หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – ตอนที่ 1024

ตอนที่ 1024

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1024 สุสานหมื่นอสูร
ในสมัยโบราณ

มีสัตว์อสูรที่ไม่กินพืชไม่กินเนื้อสัตว์เป็นอาหาร แต่กลับกินสายฟ้าแทน เมื่อสายฟ้าแล่นพล่านเข้าไปรวมในหัวใจและถูกบีบอัดไว้ก็ทำให้มีพลังที่สามารถทำลายล้างโลกได้เลยทีเดียว

ทว่าสัตว์อสูรชนิดนี้มีนิสัยอ่อนโยนตามธรรมชาติ ปกติไม่ทำร้ายใคร แต่ถ้าพวกมันโกรธขึ้นมาก็จะระเบิดหัวใจตัวเอง ว่ากันว่าหากพาฬกินสายฟ้าที่มีชีวิตหมื่นปี พลังของมันที่ระเบิดหัวใจก็ไม่สามารถอธิบายได้

ในตำนานเล่าว่ามีครั้งหนึ่งจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนพยายามที่จะจับพาฬกินสายฟ้าเป็นสัตว์เลี้ยง แต่สุดท้ายก็ทำให้มันโกรธคลั่งจนระเบิดหัวใจ สุดท้ายแม้แต่ตัวเขาก็เสียชีวิตจากแรงระเบิด

ทว่าเนื่องจากความหายากของพาฬกินสายฟ้า ในมหาพันภพปัจจุบันก็ยิ่งน้อยเข้าอีก ดังนั้นสัตว์อสูรตัวนี้จึงค่อยๆ ถูกลืมเลือนไปจากผู้คน

ในเจดีย์หินเมื่อมู่เฉินได้ยินคำอธิบายของหานซัน เขาก็รู้สึกว่าหนังหัวชาหนึบ มือที่กุมหัวใจยังสั่นเทิ้ม ด้วยความกลัวว่าจะระเบิด หากเป็นเช่นนั้นจะไม่มีใครในหมู่พวกเขาที่รอดชีวิตไปได้

“หัวใจของพาฬกินสายฟ้าจำแนกตามสี อายุเกินกว่าหมื่นปีจะเป็นทองคำบริสุทธิ์ ชิ้นนี้เป็นเงินก็น่าจะมีอายุช่วงพันปี แม้ว่าจะไม่สามารถฆ่าจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนได้ แต่ก็เป็นอันตรายถึงชีวิตสำหรับจอมยุทธ์ขุมพลังต่ำกว่าระดับตี้จื้อจุนทุกคน” หานซันมองหัวใจสีเงินขณะที่พูดด้วยดวงตาที่ลุกโชติช่วง

ด้วยหัวใจของพาฬกินสายฟ้าก็เหมือนมีไพ่ตายที่เอาไว้ข่มขู่คนอื่นได้เพิ่มอีกหนึ่ง หากหยิบมันออกมาเมื่อถูกบีบจนเข้าสู่ทางตัน ทุกคนก็คงต้องกลัวหัวหดไม่น้อย

มู่เฉินรู้ดีถึงเรื่องนี้จึงอดไม่ได้ที่จะยิ้ม ก่อนที่จะเก็บหัวใจสีเงินไว้อย่างระมัดระวัง ด้วยวัตถุนี้เท่ากับเพิ่มโอกาสในการรอดชีวิตได้หนึ่งครั้ง

ทว่าของสิ่งนี้สามารถใช้ได้เพียงครั้งเดียว ดังนั้นหากไม่มีความจำเป็นก็ห้ามหยิบออกมาใช้ง่ายๆ ไม่อย่างนั้นจะเป็นการสิ้นเปลืองโดยใช่เหตุ

“พี่มู่โชคดีจริงๆ”

เมื่อหานซันเห็นแต่ละสมบัติที่มู่เฉินได้ก็อดเผยความอิจฉาบนใบหน้าไม่ได้ หากมู่เฉินแปลงของสามอย่างที่ได้รับมาเป็นของเหลวจื้อจุนอาจมีมูลค่านับสิบล้านหยดเลยก็ได้ ซึ่งเป็นกำไรที่ยอดเยี่ยมมากเมื่อเทียบกับการลงทุนล้านห้าแสนหยด

มู่เฉินก็ปกปิดความปีติยินดีในใจไม่ได้ เขาเชื่อว่าการเก็บเกี่ยวในครั้งนี้เกินความคาดหมายไปไกล

แต่ถ้าไม่ได้รับความช่วยเหลือจากมั่วหลิง เขาก็ไม่สามารถเก็บเกี่ยวสิ่งที่น่าอัศจรรย์เหล่านี้ได้ แน่นอนว่า…ที่โชคดีที่สุดก็คือเขาสามารถใช้ค่ายกลในการเปิดผนึก ขณะที่คนอื่นได้แต่ทำลายผนึกด้วยกำลังเท่านั้น

ทั้งสองอย่างล้วนจำเป็นต่อการเก็บเกี่ยวในครั้งนี้

“พี่หานอีกไม่นานเราจะไปถึงสุสานหมื่นอสูรแล้ว เจ้าสามารถบอกข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับอสูรโบราณโภคะได้หรือไม่?” มู่เฉินกดความสุขในใจให้สงบลงอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็หันไปมองที่หานซันพลางถาม

จิ่วโยวและมั่วเฟิงที่อยู่ด้านข้างก็เบนสายตามา วัตถุประสงค์หลักของพวกเขาในการเดินทางไปยังสุสานหมื่นอสูรครั้งนี้คือการค้นหาเบาะแสของวิหคอมตะ แม้ว่าอสูรโภคะจะน่าดึงดูดความสนใจ แต่ก็เป็นเรื่องรอง เมื่อเทียบกับวัตถุประสงค์หลักของพวกเขา

ดังนั้นพวกเขาจึงต้องรู้ชัดถึงความเสี่ยงเพื่อที่จะตัดสินใจในการเคลื่อนไหว

หานซันพยักหน้า “ข้าต้องบอกรายละเอียดอยู่แล้ว…จอมยุทธ์เผ่าข้าที่ได้เข้ามายังดินแดนเสินโซ่ในอดีตบอกไว้ว่า ไม่ใช่แค่เผ่าแรดอสูรเท่านั้นที่ค้นพบอสูรโบราณโภคะ”

“มีเผ่าอะไรอีกบ้าง?” มั่วเฟิงถาม

“มีอีกสองเผ่าก็คือเผ่าหมาป่าเวหะและเผ่าราชสีห์ทองคำ” หานซันเอ่ย

เมื่อมู่เฉินได้ยินคำพูดนั่นก็หรี่ตาลง ทั้งสองสองเผ่าต่างมีรากฐานมั่นคง หากพวกเขาได้รับการวิวัฒนาการขั้นสุดท้ายก็จะกลายเป็นหมาป่าเวหะกลืนจันทร์และราชสีห์ทองคำเก้าหัว ซึ่งสามารถเทียบเคียงกับมหาเทพอสูรได้เลยทีเดียว

แต่ในช่วงหลายหมื่นปีที่ผ่านมายังไม่เคยได้ยินว่ามีใครในเผ่าสามารถพัฒนาสู่ระดับนั้นได้ ดังนั้นจึงบอกได้ว่ายากเพียงใดสำหรับพวกเขาที่จะพัฒนาจนถึงจุดนั้น

แต่ถึงอย่างนั้นเผ่าหมาป่าเวหะและเผ่าราชสีห์ทองคำก็มีชื่อเสียงมากในมหาพันภพ ไม่สามารถมองข้ามได้

“พวกข้าเคยทำสัญญาลับกับจอมยุทธ์เผ่าหมาป่าเวหะ บางทีเมื่อถึงเวลานั้นอาจจะร่วมมือกันกำจัดเผ่าราชสีห์ทองคำก่อน เมื่อเป็นเช่นนั้นเราก็จะได้ส่วนแบ่งสมบัติเพิ่มขึ้น” หานซันยิ้ม

มู่เฉินมองไปที่หานซันอย่างประหลาดใจ ไม่คิดว่าเขาจะแอบดึงเผ่าหมาป่าเวหะมาเป็นพวกแล้ว แบบนี้เผ่าราชสีห์ทองคำก็อาจต้องโดนเล่นง่าย

“เผ่าหมาป่าเวหะฉลาดแกมโกงและโหดร้าย ต้องระมัดระวังให้มากถ้าร่วมมือกับพวกเขา” จิ่วโยวเตือน

หานซันพยักหน้ากับคำพูดของนางเนื่องจากเขาก็ทันคนพอตัว เขารู้ว่าสัญญาแบบนี้เปราะบางแค่ไหน หากมีการเปลี่ยนแปลงฉับพลันของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเวลานั้น เผ่าหมาป่าเวหะอาจจะหันมาแว้งกัดพวกเขาแทน ซึ่งเป็นเหตุผลว่าทำไมเขาจึงชวนพวกมู่เฉินมาด้วย ไม่งั้นถ้าเขามั่นใจ เขาก็ไม่ต้องการให้คนอื่นมีส่วนร่วมในสมบัติหรอก

“นอกเหนือจากเผ่าทั้งสองเผ่าที่อาจต่อสู้แย่งชิงอสูรโภคะ ที่นั่นยังมีอสูรวิญญาณที่ถูกรัศมีปีศาจกัดกร่อนด้วย ซึ่งลำบากในการจัดการเช่นกัน”

“อสูรวิญญาณรึ? มีเท่าไร? พลังอยู่ในระดับไหน?” มู่เฉินครุ่นคิด สิ่งที่เรียกว่าอสูรวิญญาณก็คือวิญญาณเหล่าจอมยุทธ์เผ่าสัตว์อสูรต่างๆ ที่ถูกรัศมีปีศาจกัดกร่อนหลังตาย จนกลายเป็นสิ่งมีชีวิตผีดิบ แต่ยังคงรักษาความแข็งแกร่งในการต่อสู้ส่วนหนึ่งเมื่อยังมีชีวิตไว้ พวกมันไม่กลัวความตาย หากพวกเขาถูกวิญญาณพวกนี้จู่โจมเข้าละก็จะลำบากมาก

“มีเยอะพอสมควร ส่วนใหญ่อยู่ในขุมพัลงจื้อจุนขั้นห้าหรือขั้นหก แต่ก็มีบางตัวที่ต่อกรยาก ดังนั้นเราจะต้องระมัดระวังให้มาก ไม่เช่นนั้นอาจต้องจ่ายราคาแพงระยับแน่” หานซันพูดด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

มู่เฉินพยักหน้า ข้อมูลที่หานซันรู้ยังไม่ชัดเจนนัก เนื่องจากสุสานหมื่นอสูรเป็นหนึ่งในเขตอันตรายของดินแดนเสินโซ่ ซึ่งไม่ใช่สถานที่ท่องเที่ยวที่พวกเขาจะเดินทอดน่องไปมาตามใจต้องการชอบ ดังนั้นศึกการแย่งชิงอสูรโบราณโภคะครั้งนี้คงไม่ง่ายแน่

แต่ในเมื่อพวกเขามาไกลขนาดนี้แล้ว ไม่ว่าสุสานหมื่นอสูรจะอันตรายแค่ไหนพวกเขาก็ไม่มีทางยอมแพ้ เพราะเบาะแสของวิหคอมตะโบราณคงพบได้เฉพาะที่นั่นเท่านั้น

ทั้งหมดพูดคุยเกี่ยวกับแผนการเพิ่มเติม ก่อนที่แต่ละคนจะแยกเข้าสู่การเพาะบ่มพลังเมื่อถึงเวลากลางคืน

มู่เฉินก็สัมผัสเจตนาการสังหารของหมัดปีศาจพลีชีพตามปกติ

คืนที่เงียบงันก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว

เมื่อถึงตอนเช้าที่นี่ก็คึกคักทันตา ร่างเงามากมายหลั่งไหลออกมา ขณะเดียวกันก็มีจอมยุทธ์ออกจากตลาดเสรี มุ่งไปตามเป้าหมายของตนเอง

ทั่วทั้งตลาดเต็มไปด้วยชีวิตชีวา

“พวกเราก็ไปกันเถอะ” หานซันมองพวกมู่เฉินแล้วยิ้ม

มู่เฉินและจิ่วโยวพยักหน้า พวกเขาไม่ชักช้าทะยานตัวออกจากเจดีย์หินไป ร่างเปลี่ยนเป็นลำแสงบินข้ามขอบฟ้าโดยมีพวกหานซันตามไปอย่างใกล้ชิด

ไม่นานหลังจากพวกมู่เฉินที่จากไป กลุ่มคนนับสิบก็ปรากฏอยู่ด้านนอกเจดีย์หิน มีคนหน้าคุ้นรวมอยู่ในกลุ่มด้วย นั่นก็คือไป๋ปิงซึ่งเสียท่าในการปะทะกับมู่เฉินเมื่อวานนี้

แต่ยามนี้ไป๋ปิงไม่เหลือเค้าความอหังการไว้บนใบหน้า นั่นเป็นเพราะเบื้องหน้าเขามีชายชุดสีฟ้ายืนเอามือไพล่หลังสายตาไม่แยแส เขามีดวงตาสีฟ้าน้ำแข็งเมื่อกวาดสายตาไปรอบๆ แม้แต่บรรยากาศก็กลายเป็นน้ำแข็ง

“พี่ใหญ่ไป๋หมิง ไอ้พวกนั้นน่าจะไปกันแล้ว” ไป๋ปิงมองเจดีย์หินว่างเปล่าขณะที่พูดอย่างระมัดระวัง

ไป๋หมิงขมวดคิ้วเหลือบมองเขา ทำเอาร่างกายของไป๋ปิงเย็นเยือกลง

“ที่เจ้าบอกว่าบนร่างคนนั้นมีรัศมีหงส์ฟ้าแท้จริงเป็นเรื่องจริงหรือ?” ไป๋หมิงพูดเบาๆ

“เป็นเรื่องจริงแน่นอน ความกดดันนั่นไม่ผิดแน่ นอกจากนี้มันน่าจะเป็นมนุษย์ ดังนั้นมันจะต้องครอบครองสุดยอดสมบัติของเผ่าเรา ไม่งั้นเป็นไปไม่ได้ที่มันจะครอบครองแรงกดดันหงส์ฟ้า” ไป๋ปิงรีบอธิบาย

ไป๋หมิงพยักหน้าเล็กน้อย ริ้วความประหลาดใจวูบไหวในดวงตา รัศมีหงส์ฟ้าแท้จริง… เป็นสิ่งที่ครอบครองได้โดยกลุ่มคนชั้นสูงในเผ่าที่มีสายเลือดบริสุทธิ์เท่านั้น มนุษย์นั่นครอบครองสมบัติอะไรกัน?

ถ้าเขาไป๋หมิงได้รับ อาจช่วยพัฒนาสายเลือดจนเพิ่มความแข็งแกร่งได้อย่างมาก

“ตรวจสอบทิศทางที่พวกมันไปได้รึยัง?” ไป๋หมิงถามอีกครั้ง

“น่าจะเป็นทางตะวันตกเฉียงเหนือ” ไป๋ปิงกล่าว

“ทางนั้น…” ไป๋หมิงอึ้งงันจากนั้นก็คลี่ยิ้ม “นั่นเป็นทางไปสุสานหมื่นอสูร ดูท่าพวกมันจะมุ่งหน้าไปยังสถานที่เดียวกันกับเรา แม้แต่สวรรค์ก็ไม่เข้าข้างพวกมันเลย”

“พี่ใหญ่ไป๋หมิง เราจะไล่ตามไปไหม?” ไป๋ปิงถาม

ไป๋หมิงส่ายหัวพูดว่า “ข้ายังต้องซื้อของบางอย่างในตลาดเสรี ในเมื่อพวกมันมุ่งหน้าไปยังสุสาน เดี๋ยวเราก็ได้พบกันในเร็วๆ นี้ ไม่ต้องรีบเร่งให้พวกมันกระโดดโหยงเหยงกันไปก่อนเถอะ”

เมื่อไป๋หมิงพูดจบก็หันออกไป ทิ้งไป๋ปิงที่มองไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือด้วยความไม่เต็มใจพูดเสียงน่าขนลุกว่า “งั้นก็ให้พวกแกหายใจเพิ่มอีกสักสองสามวันละกัน!”

พวกมู่เฉินที่ออกจากตลาดเสรีไปแล้ว

ก็ไม่รู้ว่าตัวเองถูกเล็งหัวเอาไว้ แต่ถึงแม้จะรู้ ด้วยนิสัยก็คงไม่สนใจ เพราะตั้งแต่ลงมือกับไป๋ปิง มู่เฉินก็รู้แล้วว่าต้องเกิดปัญหา นั่นก็อย่างที่เขาพูดไว้ เขาไม่ได้กลัวหรือซ่อนตัวจากสิ่งที่ทำ หากคนที่ไป๋ปิงเชิญมาคิดว่าสามารถเหยียบย่ำบนหัวเขาได้ง่ายๆ มู่เฉินก็ไม่เกรงใจที่จะให้อีกฝ่ายจ่ายราคาแพงระยับด้วยเช่นกัน

ดังนั้นตอนนี้เขาจึงมุ่งเน้นไปที่การเดินทางไปยังสุสาน

ในช่วงสองวันต่อมาพวกเขาก็ไม่ได้แวะเวียนที่ไหนอีก ภายใต้การเดินทางด้วยความเร็วสูงสุดเมื่อพระอาทิตย์ตกดินในวันที่สองพวกเขาก็ยืนอยู่บนยอดเขาแห่งหนึ่งแล้ว

สายตาของพวกเขาพุ่งตรงไปยังระยะไกลก่อนที่จะกลายเป็นเคร่งเครียด

บนภูเขาและพื้นดินที่ห่างไกล หมอกหนาสีเทาหนาแน่นปกคลุมทั่วบริเวณราวกับม่าน หมอกสีเทาทั้งเย็นยะเยือกและน่าขนลุก ราวกับมีเสียงโหยหวนคลุมเครือเปล่งออกมา

บนท้องฟ้า ปรากฏหลุมฝังศพนับไม่ถ้วนพร้อมกับรัศมีความตายเชี่ยวกราก

ในที่สุดพวกเขาก็มาถึงสุสานหมื่นอสูรแล้ว

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler ฟรี ได้ที่ novel-fast 


เรื่องย่อ

โดย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler บางส่วนของนิยาย

บทนำ

หนึ่งในใต้หล้าจากปลายปากกาของเทียนฉานถูโต้ว กล่าวถึงมู่เฉิน เด็กหนุ่มจากสำนักศึกษาเป่ยหลิง ผู้ที่ได้รับเลือกให้เข้าฝึกในสงครามเทพยุทธ์ซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าคนเก่งกาจ ทว่า… อยู่ดีๆ เขากลับถูกขับไล่ออกมาด้วยเหตุผลที่ไม่มีใครล่วงรู้ มู่เฉินพยายามฝึกหนักอีกครั้งเพื่อจะพาตัวเองกลับเข้าไปในเส้นทางแห่งนี้ เขาจำเป็นต้องใช้สิ่งนี้เป็นใบเบิกทางเพื่อเข้าศึกษาที่ภาคเบญจภาคี เพื่อ… ปกป้องหญิงสาวที่ตนรัก และยิ่งกว่านั้นคือเพื่อค้นหาเบาะแสของมารดาที่หายสาบสูญไป

‘มหาพันภพ’ เป็นที่ที่มิติทั้งหลายเชื่อมต่อกันในระบบสุริยจักรวาล สถานที่แห่งนี้มีขั้วอำนาจมากมายอาศัยอยู่ จักรพรรดิที่มาจากพิภพเขตล่างต่างเป็นตำนานที่ผู้อื่นปรารถนาขึ้นไปบนเส้นทางแห่งกฎของโลกไร้ขอบเขตนี้

แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว เทพจักรพรรดิอัคคีควบคุมเปลวเพลิงกวาดข้ามสวรรค์

แคว้นหวู เทพจักรพรรดิสงครามผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำให้ทั้งสวรรค์และโลกหวาดกลัว

ตำหนักซีเทียน จักรพรรดิสัประยุทธ์ที่แข็งแกร่งไม่มีผู้ใดเทียบเท่า ในเนินเขารกร้างทางเหนือ ดินแดนวั้นมู่ของจักรพรรดิอมตะครองเหนือภพ

เด็กหนุ่มจากมณฑลเป่ยหลิงออกท่องยุทธภพกับวิหคโลกันตร์คู่ใจ มุ่งหน้าสู่โลกภายนอกที่เต็มไปด้วยสีสัน ใครกันที่จะเป็นผู้กุมชะตากรรมในเส้นทางการเป็นหนึ่ง?

ในมหาพันภพที่สงครามนับหมื่นอุบัติ ข้าคือผู้กุมชะตาฟ้าดิน…

เรื่องย่อ

เมื่อคำพูดของมู่เฉินกระจายออกไป ไม่เพียงแต่จะไม่มีการตอบสนอง แม้แต่ด้านนอกเจดีย์ก็ถูกห่อหุ้มด้วยบรรยากาศราวกับป่าช้า…

ทุกคนตกตะลึงไปกับฉากนี้ พวกเขาจ้องมองจุดที่ลู่สุยหายตัวไป ราวกับว่ายังไม่สามารถฟื้นจากอาการตะลึงงันที่เกิดขึ้นได้

ก่อนหน้าเมื่อลู่สุยออกกระบวนท่าที่น่าสะพรึง ผู้คนส่วนใหญ่ก็คิดว่าผลลัพธ์ของการต่อสู้ได้ถูกกำหนดแล้ว ทว่าพวกเขาไม่คิดเลยว่ามู่เฉินจะพลิกสถานการณ์ได้อีกครั้ง เตะลู่สุยที่เหมือนจะคว้าชัยชนะออกไป

ทุกคนตะลึงไปพักใหญ่ ก่อนที่พวกเขาจะหลุดออกจากอาการได้ สายตาเคร่งเครียดลง การประลองกันครั้งนี้มู่เฉินไม่ได้ใช้ค่ายกล แต่เขาก็สามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดอย่างลู่สุยได้ด้วยความแข็งแกร่งที่อยู่ในขั้นหกเท่านั้น แม้ว่าจะมีผลจากลู่สุยประมาทเองในตอนแรก แต่นั่นก็แสดงให้เห็นว่ามู่เฉินน่ากลัวแค่ไหน

พลังเช่นนี้เขาสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์อันดับต้นๆ ในเจดีย์ฝึกพลังกายได้เลยทีเดียว

ทางฝั่งกลุ่มกระเรียนฟ้า ใบหน้าของหลิ่วชิงกลายเป็นเขียวสลับขาว นางมองไปที่ร่างสูงโปร่งบนหน้าจอ กลืนน้ำลายเหนียวหนืด ความกลัวปรากฏในดวงตาของนางเป็นครั้งแรก

มาถึงจุดนี้นางคงโง่แน่ถ้ายังคิดปฏิบัติต่อมู่เฉินเหมือนกับจอมยุทธ์ขั้นหกทั่วไป

ด้วยพลังในการต่อสู้ที่เขาแสดงออกมา บวกกับค่ายกลทรงพลัง แม้แต่จงเถิงก็ยากจะได้เปรียบหากพวกเขาต่อสู้กัน

ก่อนหน้านี้นางหัวเราะเยาะและมองจิ่วโยวด้วยความดูถูก แต่ตอนนี้นางอายแทบแทรกแผ่นดินหนี ซึ่งจุดนี้รู้ได้จากสายตาเยาะเย้ยเหล่านั้นที่ปรายมองเข้ามา

“ทำไมมู่เฉินถึงทรงพลังเช่นนี้?” จงฮั้วที่พ่ายแพ้ให้กับมู่เฉินก็มีสีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดเช่นกันว่ามู่เฉินพึ่งพาเพียงค่ายกลเพื่อจัดการกับศัตรู แต่ใครจะคิดว่าเมื่อไม่มีการใช้ค่ายกลมู่เฉินก็สามารถเอาชนะลู่สุยแบบดุร้ายยิ่งกว่าอะไร

“ดูเหมือนว่ามีเพียงพี่ใหญ่จงเถิงเท่านั้นที่สามารถจัดการกับเขาได้” จอมยุทธ์อีกคนของเผ่ากระเรียนฟ้าพยักหน้า

หลิ่วชิงพยักหน้าเบาๆ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะพิจารณาพลังของมู่เฉินพลาดไปเท่านั้น แม้แต่จงเถิงก็ตัดสินอีกฝ่ายผิดไป ชายคนนั้นเป็นสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง

ฟิ้ว!

ขณะที่นอกเจดีย์ต่างตกตะลึงกับผลลัพธ์ที่มู่เฉินนำมา ทันใดนั้นแสงก็กะพริบบนแท่นนอกเจดีย์ ร่างน่าสังเวชปรากฏขึ้น

เมื่อร่างนั้นออกมาก็รีบถอยกลับไปปรากฏตัวขึ้นในกลุ่มอีกาสายฟ้าทันควัน นี่ก็คือลู่สุยที่มีสีหน้าซีดขาว คลื่นหลิงของเขาถดถอยลงอย่างมาก

สายตาโดยรอบยิงเข้าหาในเวลานี้ทันที

ใบหน้าของลู่สุยเขียวคล้ำ สายตาเกลียดชังมองไปที่มู่เฉินที่อยู่บนหน้าจอ ก่อนที่จะหันหัวสาดสายตาดุร้ายใส่จิ่วโยวและมั่วหลิง ที่ข้างๆ พรรคพวกของเขาก็มีท่าทางไม่ดีเช่นกัน

ทว่าจิ่วโยวไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับสายตาเหล่านั้น นางเค้นเสียงอย่างเย็นชา “ลูกหมาที่ถูกฟาดยังกล้าที่จะออกมาแยกเขี้ยวอีกเหรอ?”

ตอนนี้ลู่สุยบาดเจ็บสาหัส สูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปหมด ส่วนคนที่เหลือก็ไม่มีอะไรต้องกลัว หากพวกเขากล้าที่จะคิดบัญชีกับพวกนาง จิ่วโยวก็ไม่คิดปล่อยพวกเขาไว้เป็นภัยคุกคามในอนาคตหรอก

สายตาแสดงความเกลียดชังของลู่สุยจ้องเขม็งอยู่ที่จิ่วโยว แต่สุดท้ายเขาก็ต้องถอนสายตาออกไปอย่างไม่เต็มใจ ก่อนที่จะถอยกลับนั่งลงบนซากปรักหักพังเข้าสมาธิเพื่อฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ

จอมยุทธ์กลุ่มอีกาสายฟ้าก็ปรากฏรอบตัวเขาเพื่อปกป้อง

เมื่อจิ่วโยวเห็นการตอบสนองนั่น นางก็ไม่ได้ใส่ใจกับพวกเขาอีก นางมองไปที่หน้าจออีกครั้งโดยพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ร่างเงาอ่อนเยาว์ มือที่กำแน่นผ่อนคลายลง

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงสำหรับนางที่มู่เฉินจะเอาชนะได้เด็ดขาดแบบนี้ นั่นเป็นเพราะตามการประเมินของนางแม้ว่ามู่เฉินจะยืนยงอยู่ได้ก็เป็นยากที่จะเอาชนะลู่สุยด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นหกและถ้าการต่อสู้ถูกลากไปจนสุดอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบคาดไม่ถึง

ทว่าผลลัพธ์สุดท้ายที่ได้ก็ทำให้นางทั้งประหลาดใจและดีใจ

เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินได้รับประโยชน์มหาศาลจากสามชั้นแรกของเจดีย์ฝึกพลังกาย ไม่เช่นนั้นเขาไม่สามารถแสดงพลังเป็นที่ประจักษ์เช่นนี้ได้

“ว่ากันว่าในชั้นสี่มหัศจรรย์กว่านี้มาก หากใครสามารถเข้าไปได้ พวกเขาจะสามารถได้รับผลประโยชน์เกินกว่าสามชั้นแรกมาก…”

จิ่วโยวยิ้มบาง ดูจากสถานการณ์ปัจจุบันไม่น่ามีปัญหาใดๆ ที่มู่เฉินจะเข้าสู่ชั้นสี่ สำหรับมั่วเฟิงความแข็งแกร่งของเขาเป็นหนึ่งในอันดับต้นของกลุ่มที่เข้าไป ดังนั้นจึงไม่ยากสำหรับเขาที่จะได้หนึ่งในห้าที่นั่งนี้ไปเช่นกัน

ดูเหมือนว่าการเดินทางมาที่เจดีย์ฝึกพลังกายโบราณครั้งนี้เผ่าวิหคโลกันตร์อาจเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

บนลานเมฆสายฟ้า

ไม่มีใครตอบคำถามของมู่เฉิน ขณะนี้แม้แต่จอมยุทธ์ทรงอำนาจอย่างหานซันและสีคุนก็ยังรู้สึกหวาดระแวงมู่เฉินอยู่บ้าง ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะไม่ไปปะทะกับมนุษย์ผู้นี้

ดังนั้นคนทั้งหมดที่อยู่ที่นี่จึงเงียบลง ก่อนที่จะถอยออกจากรัศมีโดยรอบมู่เฉินอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณบอกว่าพวกเขาไม่ต้องการต่อสู้กับเขา

เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ก็ไม่มีอารมณ์ใดบนใบหน้า แต่ในใจกลับรู้สึกโล่งอก คนอื่นๆ เห็นเพียงฉากการต่อสู้ตระการที่เขาเอาชนะลู่สุยได้ แต่พวกเขาไม่รู้หรอกว่าหมัดที่เขาชกออกไปก่อนหน้านี้คือพลังงานส่วนเกินจากสามชั้นแรก

ร่างกายของมู่เฉินก่อนหน้าเปรียบเสมือนฟองน้ำที่ดูดซับน้ำจนถึงขีดจำกัด หมัดของเขาจึงเท่ากับบีบน้ำออกจนหมด ทำให้ร่างกายที่อัดแน่นกลับสู่สภาพเดิม

ดังนั้นถ้าให้เขาโจมตีแบบนั้นอีกครั้ง พลังก็จะไม่ทรงประสิทธิภาพเหมือนเมื่อครู่แน่นอน

ประสิทธิผลพิเศษชนิดนี้ของการสะสมพลังงานในร่างกายเป็นทักษะที่ได้มาจากกายามังกรหงส์ ด้วยวิธีนี้เขาจะได้รับผลลัพธ์ที่ไม่มีใครคาดคิดไว้ กลายเป็นไพ่ลับอีกใบหนึ่ง

“คัมภีร์หลงเฟิ่งทรงพลังจริงๆ”

แม้แต่มู่เฉินก็ยังชื่นชมในสิ่งนี้ คัมภีร์หลงเฟิ่งสมแล้วที่เป็นทักษะยอดเยี่ยมแท้จริง จากการประเมินของเขาคัมภีร์นี้ต้องอยู่ในระดับเสินทงแน่นอน ซึ่งไม่ธรรมดาแม้จะอยู่ในกลุ่มวิทยายุทธระดับเสินทงด้วย

มู่เฉินชื่นชมก่อนที่จะใจเย็นลง แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีใครท้าทายเขา แต่เขาก็ไม่ตั้งใจที่จะท้าทายคนอื่นด้วยเช่นกัน เขายืนนิ่งบนตำแหน่งตนเองรอผลการคัดออก

สำหรับจงเถิง มู่เฉินรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นพวกยุแยงให้ลู่สุยมาปะทะกับเขา แต่เนื่องจากตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ดีในการจัดการ เขาจึงได้แต่ผลักแผนไปก่อน

แต่ถึงกระนั้นสายตาคมกล้าของมู่เฉินก็ยังจ้องเขม็งไปที่จงเถิง รอบตัวเต็มไปด้วยคลื่นหลิงราวกับเสือดาวที่กำลังจะจ้องตะครุบเหยื่ออัดแน่นด้วยภัยคุกคาม

เมื่อเห็นท่าทางของมู่เฉิน จงเถิงที่ประจันหน้ากับมั่วเฟิงก็รู้สึกอึดอัดใจ เขาต้องแยกสมาธิอยู่ตลอดเพื่อจับตามองมู่เฉิน ป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายเคลื่อนไหวมาประสานพลังกับมั่วเฟิง

ด้วยวิธีนี้สมาธิของจงเถิงจึงค่อนข้างฟุ้งซ่าน สุดท้ายเขาได้แต่กัดฟัน ถอนคลื่นหลิงและถอยออกจากบริเวณของมั่วเฟิง

“พี่มั่วยากสำหรับการต่อสู้ของเราที่จะได้ข้อสรุป ทำไมเราไม่ไปจัดการคนอื่นและรับที่นั่งมาล่ะ?” ขณะที่จงเถิงถอยกลับเสียงก็สะท้อนก้องไปด้วย

มั่วเฟิงจ้องมองจงเถิงอย่างไม่แยแสก่อนที่จะพยักหน้า นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าหากพวกเขายังอยู่ในสถานการณ์ยืนจ้องหน้ากันก็จะไม่เกิดผลลัพธ์ใด หากเขาร่วมมือกับมู่เฉิน พวกเขาอาจทำให้จงเถิงบ้าดีเดือดขึ้นมา แม้แต่พวกเขาก็ต้องจ่ายราคามหาศาลจากการตีโต้

ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาคือการได้ที่นั่งเพื่อเข้าสู่ชั้นสี่

เมื่อจงเถิงเห็นคำตอบของมั่วเฟิงก็รู้สึกโล่งใจในใจ เขาถอยกลับอย่างรวดเร็วออกจากจุดที่มู่เฉินและมั่วเฟิงอยู่ เขาครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนจะเลือกปะทะกับคนที่อ่อนแอกว่า

พอมู่เฉินเห็นจงเถิงไปแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจอีกต่อไป สายตาหันมามองมั่วเฟิงแล้วก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มแสดงความขอบคุณในการช่วยเหลือครั้งนี้

สายตาของมั่วเฟิงเป็นมิตรมากขึ้น คิดว่าการที่มู่เฉินเอาชนะลู่สุย ทำให้มั่วเฟิงมองมู่เฉินในฐานะจอมยุทธ์ที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเขา ดังนั้นจึงไม่ได้มีท่าทางเฉยเมยเหมือนเมื่อก่อน

มั่วเฟิงพยักหน้าให้มู่เฉิน ก่อนที่จะหันหลังกลับและเริ่มเลือกคู่ต่อสู้ของตนเอง

ครืน!

เมื่อทุกคนเลือกคู่ต่อสู้แล้ว ทันใดนั้นคลื่นหลิงก็ระเบิดรุนแรงบนลานเมฆสายฟ้า คลื่นกระแทกกวาดออก ทำให้มิติเกิดการสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไม่หยุด

บนลานเมฆสายฟ้าพลังงานหลิงกวาดหายนะ มีเพียงตรงมู่เฉินเท่านั้นที่ไม่ถูกรบกวน เนื่องจากไม่มีใครกล้าเหยียบเข้ามาในรัศมีพันจั้ง ยามนี้เขาเหมือนผู้ชมที่ดูการต่อสู้ติดขอบ ในเวลาเดียวกันก็บันทึกกระบวนท่าที่ทรงพลังของบางคนไว้ในสมอง

แม้ว่าในชั้นนี้พวกเขาอาจไม่ได้ประลองกัน แต่ก็ยังมีอีกสองชั้นรอพวกเขาอยู่ ใครจะสามารถรับประกันได้ว่าจะไม่มีการลดจำนวนลงในชั้นต่อไป?

ดังนั้นถ้ามีโอกาสเขาต้องพยายามจดจำข้อมูลผู้อื่นเก็บไว้

ภายใต้การสังเกตของมู่เฉิน การประลองบนลานเมฆสายฟ้าก็คงอยู่ชั่วระยะหนึ่ง ก่อนที่แต่ละคู่จะมาถึงจุดสิ้นสุด ผลลัพธ์ก็เป็นไปตามที่คาดไว้

หลังจากมู่เฉินก็เป็นหานซันที่เอาชนะคู่ต่อสู้ได้ที่นั่งที่สองไป

จากนั้นมั่วเฟิงและจงเถิงก็คว้าชัยชนะตามมา

ที่นั่งสุดท้ายตกเป็นของสีคุนที่ก่อนหน้านี้เคยแพ้หานซันที่ด้านนอกเจดีย์ ชายนี้มีความแข็งแกร่งที่น่าตกใจ แม้แต่หานซันยังต้องใช้ทักษะเต็มที่ถึงจะได้รับชัยชนะมา

เมื่อสีคุนได้รับที่นั่งสุดท้ายลานเมฆสายฟ้าขนาดใหญ่ก็เงียบลงอีกครั้ง ร่างทั้งห้ายืนอยู่ ขณะรัศมีไร้ขอบเขตทั้งห้าสายพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าชนกันเปรี้ยงปร้าง

ทว่าการชนกันก็ดำเนินไปเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ก่อนที่ทั้งห้าจะถอนคลื่นพลังพร้อมกัน พวกเขาเหลือบมองกันและกัน จากนั้นก็ไม่ลังเลทะยานออกไปปรากฏตัวบนเบาะทั้งห้า

สายตาพวกเขาพุ่งตรงไปยังมิติด้านหลังลานเมฆสายฟ้าด้วยความโลภ ตรงนั้นเส้นดาวหางจำนวนมากกวาดผ่านราวกับฝนดาวตก

ในแสงเหล่านั้นแก่นหยดสายฟ้ากำลังกะพริบด้วยความแวววาว


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท