หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – ตอนที่ 1010

ตอนที่ 1010

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1010 ใช้เงินแก้ปัญหา
มือเรียวคว้าขนสีทองเข้มคมกริบไว้ราวกับหินผา

ไม่ว่าขนนกจะปลดปล่อยแสงสีทองแค่ไหนก็ไม่อาจหลุดเป็นอิสระได้

หลังจากจับขนนกเอาไว้ได้ ดวงตาของมู่เฉินที่ยังพร่างด้วยแสงสีทองบางเบาก็มองไปที่จงเถิงพลางพูดออกมาช้าๆ “ดูเหมือนพี่จงจะไร้ความปรานีแท้จริงเมื่อออกกระบวนท่านะ”

ใบหน้าของจงเถิงน่าเกลียดอย่างถึงที่สุด เขาไม่คิดว่ามู่เฉินจะฟื้นพลังได้ในวินาทีสำคัญนี้ นอกจากนี้มันยังหยุดขนนกสีทองไว้ด้วยมือข้างเดียว ต้องรู้ว่าพลังอำนาจของขนนกนี้สามารถเทียบเคียงได้กับอาวุธพบสวรรค์ขั้นยอดเยี่ยมเลยทีเดียว ต่อให้เป็นจอมยุทธขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ด ถ้าประมาทก็อาจถูกแทงทะลุร่างในพริบตา

นอกจากนี้จงเถิงยังมั่นใจว่าก่อนหน้านี้มู่เฉินไม่สามารถทำสิ่งนี้ได้อย่างแน่นอน แต่ตอนนี้เห็นได้ว่าพลังกายของมู่เฉินได้รับการพัฒนาขึ้นอย่างมากหลังจากดูดซับแก่นโลหิตบริสุทธิ์ของเทพอสูรกลืนฟ้า

ยามนี้เขารู้สึกถึงภัยคุกคามยิ่งใหญ่แผ่มาจากมู่เฉิน

“เป็นภัยคุกคามอย่างแท้จริง!”

จงเถิงรู้สึกเสียใจอย่างยิ่งในหัวใจ ถ้าเขารู้ก่อนว่าจะเป็นเช่นนี้ ตอนที่ก้าวสู่ชั้นสามเขาต้องฆ่ามู่เฉินให้ได้แม้ว่าจะต้องจ่ายราคามหาศาล

แต่ไม่ว่าเขาจะเสียใจมากแค่ไหนก็ไร้ประโยชน์สิ้นเชิงในขณะนี้ เผชิญหน้ากับสายตาคมกริบของมู่เฉิน จงเถิงก็ได้แต่ไม่แสดงสีหน้าอะไร ทว่าร่างกายตึงเครียดขึ้น เขาระมัดระวังมู่เฉินสุดกำลัง

ตอนนี้มู่เฉินมีคุณสมบัติที่จะทำให้เขารู้สึกหวาดกลัวแล้ว

ดวงตาจงเถิงวูบไหว เขางอนิ้วพยายามดึงขนนกที่มู่เฉินจับได้คืนมา การมีขนนกในมือจะทำให้พละกำลังในต่อสู้ของเขาเพิ่มขึ้น ด้วยสถานการณ์ปัจจุบันเป็นการดีที่สุดถ้าเขาสามารถเพิ่มความแข็งแกร่งได้แม้แต่นิดเดียวก็ตาม

ทว่าการควบคุมของเขากลับไม่ได้รับการตอบสนองใดๆ แม้ว่าขนนกในมือของมู่เฉินจะดิ้นขลุกขลักไปมาเพื่อให้หลุดพ้น แต่ก็ไม่สามารถได้รับอิสระ สุดท้ายกลับค่อยๆ อ่อนแรงลงเมื่อมู่เฉินเพิ่มแรงในมือ

“ในเมื่อให้แล้วทำไมจะเอากลับอีกล่ะ? พี่จงเป็นคนใจกว้างมาก งั้นข้าขอรับสิ่งนี้ไว้ละกัน” มู่เฉินยิ้มอ่อนให้จงเถิง จากนั้นคลื่นหลิงก็พวยพุ่งออกจากร่างกายอย่างรุนแรงเทลงบนขนนก เห็นได้ชัดว่าเขาตั้งใจที่จะชำระเก็บเป็นของตนเอง

ตอนนี้เขาขาดอาวุธอยู่พอดีและขนนกก็มาทันเวลาที่จะใช้เป็นอาวุธ

เมื่อจงเถิงเห็นการกระทำของมู่เฉิน เขาก็โกรธจนแทบคลั่ง แต่อึดใจริ้วรอยเยาะเย้ยก็พลุ่งพล่านในดวงตา ขนนกสีทองนี้ได้รับการปรับแต่งจากขนกระเรียนปีกทองคำ รัศมีที่หลงเหลืออยู่ภายในเป็นของมหาเทพอสูรตัวจริง ถ้าไม่ใช่สมาชิกในเผ่ากระเรียนฟ้าก็จะถูกตอบโต้ด้วยรัศมีกระเรียนปีกทองคำแทน

มู่เฉินโอหังเกินไปแล้ว!

