หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – ตอนที่ 1005

ตอนที่ 1005

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1005 จุดไฟตะเกียงทองแดง
บนจัตุรัสโบราณ

ร่างทั้งห้าที่นั่งเงียบๆ ก็เปิดตาขึ้นพร้อมเพรียงกัน ช่วงเวลาที่เปลือกตาเปิดออกแสงสีแดงบางจางก็กะพริบวูบไหวบนพื้นผิวของร่างกาย แสงเหล่านั้นไม่ใช่แสงหลิง แต่เป็นการแสดงออกของกระแสเลือดและรัศมีในร่างกายมาถึงจุดสุดยอด

เห็นได้ชัดว่าช่วงเวลานี้ทั้งห้าคนปรับสภาพได้ถึงจุดสูงสุดแล้ว

แสงสีแดงจางๆ ห่อหุ้มพวกเขา สีคุนเผ่าอสูรกุญชรก็ยืนขึ้นเป็นคนแรก เขามองไปที่แผ่นหินสีดำด้วยสายตาร้อนแรงและยิ้ม “ในเมื่อไม่มีใครเริ่มก่อน งั้นข้าขอทดสอบตำนานศิลาอันแข็งแกร่งนี่เอง!”

เมื่อทั้งสี่ได้ยินคำพูดนี่ก็ไม่ว่าอะไร เพราะเวลานี้ไม่มีความหมายในการแย่งลำดับ เนื่องจากพวกเขามีโอกาสเพียงครั้งเดียว

เมื่อเห็นว่าไม่มีใครคัดค้าน สีคุนก็ก้าวออกไปพลางสูดหายใจลึกที่เบื้องหน้าแผ่นศิลาสีดำ จากนั้นก็กำหมัดแน่น

ตู้ม!

แสงสีแดงระเบิดออก ร่างกายของสีคุนก็ขยายขนาดอย่างรวดเร็ว กล้ามเนื้อพองตัวราวกับเหล็กโดยที่มีเส้นเลือดเต้นยุบยับประหนึ่งมังกรเคลื่อนอยู่บนผิว

แม้ว่าจะไม่มีระลอกคลื่นหลิงใดๆ แต่พลังที่ระเบิดจากสีคุนก็ยังทรงประสิทธิภาพมาก

แต่หลังจากการหมุนเวียนพลังของตัวเอง สีคุนก็ไม่ได้หยุดเพียงแค่นั้น มือทั้งสองประสานกัน แสงสีเลือดค่อยๆ รวมตัวกันก่อตัวเป็นอักขระสีแดงเลือดบนพื้นผิว ทำให้สีคุนดูดุร้ายยิ่งกว่าเดิม

“นี่คืออักขระโลหิตของเผ่าอสูรกุญชร การปลุกสายเลือดของพวกเขาสามารถเพิ่มความแข็งแกร่งให้ร่างกายได้ชั่วคราว” มั่วเฟิงอธิบายให้มู่เฉินฟังจากด้านข้าง

มู่เฉินพยักหน้า เขารู้สึกได้ว่าร่างกายของสีคุนแข็งแกร่งขึ้นในเวลานี้ ทันใดนั้นก็รู้สึกอิจฉาขึ้นมานิดหน่อย เนื่องจากเทพอสูรเหล่านี้ได้รับพรจากสวรรค์อย่างแท้จริงในแง่ของพลังกาย

“ไม่รู้ว่าสีคุนจะจุดตะเกียงได้กี่ดวง?”

ขณะที่ความคิดนี้แวบขึ้นในใจของมู่เฉิน สีคุนก็กระทืบเท้าลงบนพื้น ทำให้จัตุรัสโบราณถึงกับโยกคลอน จากนั้นร่างเขาก็พุ่งออกไปอย่างดุร้ายประหนึ่งช้างปีศาจที่ยาตราบนขอบฟ้า ต้องการทำลายฟ้าดินให้แหลกลาญ

ตู้ม!

สีคุนต่อยออกพร้อมกับรัศมีสีแดงหมุนเวียนบนกำปั้น ในเส้นทางการเคลื่อนที่ของหมัด มิติกระเพื่อมไหว เสียงแสบแก้วหูระเบิดออก ด้านหลังเขาเงาช้างยักษ์ตัวหนึ่งก็ปรากฏขึ้นช่างดูดุร้ายและน่ากลัว ทำให้คนมองรู้สึกหวาดกลัว

ปัง!

หมัดของสีคุนซึ่งบรรจุพลังทั้งหมดไว้ก็ทำลายบรรยากาศแตกเป็นเสี่ยงๆ กระแทกบนแผ่นศิลาสีดำอย่างหนักหน่วง ภายใต้สายตากังวลใจของสี่คน

ทันทีที่เกิดการปะทะกัน เสียงคำรามลึกก็ดังขึ้น ระลอกคลื่นดูเหมือนแผ่ออกจากศิลาพลังยุทธ์ ทว่าตัวแผ่นหินไม่ได้ขยับเขยื้อน

ฟู่ ฟู่!

เมื่อระลอกคลื่นกระจายออกไป มู่เฉินและคนอื่นๆ ก็มองเห็นตะเกียงดวงแรกลุกโชนด้วยเปลวไฟ

เปลวไฟมีสีแดงสดเต็มไปด้วยความผันผวนของรัศมีโลหิตราวกับว่ามาจากกำปั้นของสีคุน

ปุ! ปุ! ปุ!

หลังจากตะเกียงทองแดงดวงแรกจุดขึ้น อีกสามดวงถัดมาก็สว่างขึ้นตามมา ทว่าเมื่อถึงตะเกียงดวงที่ห้าก็เกิดการชะลอตัวลง ควันสีแดงจากตะเกียงดวงที่ห้าลอยเคว้งคว้าง ประกายไฟเส้นเล็กปรากฏขึ้น สุดท้ายหลังจากผ่านการรวมตัวไปสักพักตะเกียงดวงที่ห้าก็สว่างอย่างสมบูรณ์

ตะเกียงทองแดงดวงที่ห้าสว่างขึ้นแล้ว!

คนอื่นไม่ได้เคลื่อนไหว สายตาจดจ้องไปที่ตะเกียงทองแดงดวงที่หก ด้วยความแข็งแกร่งของสีคุน การจุดตะเกียงห้าดวงเป็นไปตามคาดหมาย ส่วนดวงที่หกเป็นจุดสำคัญที่สุด

ชี่ ชี่!

ต่อจากตะเกียงดวงที่ห้า ประกายไฟก็พล่านเข้าไปปรากฏในดวงที่หก พวกมันรวมตัวกันด้วยความยากลำบากก่อนที่จะปล่อยเปลวไฟเล็กๆ ออกมาอย่างช้าๆ ภายใต้ดวงตาแดงก่ำของสีคุน

แต่ขณะที่เปลวไฟกำลังจะพวยพุ่งก็เกิดการพลิ้วไหวก่อนจะดับวูบกลับมามืดมนดังเดิม

ตะเกียงทองแดงดวงที่หกจุดไม่ติด!

ใบหน้าของสีคุนซีดเผือดทันใด ความไม่เชื่อพล่านเต็มสายตาไปหมด พลังเต็มเปี่ยมของเขาไม่สามารถทำให้ตะเกียงดวงที่หกส่องสว่างขึ้นได้เรอะ?

เมื่ออีกสี่คนเห็นภาพนี้ สายตาก็เปลี่ยนเป็นเคร่งเครียดลง ในการคาดเดาสีคุนน่าจะมีโอกาสทำให้ตะเกียงดวงที่หกส่องสว่างได้ แต่ไม่คิดว่าสีคุนจะล้มเหลว

ฮึ่ม!

ขณะที่พวกเขาถอนหายใจ แผ่นศิลาสีดำก็สั่นเบาๆ รัศมีปั่นป่วนไหลทะลักออกมาผ่านเข้านาสิกประสาทของสีคุน

ร่างของสีคุนแข็งทื่อทันใด ช่วงเวลานั้นรัศมีรอบตัวเขาเดือดพล่านอย่างรวดเร็ว รัศมีสีแดงกวาดไปทั่วร่าง ในเวลาเพียงสิบกว่าลมหายใจรัศมีที่กำจายออกมาจากร่างกายสีคุนก็แข็งแกร่งขึ้นอย่างมาก

“นี่คือแก่นเทพอสูรกลืนฟ้าเหรอ?” เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ ดวงตาก็เปล่งประกายด้วยความปรารถนา นั่นเป็นเพราะเขาสัมผัสได้ว่าในเวลาสิบกว่าลมหายใจสั้นๆ การเสริมสร้างร่างกายของสีคุนแข็งแกร่งยิ่งกว่าการชำระล้างด้วยแก่นสายฟ้าเสียอีก

แก่นเทพอสูรกลืนฟ้าเป็นอาหารบำรุงร่างกายยอดเยี่ยมจริงๆ

ถ้าสีคุนได้รับโอกาสอีกครั้งในการชกพลังใส่ศิลาพลังยุทธ์ เขาอาจจะมีโอกาสถึงแปดส่วนที่จะทำให้ตะเกียงส่องสว่างได้ถึงหกดวงและได้รับสิทธิ์เข้าสู่ชั้นต่อไป

แต่น่าเสียดาย …

สีคุนเองก็เข้าใจเหตุผลนี้เช่นกัน ดังนั้นเขาจึงได้แต่ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันด้วยความไม่เต็มใจ จากนั้นแสงเบาบางก็ล้อมรอบตัวก่อนที่เขาจะหายวับไป เห็นได้ชัดว่าเขาถูกคัดออกทันทีที่ไม่สามารถจุดตะเกียงได้ครบหกดวง

มู่เฉินและคนอื่นๆ มองสีคุนที่ล้มเหลวถูกไล่ออกจากเจดีย์ บรรยากาศก็เงียบงันในเวลานี้ ทว่าสายตาของพวกเขาเปลี่ยนเคร่งเครียดมากยิ่งขึ้น

ความเงียบดำเนินไปชั่วครู่ก่อนจงเถิงจะเดินออกมาช้าๆ พร้อมกับรอยยิ้ม “ข้าขอท้าเป็นคนที่สองเอง”

พูดจบก็ไปปรากฏตัวต่อหน้าศิลาพลังยุทธ์ เขาตั้งสมาธิ จากนั้นแสงก็พุ่งพรวดออกมาจากร่าง ก่อนที่ร่างของเขาจะกลายเป็นกระเรียนขนาดหลายพันจั้งเมื่อแสงระเบิดออกมา

จงเถิงถึงกับนำร่างเทพอสูรออกมาเลย!

กระเรียนยืนไว้สง่าบนท้องฟ้า ปีกสีทองจางเต็มไปด้วยศักดิ์ศรีและอำนาจ

กีด!

เสียงร้องอันไพเราะดังก้องไปทั่วฟ้าดิน อึดใจกระเรียนทองคำก็กดกรงเล็บลง ซึ่งเหมือนว่ากำลังแทงทะลุผ่านมิติและสามารถแยกภูเขาผ่ามหาสมุทรได้

ตู้ม!

กรงเล็บขนาดใหญ่ที่ถูกปกคลุมด้วยเกล็ดสีทองปะทะกับแผ่นศิลาสีดำอย่างหนักหน่วง ใต้กรงเล็บแผ่นหินดูเล็กจ้อยนัก ทว่าถึงจะถูกจะเป็นวัตถุขนาดเล็กก็ยืนหยัดอยู่ในจัตุรัสนี้ได้ แม้กระทั่งกระเรียนขนาดมหึมาก็ไม่สามารถขยับมันสักนิด

ทว่าพลังมหาศาลยังคงแผ่มาจากกรงเล็บ ถูกส่งไปยังศิลาพลังยุทธ์

ฟู่! ฟู่!

ทันใดนั้นตะเกียงทองแดงแต่ละดวงก็ลุกโชนขึ้นอย่างรวดเร็ว

ในเวลาเพียงไม่กี่อึดใจตะเกียงทองแดงดวงที่ห้าก็สว่างขึ้น ชัดว่าทั้งเร็วและดุร้ายยิ่งกว่าสีคุนเมื่อครู่เสียอีก

หลังจากตะเกียงดวงที่ห้าส่องสว่าง ประกายไฟก็ปรากฏขึ้นในดวงที่หก สุดท้ายประกายไฟรวมตัวกันในที่สุดภายใต้การจ้องมองของทั้งสามคน ตะเกียงก็สว่างขึ้นอย่างสมบูรณ์

ตะเกียงทองแดงดวงที่หกส่องสว่างแล้ว!

เมื่อตะเกียงทองแดงดวงที่หกโชนแสง เสียงโกลาหลก็ระเบิดขึ้นจากด้านนอกเจดีย์ เหล่าจอมยุทธ์ต่างร้องอุทานด้วยความอัศจรรย์ใจ จงเถิงเป็นอัจฉริยะตัวจริง เขาสามารถทำในสิ่งที่สีคุนทำไม่ได้

ภายใต้เสียงอื้ออึง สีหน้าของพวกหลิ่วชิงก็เต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ ในที่สุดพวกเขาก็ฟื้นพลังใจขึ้นมาได้หลังจากที่ถูกมู่เฉินกระทืบซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนจมดิน

“ชายคนนั้นน่าเกรงขามจริงๆ” ในจัตุรัสโบราณมู่เฉินก็อดไม่ได้ที่จะพยักหน้า แม้ว่าจงเถิงจะน่ารังเกียจ แต่ก็ต้องยอมรับความแข็งแกร่งของเขา

มั่วเฟิงพยักหน้ายอมรับความแข็งแกร่งของจงเถิงเช่นกัน

ฮึ่ม!

ขณะที่พวกเขาพูดแผ่นศิลาสีดำก็สั่นไหว รัศมีปั่นป่วนหลั่งไหลออกไป พุ่งเข้าหากระเรียนตัวมหึมา

กระเรียนซึมซับแก่นเทพอสูรกลืนฟ้าเข้าสู่ร่างกาย ทันใดนั้นแสงสีทองก็ระเบิดออกจากร่าง สีทองคำบนปีกเข้มข้นขึ้น

ขณะที่แสงสีทองไหลเวียน กระเรียนยักษ์ก็หดตัวอย่างรวดเร็ว ก่อนที่จะกลับมาอยู่ในร่างมนุษย์ปรากฏตัวบนจัตุรัสอีกครั้ง

จงเถิงเอามือไพล่หลังมีรอยยิ้มจางๆ บนใบหน้า ขณะมองมั่วเฟิงและมู่เฉินก็ยกยิ้มบาง “ตอนนี้ถึงตาพวกเจ้าแล้ว”

แม้ว่าคำพูดจะดูราบเรียบ แต่ความภาคภูมิใจที่ซ่อนอยู่ภายในก็ไม่สามารถปกปิดได้

มั่วเฟิงปราดมองก่อนที่จะเดินออกไปโดยไม่ตอบอะไร

เขายืนอยู่เบื้องหน้าแผ่นศิลาไม่ได้มีปฏิกิริยาเปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด เพียงแค่ซัดฝ่ามือออกไปแบบเรียบง่าย แต่เมื่อซัดออกไปนิ้วมือของมั่วเฟิงก็กลายเป็นขนหงส์ฟ้าสีทองที่คมชัดเป็นพิเศษ สามารถมองเห็นได้เลือนรางราวกับถุงมือขนหงส์ฟ้าอย่างไรอย่างนั้น

ในฝ่ามือนั้นเสียงหงส์ฟ้าดังก้องออกมา

ตึง!

ฝ่ามือกระแทกกับแผ่นศิลาอย่างหนักหน่วง เกิดการกระเพื่อมก่อนที่ตะเกียงทองแดงจะลุกโชนทีละดวง…ละดวง

ในเวลาเพียงไม่กี่อึดใจตะเกียงก็สว่างขึ้นห้าดวงแล้ว

หลังจากนั้นประกายไฟก็ปรากฏขึ้นในตะเกียงทองแดงดวงที่หกก่อนที่จะลุกโชติช่วง

จงเถิงขมวดคิ้ว แม้เขาจะรู้ว่ามั่วเฟิงเป็นคนที่น่าเกรงขาม แต่ก็ไม่เคยคิดว่าอีกฝ่ายจะทำให้ตะเกียงทองแดงหกดวงส่องสว่างขึ้นอย่างง่ายดาย ความสำเร็จของมั่วเฟิงอยู่ในระดับเดียวกับเขา

แต่ขณะที่ความคิดนั้นแวบเข้ามาในใจ ดวงตาจงเถิงก็หดลงเมื่อเห็นว่าหลังจากที่ตะเกียงดวงที่หกส่องสว่างขึ้นก็ยังไม่หยุด ประกายไฟแล่นเข้าไปในตะเกียงดวงที่เจ็ด ทว่าภาพนี้เกิดขึ้นเพียงชั่วครู่ก่อนที่จะหายไป

ทว่าภาพนี้ชัดว่าน่าตื่นตายิ่งกว่าจงเถิงก่อนหน้าซะอีก!

มั่วเฟิงมีคุณสมบัติที่จะจุดตะเกียงดวงที่เจ็ดได้!

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler ฟรี ได้ที่ novel-fast 


เรื่องย่อ

โดย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler บางส่วนของนิยาย

บทนำ

หนึ่งในใต้หล้าจากปลายปากกาของเทียนฉานถูโต้ว กล่าวถึงมู่เฉิน เด็กหนุ่มจากสำนักศึกษาเป่ยหลิง ผู้ที่ได้รับเลือกให้เข้าฝึกในสงครามเทพยุทธ์ซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าคนเก่งกาจ ทว่า… อยู่ดีๆ เขากลับถูกขับไล่ออกมาด้วยเหตุผลที่ไม่มีใครล่วงรู้ มู่เฉินพยายามฝึกหนักอีกครั้งเพื่อจะพาตัวเองกลับเข้าไปในเส้นทางแห่งนี้ เขาจำเป็นต้องใช้สิ่งนี้เป็นใบเบิกทางเพื่อเข้าศึกษาที่ภาคเบญจภาคี เพื่อ… ปกป้องหญิงสาวที่ตนรัก และยิ่งกว่านั้นคือเพื่อค้นหาเบาะแสของมารดาที่หายสาบสูญไป

‘มหาพันภพ’ เป็นที่ที่มิติทั้งหลายเชื่อมต่อกันในระบบสุริยจักรวาล สถานที่แห่งนี้มีขั้วอำนาจมากมายอาศัยอยู่ จักรพรรดิที่มาจากพิภพเขตล่างต่างเป็นตำนานที่ผู้อื่นปรารถนาขึ้นไปบนเส้นทางแห่งกฎของโลกไร้ขอบเขตนี้

แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว เทพจักรพรรดิอัคคีควบคุมเปลวเพลิงกวาดข้ามสวรรค์

แคว้นหวู เทพจักรพรรดิสงครามผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำให้ทั้งสวรรค์และโลกหวาดกลัว

ตำหนักซีเทียน จักรพรรดิสัประยุทธ์ที่แข็งแกร่งไม่มีผู้ใดเทียบเท่า ในเนินเขารกร้างทางเหนือ ดินแดนวั้นมู่ของจักรพรรดิอมตะครองเหนือภพ

เด็กหนุ่มจากมณฑลเป่ยหลิงออกท่องยุทธภพกับวิหคโลกันตร์คู่ใจ มุ่งหน้าสู่โลกภายนอกที่เต็มไปด้วยสีสัน ใครกันที่จะเป็นผู้กุมชะตากรรมในเส้นทางการเป็นหนึ่ง?

ในมหาพันภพที่สงครามนับหมื่นอุบัติ ข้าคือผู้กุมชะตาฟ้าดิน…

เรื่องย่อ

เมื่อคำพูดของมู่เฉินกระจายออกไป ไม่เพียงแต่จะไม่มีการตอบสนอง แม้แต่ด้านนอกเจดีย์ก็ถูกห่อหุ้มด้วยบรรยากาศราวกับป่าช้า…

ทุกคนตกตะลึงไปกับฉากนี้ พวกเขาจ้องมองจุดที่ลู่สุยหายตัวไป ราวกับว่ายังไม่สามารถฟื้นจากอาการตะลึงงันที่เกิดขึ้นได้

ก่อนหน้าเมื่อลู่สุยออกกระบวนท่าที่น่าสะพรึง ผู้คนส่วนใหญ่ก็คิดว่าผลลัพธ์ของการต่อสู้ได้ถูกกำหนดแล้ว ทว่าพวกเขาไม่คิดเลยว่ามู่เฉินจะพลิกสถานการณ์ได้อีกครั้ง เตะลู่สุยที่เหมือนจะคว้าชัยชนะออกไป

ทุกคนตะลึงไปพักใหญ่ ก่อนที่พวกเขาจะหลุดออกจากอาการได้ สายตาเคร่งเครียดลง การประลองกันครั้งนี้มู่เฉินไม่ได้ใช้ค่ายกล แต่เขาก็สามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดอย่างลู่สุยได้ด้วยความแข็งแกร่งที่อยู่ในขั้นหกเท่านั้น แม้ว่าจะมีผลจากลู่สุยประมาทเองในตอนแรก แต่นั่นก็แสดงให้เห็นว่ามู่เฉินน่ากลัวแค่ไหน

พลังเช่นนี้เขาสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์อันดับต้นๆ ในเจดีย์ฝึกพลังกายได้เลยทีเดียว

ทางฝั่งกลุ่มกระเรียนฟ้า ใบหน้าของหลิ่วชิงกลายเป็นเขียวสลับขาว นางมองไปที่ร่างสูงโปร่งบนหน้าจอ กลืนน้ำลายเหนียวหนืด ความกลัวปรากฏในดวงตาของนางเป็นครั้งแรก

มาถึงจุดนี้นางคงโง่แน่ถ้ายังคิดปฏิบัติต่อมู่เฉินเหมือนกับจอมยุทธ์ขั้นหกทั่วไป

ด้วยพลังในการต่อสู้ที่เขาแสดงออกมา บวกกับค่ายกลทรงพลัง แม้แต่จงเถิงก็ยากจะได้เปรียบหากพวกเขาต่อสู้กัน

ก่อนหน้านี้นางหัวเราะเยาะและมองจิ่วโยวด้วยความดูถูก แต่ตอนนี้นางอายแทบแทรกแผ่นดินหนี ซึ่งจุดนี้รู้ได้จากสายตาเยาะเย้ยเหล่านั้นที่ปรายมองเข้ามา

“ทำไมมู่เฉินถึงทรงพลังเช่นนี้?” จงฮั้วที่พ่ายแพ้ให้กับมู่เฉินก็มีสีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดเช่นกันว่ามู่เฉินพึ่งพาเพียงค่ายกลเพื่อจัดการกับศัตรู แต่ใครจะคิดว่าเมื่อไม่มีการใช้ค่ายกลมู่เฉินก็สามารถเอาชนะลู่สุยแบบดุร้ายยิ่งกว่าอะไร

“ดูเหมือนว่ามีเพียงพี่ใหญ่จงเถิงเท่านั้นที่สามารถจัดการกับเขาได้” จอมยุทธ์อีกคนของเผ่ากระเรียนฟ้าพยักหน้า

หลิ่วชิงพยักหน้าเบาๆ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะพิจารณาพลังของมู่เฉินพลาดไปเท่านั้น แม้แต่จงเถิงก็ตัดสินอีกฝ่ายผิดไป ชายคนนั้นเป็นสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง

ฟิ้ว!

ขณะที่นอกเจดีย์ต่างตกตะลึงกับผลลัพธ์ที่มู่เฉินนำมา ทันใดนั้นแสงก็กะพริบบนแท่นนอกเจดีย์ ร่างน่าสังเวชปรากฏขึ้น

เมื่อร่างนั้นออกมาก็รีบถอยกลับไปปรากฏตัวขึ้นในกลุ่มอีกาสายฟ้าทันควัน นี่ก็คือลู่สุยที่มีสีหน้าซีดขาว คลื่นหลิงของเขาถดถอยลงอย่างมาก

สายตาโดยรอบยิงเข้าหาในเวลานี้ทันที

ใบหน้าของลู่สุยเขียวคล้ำ สายตาเกลียดชังมองไปที่มู่เฉินที่อยู่บนหน้าจอ ก่อนที่จะหันหัวสาดสายตาดุร้ายใส่จิ่วโยวและมั่วหลิง ที่ข้างๆ พรรคพวกของเขาก็มีท่าทางไม่ดีเช่นกัน

ทว่าจิ่วโยวไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับสายตาเหล่านั้น นางเค้นเสียงอย่างเย็นชา “ลูกหมาที่ถูกฟาดยังกล้าที่จะออกมาแยกเขี้ยวอีกเหรอ?”

ตอนนี้ลู่สุยบาดเจ็บสาหัส สูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปหมด ส่วนคนที่เหลือก็ไม่มีอะไรต้องกลัว หากพวกเขากล้าที่จะคิดบัญชีกับพวกนาง จิ่วโยวก็ไม่คิดปล่อยพวกเขาไว้เป็นภัยคุกคามในอนาคตหรอก

สายตาแสดงความเกลียดชังของลู่สุยจ้องเขม็งอยู่ที่จิ่วโยว แต่สุดท้ายเขาก็ต้องถอนสายตาออกไปอย่างไม่เต็มใจ ก่อนที่จะถอยกลับนั่งลงบนซากปรักหักพังเข้าสมาธิเพื่อฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ

จอมยุทธ์กลุ่มอีกาสายฟ้าก็ปรากฏรอบตัวเขาเพื่อปกป้อง

เมื่อจิ่วโยวเห็นการตอบสนองนั่น นางก็ไม่ได้ใส่ใจกับพวกเขาอีก นางมองไปที่หน้าจออีกครั้งโดยพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ร่างเงาอ่อนเยาว์ มือที่กำแน่นผ่อนคลายลง

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงสำหรับนางที่มู่เฉินจะเอาชนะได้เด็ดขาดแบบนี้ นั่นเป็นเพราะตามการประเมินของนางแม้ว่ามู่เฉินจะยืนยงอยู่ได้ก็เป็นยากที่จะเอาชนะลู่สุยด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นหกและถ้าการต่อสู้ถูกลากไปจนสุดอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบคาดไม่ถึง

ทว่าผลลัพธ์สุดท้ายที่ได้ก็ทำให้นางทั้งประหลาดใจและดีใจ

เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินได้รับประโยชน์มหาศาลจากสามชั้นแรกของเจดีย์ฝึกพลังกาย ไม่เช่นนั้นเขาไม่สามารถแสดงพลังเป็นที่ประจักษ์เช่นนี้ได้

“ว่ากันว่าในชั้นสี่มหัศจรรย์กว่านี้มาก หากใครสามารถเข้าไปได้ พวกเขาจะสามารถได้รับผลประโยชน์เกินกว่าสามชั้นแรกมาก…”

จิ่วโยวยิ้มบาง ดูจากสถานการณ์ปัจจุบันไม่น่ามีปัญหาใดๆ ที่มู่เฉินจะเข้าสู่ชั้นสี่ สำหรับมั่วเฟิงความแข็งแกร่งของเขาเป็นหนึ่งในอันดับต้นของกลุ่มที่เข้าไป ดังนั้นจึงไม่ยากสำหรับเขาที่จะได้หนึ่งในห้าที่นั่งนี้ไปเช่นกัน

ดูเหมือนว่าการเดินทางมาที่เจดีย์ฝึกพลังกายโบราณครั้งนี้เผ่าวิหคโลกันตร์อาจเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

บนลานเมฆสายฟ้า

ไม่มีใครตอบคำถามของมู่เฉิน ขณะนี้แม้แต่จอมยุทธ์ทรงอำนาจอย่างหานซันและสีคุนก็ยังรู้สึกหวาดระแวงมู่เฉินอยู่บ้าง ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะไม่ไปปะทะกับมนุษย์ผู้นี้

ดังนั้นคนทั้งหมดที่อยู่ที่นี่จึงเงียบลง ก่อนที่จะถอยออกจากรัศมีโดยรอบมู่เฉินอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณบอกว่าพวกเขาไม่ต้องการต่อสู้กับเขา

เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ก็ไม่มีอารมณ์ใดบนใบหน้า แต่ในใจกลับรู้สึกโล่งอก คนอื่นๆ เห็นเพียงฉากการต่อสู้ตระการที่เขาเอาชนะลู่สุยได้ แต่พวกเขาไม่รู้หรอกว่าหมัดที่เขาชกออกไปก่อนหน้านี้คือพลังงานส่วนเกินจากสามชั้นแรก

ร่างกายของมู่เฉินก่อนหน้าเปรียบเสมือนฟองน้ำที่ดูดซับน้ำจนถึงขีดจำกัด หมัดของเขาจึงเท่ากับบีบน้ำออกจนหมด ทำให้ร่างกายที่อัดแน่นกลับสู่สภาพเดิม

ดังนั้นถ้าให้เขาโจมตีแบบนั้นอีกครั้ง พลังก็จะไม่ทรงประสิทธิภาพเหมือนเมื่อครู่แน่นอน

ประสิทธิผลพิเศษชนิดนี้ของการสะสมพลังงานในร่างกายเป็นทักษะที่ได้มาจากกายามังกรหงส์ ด้วยวิธีนี้เขาจะได้รับผลลัพธ์ที่ไม่มีใครคาดคิดไว้ กลายเป็นไพ่ลับอีกใบหนึ่ง

“คัมภีร์หลงเฟิ่งทรงพลังจริงๆ”

แม้แต่มู่เฉินก็ยังชื่นชมในสิ่งนี้ คัมภีร์หลงเฟิ่งสมแล้วที่เป็นทักษะยอดเยี่ยมแท้จริง จากการประเมินของเขาคัมภีร์นี้ต้องอยู่ในระดับเสินทงแน่นอน ซึ่งไม่ธรรมดาแม้จะอยู่ในกลุ่มวิทยายุทธระดับเสินทงด้วย

มู่เฉินชื่นชมก่อนที่จะใจเย็นลง แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีใครท้าทายเขา แต่เขาก็ไม่ตั้งใจที่จะท้าทายคนอื่นด้วยเช่นกัน เขายืนนิ่งบนตำแหน่งตนเองรอผลการคัดออก

สำหรับจงเถิง มู่เฉินรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นพวกยุแยงให้ลู่สุยมาปะทะกับเขา แต่เนื่องจากตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ดีในการจัดการ เขาจึงได้แต่ผลักแผนไปก่อน

แต่ถึงกระนั้นสายตาคมกล้าของมู่เฉินก็ยังจ้องเขม็งไปที่จงเถิง รอบตัวเต็มไปด้วยคลื่นหลิงราวกับเสือดาวที่กำลังจะจ้องตะครุบเหยื่ออัดแน่นด้วยภัยคุกคาม

เมื่อเห็นท่าทางของมู่เฉิน จงเถิงที่ประจันหน้ากับมั่วเฟิงก็รู้สึกอึดอัดใจ เขาต้องแยกสมาธิอยู่ตลอดเพื่อจับตามองมู่เฉิน ป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายเคลื่อนไหวมาประสานพลังกับมั่วเฟิง

ด้วยวิธีนี้สมาธิของจงเถิงจึงค่อนข้างฟุ้งซ่าน สุดท้ายเขาได้แต่กัดฟัน ถอนคลื่นหลิงและถอยออกจากบริเวณของมั่วเฟิง

“พี่มั่วยากสำหรับการต่อสู้ของเราที่จะได้ข้อสรุป ทำไมเราไม่ไปจัดการคนอื่นและรับที่นั่งมาล่ะ?” ขณะที่จงเถิงถอยกลับเสียงก็สะท้อนก้องไปด้วย

มั่วเฟิงจ้องมองจงเถิงอย่างไม่แยแสก่อนที่จะพยักหน้า นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าหากพวกเขายังอยู่ในสถานการณ์ยืนจ้องหน้ากันก็จะไม่เกิดผลลัพธ์ใด หากเขาร่วมมือกับมู่เฉิน พวกเขาอาจทำให้จงเถิงบ้าดีเดือดขึ้นมา แม้แต่พวกเขาก็ต้องจ่ายราคามหาศาลจากการตีโต้

ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาคือการได้ที่นั่งเพื่อเข้าสู่ชั้นสี่

เมื่อจงเถิงเห็นคำตอบของมั่วเฟิงก็รู้สึกโล่งใจในใจ เขาถอยกลับอย่างรวดเร็วออกจากจุดที่มู่เฉินและมั่วเฟิงอยู่ เขาครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนจะเลือกปะทะกับคนที่อ่อนแอกว่า

พอมู่เฉินเห็นจงเถิงไปแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจอีกต่อไป สายตาหันมามองมั่วเฟิงแล้วก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มแสดงความขอบคุณในการช่วยเหลือครั้งนี้

สายตาของมั่วเฟิงเป็นมิตรมากขึ้น คิดว่าการที่มู่เฉินเอาชนะลู่สุย ทำให้มั่วเฟิงมองมู่เฉินในฐานะจอมยุทธ์ที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเขา ดังนั้นจึงไม่ได้มีท่าทางเฉยเมยเหมือนเมื่อก่อน

มั่วเฟิงพยักหน้าให้มู่เฉิน ก่อนที่จะหันหลังกลับและเริ่มเลือกคู่ต่อสู้ของตนเอง

ครืน!

เมื่อทุกคนเลือกคู่ต่อสู้แล้ว ทันใดนั้นคลื่นหลิงก็ระเบิดรุนแรงบนลานเมฆสายฟ้า คลื่นกระแทกกวาดออก ทำให้มิติเกิดการสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไม่หยุด

บนลานเมฆสายฟ้าพลังงานหลิงกวาดหายนะ มีเพียงตรงมู่เฉินเท่านั้นที่ไม่ถูกรบกวน เนื่องจากไม่มีใครกล้าเหยียบเข้ามาในรัศมีพันจั้ง ยามนี้เขาเหมือนผู้ชมที่ดูการต่อสู้ติดขอบ ในเวลาเดียวกันก็บันทึกกระบวนท่าที่ทรงพลังของบางคนไว้ในสมอง

แม้ว่าในชั้นนี้พวกเขาอาจไม่ได้ประลองกัน แต่ก็ยังมีอีกสองชั้นรอพวกเขาอยู่ ใครจะสามารถรับประกันได้ว่าจะไม่มีการลดจำนวนลงในชั้นต่อไป?

ดังนั้นถ้ามีโอกาสเขาต้องพยายามจดจำข้อมูลผู้อื่นเก็บไว้

ภายใต้การสังเกตของมู่เฉิน การประลองบนลานเมฆสายฟ้าก็คงอยู่ชั่วระยะหนึ่ง ก่อนที่แต่ละคู่จะมาถึงจุดสิ้นสุด ผลลัพธ์ก็เป็นไปตามที่คาดไว้

หลังจากมู่เฉินก็เป็นหานซันที่เอาชนะคู่ต่อสู้ได้ที่นั่งที่สองไป

จากนั้นมั่วเฟิงและจงเถิงก็คว้าชัยชนะตามมา

ที่นั่งสุดท้ายตกเป็นของสีคุนที่ก่อนหน้านี้เคยแพ้หานซันที่ด้านนอกเจดีย์ ชายนี้มีความแข็งแกร่งที่น่าตกใจ แม้แต่หานซันยังต้องใช้ทักษะเต็มที่ถึงจะได้รับชัยชนะมา

เมื่อสีคุนได้รับที่นั่งสุดท้ายลานเมฆสายฟ้าขนาดใหญ่ก็เงียบลงอีกครั้ง ร่างทั้งห้ายืนอยู่ ขณะรัศมีไร้ขอบเขตทั้งห้าสายพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าชนกันเปรี้ยงปร้าง

ทว่าการชนกันก็ดำเนินไปเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ก่อนที่ทั้งห้าจะถอนคลื่นพลังพร้อมกัน พวกเขาเหลือบมองกันและกัน จากนั้นก็ไม่ลังเลทะยานออกไปปรากฏตัวบนเบาะทั้งห้า

สายตาพวกเขาพุ่งตรงไปยังมิติด้านหลังลานเมฆสายฟ้าด้วยความโลภ ตรงนั้นเส้นดาวหางจำนวนมากกวาดผ่านราวกับฝนดาวตก

ในแสงเหล่านั้นแก่นหยดสายฟ้ากำลังกะพริบด้วยความแวววาว


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท