หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – ตอนที่ 1022

ตอนที่ 1022

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1022 เอาอีกสาม
น้ำเสียงสงบเรียบของมู่เฉินดังกึกก้อง

ใบหน้าของไป๋ปิงก็บิดเบี้ยวจนกลายเป็นดุร้าย ราวกับว่าเขาต้องการที่จะแล่เนื้อเถือหนังมู่เฉิน

แม้ว่าไป๋ปิงจะไม่ถือว่าเป็นสุดยอดจอมยุทธ์รุ่นใหม่ของเผ่าหงส์ฟ้าน้ำแข็ง แต่เขาก็มีสายเลือดหงส์ฟ้าไหลเวียนอยู่ โดยปกติเขาจะมีความสูงส่งและเผ่าอื่นๆ ก็จะสุภาพเมื่อพบเจอ ตั้งแต่เมื่อไรที่คนอย่างมู่เฉินกล้าปฏิบัติต่อเขาในลักษณะนี้?

“ฆ่ามัน!”

ริ้วเลือดพล่านขึ้นมาในดวงตาไป๋ปิงขณะที่คำราม

ที่ด้านหลังร่างเงาหลายร่างย่างสามขุมออกมามองไปที่มู่เฉินด้วยสายตาไร้ความปรานี คลื่นหลิงไร้ขอบเขตระเบิดออกจากร่างกายของพวกเขา ทำให้เกิดแรงกดดันทรงพลังกระจายออกไป

คนเหล่านั้นเห็นได้ชัดว่ามาจากเผ่าหงส์ฟ้าน้ำแข็ง แม้ว่าพลังของพวกเขาจะอ่อนแอกว่าไป๋ปิง แต่ก็เป็นจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดทุกคน ดังนั้นจึงเป็นการรวมตัวที่ค่อนข้างทรงพลังเลยทีเดียว

ขณะที่จอมยุทธ์เผ่าหงส์ฟ้าน้ำแข็งจ้องมองด้วยสายตาดุร้าย ที่ด้านหลังมู่เฉิน จิ่วโยว มั่วเฟิงและมั่วหลิงก็เค้นเสียงเย็นชาเดินเข้ามายืนอยู่ข้างมู่เฉินจ้องกลับไปที่คนเหล่านั้น

“เผ่าวิหคโลกันตร์กล้าอวดดีต่อเผ่าหงส์ฟ้าน้ำแข็งของข้างั้นเรอะ!” ไป๋ปิงกล่าวด้วยสีหน้ามืดมน

เมื่อจิ่วโยวได้ยินคำพูดนั่นนางก็หัวเราะเยาะ “วาจาคับฟ้าซะจริง เจ้าเป็นแค่สมาชิกธรรมดาของเผ่าหงส์ฟ้าน้ำแข็ง คิดว่าตัวเองสามารถเป็นตัวแทนของเผ่าได้เรอะ?”

“นอกจากนี้จอมยุทธ์ที่เข้ามาในดินแดนเสินโซ่ล้วนต้องอาศัยพลังของตนเอง วันนี้เจ้าหาความอัปยศอดสูให้ตัวเอง หากเรื่องนี้ถูกส่งกลับไปที่เผ่า ไม่เพียงแต่จะไม่มีใครยืนหยัดเพื่อเจ้าเท่านั้น เจ้ายังจะถูกเยาะเย้ยถากถางเหมือนขยะเปียก”

จิ่วโยวไม่สนใจการคุกคามของไป๋หลิง เผ่าหงส์ฟ้าน้ำแข็งเป็นเพียงตระกูลยิบย่อยของเผ่าหงส์ฟ้า พลังของเผ่านั้นเพียงอย่างเดียว ยังไม่เพียงพอที่จะทำให้เผ่าวิหคโลกันตร์หวาดกลัว

เมื่อไป๋ปิงได้ยินคำพูดนั่น ใบหน้าก็เปลี่ยนแปลงรุนแรง ถ้าข่าวที่เขาถูกปราบโดยจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นหกกระจายกลับไปยังเผ่า เขารู้ว่าจะโดนแดกดันแค่ไหน ในเวลานั้นผู้อาวุโสก็อาจมองว่าเขาอ่อนแอ ไม่คิดที่จะจ่ายทรัพยากรเพื่อเลี้ยงดูเขาอีกต่อไป ซึ่งนั่นเป็นการทำลายตัวเขาเองอย่างไม่ต้องสงสัย

“ฮ่าๆ พวกเจ้าเป็นตัวก่อปัญหาจริงๆ เพิ่งจะแยกกันไปประเดี๋ยวเดียวก็มีปัญหาซะแล้ว…”

ระหว่างที่สองฝ่ายยืนประจันหน้ากัน เสียงหัวเราะเสียงหนึ่งก็ดังกึกก้อง กลุ่มคนรีบแหวกทางออก เงาร่างหลายร่างก็เดินออกมาพร้อมกับเผยรัศมีเหี้ยมหาญ นี่ก็คือพวกหานซันจากเผ่าแรดอสูรนั่นเอง

หานซันกวาดสายตาไปก็เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น ทันใดนั้นเขาก็นำพรรคพวกเดินเข้าไปหามู่เฉิน พูดอย่างจนใจว่า “พวกเจ้าก่อปัญหาเก่งจริงๆ…”

แม้ว่าเขาจะพูดแบบนี้ก็ไม่มีท่าทางว่าจะถอย ตรงกันข้ามกลับยืนอยู่ข้างมู่เฉินแสดงจุดยืนชัดเจน

“สมาชิกเผ่าแรดอสูร… นั่นหานซันใช่ไหม? ข้าเคยได้ยินข่าวลือเกี่ยวกับเขา อัจฉริยะของเผ่าแรดอสูรถือได้ว่าเป็นคนที่โดดเด่นแม้ในหมู่จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ด”

“ไม่คิดว่าเผ่าแรดอสูรกับเผ่าวิหคโลกันตร์จะเป็นพันธมิตรกัน”

“…”

เมื่อได้ยินบทสนทนา มู่เฉินก็ยิ้มเมื่อย เขาไม่ใช่คนหาเรื่องซะหน่อย แต่เป็นอีกฝ่ายที่เข้ามาหาเรื่องพวกเขาต่างหาก…

ทว่าความรู้สึกดีก็เกิดขึ้นในใจเมื่อเห็นหานซันเลือกยืนอยู่ข้างเขา เพียงแค่หานซันไม่ได้เลือกที่จะหลบฉากออกไปหลังจากเห็นเผ่าหงส์ฟ้าน้ำแข็งก็ทำให้ชายคนนี้มีค่ามากขึ้นที่มู่เฉินจะคบไว้เป็นสหาย

เมื่อไป๋ปิงเห็นการแสดงออกของหานซัน ใบหน้าก็ยิ่งดำทะมึนขึ้นมากกว่าเดิม จอมยุทธ์จากเผ่าหงส์ฟ้าน้ำแข็งก็หน้านิ่วคิ้วขมวด หากพวกแรดอสูรเข้าร่วมด้วย การรวมตัวของฝ่ายตรงข้ามก็ไม่ได้อ่อนแอกว่าพวกเขา

ใบหน้าของไป๋ปิงมืดครึ้ม จากนั้นก็หายใจเข้าลึกๆ เพื่อระงับความโกรธที่ระเบิดอยู่ในใจ ก่อนที่เขาจะพูดเสียงน่าขนลุก “เรื่องนี้ไม่จบง่ายๆ แน่ หวังว่าพอถึงเวลาแล้วแกจะยังกล้าที่จะรับภาระนี้ไว้”

พูดจบเขาก็ไม่อยู่อีกต่อไป ไอเย็นสาดซัดไปทั่วขณะหันหลังเดินไป แต่ทุกคนรู้ว่าความโกรธในหัวใจของไป๋ปิงระเบิดไปนานแล้ว

จอมยุทธ์เผ่าหงส์ฟ้าน้ำแข็งก็รู้สึกไม่เต็มใจเดินออกไปเช่นกัน ยังไงพวกเขาก็มาจากเผ่าหงส์ฟ้า ปกติเคยทนเจ็บช้ำน้ำใจแบบวันนี้ซะที่ไหน ทว่าในเผ่าหงส์ฟ้าพวกเขาก็ถือว่าเป็นพวกธรรมดาสามัญ นอกจากนี้พวกเขายังถูกแยกเมื่อเข้าสู่ดินแดนเสินโซ่ ซึ่งมีคนไม่กี่คนอยู่ที่นี่ ไม่งั้นถ้าอัจฉริยะจากเผ่าหงส์ฟ้าน้ำแข็งอยู่ด้วยละก็ ไม่ว่าจะมู่เฉินหรือหานซันก็ไม่สามารถเดินออกไปได้แน่

เมื่อคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ พวกเขาก็ได้แต่ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันด้วยความไม่เต็มใจ สายตาจ้องเขม็งไปที่พวกมู่เฉิน จากนั้นก็หันหลังเดินตามไป๋ปิงไป

เมื่อผู้คนโดยรอบเห็นว่าเรื่องนี้จบลง ก็ส่ายหัวด้วยความเสียดาย ตอนแรกพวกเขาคิดว่าทั้งสองฝ่ายจะปะทะกันจนเลือดตกยางออกซะอีก แบบนี้ทั้งสองฝ่ายก็ต้องเจ็บกันหนักแน่นอน

ฉื้อหงหวู่ที่ไม่ได้เข้าร่วมในการต่อสู้ก็มองไปที่มู่เฉิน ดวงตาของนางกะพริบเหมือนจะแสดงเจตนาต่อสู้ แต่สุดท้ายก็ระงับไว้พูดว่า “อย่าทะนงตัวนัก ไป๋ปิงไม่ได้เป็นหนึ่งในห้าอันดับต้นของเผ่าหงส์ฟ้าน้ำแข็งด้วยซ้ำ หากเจ้าคิดว่าพวกเขาอ่อนแอ เจ้าต้องทนทุกข์ในไม่ช้าแน่”

น้ำเสียงของนางมีจุดประสงค์ในการเตือนมู่เฉินชัดเจน ด้วยวิธีนี้ก็ถือว่าเป็นการชดใช้การกระทำหยาบคายก่อนหน้าของนางได้บ้าง

ทว่ามู่เฉินก็ยังไม่ค่อยชอบใจนางจึงทำเพียงพยักหน้าเบาๆ รับฟังคำเตือนไว้

เมื่อฉื้อหงหวู่เห็นว่ามู่เฉินตอบกลับแบบไม่แยแส นางก็ขบฟันกระทืบเท้า ไม่อยากจะพูดอะไรอีกต่อไป นางหันกลับเดินจากไป ขณะเดียวกันก็กัดฟันพึมพำกับตัวเองว่า “หยิ่งต่อไปเถอะ! เมื่อไรที่เจ้าพบพวกเขา ข้าจะดูสิว่าเจ้ายังสามารถเอาชีวิตรอดไปได้หรือไม่!”

มู่เฉินมองร่างที่จากไปของฉื้อหงหวู่ ดวงตาก็หดเกร็งลง ไป๋ปิงไม่ได้เป็นหนึ่งในห้าอันดับแรกของเผ่าหงส์ฟ้าน้ำแข็ง ถ้าสิ่งที่นางพูดเป็นความจริงนั่นก็หมายความว่าพลังของเผ่าหงส์ฟ้าน้ำแข็งไม่อาจประมาทได้ สมควรกับเป็นเผ่าหงส์ฟ้าจริงๆ

“นางพูดความจริง พวกตัวน่าสยองไม่ได้อยู่ที่นี่วันนี้ ไม่งั้นสถานการณ์จะลำบากในการแก้ไขแล้ว” หานซันพยักหน้าพลางพูดด้วยสีหน้าเคร่งเครียดลงหลายส่วน

มู่เฉินพยักหน้าเบาๆ และยิ้ม “เส้นทางของการฝึกฝนเต็มไปด้วยศัตรูที่ทรงพลังทุกย่างก้าว หากเราคิดแต่จะหลีกเลี่ยง เส้นทางของเราก็ดูจะน่าเบื่อไปหน่อย”

หานซันอึ้งไปกับคำพูดของมู่เฉิน จากนั้นก็มองอีกฝ่ายด้วยสายตาแปลกประหลาด ก่อนที่เขาจะตอบว่า “พี่มู่มีความคิดเช่นนี้ ข้าหานซันนับถือจริงๆ”

ไม่เหลีกเลี่ยงในเส้นทาง ไม่รู้สึกหวาดกลัว สภาวะของจิตใจเช่นนี้เป็นวิถีแท้จริงในการฝึกฝนของยอดยุทธ์

มิน่าล่ะมู่เฉินถึงไม่กลัวอัจฉริยะของเผ่าอื่นๆ ทั้งที่มีขุมพลังจื้อจุนขั้นหก เวลานี้ในที่สุดหานซันก็เข้าใจ นี่ทำให้เขาต้องถอนหายใจ เขารู้สึกว่าอนาคตของชายคนนี้ไม่อาจหยั่งรู้ได้ ในเวลานั้นไม่ต้องพูดถึงเผ่าหงส์ฟ้าน้ำแข็ง แม้แต่เผ่าหงส์ฟ้าทั้งหมดก็ไม่คณนามือมู่เฉิน

เมื่อมั่วเฟิงเห็นว่าไป๋ปิงไปแล้ว สีหน้าก็ค่อยๆ กลับคืนสู่ปกติ เขามองมู่เฉินนิ่ง ลังเลก่อนพูดว่า “ขอบใจ แต่เรื่องนี้เจ้าต้องลำบากใจอะไร ข้าสามารถจัดการได้”

มู่เฉินยิ้มบาง “ข้าไม่ชอบให้คนอื่นลบหลู่เพื่อนข้า…”

ท่าทางของมั่วเฟิงแข็งทื่อไป จากนั้นก็หลุบตาลงด้วยแววตาซับซ้อน ก่อนที่จะพยักหน้าช้าๆ ไม่พูดอะไรอีก แต่มั่วหลิงที่คุ้นเคยกับนิสัยของพี่ชายดี นางรู้ว่าตอนนี้หัวใจของพี่ชายไม่สงบแน่นอน

ด้วยตัวตนของพวกเขา แม้แต่ในเผ่าวิหคโลกันตร์ก็แทบไม่มีใครเรียกพวกเขาว่าเพื่อน นี่ก็เป็นเหตุที่ทำให้มั่วเฟิงมีนิสัยเย็นชาเช่นนี้

มู่เฉินไม่คิดว่าคำพูดของเขาจะทำให้เกิดคลื่นในหัวใจของมั่วเฟิง เมื่อเขาพูดจบก็หันหลังกลับมองไปที่ต้นไม้หินเบื้องหน้าชายร่างผอมบาง

เมื่อครู่ของเหลวจื้อจุนห้าแสนหยดทำให้เขาได้รับแก่นเพลิงหงส์ฟ้า ซึ่งถือว่าคุ้มค่ามาก ทำให้มู่เฉินรู้สึกสนใจเพิ่มขึ้น เนื่องจากเขารู้สึกได้คลุมเครือว่าสิ่งที่ชายร่างผอมได้มา ไม่ธรรมดาจริงๆ

แต่แค่ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายดึงโชคไปทั้งหมดตอนพบสมบัติเหล่านั้นรึเปล่า ถึงทำให้ตัวเองได้แต่เฝ้าสมบัติไม่สามารถเปิดได้

เมื่อชายร่างผอมเห็นสายตาของมู่เฉินหัวใจก็สั่นสะท้าน หัวใจเขาแทบจะร่ำไห้เป็นสายเลือดเมื่อเห็นมู่เฉินได้รับแก่นเพลิงหงส์ฟ้าไป หากวัตถุนั่นอยู่ในมือเขาอาจสามารถขายได้ในราคาสูงเกือบล้านหยดของเหลวจื้อจุนเลยทีเดียว

“ทำไม? สหายยังคิดจะเสี่ยงโชคอีกเหรอ? ก่อนหน้านี้ข้าเห็นว่าวิธีการเปิดผนึกของเจ้าดูเหมือนค่อนข้างลึกซึ้งนะ” ชายร่างผอมหัวเราะฝืดๆ ขณะที่หยั่งเชิงถาม เมื่อสักครู่เขาเห็นวิธีการในการเปิดผนึกของมู่เฉิน ซึ่งชัดว่าโอกาสที่จะประสบความสำเร็จสูงกว่าการทำลายไม่น้อย

เมื่อมู่เฉินได้ยินคำพูดนั่นก็หลีกเลี่ยงการตอบคำถาม “ก็แค่โชคดี”

จากนั้นเขาก็มองดูลูกผลึกแสงบนต้นไม้ ก่อนจะเหลือบตาไปหามั่วหลิง นางรู้ว่าเขาหมายถึงอะไร สายตานางกวาดออกแล้วเหยียดมือออกชี้ไปที่ลูกผลึกแสงสามลูก

เมื่อมู่เฉินเห็น แรงดูดก็พุ่งออกมาจากฝ่ามือ ลูกผลึกแสงทั้งสามที่มั่วหลิงระบุตกอยู่ในมือเขา จากนั้นเขาก็โยนขวดหยกออกไปโดยไม่ลังเลและยิ้ม “ของเหลวจื้อจุนรวมหนึ่งล้านห้าแสนหยด ขอบคุณมาก”

ชายร่างผอมเห็นว่ามู่เฉินเด็ดขาดเพียงใด เปลือกตาก็กระตุก ดวงตาจับจ้องอยู่ที่ลูกผลึกแสงทั้งสามที่มู่เฉินเลือกเอาไป เขามีความรู้สึกว่าสมบัติที่มีราคาสูงสุดถูกมู่เฉินหยิบเอาไปหมดแล้ว

ทว่าแม้ในหัวใจจะไม่เต็มใจเพียงใด เขาก็ได้แต่ยิ้มภายใต้การจ้องมองของมู่เฉิน รับขวดหยกด้วยรอยยิ้มที่ไม่น่าดู

หลังจากเป็นประจักษ์พยานกับวิธีการของมู่เฉิน เขาก็รู้แล้วว่ามู่เฉินไม่ใช่จอมยุทธ์ธรรมดา อย่าไปหาเรื่องคนเช่นนี้ซะจะดีกว่า

ขณะที่คิด ชายร่างผอมก็ทนต่อความร้าวรานในหัวใจ ตัดสายพลังงานที่ติดอยู่กับลูกผลึกแสง

ลูกผลึกแสงสามลูกพลิ้วลงในมือ มู่เฉินก็โยนขึ้นเบาๆ เขาเป็นกังวลในหัวใจ เนื่องจากเขาได้ใช้จ่ายของเหลวจื้อจุนที่มีแทบทั้งหมดไปแล้ว แต่ตอนนี้เขาได้แต่เลือกที่จะเชื่อในความสามารถพิเศษของมั่วหลิง หวังว่าวัตถุในลูกผลึกแสงทั้งสามจะมีค่าสูงกว่าราคาล้านห้าแสนหยดได้จริงเถอะ…

ไม่งั้นครั้งนี้เขาขาดทุนย่อยยับแน่

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler ฟรี ได้ที่ novel-fast 


เรื่องย่อ

โดย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler บางส่วนของนิยาย

บทนำ

หนึ่งในใต้หล้าจากปลายปากกาของเทียนฉานถูโต้ว กล่าวถึงมู่เฉิน เด็กหนุ่มจากสำนักศึกษาเป่ยหลิง ผู้ที่ได้รับเลือกให้เข้าฝึกในสงครามเทพยุทธ์ซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าคนเก่งกาจ ทว่า… อยู่ดีๆ เขากลับถูกขับไล่ออกมาด้วยเหตุผลที่ไม่มีใครล่วงรู้ มู่เฉินพยายามฝึกหนักอีกครั้งเพื่อจะพาตัวเองกลับเข้าไปในเส้นทางแห่งนี้ เขาจำเป็นต้องใช้สิ่งนี้เป็นใบเบิกทางเพื่อเข้าศึกษาที่ภาคเบญจภาคี เพื่อ… ปกป้องหญิงสาวที่ตนรัก และยิ่งกว่านั้นคือเพื่อค้นหาเบาะแสของมารดาที่หายสาบสูญไป

‘มหาพันภพ’ เป็นที่ที่มิติทั้งหลายเชื่อมต่อกันในระบบสุริยจักรวาล สถานที่แห่งนี้มีขั้วอำนาจมากมายอาศัยอยู่ จักรพรรดิที่มาจากพิภพเขตล่างต่างเป็นตำนานที่ผู้อื่นปรารถนาขึ้นไปบนเส้นทางแห่งกฎของโลกไร้ขอบเขตนี้

แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว เทพจักรพรรดิอัคคีควบคุมเปลวเพลิงกวาดข้ามสวรรค์

แคว้นหวู เทพจักรพรรดิสงครามผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำให้ทั้งสวรรค์และโลกหวาดกลัว

ตำหนักซีเทียน จักรพรรดิสัประยุทธ์ที่แข็งแกร่งไม่มีผู้ใดเทียบเท่า ในเนินเขารกร้างทางเหนือ ดินแดนวั้นมู่ของจักรพรรดิอมตะครองเหนือภพ

เด็กหนุ่มจากมณฑลเป่ยหลิงออกท่องยุทธภพกับวิหคโลกันตร์คู่ใจ มุ่งหน้าสู่โลกภายนอกที่เต็มไปด้วยสีสัน ใครกันที่จะเป็นผู้กุมชะตากรรมในเส้นทางการเป็นหนึ่ง?

ในมหาพันภพที่สงครามนับหมื่นอุบัติ ข้าคือผู้กุมชะตาฟ้าดิน…

เรื่องย่อ

เมื่อคำพูดของมู่เฉินกระจายออกไป ไม่เพียงแต่จะไม่มีการตอบสนอง แม้แต่ด้านนอกเจดีย์ก็ถูกห่อหุ้มด้วยบรรยากาศราวกับป่าช้า…

ทุกคนตกตะลึงไปกับฉากนี้ พวกเขาจ้องมองจุดที่ลู่สุยหายตัวไป ราวกับว่ายังไม่สามารถฟื้นจากอาการตะลึงงันที่เกิดขึ้นได้

ก่อนหน้าเมื่อลู่สุยออกกระบวนท่าที่น่าสะพรึง ผู้คนส่วนใหญ่ก็คิดว่าผลลัพธ์ของการต่อสู้ได้ถูกกำหนดแล้ว ทว่าพวกเขาไม่คิดเลยว่ามู่เฉินจะพลิกสถานการณ์ได้อีกครั้ง เตะลู่สุยที่เหมือนจะคว้าชัยชนะออกไป

ทุกคนตะลึงไปพักใหญ่ ก่อนที่พวกเขาจะหลุดออกจากอาการได้ สายตาเคร่งเครียดลง การประลองกันครั้งนี้มู่เฉินไม่ได้ใช้ค่ายกล แต่เขาก็สามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดอย่างลู่สุยได้ด้วยความแข็งแกร่งที่อยู่ในขั้นหกเท่านั้น แม้ว่าจะมีผลจากลู่สุยประมาทเองในตอนแรก แต่นั่นก็แสดงให้เห็นว่ามู่เฉินน่ากลัวแค่ไหน

พลังเช่นนี้เขาสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์อันดับต้นๆ ในเจดีย์ฝึกพลังกายได้เลยทีเดียว

ทางฝั่งกลุ่มกระเรียนฟ้า ใบหน้าของหลิ่วชิงกลายเป็นเขียวสลับขาว นางมองไปที่ร่างสูงโปร่งบนหน้าจอ กลืนน้ำลายเหนียวหนืด ความกลัวปรากฏในดวงตาของนางเป็นครั้งแรก

มาถึงจุดนี้นางคงโง่แน่ถ้ายังคิดปฏิบัติต่อมู่เฉินเหมือนกับจอมยุทธ์ขั้นหกทั่วไป

ด้วยพลังในการต่อสู้ที่เขาแสดงออกมา บวกกับค่ายกลทรงพลัง แม้แต่จงเถิงก็ยากจะได้เปรียบหากพวกเขาต่อสู้กัน

ก่อนหน้านี้นางหัวเราะเยาะและมองจิ่วโยวด้วยความดูถูก แต่ตอนนี้นางอายแทบแทรกแผ่นดินหนี ซึ่งจุดนี้รู้ได้จากสายตาเยาะเย้ยเหล่านั้นที่ปรายมองเข้ามา

“ทำไมมู่เฉินถึงทรงพลังเช่นนี้?” จงฮั้วที่พ่ายแพ้ให้กับมู่เฉินก็มีสีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดเช่นกันว่ามู่เฉินพึ่งพาเพียงค่ายกลเพื่อจัดการกับศัตรู แต่ใครจะคิดว่าเมื่อไม่มีการใช้ค่ายกลมู่เฉินก็สามารถเอาชนะลู่สุยแบบดุร้ายยิ่งกว่าอะไร

“ดูเหมือนว่ามีเพียงพี่ใหญ่จงเถิงเท่านั้นที่สามารถจัดการกับเขาได้” จอมยุทธ์อีกคนของเผ่ากระเรียนฟ้าพยักหน้า

หลิ่วชิงพยักหน้าเบาๆ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะพิจารณาพลังของมู่เฉินพลาดไปเท่านั้น แม้แต่จงเถิงก็ตัดสินอีกฝ่ายผิดไป ชายคนนั้นเป็นสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง

ฟิ้ว!

ขณะที่นอกเจดีย์ต่างตกตะลึงกับผลลัพธ์ที่มู่เฉินนำมา ทันใดนั้นแสงก็กะพริบบนแท่นนอกเจดีย์ ร่างน่าสังเวชปรากฏขึ้น

เมื่อร่างนั้นออกมาก็รีบถอยกลับไปปรากฏตัวขึ้นในกลุ่มอีกาสายฟ้าทันควัน นี่ก็คือลู่สุยที่มีสีหน้าซีดขาว คลื่นหลิงของเขาถดถอยลงอย่างมาก

สายตาโดยรอบยิงเข้าหาในเวลานี้ทันที

ใบหน้าของลู่สุยเขียวคล้ำ สายตาเกลียดชังมองไปที่มู่เฉินที่อยู่บนหน้าจอ ก่อนที่จะหันหัวสาดสายตาดุร้ายใส่จิ่วโยวและมั่วหลิง ที่ข้างๆ พรรคพวกของเขาก็มีท่าทางไม่ดีเช่นกัน

ทว่าจิ่วโยวไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับสายตาเหล่านั้น นางเค้นเสียงอย่างเย็นชา “ลูกหมาที่ถูกฟาดยังกล้าที่จะออกมาแยกเขี้ยวอีกเหรอ?”

ตอนนี้ลู่สุยบาดเจ็บสาหัส สูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปหมด ส่วนคนที่เหลือก็ไม่มีอะไรต้องกลัว หากพวกเขากล้าที่จะคิดบัญชีกับพวกนาง จิ่วโยวก็ไม่คิดปล่อยพวกเขาไว้เป็นภัยคุกคามในอนาคตหรอก

สายตาแสดงความเกลียดชังของลู่สุยจ้องเขม็งอยู่ที่จิ่วโยว แต่สุดท้ายเขาก็ต้องถอนสายตาออกไปอย่างไม่เต็มใจ ก่อนที่จะถอยกลับนั่งลงบนซากปรักหักพังเข้าสมาธิเพื่อฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ

จอมยุทธ์กลุ่มอีกาสายฟ้าก็ปรากฏรอบตัวเขาเพื่อปกป้อง

เมื่อจิ่วโยวเห็นการตอบสนองนั่น นางก็ไม่ได้ใส่ใจกับพวกเขาอีก นางมองไปที่หน้าจออีกครั้งโดยพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ร่างเงาอ่อนเยาว์ มือที่กำแน่นผ่อนคลายลง

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงสำหรับนางที่มู่เฉินจะเอาชนะได้เด็ดขาดแบบนี้ นั่นเป็นเพราะตามการประเมินของนางแม้ว่ามู่เฉินจะยืนยงอยู่ได้ก็เป็นยากที่จะเอาชนะลู่สุยด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นหกและถ้าการต่อสู้ถูกลากไปจนสุดอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบคาดไม่ถึง

ทว่าผลลัพธ์สุดท้ายที่ได้ก็ทำให้นางทั้งประหลาดใจและดีใจ

เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินได้รับประโยชน์มหาศาลจากสามชั้นแรกของเจดีย์ฝึกพลังกาย ไม่เช่นนั้นเขาไม่สามารถแสดงพลังเป็นที่ประจักษ์เช่นนี้ได้

“ว่ากันว่าในชั้นสี่มหัศจรรย์กว่านี้มาก หากใครสามารถเข้าไปได้ พวกเขาจะสามารถได้รับผลประโยชน์เกินกว่าสามชั้นแรกมาก…”

จิ่วโยวยิ้มบาง ดูจากสถานการณ์ปัจจุบันไม่น่ามีปัญหาใดๆ ที่มู่เฉินจะเข้าสู่ชั้นสี่ สำหรับมั่วเฟิงความแข็งแกร่งของเขาเป็นหนึ่งในอันดับต้นของกลุ่มที่เข้าไป ดังนั้นจึงไม่ยากสำหรับเขาที่จะได้หนึ่งในห้าที่นั่งนี้ไปเช่นกัน

ดูเหมือนว่าการเดินทางมาที่เจดีย์ฝึกพลังกายโบราณครั้งนี้เผ่าวิหคโลกันตร์อาจเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

บนลานเมฆสายฟ้า

ไม่มีใครตอบคำถามของมู่เฉิน ขณะนี้แม้แต่จอมยุทธ์ทรงอำนาจอย่างหานซันและสีคุนก็ยังรู้สึกหวาดระแวงมู่เฉินอยู่บ้าง ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะไม่ไปปะทะกับมนุษย์ผู้นี้

ดังนั้นคนทั้งหมดที่อยู่ที่นี่จึงเงียบลง ก่อนที่จะถอยออกจากรัศมีโดยรอบมู่เฉินอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณบอกว่าพวกเขาไม่ต้องการต่อสู้กับเขา

เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ก็ไม่มีอารมณ์ใดบนใบหน้า แต่ในใจกลับรู้สึกโล่งอก คนอื่นๆ เห็นเพียงฉากการต่อสู้ตระการที่เขาเอาชนะลู่สุยได้ แต่พวกเขาไม่รู้หรอกว่าหมัดที่เขาชกออกไปก่อนหน้านี้คือพลังงานส่วนเกินจากสามชั้นแรก

ร่างกายของมู่เฉินก่อนหน้าเปรียบเสมือนฟองน้ำที่ดูดซับน้ำจนถึงขีดจำกัด หมัดของเขาจึงเท่ากับบีบน้ำออกจนหมด ทำให้ร่างกายที่อัดแน่นกลับสู่สภาพเดิม

ดังนั้นถ้าให้เขาโจมตีแบบนั้นอีกครั้ง พลังก็จะไม่ทรงประสิทธิภาพเหมือนเมื่อครู่แน่นอน

ประสิทธิผลพิเศษชนิดนี้ของการสะสมพลังงานในร่างกายเป็นทักษะที่ได้มาจากกายามังกรหงส์ ด้วยวิธีนี้เขาจะได้รับผลลัพธ์ที่ไม่มีใครคาดคิดไว้ กลายเป็นไพ่ลับอีกใบหนึ่ง

“คัมภีร์หลงเฟิ่งทรงพลังจริงๆ”

แม้แต่มู่เฉินก็ยังชื่นชมในสิ่งนี้ คัมภีร์หลงเฟิ่งสมแล้วที่เป็นทักษะยอดเยี่ยมแท้จริง จากการประเมินของเขาคัมภีร์นี้ต้องอยู่ในระดับเสินทงแน่นอน ซึ่งไม่ธรรมดาแม้จะอยู่ในกลุ่มวิทยายุทธระดับเสินทงด้วย

มู่เฉินชื่นชมก่อนที่จะใจเย็นลง แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีใครท้าทายเขา แต่เขาก็ไม่ตั้งใจที่จะท้าทายคนอื่นด้วยเช่นกัน เขายืนนิ่งบนตำแหน่งตนเองรอผลการคัดออก

สำหรับจงเถิง มู่เฉินรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นพวกยุแยงให้ลู่สุยมาปะทะกับเขา แต่เนื่องจากตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ดีในการจัดการ เขาจึงได้แต่ผลักแผนไปก่อน

แต่ถึงกระนั้นสายตาคมกล้าของมู่เฉินก็ยังจ้องเขม็งไปที่จงเถิง รอบตัวเต็มไปด้วยคลื่นหลิงราวกับเสือดาวที่กำลังจะจ้องตะครุบเหยื่ออัดแน่นด้วยภัยคุกคาม

เมื่อเห็นท่าทางของมู่เฉิน จงเถิงที่ประจันหน้ากับมั่วเฟิงก็รู้สึกอึดอัดใจ เขาต้องแยกสมาธิอยู่ตลอดเพื่อจับตามองมู่เฉิน ป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายเคลื่อนไหวมาประสานพลังกับมั่วเฟิง

ด้วยวิธีนี้สมาธิของจงเถิงจึงค่อนข้างฟุ้งซ่าน สุดท้ายเขาได้แต่กัดฟัน ถอนคลื่นหลิงและถอยออกจากบริเวณของมั่วเฟิง

“พี่มั่วยากสำหรับการต่อสู้ของเราที่จะได้ข้อสรุป ทำไมเราไม่ไปจัดการคนอื่นและรับที่นั่งมาล่ะ?” ขณะที่จงเถิงถอยกลับเสียงก็สะท้อนก้องไปด้วย

มั่วเฟิงจ้องมองจงเถิงอย่างไม่แยแสก่อนที่จะพยักหน้า นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าหากพวกเขายังอยู่ในสถานการณ์ยืนจ้องหน้ากันก็จะไม่เกิดผลลัพธ์ใด หากเขาร่วมมือกับมู่เฉิน พวกเขาอาจทำให้จงเถิงบ้าดีเดือดขึ้นมา แม้แต่พวกเขาก็ต้องจ่ายราคามหาศาลจากการตีโต้

ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาคือการได้ที่นั่งเพื่อเข้าสู่ชั้นสี่

เมื่อจงเถิงเห็นคำตอบของมั่วเฟิงก็รู้สึกโล่งใจในใจ เขาถอยกลับอย่างรวดเร็วออกจากจุดที่มู่เฉินและมั่วเฟิงอยู่ เขาครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนจะเลือกปะทะกับคนที่อ่อนแอกว่า

พอมู่เฉินเห็นจงเถิงไปแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจอีกต่อไป สายตาหันมามองมั่วเฟิงแล้วก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มแสดงความขอบคุณในการช่วยเหลือครั้งนี้

สายตาของมั่วเฟิงเป็นมิตรมากขึ้น คิดว่าการที่มู่เฉินเอาชนะลู่สุย ทำให้มั่วเฟิงมองมู่เฉินในฐานะจอมยุทธ์ที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเขา ดังนั้นจึงไม่ได้มีท่าทางเฉยเมยเหมือนเมื่อก่อน

มั่วเฟิงพยักหน้าให้มู่เฉิน ก่อนที่จะหันหลังกลับและเริ่มเลือกคู่ต่อสู้ของตนเอง

ครืน!

เมื่อทุกคนเลือกคู่ต่อสู้แล้ว ทันใดนั้นคลื่นหลิงก็ระเบิดรุนแรงบนลานเมฆสายฟ้า คลื่นกระแทกกวาดออก ทำให้มิติเกิดการสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไม่หยุด

บนลานเมฆสายฟ้าพลังงานหลิงกวาดหายนะ มีเพียงตรงมู่เฉินเท่านั้นที่ไม่ถูกรบกวน เนื่องจากไม่มีใครกล้าเหยียบเข้ามาในรัศมีพันจั้ง ยามนี้เขาเหมือนผู้ชมที่ดูการต่อสู้ติดขอบ ในเวลาเดียวกันก็บันทึกกระบวนท่าที่ทรงพลังของบางคนไว้ในสมอง

แม้ว่าในชั้นนี้พวกเขาอาจไม่ได้ประลองกัน แต่ก็ยังมีอีกสองชั้นรอพวกเขาอยู่ ใครจะสามารถรับประกันได้ว่าจะไม่มีการลดจำนวนลงในชั้นต่อไป?

ดังนั้นถ้ามีโอกาสเขาต้องพยายามจดจำข้อมูลผู้อื่นเก็บไว้

ภายใต้การสังเกตของมู่เฉิน การประลองบนลานเมฆสายฟ้าก็คงอยู่ชั่วระยะหนึ่ง ก่อนที่แต่ละคู่จะมาถึงจุดสิ้นสุด ผลลัพธ์ก็เป็นไปตามที่คาดไว้

หลังจากมู่เฉินก็เป็นหานซันที่เอาชนะคู่ต่อสู้ได้ที่นั่งที่สองไป

จากนั้นมั่วเฟิงและจงเถิงก็คว้าชัยชนะตามมา

ที่นั่งสุดท้ายตกเป็นของสีคุนที่ก่อนหน้านี้เคยแพ้หานซันที่ด้านนอกเจดีย์ ชายนี้มีความแข็งแกร่งที่น่าตกใจ แม้แต่หานซันยังต้องใช้ทักษะเต็มที่ถึงจะได้รับชัยชนะมา

เมื่อสีคุนได้รับที่นั่งสุดท้ายลานเมฆสายฟ้าขนาดใหญ่ก็เงียบลงอีกครั้ง ร่างทั้งห้ายืนอยู่ ขณะรัศมีไร้ขอบเขตทั้งห้าสายพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าชนกันเปรี้ยงปร้าง

ทว่าการชนกันก็ดำเนินไปเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ก่อนที่ทั้งห้าจะถอนคลื่นพลังพร้อมกัน พวกเขาเหลือบมองกันและกัน จากนั้นก็ไม่ลังเลทะยานออกไปปรากฏตัวบนเบาะทั้งห้า

สายตาพวกเขาพุ่งตรงไปยังมิติด้านหลังลานเมฆสายฟ้าด้วยความโลภ ตรงนั้นเส้นดาวหางจำนวนมากกวาดผ่านราวกับฝนดาวตก

ในแสงเหล่านั้นแก่นหยดสายฟ้ากำลังกะพริบด้วยความแวววาว


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท