หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1024 สุสานหมื่นอสูร
ในสมัยโบราณ
มีสัตว์อสูรที่ไม่กินพืชไม่กินเนื้อสัตว์เป็นอาหาร แต่กลับกินสายฟ้าแทน เมื่อสายฟ้าแล่นพล่านเข้าไปรวมในหัวใจและถูกบีบอัดไว้ก็ทำให้มีพลังที่สามารถทำลายล้างโลกได้เลยทีเดียว
ทว่าสัตว์อสูรชนิดนี้มีนิสัยอ่อนโยนตามธรรมชาติ ปกติไม่ทำร้ายใคร แต่ถ้าพวกมันโกรธขึ้นมาก็จะระเบิดหัวใจตัวเอง ว่ากันว่าหากพาฬกินสายฟ้าที่มีชีวิตหมื่นปี พลังของมันที่ระเบิดหัวใจก็ไม่สามารถอธิบายได้
ในตำนานเล่าว่ามีครั้งหนึ่งจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนพยายามที่จะจับพาฬกินสายฟ้าเป็นสัตว์เลี้ยง แต่สุดท้ายก็ทำให้มันโกรธคลั่งจนระเบิดหัวใจ สุดท้ายแม้แต่ตัวเขาก็เสียชีวิตจากแรงระเบิด
ทว่าเนื่องจากความหายากของพาฬกินสายฟ้า ในมหาพันภพปัจจุบันก็ยิ่งน้อยเข้าอีก ดังนั้นสัตว์อสูรตัวนี้จึงค่อยๆ ถูกลืมเลือนไปจากผู้คน
ในเจดีย์หินเมื่อมู่เฉินได้ยินคำอธิบายของหานซัน เขาก็รู้สึกว่าหนังหัวชาหนึบ มือที่กุมหัวใจยังสั่นเทิ้ม ด้วยความกลัวว่าจะระเบิด หากเป็นเช่นนั้นจะไม่มีใครในหมู่พวกเขาที่รอดชีวิตไปได้
“หัวใจของพาฬกินสายฟ้าจำแนกตามสี อายุเกินกว่าหมื่นปีจะเป็นทองคำบริสุทธิ์ ชิ้นนี้เป็นเงินก็น่าจะมีอายุช่วงพันปี แม้ว่าจะไม่สามารถฆ่าจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนได้ แต่ก็เป็นอันตรายถึงชีวิตสำหรับจอมยุทธ์ขุมพลังต่ำกว่าระดับตี้จื้อจุนทุกคน” หานซันมองหัวใจสีเงินขณะที่พูดด้วยดวงตาที่ลุกโชติช่วง
ด้วยหัวใจของพาฬกินสายฟ้าก็เหมือนมีไพ่ตายที่เอาไว้ข่มขู่คนอื่นได้เพิ่มอีกหนึ่ง หากหยิบมันออกมาเมื่อถูกบีบจนเข้าสู่ทางตัน ทุกคนก็คงต้องกลัวหัวหดไม่น้อย
มู่เฉินรู้ดีถึงเรื่องนี้จึงอดไม่ได้ที่จะยิ้ม ก่อนที่จะเก็บหัวใจสีเงินไว้อย่างระมัดระวัง ด้วยวัตถุนี้เท่ากับเพิ่มโอกาสในการรอดชีวิตได้หนึ่งครั้ง
ทว่าของสิ่งนี้สามารถใช้ได้เพียงครั้งเดียว ดังนั้นหากไม่มีความจำเป็นก็ห้ามหยิบออกมาใช้ง่ายๆ ไม่อย่างนั้นจะเป็นการสิ้นเปลืองโดยใช่เหตุ
“พี่มู่โชคดีจริงๆ”
เมื่อหานซันเห็นแต่ละสมบัติที่มู่เฉินได้ก็อดเผยความอิจฉาบนใบหน้าไม่ได้ หากมู่เฉินแปลงของสามอย่างที่ได้รับมาเป็นของเหลวจื้อจุนอาจมีมูลค่านับสิบล้านหยดเลยก็ได้ ซึ่งเป็นกำไรที่ยอดเยี่ยมมากเมื่อเทียบกับการลงทุนล้านห้าแสนหยด
มู่เฉินก็ปกปิดความปีติยินดีในใจไม่ได้ เขาเชื่อว่าการเก็บเกี่ยวในครั้งนี้เกินความคาดหมายไปไกล
แต่ถ้าไม่ได้รับความช่วยเหลือจากมั่วหลิง เขาก็ไม่สามารถเก็บเกี่ยวสิ่งที่น่าอัศจรรย์เหล่านี้ได้ แน่นอนว่า…ที่โชคดีที่สุดก็คือเขาสามารถใช้ค่ายกลในการเปิดผนึก ขณะที่คนอื่นได้แต่ทำลายผนึกด้วยกำลังเท่านั้น
ทั้งสองอย่างล้วนจำเป็นต่อการเก็บเกี่ยวในครั้งนี้
“พี่หานอีกไม่นานเราจะไปถึงสุสานหมื่นอสูรแล้ว เจ้าสามารถบอกข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับอสูรโบราณโภคะได้หรือไม่?” มู่เฉินกดความสุขในใจให้สงบลงอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็หันไปมองที่หานซันพลางถาม
จิ่วโยวและมั่วเฟิงที่อยู่ด้านข้างก็เบนสายตามา วัตถุประสงค์หลักของพวกเขาในการเดินทางไปยังสุสานหมื่นอสูรครั้งนี้คือการค้นหาเบาะแสของวิหคอมตะ แม้ว่าอสูรโภคะจะน่าดึงดูดความสนใจ แต่ก็เป็นเรื่องรอง เมื่อเทียบกับวัตถุประสงค์หลักของพวกเขา
ดังนั้นพวกเขาจึงต้องรู้ชัดถึงความเสี่ยงเพื่อที่จะตัดสินใจในการเคลื่อนไหว
หานซันพยักหน้า “ข้าต้องบอกรายละเอียดอยู่แล้ว…จอมยุทธ์เผ่าข้าที่ได้เข้ามายังดินแดนเสินโซ่ในอดีตบอกไว้ว่า ไม่ใช่แค่เผ่าแรดอสูรเท่านั้นที่ค้นพบอสูรโบราณโภคะ”
“มีเผ่าอะไรอีกบ้าง?” มั่วเฟิงถาม
“มีอีกสองเผ่าก็คือเผ่าหมาป่าเวหะและเผ่าราชสีห์ทองคำ” หานซันเอ่ย
เมื่อมู่เฉินได้ยินคำพูดนั่นก็หรี่ตาลง ทั้งสองสองเผ่าต่างมีรากฐานมั่นคง หากพวกเขาได้รับการวิวัฒนาการขั้นสุดท้ายก็จะกลายเป็นหมาป่าเวหะกลืนจันทร์และราชสีห์ทองคำเก้าหัว ซึ่งสามารถเทียบเคียงกับมหาเทพอสูรได้เลยทีเดียว
แต่ในช่วงหลายหมื่นปีที่ผ่านมายังไม่เคยได้ยินว่ามีใครในเผ่าสามารถพัฒนาสู่ระดับนั้นได้ ดังนั้นจึงบอกได้ว่ายากเพียงใดสำหรับพวกเขาที่จะพัฒนาจนถึงจุดนั้น
แต่ถึงอย่างนั้นเผ่าหมาป่าเวหะและเผ่าราชสีห์ทองคำก็มีชื่อเสียงมากในมหาพันภพ ไม่สามารถมองข้ามได้
“พวกข้าเคยทำสัญญาลับกับจอมยุทธ์เผ่าหมาป่าเวหะ บางทีเมื่อถึงเวลานั้นอาจจะร่วมมือกันกำจัดเผ่าราชสีห์ทองคำก่อน เมื่อเป็นเช่นนั้นเราก็จะได้ส่วนแบ่งสมบัติเพิ่มขึ้น” หานซันยิ้ม
มู่เฉินมองไปที่หานซันอย่างประหลาดใจ ไม่คิดว่าเขาจะแอบดึงเผ่าหมาป่าเวหะมาเป็นพวกแล้ว แบบนี้เผ่าราชสีห์ทองคำก็อาจต้องโดนเล่นง่าย
“เผ่าหมาป่าเวหะฉลาดแกมโกงและโหดร้าย ต้องระมัดระวังให้มากถ้าร่วมมือกับพวกเขา” จิ่วโยวเตือน
หานซันพยักหน้ากับคำพูดของนางเนื่องจากเขาก็ทันคนพอตัว เขารู้ว่าสัญญาแบบนี้เปราะบางแค่ไหน หากมีการเปลี่ยนแปลงฉับพลันของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเวลานั้น เผ่าหมาป่าเวหะอาจจะหันมาแว้งกัดพวกเขาแทน ซึ่งเป็นเหตุผลว่าทำไมเขาจึงชวนพวกมู่เฉินมาด้วย ไม่งั้นถ้าเขามั่นใจ เขาก็ไม่ต้องการให้คนอื่นมีส่วนร่วมในสมบัติหรอก
“นอกเหนือจากเผ่าทั้งสองเผ่าที่อาจต่อสู้แย่งชิงอสูรโภคะ ที่นั่นยังมีอสูรวิญญาณที่ถูกรัศมีปีศาจกัดกร่อนด้วย ซึ่งลำบากในการจัดการเช่นกัน”
“อสูรวิญญาณรึ? มีเท่าไร? พลังอยู่ในระดับไหน?” มู่เฉินครุ่นคิด สิ่งที่เรียกว่าอสูรวิญญาณก็คือวิญญาณเหล่าจอมยุทธ์เผ่าสัตว์อสูรต่างๆ ที่ถูกรัศมีปีศาจกัดกร่อนหลังตาย จนกลายเป็นสิ่งมีชีวิตผีดิบ แต่ยังคงรักษาความแข็งแกร่งในการต่อสู้ส่วนหนึ่งเมื่อยังมีชีวิตไว้ พวกมันไม่กลัวความตาย หากพวกเขาถูกวิญญาณพวกนี้จู่โจมเข้าละก็จะลำบากมาก
“มีเยอะพอสมควร ส่วนใหญ่อยู่ในขุมพัลงจื้อจุนขั้นห้าหรือขั้นหก แต่ก็มีบางตัวที่ต่อกรยาก ดังนั้นเราจะต้องระมัดระวังให้มาก ไม่เช่นนั้นอาจต้องจ่ายราคาแพงระยับแน่” หานซันพูดด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
มู่เฉินพยักหน้า ข้อมูลที่หานซันรู้ยังไม่ชัดเจนนัก เนื่องจากสุสานหมื่นอสูรเป็นหนึ่งในเขตอันตรายของดินแดนเสินโซ่ ซึ่งไม่ใช่สถานที่ท่องเที่ยวที่พวกเขาจะเดินทอดน่องไปมาตามใจต้องการชอบ ดังนั้นศึกการแย่งชิงอสูรโบราณโภคะครั้งนี้คงไม่ง่ายแน่
แต่ในเมื่อพวกเขามาไกลขนาดนี้แล้ว ไม่ว่าสุสานหมื่นอสูรจะอันตรายแค่ไหนพวกเขาก็ไม่มีทางยอมแพ้ เพราะเบาะแสของวิหคอมตะโบราณคงพบได้เฉพาะที่นั่นเท่านั้น
ทั้งหมดพูดคุยเกี่ยวกับแผนการเพิ่มเติม ก่อนที่แต่ละคนจะแยกเข้าสู่การเพาะบ่มพลังเมื่อถึงเวลากลางคืน
มู่เฉินก็สัมผัสเจตนาการสังหารของหมัดปีศาจพลีชีพตามปกติ
คืนที่เงียบงันก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว
เมื่อถึงตอนเช้าที่นี่ก็คึกคักทันตา ร่างเงามากมายหลั่งไหลออกมา ขณะเดียวกันก็มีจอมยุทธ์ออกจากตลาดเสรี มุ่งไปตามเป้าหมายของตนเอง
ทั่วทั้งตลาดเต็มไปด้วยชีวิตชีวา
“พวกเราก็ไปกันเถอะ” หานซันมองพวกมู่เฉินแล้วยิ้ม
มู่เฉินและจิ่วโยวพยักหน้า พวกเขาไม่ชักช้าทะยานตัวออกจากเจดีย์หินไป ร่างเปลี่ยนเป็นลำแสงบินข้ามขอบฟ้าโดยมีพวกหานซันตามไปอย่างใกล้ชิด
ไม่นานหลังจากพวกมู่เฉินที่จากไป กลุ่มคนนับสิบก็ปรากฏอยู่ด้านนอกเจดีย์หิน มีคนหน้าคุ้นรวมอยู่ในกลุ่มด้วย นั่นก็คือไป๋ปิงซึ่งเสียท่าในการปะทะกับมู่เฉินเมื่อวานนี้
แต่ยามนี้ไป๋ปิงไม่เหลือเค้าความอหังการไว้บนใบหน้า นั่นเป็นเพราะเบื้องหน้าเขามีชายชุดสีฟ้ายืนเอามือไพล่หลังสายตาไม่แยแส เขามีดวงตาสีฟ้าน้ำแข็งเมื่อกวาดสายตาไปรอบๆ แม้แต่บรรยากาศก็กลายเป็นน้ำแข็ง
“พี่ใหญ่ไป๋หมิง ไอ้พวกนั้นน่าจะไปกันแล้ว” ไป๋ปิงมองเจดีย์หินว่างเปล่าขณะที่พูดอย่างระมัดระวัง
ไป๋หมิงขมวดคิ้วเหลือบมองเขา ทำเอาร่างกายของไป๋ปิงเย็นเยือกลง
“ที่เจ้าบอกว่าบนร่างคนนั้นมีรัศมีหงส์ฟ้าแท้จริงเป็นเรื่องจริงหรือ?” ไป๋หมิงพูดเบาๆ
“เป็นเรื่องจริงแน่นอน ความกดดันนั่นไม่ผิดแน่ นอกจากนี้มันน่าจะเป็นมนุษย์ ดังนั้นมันจะต้องครอบครองสุดยอดสมบัติของเผ่าเรา ไม่งั้นเป็นไปไม่ได้ที่มันจะครอบครองแรงกดดันหงส์ฟ้า” ไป๋ปิงรีบอธิบาย
ไป๋หมิงพยักหน้าเล็กน้อย ริ้วความประหลาดใจวูบไหวในดวงตา รัศมีหงส์ฟ้าแท้จริง… เป็นสิ่งที่ครอบครองได้โดยกลุ่มคนชั้นสูงในเผ่าที่มีสายเลือดบริสุทธิ์เท่านั้น มนุษย์นั่นครอบครองสมบัติอะไรกัน?
ถ้าเขาไป๋หมิงได้รับ อาจช่วยพัฒนาสายเลือดจนเพิ่มความแข็งแกร่งได้อย่างมาก
“ตรวจสอบทิศทางที่พวกมันไปได้รึยัง?” ไป๋หมิงถามอีกครั้ง
“น่าจะเป็นทางตะวันตกเฉียงเหนือ” ไป๋ปิงกล่าว
“ทางนั้น…” ไป๋หมิงอึ้งงันจากนั้นก็คลี่ยิ้ม “นั่นเป็นทางไปสุสานหมื่นอสูร ดูท่าพวกมันจะมุ่งหน้าไปยังสถานที่เดียวกันกับเรา แม้แต่สวรรค์ก็ไม่เข้าข้างพวกมันเลย”
“พี่ใหญ่ไป๋หมิง เราจะไล่ตามไปไหม?” ไป๋ปิงถาม
ไป๋หมิงส่ายหัวพูดว่า “ข้ายังต้องซื้อของบางอย่างในตลาดเสรี ในเมื่อพวกมันมุ่งหน้าไปยังสุสาน เดี๋ยวเราก็ได้พบกันในเร็วๆ นี้ ไม่ต้องรีบเร่งให้พวกมันกระโดดโหยงเหยงกันไปก่อนเถอะ”
เมื่อไป๋หมิงพูดจบก็หันออกไป ทิ้งไป๋ปิงที่มองไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือด้วยความไม่เต็มใจพูดเสียงน่าขนลุกว่า “งั้นก็ให้พวกแกหายใจเพิ่มอีกสักสองสามวันละกัน!”
พวกมู่เฉินที่ออกจากตลาดเสรีไปแล้ว
ก็ไม่รู้ว่าตัวเองถูกเล็งหัวเอาไว้ แต่ถึงแม้จะรู้ ด้วยนิสัยก็คงไม่สนใจ เพราะตั้งแต่ลงมือกับไป๋ปิง มู่เฉินก็รู้แล้วว่าต้องเกิดปัญหา นั่นก็อย่างที่เขาพูดไว้ เขาไม่ได้กลัวหรือซ่อนตัวจากสิ่งที่ทำ หากคนที่ไป๋ปิงเชิญมาคิดว่าสามารถเหยียบย่ำบนหัวเขาได้ง่ายๆ มู่เฉินก็ไม่เกรงใจที่จะให้อีกฝ่ายจ่ายราคาแพงระยับด้วยเช่นกัน
ดังนั้นตอนนี้เขาจึงมุ่งเน้นไปที่การเดินทางไปยังสุสาน
ในช่วงสองวันต่อมาพวกเขาก็ไม่ได้แวะเวียนที่ไหนอีก ภายใต้การเดินทางด้วยความเร็วสูงสุดเมื่อพระอาทิตย์ตกดินในวันที่สองพวกเขาก็ยืนอยู่บนยอดเขาแห่งหนึ่งแล้ว
สายตาของพวกเขาพุ่งตรงไปยังระยะไกลก่อนที่จะกลายเป็นเคร่งเครียด
บนภูเขาและพื้นดินที่ห่างไกล หมอกหนาสีเทาหนาแน่นปกคลุมทั่วบริเวณราวกับม่าน หมอกสีเทาทั้งเย็นยะเยือกและน่าขนลุก ราวกับมีเสียงโหยหวนคลุมเครือเปล่งออกมา
บนท้องฟ้า ปรากฏหลุมฝังศพนับไม่ถ้วนพร้อมกับรัศมีความตายเชี่ยวกราก
ในที่สุดพวกเขาก็มาถึงสุสานหมื่นอสูรแล้ว