ภายใต้สายตาเย้ยหยันของจงเถิง คลื่นหลิงของมู่เฉินก็กำจายเข้าไปในขนนกสีทอง ทว่าทันใดนั้นร่างกายของเขาก็แข็งทื่อตามที่จงเถิงคาดการณ์ไว้ ขนสีทองดิ้นรนดุเดือด รัศมีเผด็จการยิ่งใหญ่พุ่งพรวดออกมาอย่างคลุมเครือ พยายามที่จะตอบโต้มู่เฉิน

“รัศมีกระเรียนปีกทองคำเรอะ?”

สัมผัสได้ถึงการตีโต้ สายตาของมู่เฉินก็ไม่ได้มีริ้วความตกใจเลย เขายิ้มบางอึดใจก็กำหมัดแน่น ลวดลายมังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริงปรากฏขึ้นบนท่อนแขน รัศมีมังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริงเทลงในขนนกสีทอง ระงับรัศมีที่หลงเหลือของกระเรียนปีกทองคำอย่างสมบูรณ์

ในฐานะมหาเทพอสูรเหมือนกัน รัศมีที่เหลืออยู่ของกระเรียนปีกทองคำก็อ่อนด้อยกว่าการผสมผสานของลวดลายมังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริงที่สถิตในร่างมู่เฉิน

เมื่อเกิดการปราบปราม รัศมีขนนกสีทองก็เงียบลงอย่างรวดเร็ว แสงสีทองหดกลับกลายเป็นกระบี่ยาวสีทองในมือของมู่เฉิน กระบี่นี้มีลักษณะแปลกมาก ขอบใบมีดเต็มไปด้วยฟันใบเลื่อย ดูราวกับเป็นขอบขนนก แสงสีทองไหลเวียนอย่างเลืองราง รัศมีคมชัดเปล่งออกมาจากมัน

“กระบี่ใช้ได้” มู่เฉินโบกกระบี่ยาวสีทอง เขาหรี่ตายิ้มร่า

รอยยิ้มเย้ยหยันบนใบหน้าจงเถิงอันตรธานหายไปตั้งแต่มู่เฉินจับด้ามกระบี่ได้ เขามองดูกระบี่ยาวที่เงียบสงบในมือของมู่เฉินอย่างว่างเปล่า ความไม่เชื่อกระจายเต็มใบหน้า

มู่เฉินระงับรัศมีกระเรียนปีกทองคำบนกระบี่ได้ง่ายๆ อย่างนี้เลยเหรอ?

นั่นคือมหาเทพอสูรนะ!

มู่เฉินเป็นมนุษย์จริงไหมเนี่ย?! หรือว่าเขามีสายเลือดมหาเทพอสูรผู้ยิ่งใหญ่ไหลเวียนอยู่ในร่างกาย?

ขณะที่สีหน้าจงเถิงว่างเปล่า สายตาเยาะเย้ยของมู่เฉินก็มองมาอีกครั้ง เขาวาดกระบี่ยาวสีทองในมือขึ้น “ดูเหมือนว่าถึงเวลาที่เราจะคิดบัญชีแล้ว”

แม้ว่าเขาจะมีรอยยิ้มบนใบหน้า แต่คำพูดกลับเคลือบไว้ด้วยเจตนาฆ่า

จงเถิงสร้างปัญหากับเขาครั้งแล้วครั้งเล่า พยายามลอบกัดจนปลุกจิตสังหารของเขาขึ้นมา

เมื่อมู่เฉินพูดจบ มั่วเฟิงซึ่งอยู่ด้านหลังก็ก้าวออกมา ทั้งสองประกบจงเถิงเอาไว้ตรงกลาง รัศมีเฉียบคมของพวกเขาพลุ่งพล่านไปหมด ทำเอาใบหน้าของจงเถิงดูไม่ได้เลยทีเดียว

เมื่อมู่เฉินและมั่วเฟิงร่วมมือกัน เขาแทบไม่มีโอกาสชนะเลย

“ทั้งสองเราเข้ามาในเจดีย์ฝึกพลังกายเพื่อแสวงหาโอกาส ไม่จำเป็นที่จะต้องเสี่ยงชีวิตหรอกมั้ง? นอกจากนี้เรายังอยู่แค่ในชั้นสี่ ถ้าเราต่อสู้กันแบบศึกมรณะ ข้าเชื่อว่าพวกเจ้าก็ต้องจ่ายราคาแพงระยับเช่นกัน ซึ่งข้าเชื่อว่านั่นคงเป็นสถานการณ์ที่ไม่มีใครต้องการเห็นใช่ไหม?” ใบหน้าของจงเถิงเปลี่ยนไป ก่อนที่เขาจะพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม

มู่เฉินยิ้มอ่อน “ข้าว่าถ้าแค่ต้องการบีบให้เจ้าออกจากเจดีย์ก็ไม่ได้เป็นเรื่องยากอะไรมากนะ”

สายตาจงเถิงมืดครึ้มทันที ถ้าเขาถูกบีบให้ออกจากเจดีย์ เขาจะสูญเสียสิทธิ์ในการเข้าสู่ชั้นห้า ซึ่งแน่นอนว่าจะเป็นการสูญเสียยิ่งใหญ่สำหรับเขา

“แกต้องการอะไร!” จงเถิงกัดฟัน ยามนี้เขาไม่มีทางเลือกนอกจากต้องยอมอ่อนให้

“ที่จริงจะให้ข้าไม่เอาเรื่องที่เจ้าลอบฆ่าก่อนหน้าก็ได้ ง่ายมาก…ของเหลวจื้อจุนสักสามล้านหยด” มู่เฉินแบมือออกพร้อมกับรอยยิ้มฉายบนใบหน้า

ความตะลึงงันผุดขึ้นบนใบหน้าของจงเถิง เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ทันตั้งตัวเลย พักใหญ่เมื่อเขาออกจากภวังค์ได้ก็ต้องกัดฟันกรอด “ของเหลวจื้อจุนสามล้านหยดหยด ทำไมแกไม่ปล้นข้าเลย!”

แม้ว่าเขาจะเป็นจอมยุทธ์อัจฉริยะของเผ่า แต่ของเหลวจื้อจุนสามล้านหยดก็ไม่ใช่จำนวนน้อยๆ เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะสามารถจ่ายทั้งหมดคนเดียว

“งั้นก็ออกจากเจดีย์ไปซะ!”

ใบหน้ายิ้มแย้มของมู่เฉินตึงลงทันที เขาเค้นเสียงแบบไม่ไว้มารยาทใส่

“แก!”

จงเถิงรู้สึกโกรธจนปอดแทบระเบิด แสงเกรี้ยวกราดแวววับในดวงตา แต่สุดท้ายเขาก็ระงับอย่างจนใจ พลางขบฟันแน่น “ข้ามีแค่ล้านหยดหยดเท่านั้น”

“เอามา” มู่เฉินยื่นมือออกไป

ใบหน้าของจงเถิงสลับกันระหว่างสีเขียวกับสีขาว แต่สุดท้ายเขาทำได้เพียงโบกมือ เมื่อขวดสีทองบินออกไปเขาก็รู้สึกเจ็บปวดรวดร้าวในใจ ขวดทองคำกะพริบด้วยคลื่นหลิงแพรวพราวนัก

มู่เฉินรับมา เขากวาดสัมผัสก่อนที่จะพยักหน้าด้วยรอยยิ้มและดวงตาที่หรี่ลง จงเถิงร่ำรวยอย่างแท้จริงขนาดถือครองของเหลวจำนวนมหาศาลแบบนี้ ของเหลวจื้อจุนล้านหยดเทียบเท่ากับรายได้ครึ่งปีของหอวิหคโลกันตร์เลยทีเดียว

มู่เฉินแยกของเหลวจื้อจุนเป็นสองส่วน จากนั้นก็โยนครึ่งหนึ่งให้กับมั่วเฟิงแล้วยิ้ม “ขอบใจมาก”

ถ้ามั่วเฟิงไม่ได้ช่วยเขาก่อนหน้านี้ เขาอาจได้รับบาดเจ็บเพราะจงเถิงไปแล้ว

มั่วเฟิงรับไว้โดยไม่พูดอะไร ไม่มีใครคิดว่าจะมีของเหลวจื้อจุนมากไปหรอก เนื่องจากสิ่งนี้จำเป็นในการเพาะบ่มขุมพลัง ดังนั้นยิ่งเยอะยิ่งดี

แต่ขณะที่รับไป มั่วเฟิงก็ส่งคลื่นเสียงถามด้วยความสงสัย “ปล่อยมันไปแบบนี้เหรอ?”

เขาเข้าใจนิสัยของมู่เฉิน ชายคนนี้ไม่ได้ดูเป็นมิตรเหมือนที่เห็นหรอก

“เราไม่สามารถฆ่าใครในเจดีย์ฝึกพลังกายโบราณได้ หากเราบีบเขามากไป เจดีย์ก็จะส่งเขาออกไป… และเมื่อเขาออกไปได้ก็คงมีความคิดแก้แค้นที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ จนลงมือจัดการจิ่วโยวและมั่วหลิง หากเป็นเช่นนั้นเราก็จะต้องออกจากเจดีย์ไปด้วยเช่นกัน” มู่เฉินยิ้มบางตอบกลับ

“นั่นเป็นสถานการณ์ที่ทั้งสองฝ่ายจะต้องทุกข์แสนสาหัส ตอนนี้เราไม่จำเป็นต้องละทิ้งโอกาสในชั้นห้า สำหรับชายคนนั้นเราสามารถจัดการกับเขาได้หลังจากเรื่องทั้งหมดจบลงแล้ว… ส่วนของเหลวจื้อจุนล้านหยดก็แค่คิดว่าเป็นกำไร ถ้าเขายืนกรานที่จะไม่ให้ ข้าก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะยังไงเราก็ไม่สามารถละทิ้งโอกาสในชั้นห้าได้…”

เมื่อได้ยินคำพูดของมู่เฉิน ใบหน้าของมั่วเฟิงก็อดประหลาดอย่างช่วยไม่ได้ จงเถิงเป็นคนฉลาด แต่ไม่คิดว่าครั้งนี้จะถูกหลอกให้อับอายโดยมู่เฉิน

ขณะที่มู่เฉินกับมั่วเฟิงส่งคลื่นเสียงคุยกัน จงเถิงก็ดูเหมือนจะคิดอะไรได้ ทันใดนั้นคิ้วก็ขมวดเขาเข้าใจในที่สุด ใบหน้ามืดครึ้มส่งเสียงคำรามลั่น “แกหลอกข้า!”

เขาไม่ใช่คนโง่ ด้วยการกระทำก่อนหน้า หากเขาเป็นมู่เฉินก็ไม่มีทางปล่อยอีกฝ่ายไปแน่นอน แต่การที่มู่เฉินไม่ได้ทำเช่นนี้ ก็หมายความว่ามู่เฉินมีความกังวลเช่นกัน ซึ่งเป็นสิ่งที่แค่คิดมากขึ้นก็จะสามารถคิดออกได้

“แกคิดได้เร็วดีนี่”

มู่เฉินหัวเราะชื่นชมด้วยดวงตาหยี

จงเถิงหัวร้อนฉ่ากับคำพูดของมู่เฉิน แต่โชคดีที่เขาระงับความโกรธไว้ได้ จากนั้นก็สาดประกายเกลียดชังพุ่งใส่มู่เฉิน ก่อนที่จะเดินออกไปพร้อมกับอาการขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน

เมื่อมู่เฉินเห็นการตอบสนองนั่นก็ไม่ไปใส่ใจอะไร หลังจากเรื่องนี้จบค่อยมาจัดการกับชายคนนี้ ดังนั้นเขาจึงหันไปหาหานซันที่ยืนอยู่ด้านข้างประสานมือให้ “ข้าต้องขอบคุณพี่หานด้วย”

แม้ก่อนหน้าเขาจะดูดซับแก่นโลหิตเทพอสูรกลืนฟ้าอยู่ แต่ก็รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เขาจึงรู้สึกขอบคุณที่หานซันไม่ร่วมวงด้วย มิฉะนั้นถ้าหานซันเคลื่อนไหว สถานการณ์อาจแตกต่างไปจากตอนนี้

“ไม่เป็นไร…”

หานซันยิ้มและพยักหน้า “พี่มู่มีความสามารถอย่างแท้จริง”

ไม่ว่าจะเป็นมู่เฉินที่คว้ากระบี่ขนนกทองคำหรือบังคับให้จงเถิงส่งมอบของเหลวจื้อจุน ล้วนแสดงให้เห็นว่ามู่เฉินไม่ใช่ธรรมดา ซึ่งนั่นทำให้เขารู้สึกดีใจ โชคดีที่ความโลภไม่ได้บังตาจนมืดบอด ไม่เช่นนั้นจะเป็นเรื่องปวดกะโหลกที่เป็นศัตรูกับคนแบบนี้

มู่เฉินตอบด้วยรอยยิ้ม จากนั้นก็ไม่ได้พูดอะไร เขาเงยหน้าขึ้นมองศิลาพลังยุทธ์ ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไรประตูที่เต็มไปด้วยความรกร้างว่างเปล่าก็ปรากฏขึ้นด้านหลังแผ่นศิลา

เมื่อมองประตูแสง หัวใจที่สงบของมู่เฉินก็เต้นรัวอย่างไม่สามารถควบคุมได้

เขารู้ว่านี่เป็นเส้นทางสู่ชั้นสุดท้ายของเจดีย์

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler ฟรี ได้ที่ novel-fast 


เรื่องย่อ

โดย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler บางส่วนของนิยาย

บทนำ

หนึ่งในใต้หล้าจากปลายปากกาของเทียนฉานถูโต้ว กล่าวถึงมู่เฉิน เด็กหนุ่มจากสำนักศึกษาเป่ยหลิง ผู้ที่ได้รับเลือกให้เข้าฝึกในสงครามเทพยุทธ์ซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าคนเก่งกาจ ทว่า… อยู่ดีๆ เขากลับถูกขับไล่ออกมาด้วยเหตุผลที่ไม่มีใครล่วงรู้ มู่เฉินพยายามฝึกหนักอีกครั้งเพื่อจะพาตัวเองกลับเข้าไปในเส้นทางแห่งนี้ เขาจำเป็นต้องใช้สิ่งนี้เป็นใบเบิกทางเพื่อเข้าศึกษาที่ภาคเบญจภาคี เพื่อ… ปกป้องหญิงสาวที่ตนรัก และยิ่งกว่านั้นคือเพื่อค้นหาเบาะแสของมารดาที่หายสาบสูญไป

‘มหาพันภพ’ เป็นที่ที่มิติทั้งหลายเชื่อมต่อกันในระบบสุริยจักรวาล สถานที่แห่งนี้มีขั้วอำนาจมากมายอาศัยอยู่ จักรพรรดิที่มาจากพิภพเขตล่างต่างเป็นตำนานที่ผู้อื่นปรารถนาขึ้นไปบนเส้นทางแห่งกฎของโลกไร้ขอบเขตนี้

แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว เทพจักรพรรดิอัคคีควบคุมเปลวเพลิงกวาดข้ามสวรรค์

แคว้นหวู เทพจักรพรรดิสงครามผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำให้ทั้งสวรรค์และโลกหวาดกลัว

ตำหนักซีเทียน จักรพรรดิสัประยุทธ์ที่แข็งแกร่งไม่มีผู้ใดเทียบเท่า ในเนินเขารกร้างทางเหนือ ดินแดนวั้นมู่ของจักรพรรดิอมตะครองเหนือภพ

เด็กหนุ่มจากมณฑลเป่ยหลิงออกท่องยุทธภพกับวิหคโลกันตร์คู่ใจ มุ่งหน้าสู่โลกภายนอกที่เต็มไปด้วยสีสัน ใครกันที่จะเป็นผู้กุมชะตากรรมในเส้นทางการเป็นหนึ่ง?

ในมหาพันภพที่สงครามนับหมื่นอุบัติ ข้าคือผู้กุมชะตาฟ้าดิน…

เรื่องย่อ

เมื่อคำพูดของมู่เฉินกระจายออกไป ไม่เพียงแต่จะไม่มีการตอบสนอง แม้แต่ด้านนอกเจดีย์ก็ถูกห่อหุ้มด้วยบรรยากาศราวกับป่าช้า…

ทุกคนตกตะลึงไปกับฉากนี้ พวกเขาจ้องมองจุดที่ลู่สุยหายตัวไป ราวกับว่ายังไม่สามารถฟื้นจากอาการตะลึงงันที่เกิดขึ้นได้

ก่อนหน้าเมื่อลู่สุยออกกระบวนท่าที่น่าสะพรึง ผู้คนส่วนใหญ่ก็คิดว่าผลลัพธ์ของการต่อสู้ได้ถูกกำหนดแล้ว ทว่าพวกเขาไม่คิดเลยว่ามู่เฉินจะพลิกสถานการณ์ได้อีกครั้ง เตะลู่สุยที่เหมือนจะคว้าชัยชนะออกไป

ทุกคนตะลึงไปพักใหญ่ ก่อนที่พวกเขาจะหลุดออกจากอาการได้ สายตาเคร่งเครียดลง การประลองกันครั้งนี้มู่เฉินไม่ได้ใช้ค่ายกล แต่เขาก็สามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดอย่างลู่สุยได้ด้วยความแข็งแกร่งที่อยู่ในขั้นหกเท่านั้น แม้ว่าจะมีผลจากลู่สุยประมาทเองในตอนแรก แต่นั่นก็แสดงให้เห็นว่ามู่เฉินน่ากลัวแค่ไหน

พลังเช่นนี้เขาสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์อันดับต้นๆ ในเจดีย์ฝึกพลังกายได้เลยทีเดียว

ทางฝั่งกลุ่มกระเรียนฟ้า ใบหน้าของหลิ่วชิงกลายเป็นเขียวสลับขาว นางมองไปที่ร่างสูงโปร่งบนหน้าจอ กลืนน้ำลายเหนียวหนืด ความกลัวปรากฏในดวงตาของนางเป็นครั้งแรก

มาถึงจุดนี้นางคงโง่แน่ถ้ายังคิดปฏิบัติต่อมู่เฉินเหมือนกับจอมยุทธ์ขั้นหกทั่วไป

ด้วยพลังในการต่อสู้ที่เขาแสดงออกมา บวกกับค่ายกลทรงพลัง แม้แต่จงเถิงก็ยากจะได้เปรียบหากพวกเขาต่อสู้กัน

ก่อนหน้านี้นางหัวเราะเยาะและมองจิ่วโยวด้วยความดูถูก แต่ตอนนี้นางอายแทบแทรกแผ่นดินหนี ซึ่งจุดนี้รู้ได้จากสายตาเยาะเย้ยเหล่านั้นที่ปรายมองเข้ามา

“ทำไมมู่เฉินถึงทรงพลังเช่นนี้?” จงฮั้วที่พ่ายแพ้ให้กับมู่เฉินก็มีสีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดเช่นกันว่ามู่เฉินพึ่งพาเพียงค่ายกลเพื่อจัดการกับศัตรู แต่ใครจะคิดว่าเมื่อไม่มีการใช้ค่ายกลมู่เฉินก็สามารถเอาชนะลู่สุยแบบดุร้ายยิ่งกว่าอะไร

“ดูเหมือนว่ามีเพียงพี่ใหญ่จงเถิงเท่านั้นที่สามารถจัดการกับเขาได้” จอมยุทธ์อีกคนของเผ่ากระเรียนฟ้าพยักหน้า

หลิ่วชิงพยักหน้าเบาๆ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะพิจารณาพลังของมู่เฉินพลาดไปเท่านั้น แม้แต่จงเถิงก็ตัดสินอีกฝ่ายผิดไป ชายคนนั้นเป็นสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง

ฟิ้ว!

ขณะที่นอกเจดีย์ต่างตกตะลึงกับผลลัพธ์ที่มู่เฉินนำมา ทันใดนั้นแสงก็กะพริบบนแท่นนอกเจดีย์ ร่างน่าสังเวชปรากฏขึ้น

เมื่อร่างนั้นออกมาก็รีบถอยกลับไปปรากฏตัวขึ้นในกลุ่มอีกาสายฟ้าทันควัน นี่ก็คือลู่สุยที่มีสีหน้าซีดขาว คลื่นหลิงของเขาถดถอยลงอย่างมาก

สายตาโดยรอบยิงเข้าหาในเวลานี้ทันที

ใบหน้าของลู่สุยเขียวคล้ำ สายตาเกลียดชังมองไปที่มู่เฉินที่อยู่บนหน้าจอ ก่อนที่จะหันหัวสาดสายตาดุร้ายใส่จิ่วโยวและมั่วหลิง ที่ข้างๆ พรรคพวกของเขาก็มีท่าทางไม่ดีเช่นกัน

ทว่าจิ่วโยวไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับสายตาเหล่านั้น นางเค้นเสียงอย่างเย็นชา “ลูกหมาที่ถูกฟาดยังกล้าที่จะออกมาแยกเขี้ยวอีกเหรอ?”

ตอนนี้ลู่สุยบาดเจ็บสาหัส สูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปหมด ส่วนคนที่เหลือก็ไม่มีอะไรต้องกลัว หากพวกเขากล้าที่จะคิดบัญชีกับพวกนาง จิ่วโยวก็ไม่คิดปล่อยพวกเขาไว้เป็นภัยคุกคามในอนาคตหรอก

สายตาแสดงความเกลียดชังของลู่สุยจ้องเขม็งอยู่ที่จิ่วโยว แต่สุดท้ายเขาก็ต้องถอนสายตาออกไปอย่างไม่เต็มใจ ก่อนที่จะถอยกลับนั่งลงบนซากปรักหักพังเข้าสมาธิเพื่อฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ

จอมยุทธ์กลุ่มอีกาสายฟ้าก็ปรากฏรอบตัวเขาเพื่อปกป้อง

เมื่อจิ่วโยวเห็นการตอบสนองนั่น นางก็ไม่ได้ใส่ใจกับพวกเขาอีก นางมองไปที่หน้าจออีกครั้งโดยพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ร่างเงาอ่อนเยาว์ มือที่กำแน่นผ่อนคลายลง

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงสำหรับนางที่มู่เฉินจะเอาชนะได้เด็ดขาดแบบนี้ นั่นเป็นเพราะตามการประเมินของนางแม้ว่ามู่เฉินจะยืนยงอยู่ได้ก็เป็นยากที่จะเอาชนะลู่สุยด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นหกและถ้าการต่อสู้ถูกลากไปจนสุดอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบคาดไม่ถึง

ทว่าผลลัพธ์สุดท้ายที่ได้ก็ทำให้นางทั้งประหลาดใจและดีใจ

เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินได้รับประโยชน์มหาศาลจากสามชั้นแรกของเจดีย์ฝึกพลังกาย ไม่เช่นนั้นเขาไม่สามารถแสดงพลังเป็นที่ประจักษ์เช่นนี้ได้

“ว่ากันว่าในชั้นสี่มหัศจรรย์กว่านี้มาก หากใครสามารถเข้าไปได้ พวกเขาจะสามารถได้รับผลประโยชน์เกินกว่าสามชั้นแรกมาก…”

จิ่วโยวยิ้มบาง ดูจากสถานการณ์ปัจจุบันไม่น่ามีปัญหาใดๆ ที่มู่เฉินจะเข้าสู่ชั้นสี่ สำหรับมั่วเฟิงความแข็งแกร่งของเขาเป็นหนึ่งในอันดับต้นของกลุ่มที่เข้าไป ดังนั้นจึงไม่ยากสำหรับเขาที่จะได้หนึ่งในห้าที่นั่งนี้ไปเช่นกัน

ดูเหมือนว่าการเดินทางมาที่เจดีย์ฝึกพลังกายโบราณครั้งนี้เผ่าวิหคโลกันตร์อาจเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

บนลานเมฆสายฟ้า

ไม่มีใครตอบคำถามของมู่เฉิน ขณะนี้แม้แต่จอมยุทธ์ทรงอำนาจอย่างหานซันและสีคุนก็ยังรู้สึกหวาดระแวงมู่เฉินอยู่บ้าง ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะไม่ไปปะทะกับมนุษย์ผู้นี้

ดังนั้นคนทั้งหมดที่อยู่ที่นี่จึงเงียบลง ก่อนที่จะถอยออกจากรัศมีโดยรอบมู่เฉินอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณบอกว่าพวกเขาไม่ต้องการต่อสู้กับเขา

เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ก็ไม่มีอารมณ์ใดบนใบหน้า แต่ในใจกลับรู้สึกโล่งอก คนอื่นๆ เห็นเพียงฉากการต่อสู้ตระการที่เขาเอาชนะลู่สุยได้ แต่พวกเขาไม่รู้หรอกว่าหมัดที่เขาชกออกไปก่อนหน้านี้คือพลังงานส่วนเกินจากสามชั้นแรก

ร่างกายของมู่เฉินก่อนหน้าเปรียบเสมือนฟองน้ำที่ดูดซับน้ำจนถึงขีดจำกัด หมัดของเขาจึงเท่ากับบีบน้ำออกจนหมด ทำให้ร่างกายที่อัดแน่นกลับสู่สภาพเดิม

ดังนั้นถ้าให้เขาโจมตีแบบนั้นอีกครั้ง พลังก็จะไม่ทรงประสิทธิภาพเหมือนเมื่อครู่แน่นอน

ประสิทธิผลพิเศษชนิดนี้ของการสะสมพลังงานในร่างกายเป็นทักษะที่ได้มาจากกายามังกรหงส์ ด้วยวิธีนี้เขาจะได้รับผลลัพธ์ที่ไม่มีใครคาดคิดไว้ กลายเป็นไพ่ลับอีกใบหนึ่ง

“คัมภีร์หลงเฟิ่งทรงพลังจริงๆ”

แม้แต่มู่เฉินก็ยังชื่นชมในสิ่งนี้ คัมภีร์หลงเฟิ่งสมแล้วที่เป็นทักษะยอดเยี่ยมแท้จริง จากการประเมินของเขาคัมภีร์นี้ต้องอยู่ในระดับเสินทงแน่นอน ซึ่งไม่ธรรมดาแม้จะอยู่ในกลุ่มวิทยายุทธระดับเสินทงด้วย

มู่เฉินชื่นชมก่อนที่จะใจเย็นลง แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีใครท้าทายเขา แต่เขาก็ไม่ตั้งใจที่จะท้าทายคนอื่นด้วยเช่นกัน เขายืนนิ่งบนตำแหน่งตนเองรอผลการคัดออก

สำหรับจงเถิง มู่เฉินรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นพวกยุแยงให้ลู่สุยมาปะทะกับเขา แต่เนื่องจากตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ดีในการจัดการ เขาจึงได้แต่ผลักแผนไปก่อน

แต่ถึงกระนั้นสายตาคมกล้าของมู่เฉินก็ยังจ้องเขม็งไปที่จงเถิง รอบตัวเต็มไปด้วยคลื่นหลิงราวกับเสือดาวที่กำลังจะจ้องตะครุบเหยื่ออัดแน่นด้วยภัยคุกคาม

เมื่อเห็นท่าทางของมู่เฉิน จงเถิงที่ประจันหน้ากับมั่วเฟิงก็รู้สึกอึดอัดใจ เขาต้องแยกสมาธิอยู่ตลอดเพื่อจับตามองมู่เฉิน ป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายเคลื่อนไหวมาประสานพลังกับมั่วเฟิง

ด้วยวิธีนี้สมาธิของจงเถิงจึงค่อนข้างฟุ้งซ่าน สุดท้ายเขาได้แต่กัดฟัน ถอนคลื่นหลิงและถอยออกจากบริเวณของมั่วเฟิง

“พี่มั่วยากสำหรับการต่อสู้ของเราที่จะได้ข้อสรุป ทำไมเราไม่ไปจัดการคนอื่นและรับที่นั่งมาล่ะ?” ขณะที่จงเถิงถอยกลับเสียงก็สะท้อนก้องไปด้วย

มั่วเฟิงจ้องมองจงเถิงอย่างไม่แยแสก่อนที่จะพยักหน้า นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าหากพวกเขายังอยู่ในสถานการณ์ยืนจ้องหน้ากันก็จะไม่เกิดผลลัพธ์ใด หากเขาร่วมมือกับมู่เฉิน พวกเขาอาจทำให้จงเถิงบ้าดีเดือดขึ้นมา แม้แต่พวกเขาก็ต้องจ่ายราคามหาศาลจากการตีโต้

ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาคือการได้ที่นั่งเพื่อเข้าสู่ชั้นสี่

เมื่อจงเถิงเห็นคำตอบของมั่วเฟิงก็รู้สึกโล่งใจในใจ เขาถอยกลับอย่างรวดเร็วออกจากจุดที่มู่เฉินและมั่วเฟิงอยู่ เขาครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนจะเลือกปะทะกับคนที่อ่อนแอกว่า

พอมู่เฉินเห็นจงเถิงไปแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจอีกต่อไป สายตาหันมามองมั่วเฟิงแล้วก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มแสดงความขอบคุณในการช่วยเหลือครั้งนี้

สายตาของมั่วเฟิงเป็นมิตรมากขึ้น คิดว่าการที่มู่เฉินเอาชนะลู่สุย ทำให้มั่วเฟิงมองมู่เฉินในฐานะจอมยุทธ์ที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเขา ดังนั้นจึงไม่ได้มีท่าทางเฉยเมยเหมือนเมื่อก่อน

มั่วเฟิงพยักหน้าให้มู่เฉิน ก่อนที่จะหันหลังกลับและเริ่มเลือกคู่ต่อสู้ของตนเอง

ครืน!

เมื่อทุกคนเลือกคู่ต่อสู้แล้ว ทันใดนั้นคลื่นหลิงก็ระเบิดรุนแรงบนลานเมฆสายฟ้า คลื่นกระแทกกวาดออก ทำให้มิติเกิดการสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไม่หยุด

บนลานเมฆสายฟ้าพลังงานหลิงกวาดหายนะ มีเพียงตรงมู่เฉินเท่านั้นที่ไม่ถูกรบกวน เนื่องจากไม่มีใครกล้าเหยียบเข้ามาในรัศมีพันจั้ง ยามนี้เขาเหมือนผู้ชมที่ดูการต่อสู้ติดขอบ ในเวลาเดียวกันก็บันทึกกระบวนท่าที่ทรงพลังของบางคนไว้ในสมอง

แม้ว่าในชั้นนี้พวกเขาอาจไม่ได้ประลองกัน แต่ก็ยังมีอีกสองชั้นรอพวกเขาอยู่ ใครจะสามารถรับประกันได้ว่าจะไม่มีการลดจำนวนลงในชั้นต่อไป?

ดังนั้นถ้ามีโอกาสเขาต้องพยายามจดจำข้อมูลผู้อื่นเก็บไว้

ภายใต้การสังเกตของมู่เฉิน การประลองบนลานเมฆสายฟ้าก็คงอยู่ชั่วระยะหนึ่ง ก่อนที่แต่ละคู่จะมาถึงจุดสิ้นสุด ผลลัพธ์ก็เป็นไปตามที่คาดไว้

หลังจากมู่เฉินก็เป็นหานซันที่เอาชนะคู่ต่อสู้ได้ที่นั่งที่สองไป

จากนั้นมั่วเฟิงและจงเถิงก็คว้าชัยชนะตามมา

ที่นั่งสุดท้ายตกเป็นของสีคุนที่ก่อนหน้านี้เคยแพ้หานซันที่ด้านนอกเจดีย์ ชายนี้มีความแข็งแกร่งที่น่าตกใจ แม้แต่หานซันยังต้องใช้ทักษะเต็มที่ถึงจะได้รับชัยชนะมา

เมื่อสีคุนได้รับที่นั่งสุดท้ายลานเมฆสายฟ้าขนาดใหญ่ก็เงียบลงอีกครั้ง ร่างทั้งห้ายืนอยู่ ขณะรัศมีไร้ขอบเขตทั้งห้าสายพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าชนกันเปรี้ยงปร้าง

ทว่าการชนกันก็ดำเนินไปเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ก่อนที่ทั้งห้าจะถอนคลื่นพลังพร้อมกัน พวกเขาเหลือบมองกันและกัน จากนั้นก็ไม่ลังเลทะยานออกไปปรากฏตัวบนเบาะทั้งห้า

สายตาพวกเขาพุ่งตรงไปยังมิติด้านหลังลานเมฆสายฟ้าด้วยความโลภ ตรงนั้นเส้นดาวหางจำนวนมากกวาดผ่านราวกับฝนดาวตก

ในแสงเหล่านั้นแก่นหยดสายฟ้ากำลังกะพริบด้วยความแวววาว


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท