งวันไปถึง” ระหว่างทางหานซันก็เอ่ยขึ้น

“เผ่าหมาป่าเวหะและเผ่าราชสีห์ทองคำจะถึงก่อนไหม?” มู่เฉินถาม

“ในแง่ของความเร็วพวกเขาไม่น่าเร็วขนาดนั้น เพราะพื้นที่ที่อสูรโภคะสิ้นชีพเต็มไปด้วยอันตราย ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะผ่านไปได้” หานซันตอบ

มู่เฉินพยักหน้าไม่พูดอะไรอีก

ทั้งกลุ่มเดินทางอย่างรวดเร็วผ่านสุสานหมื่นอสูรเทาหม่น ทว่าขนาดของสุสานเกินกว่าจินตนาการของพวกเขาอย่างชัดเจน ไม่ว่าจะผ่านภูเขากี่ลูกก็ยังมองไม่เห็นจุดสิ้นสุดสักที

ระหว่างทางพวกเขาปะทะกับอสูรวิญญาณมากมาย แม้จะมีหานซันนำทาง แต่เส้นทางที่หานซันรู้ก็มีการเปลี่ยนแปลง ทำให้พวกเขาตกอยู่ในดงวิญญาณเหล่านี้หลายครั้ง แม้สุดท้ายจะหลุดพ้นมาได้ แต่ก็ดูน่าสมเพชยิ่งนัก

ทว่าโชคดีที่ไม่ได้พบอสูรวิญญาณทรงพลัง ไม่เช่นนั้นความเร็วของพวกเขาจะต้องลดฮวบลงมาก

นอกจากนี้มู่เฉินยังหมุนเวียนจิตวิญญาณหงส์ฟ้าแท้จริงอย่างเงียบๆ ตลอดเส้นทางที่พุ่งสู่สถานที่ตั้งของอสูรโบราณโภคะเพื่อสัมผัสกับร่องรอยวิหคอมตะ แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ผลลัพธ์อะไร ซึ่งทำให้พวกเขาค่อนข้างผิดหวัง

เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วขณะเดินทาง

ไม่รู้ผ่านภูเขาไปแล้วกี่ลูก ในที่สุดมู่เฉินก็รู้สึกว่าหานซันเริ่มชะลอตัวลงและส่งสัญญาณมือบอกให้พวกเขาระวังตัว

มู่เฉินและจิ่วโยวแลกเปลี่ยนสายตากันอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็เพิ่มการป้องกัน ดูเหมือนว่าพวกเขาจะเข้าใกล้ร่างอสูรโบราณโภคะแล้ว

ผ่านภูเขาตรงหน้าไป เบื้องหน้าครรลองสายตามู่เฉินก็ปรากฏวิวทิวทัศน์ป่าขาวโพลนซึ่งปกคลุมไปด้วยรัศมีความตายเสมือนร่างภูตผีที่ทำให้รู้สึกหนาวสั่นไปตามสันหลัง

มู่เฉินมองไปที่ป่าขาวโพลนเบื้องหน้า ดวงตาก็หรี่ลง ในสถานที่แห่งนี้เขารู้สึกได้ถึงความผันผวนของคลื่นหลิงคลุมเครือ

เขาเหลือบมองไปที่จิ่วโยวและมั่วเฟิงอย่างรวดเร็ว ทั้งสองก็สัมผัสได้เช่นกัน พวกเขายกระดับการป้องกันขึ้น

หานซันจ้องไปที่ป่าเบื้องหน้า จากนั้นก็หยิบนกหวีดเป่าเป็นจังหวะ เมื่อคลื่นเสียงแผ่ออกไป ใบไม้ในป่าสีขาวก็พลิ้วไหวก่อนที่พวกมู่เฉินจะเห็นร่างหลายร่างที่ปกคลุมด้วยรัศมีโหดเหี้ยมพุ่งออกมาจากแนวป่ายืนจังก้าอยู่ตรงหน้าพวกเขา

ผู้ที่มาใหม่มีรูปร่างกำยำ ร่างกายปกคลุมไปด้วยรอยแผลเป็นทำให้ดูดุร้าย ขณะนี้ดวงตาสีแดงก่ำจับจ้องอยู่ที่กลุ่มหานซัน

บนหว่างคิ้วมีรูปพระจันทร์เสี้ยวซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของเผ่าหมาป่าเวหะ

คนเหล่านั้นเป็นจอมยุทธ์ของเผ่าหมาป่าเวหะนั่นเอง

เมื่อมู่เฉินเห็นพวกเขาก็ไม่ได้ผ่อนการป้องกันลง ตรงกันข้ามกลับยกระดับมากขึ้น

จอมยุทธ์ที่ยืนอยู่ตรงหน้ากลุ่มเป็นชายที่มีรอยแผลเป็นบนใบหน้า ดวงตาสีแดงเข้มมองไปที่พวกหานซัน ก่อนที่จะจ้องมาที่พวกมู่เฉินเขม็ง ทันใดนั้นรัศมีร้ายกาจก็กำจายบนใบหน้า

“หานซัน พวกเขาไม่ใช่สมาชิกเผ่าแรดอสูรนี่!”

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler ฟรี ได้ที่ novel-fast 


เรื่องย่อ

โดย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler บางส่วนของนิยาย

บทนำ

หนึ่งในใต้หล้าจากปลายปากกาของเทียนฉานถูโต้ว กล่าวถึงมู่เฉิน เด็กหนุ่มจากสำนักศึกษาเป่ยหลิง ผู้ที่ได้รับเลือกให้เข้าฝึกในสงครามเทพยุทธ์ซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าคนเก่งกาจ ทว่า… อยู่ดีๆ เขากลับถูกขับไล่ออกมาด้วยเหตุผลที่ไม่มีใครล่วงรู้ มู่เฉินพยายามฝึกหนักอีกครั้งเพื่อจะพาตัวเองกลับเข้าไปในเส้นทางแห่งนี้ เขาจำเป็นต้องใช้สิ่งนี้เป็นใบเบิกทางเพื่อเข้าศึกษาที่ภาคเบญจภาคี เพื่อ… ปกป้องหญิงสาวที่ตนรัก และยิ่งกว่านั้นคือเพื่อค้นหาเบาะแสของมารดาที่หายสาบสูญไป

‘มหาพันภพ’ เป็นที่ที่มิติทั้งหลายเชื่อมต่อกันในระบบสุริยจักรวาล สถานที่แห่งนี้มีขั้วอำนาจมากมายอาศัยอยู่ จักรพรรดิที่มาจากพิภพเขตล่างต่างเป็นตำนานที่ผู้อื่นปรารถนาขึ้นไปบนเส้นทางแห่งกฎของโลกไร้ขอบเขตนี้

แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว เทพจักรพรรดิอัคคีควบคุมเปลวเพลิงกวาดข้ามสวรรค์

แคว้นหวู เทพจักรพรรดิสงครามผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำให้ทั้งสวรรค์และโลกหวาดกลัว

ตำหนักซีเทียน จักรพรรดิสัประยุทธ์ที่แข็งแกร่งไม่มีผู้ใดเทียบเท่า ในเนินเขารกร้างทางเหนือ ดินแดนวั้นมู่ของจักรพรรดิอมตะครองเหนือภพ

เด็กหนุ่มจากมณฑลเป่ยหลิงออกท่องยุทธภพกับวิหคโลกันตร์คู่ใจ มุ่งหน้าสู่โลกภายนอกที่เต็มไปด้วยสีสัน ใครกันที่จะเป็นผู้กุมชะตากรรมในเส้นทางการเป็นหนึ่ง?

ในมหาพันภพที่สงครามนับหมื่นอุบัติ ข้าคือผู้กุมชะตาฟ้าดิน…

เรื่องย่อ

เมื่อคำพูดของมู่เฉินกระจายออกไป ไม่เพียงแต่จะไม่มีการตอบสนอง แม้แต่ด้านนอกเจดีย์ก็ถูกห่อหุ้มด้วยบรรยากาศราวกับป่าช้า…

ทุกคนตกตะลึงไปกับฉากนี้ พวกเขาจ้องมองจุดที่ลู่สุยหายตัวไป ราวกับว่ายังไม่สามารถฟื้นจากอาการตะลึงงันที่เกิดขึ้นได้

ก่อนหน้าเมื่อลู่สุยออกกระบวนท่าที่น่าสะพรึง ผู้คนส่วนใหญ่ก็คิดว่าผลลัพธ์ของการต่อสู้ได้ถูกกำหนดแล้ว ทว่าพวกเขาไม่คิดเลยว่ามู่เฉินจะพลิกสถานการณ์ได้อีกครั้ง เตะลู่สุยที่เหมือนจะคว้าชัยชนะออกไป

ทุกคนตะลึงไปพักใหญ่ ก่อนที่พวกเขาจะหลุดออกจากอาการได้ สายตาเคร่งเครียดลง การประลองกันครั้งนี้มู่เฉินไม่ได้ใช้ค่ายกล แต่เขาก็สามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดอย่างลู่สุยได้ด้วยความแข็งแกร่งที่อยู่ในขั้นหกเท่านั้น แม้ว่าจะมีผลจากลู่สุยประมาทเองในตอนแรก แต่นั่นก็แสดงให้เห็นว่ามู่เฉินน่ากลัวแค่ไหน

พลังเช่นนี้เขาสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์อันดับต้นๆ ในเจดีย์ฝึกพลังกายได้เลยทีเดียว

ทางฝั่งกลุ่มกระเรียนฟ้า ใบหน้าของหลิ่วชิงกลายเป็นเขียวสลับขาว นางมองไปที่ร่างสูงโปร่งบนหน้าจอ กลืนน้ำลายเหนียวหนืด ความกลัวปรากฏในดวงตาของนางเป็นครั้งแรก

มาถึงจุดนี้นางคงโง่แน่ถ้ายังคิดปฏิบัติต่อมู่เฉินเหมือนกับจอมยุทธ์ขั้นหกทั่วไป

ด้วยพลังในการต่อสู้ที่เขาแสดงออกมา บวกกับค่ายกลทรงพลัง แม้แต่จงเถิงก็ยากจะได้เปรียบหากพวกเขาต่อสู้กัน

ก่อนหน้านี้นางหัวเราะเยาะและมองจิ่วโยวด้วยความดูถูก แต่ตอนนี้นางอายแทบแทรกแผ่นดินหนี ซึ่งจุดนี้รู้ได้จากสายตาเยาะเย้ยเหล่านั้นที่ปรายมองเข้ามา

“ทำไมมู่เฉินถึงทรงพลังเช่นนี้?” จงฮั้วที่พ่ายแพ้ให้กับมู่เฉินก็มีสีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดเช่นกันว่ามู่เฉินพึ่งพาเพียงค่ายกลเพื่อจัดการกับศัตรู แต่ใครจะคิดว่าเมื่อไม่มีการใช้ค่ายกลมู่เฉินก็สามารถเอาชนะลู่สุยแบบดุร้ายยิ่งกว่าอะไร

“ดูเหมือนว่ามีเพียงพี่ใหญ่จงเถิงเท่านั้นที่สามารถจัดการกับเขาได้” จอมยุทธ์อีกคนของเผ่ากระเรียนฟ้าพยักหน้า

หลิ่วชิงพยักหน้าเบาๆ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะพิจารณาพลังของมู่เฉินพลาดไปเท่านั้น แม้แต่จงเถิงก็ตัดสินอีกฝ่ายผิดไป ชายคนนั้นเป็นสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง

ฟิ้ว!

ขณะที่นอกเจดีย์ต่างตกตะลึงกับผลลัพธ์ที่มู่เฉินนำมา ทันใดนั้นแสงก็กะพริบบนแท่นนอกเจดีย์ ร่างน่าสังเวชปรากฏขึ้น

เมื่อร่างนั้นออกมาก็รีบถอยกลับไปปรากฏตัวขึ้นในกลุ่มอีกาสายฟ้าทันควัน นี่ก็คือลู่สุยที่มีสีหน้าซีดขาว คลื่นหลิงของเขาถดถอยลงอย่างมาก

สายตาโดยรอบยิงเข้าหาในเวลานี้ทันที

ใบหน้าของลู่สุยเขียวคล้ำ สายตาเกลียดชังมองไปที่มู่เฉินที่อยู่บนหน้าจอ ก่อนที่จะหันหัวสาดสายตาดุร้ายใส่จิ่วโยวและมั่วหลิง ที่ข้างๆ พรรคพวกของเขาก็มีท่าทางไม่ดีเช่นกัน

ทว่าจิ่วโยวไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับสายตาเหล่านั้น นางเค้นเสียงอย่างเย็นชา “ลูกหมาที่ถูกฟาดยังกล้าที่จะออกมาแยกเขี้ยวอีกเหรอ?”

ตอนนี้ลู่สุยบาดเจ็บสาหัส สูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปหมด ส่วนคนที่เหลือก็ไม่มีอะไรต้องกลัว หากพวกเขากล้าที่จะคิดบัญชีกับพวกนาง จิ่วโยวก็ไม่คิดปล่อยพวกเขาไว้เป็นภัยคุกคามในอนาคตหรอก

สายตาแสดงความเกลียดชังของลู่สุยจ้องเขม็งอยู่ที่จิ่วโยว แต่สุดท้ายเขาก็ต้องถอนสายตาออกไปอย่างไม่เต็มใจ ก่อนที่จะถอยกลับนั่งลงบนซากปรักหักพังเข้าสมาธิเพื่อฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ

จอมยุทธ์กลุ่มอีกาสายฟ้าก็ปรากฏรอบตัวเขาเพื่อปกป้อง

เมื่อจิ่วโยวเห็นการตอบสนองนั่น นางก็ไม่ได้ใส่ใจกับพวกเขาอีก นางมองไปที่หน้าจออีกครั้งโดยพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ร่างเงาอ่อนเยาว์ มือที่กำแน่นผ่อนคลายลง

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงสำหรับนางที่มู่เฉินจะเอาชนะได้เด็ดขาดแบบนี้ นั่นเป็นเพราะตามการประเมินของนางแม้ว่ามู่เฉินจะยืนยงอยู่ได้ก็เป็นยากที่จะเอาชนะลู่สุยด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นหกและถ้าการต่อสู้ถูกลากไปจนสุดอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบคาดไม่ถึง

ทว่าผลลัพธ์สุดท้ายที่ได้ก็ทำให้นางทั้งประหลาดใจและดีใจ

เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินได้รับประโยชน์มหาศาลจากสามชั้นแรกของเจดีย์ฝึกพลังกาย ไม่เช่นนั้นเขาไม่สามารถแสดงพลังเป็นที่ประจักษ์เช่นนี้ได้

“ว่ากันว่าในชั้นสี่มหัศจรรย์กว่านี้มาก หากใครสามารถเข้าไปได้ พวกเขาจะสามารถได้รับผลประโยชน์เกินกว่าสามชั้นแรกมาก…”

จิ่วโยวยิ้มบาง ดูจากสถานการณ์ปัจจุบันไม่น่ามีปัญหาใดๆ ที่มู่เฉินจะเข้าสู่ชั้นสี่ สำหรับมั่วเฟิงความแข็งแกร่งของเขาเป็นหนึ่งในอันดับต้นของกลุ่มที่เข้าไป ดังนั้นจึงไม่ยากสำหรับเขาที่จะได้หนึ่งในห้าที่นั่งนี้ไปเช่นกัน

ดูเหมือนว่าการเดินทางมาที่เจดีย์ฝึกพลังกายโบราณครั้งนี้เผ่าวิหคโลกันตร์อาจเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

บนลานเมฆสายฟ้า

ไม่มีใครตอบคำถามของมู่เฉิน ขณะนี้แม้แต่จอมยุทธ์ทรงอำนาจอย่างหานซันและสีคุนก็ยังรู้สึกหวาดระแวงมู่เฉินอยู่บ้าง ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะไม่ไปปะทะกับมนุษย์ผู้นี้

ดังนั้นคนทั้งหมดที่อยู่ที่นี่จึงเงียบลง ก่อนที่จะถอยออกจากรัศมีโดยรอบมู่เฉินอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณบอกว่าพวกเขาไม่ต้องการต่อสู้กับเขา

เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ก็ไม่มีอารมณ์ใดบนใบหน้า แต่ในใจกลับรู้สึกโล่งอก คนอื่นๆ เห็นเพียงฉากการต่อสู้ตระการที่เขาเอาชนะลู่สุยได้ แต่พวกเขาไม่รู้หรอกว่าหมัดที่เขาชกออกไปก่อนหน้านี้คือพลังงานส่วนเกินจากสามชั้นแรก

ร่างกายของมู่เฉินก่อนหน้าเปรียบเสมือนฟองน้ำที่ดูดซับน้ำจนถึงขีดจำกัด หมัดของเขาจึงเท่ากับบีบน้ำออกจนหมด ทำให้ร่างกายที่อัดแน่นกลับสู่สภาพเดิม

ดังนั้นถ้าให้เขาโจมตีแบบนั้นอีกครั้ง พลังก็จะไม่ทรงประสิทธิภาพเหมือนเมื่อครู่แน่นอน

ประสิทธิผลพิเศษชนิดนี้ของการสะสมพลังงานในร่างกายเป็นทักษะที่ได้มาจากกายามังกรหงส์ ด้วยวิธีนี้เขาจะได้รับผลลัพธ์ที่ไม่มีใครคาดคิดไว้ กลายเป็นไพ่ลับอีกใบหนึ่ง

“คัมภีร์หลงเฟิ่งทรงพลังจริงๆ”

แม้แต่มู่เฉินก็ยังชื่นชมในสิ่งนี้ คัมภีร์หลงเฟิ่งสมแล้วที่เป็นทักษะยอดเยี่ยมแท้จริง จากการประเมินของเขาคัมภีร์นี้ต้องอยู่ในระดับเสินทงแน่นอน ซึ่งไม่ธรรมดาแม้จะอยู่ในกลุ่มวิทยายุทธระดับเสินทงด้วย

มู่เฉินชื่นชมก่อนที่จะใจเย็นลง แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีใครท้าทายเขา แต่เขาก็ไม่ตั้งใจที่จะท้าทายคนอื่นด้วยเช่นกัน เขายืนนิ่งบนตำแหน่งตนเองรอผลการคัดออก

สำหรับจงเถิง มู่เฉินรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นพวกยุแยงให้ลู่สุยมาปะทะกับเขา แต่เนื่องจากตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ดีในการจัดการ เขาจึงได้แต่ผลักแผนไปก่อน

แต่ถึงกระนั้นสายตาคมกล้าของมู่เฉินก็ยังจ้องเขม็งไปที่จงเถิง รอบตัวเต็มไปด้วยคลื่นหลิงราวกับเสือดาวที่กำลังจะจ้องตะครุบเหยื่ออัดแน่นด้วยภัยคุกคาม

เมื่อเห็นท่าทางของมู่เฉิน จงเถิงที่ประจันหน้ากับมั่วเฟิงก็รู้สึกอึดอัดใจ เขาต้องแยกสมาธิอยู่ตลอดเพื่อจับตามองมู่เฉิน ป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายเคลื่อนไหวมาประสานพลังกับมั่วเฟิง

ด้วยวิธีนี้สมาธิของจงเถิงจึงค่อนข้างฟุ้งซ่าน สุดท้ายเขาได้แต่กัดฟัน ถอนคลื่นหลิงและถอยออกจากบริเวณของมั่วเฟิง

“พี่มั่วยากสำหรับการต่อสู้ของเราที่จะได้ข้อสรุป ทำไมเราไม่ไปจัดการคนอื่นและรับที่นั่งมาล่ะ?” ขณะที่จงเถิงถอยกลับเสียงก็สะท้อนก้องไปด้วย

มั่วเฟิงจ้องมองจงเถิงอย่างไม่แยแสก่อนที่จะพยักหน้า นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าหากพวกเขายังอยู่ในสถานการณ์ยืนจ้องหน้ากันก็จะไม่เกิดผลลัพธ์ใด หากเขาร่วมมือกับมู่เฉิน พวกเขาอาจทำให้จงเถิงบ้าดีเดือดขึ้นมา แม้แต่พวกเขาก็ต้องจ่ายราคามหาศาลจากการตีโต้

ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาคือการได้ที่นั่งเพื่อเข้าสู่ชั้นสี่

เมื่อจงเถิงเห็นคำตอบของมั่วเฟิงก็รู้สึกโล่งใจในใจ เขาถอยกลับอย่างรวดเร็วออกจากจุดที่มู่เฉินและมั่วเฟิงอยู่ เขาครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนจะเลือกปะทะกับคนที่อ่อนแอกว่า

พอมู่เฉินเห็นจงเถิงไปแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจอีกต่อไป สายตาหันมามองมั่วเฟิงแล้วก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มแสดงความขอบคุณในการช่วยเหลือครั้งนี้

สายตาของมั่วเฟิงเป็นมิตรมากขึ้น คิดว่าการที่มู่เฉินเอาชนะลู่สุย ทำให้มั่วเฟิงมองมู่เฉินในฐานะจอมยุทธ์ที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเขา ดังนั้นจึงไม่ได้มีท่าทางเฉยเมยเหมือนเมื่อก่อน

มั่วเฟิงพยักหน้าให้มู่เฉิน ก่อนที่จะหันหลังกลับและเริ่มเลือกคู่ต่อสู้ของตนเอง

ครืน!

เมื่อทุกคนเลือกคู่ต่อสู้แล้ว ทันใดนั้นคลื่นหลิงก็ระเบิดรุนแรงบนลานเมฆสายฟ้า คลื่นกระแทกกวาดออก ทำให้มิติเกิดการสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไม่หยุด

บนลานเมฆสายฟ้าพลังงานหลิงกวาดหายนะ มีเพียงตรงมู่เฉินเท่านั้นที่ไม่ถูกรบกวน เนื่องจากไม่มีใครกล้าเหยียบเข้ามาในรัศมีพันจั้ง ยามนี้เขาเหมือนผู้ชมที่ดูการต่อสู้ติดขอบ ในเวลาเดียวกันก็บันทึกกระบวนท่าที่ทรงพลังของบางคนไว้ในสมอง

แม้ว่าในชั้นนี้พวกเขาอาจไม่ได้ประลองกัน แต่ก็ยังมีอีกสองชั้นรอพวกเขาอยู่ ใครจะสามารถรับประกันได้ว่าจะไม่มีการลดจำนวนลงในชั้นต่อไป?

ดังนั้นถ้ามีโอกาสเขาต้องพยายามจดจำข้อมูลผู้อื่นเก็บไว้

ภายใต้การสังเกตของมู่เฉิน การประลองบนลานเมฆสายฟ้าก็คงอยู่ชั่วระยะหนึ่ง ก่อนที่แต่ละคู่จะมาถึงจุดสิ้นสุด ผลลัพธ์ก็เป็นไปตามที่คาดไว้

หลังจากมู่เฉินก็เป็นหานซันที่เอาชนะคู่ต่อสู้ได้ที่นั่งที่สองไป

จากนั้นมั่วเฟิงและจงเถิงก็คว้าชัยชนะตามมา

ที่นั่งสุดท้ายตกเป็นของสีคุนที่ก่อนหน้านี้เคยแพ้หานซันที่ด้านนอกเจดีย์ ชายนี้มีความแข็งแกร่งที่น่าตกใจ แม้แต่หานซันยังต้องใช้ทักษะเต็มที่ถึงจะได้รับชัยชนะมา

เมื่อสีคุนได้รับที่นั่งสุดท้ายลานเมฆสายฟ้าขนาดใหญ่ก็เงียบลงอีกครั้ง ร่างทั้งห้ายืนอยู่ ขณะรัศมีไร้ขอบเขตทั้งห้าสายพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าชนกันเปรี้ยงปร้าง

ทว่าการชนกันก็ดำเนินไปเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ก่อนที่ทั้งห้าจะถอนคลื่นพลังพร้อมกัน พวกเขาเหลือบมองกันและกัน จากนั้นก็ไม่ลังเลทะยานออกไปปรากฏตัวบนเบาะทั้งห้า

สายตาพวกเขาพุ่งตรงไปยังมิติด้านหลังลานเมฆสายฟ้าด้วยความโลภ ตรงนั้นเส้นดาวหางจำนวนมากกวาดผ่านราวกับฝนดาวตก

ในแสงเหล่านั้นแก่นหยดสายฟ้ากำลังกะพริบด้วยความแวววาว


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท