หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – ตอนที่ 1016

ตอนที่ 1016

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1016 อสูรโบราณโภคะ
เมื่อจงเถิงเผ่นหนีไปแล้ว

บรรยากาศเดือดพล่านด้านนอกเจดีย์ก็สิ้นสุดลง จอมยุทธ์เผ่าอื่นๆ พากันเหลือบมองมู่เฉินด้วยความหวาดกลัวและความเคร่งเครียดในสายตาก่อนที่จะทยอยจากไป

หลังจากที่เจดีย์ฝึกพลังกายเปิดขึ้นในครั้งนี้ก็จะปิดไปอีกนานและไม่มีวิธีใดที่จะเปิดได้ ดังนั้นที่นี่จึงหมดความน่าดึงดูดใจ ไม่มีใครยอมที่จะหยุดอยู่ต่อ

ดินแดนเสินโซ่กว้างใหญ่ไพศาล มีโอกาสอีกมากมายรอพวกเขาให้ไปค้นหา ดังนั้นไม่มีใครจมจ่อมอยู่ในที่ที่เดียวหรอก

ทว่าถึงแม้พวกเขาจะจากไป แต่ทุกคนต่างก็จดจำมนุษย์ที่มีนามว่ามู่เฉินที่มีพลังกายทรงประสิทฺภาพเหนือกว่าแม้แต่เทพอสูรซึ่งสลักความประทับใจให้กับพวกเขา พวกเขารู้ว่านี่คงไม่ใช่ครั้งสุดท้ายที่พวกเขาจะเห็นมู่เฉิน ในเวลานั้นบางทีอัจฉริยะทั้งหมดที่อยู่ในดินแดนเสินโซ่จะรับรู้ถึงการดำรงอยู่ของเขา

ทุกคนต่างก็อยากรู้อยากเห็น ไม่รู้ว่ามู่เฉินจะเป็นยังไงหากเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์อัจฉริยะเผ่าเทพอสูรอื่นๆ

หากเกิดการต่อสู้กันจะต้องเป็นการปะทะกันของดาวหางยักษ์อย่างไม่ต้องสงสัย ซึ่งน่าตื่นตาอย่างยิ่ง

การฝึกยุทธ์ในดินแดนเสินโซ่เพิ่งจะเริ่ม รอให้ถึงเวลาที่เหล่ายอดอัจฉริยะมารวมตัวกัน เวลานั้นถึงได้เป็นจุดสูงสุดของการฝึกยุทธ์ในดินแดนเสินโซ่

“ฮ่าๆ พี่มู่ทรงพลังอย่างแท้จริง ข้าเองยังเทียบพลังกายของเจ้าไม่ได้เลย”

เมื่อฝูงชนที่อยู่นอกเจดีย์ค่อยๆ จากไป หานซันก็ประสานมือด้วยรอยยิ้ม น้ำเสียงของเขาสุภาพอ่อนโยนอบอุ่นกว่าตอนที่อยู่ในเจดีย์ เห็นได้ชัดว่าหลังจากที่ได้เห็นการต่อสู้ระหว่างมู่เฉินกับจงเถิง หานซันก็วางมู่เฉินไว้ในจุดที่สำคัญอย่างยิ่ง

มากจนตัวเขาก็ไม่มั่นใจว่าจะเอาชนะมู่เฉินได้

มู่เฉินยิ้มพลางประสานมือให้พร้อมฉายความเป็นมิตร ไม่มีความแข็งกร้าวและเฉียบคมเหมือนตอนเผชิญกับจงเถิงและลู่สุย หานซันไม่ใช่จอมยุทธ์ธรรมดา หากพวกเขาสามารถสร้างความสัมพันธ์ที่ดีก็ย่อมมีผลประโยชน์มากกว่าผลเสีย

“แต่วันนี้พี่มู่กลายเป็นศัตรูเต็มตัวกับจงเถิงซะแล้ว”

หานซันเหลือบมองไปยังทิศที่จงเถิงหายไปก็ยิ้ม “แม้ว่าจงเถิงจะเป็นอัจฉริยะของเผ่ากระเรียนฟ้าแต่เขาก็ไม่ได้น่ากลัวอะไร ตามที่ข้ารู้เผ่ากระเรียนฟ้ามีสายสัมพันธ์ใกล้ชิดกับเผ่าคุนเผิง ตัวจงเถิงก็มีความสัมพันธ์บางอย่างในเผ่าคุนเผิง…”

“เผ่าคุนเผิง?” ดวงตาของมู่เฉินหดลงเมื่อได้ยิน แม้ว่าเขาจะไม่ได้รู้อะไรมากมายเกี่ยวกับเผ่าเทพสูร แต่เขารู้ว่าเผ่าคุนเผิงถือเป็นหนึ่งในเผ่าเทพอสูรชั้นยอดที่มีรากฐานไม่ด้อยไปกว่าเผ่ามังกรและหงส์ฟ้าเลยทีเดียว

สีหน้าของจิ่วโยวและมั่วเฟิงที่ยืนอยู่ด้านข้างก็ดูเคร่งเครียดมากขึ้น เผ่ากระเรียนฟ้าสืบเชื้อสายมาจากมหาเทพอสูรเผ่ากระเรียนปีกทองคำ ซึ่งเผ่าคุนเผิงเป็นต้นกำเนิดของกระเรียนทั้งหมด ดังนั้นกระเรียนปีกทองคำจึงถือว่าเป็นหนึ่งในเผ่าคุนเผิงนั่นเอง

ก็เหมือนกับสายเลือดของวิหคอมตะโบราณที่ไหลอยู่ในร่างสมาชิกเผ่าวิหคโลกันตร์ ซึ่งวิหคอมตะโบราณถือเป็นหนึ่งในเผ่าหงส์ฟ้าด้วยเช่นกัน

ถ้าจงเถิงมีความสัมพันธ์กับคนในเผ่าคุนเผิงจริง ถ้าเขาเชิญจอมยุทธ์อัจฉริยะของเผ่าคุนเผิงเข้าร่วมก็จะเป็นเรื่องยุ่งยากสำหรับพวกเขา สามารถจินตนาการได้ว่าจอมยุทธ์อัจฉริยะของเผ่าเทพอสูรชั้นยอดจะเป็นอย่างไร

แม้ว่าจะระวังขึ้นในใจ แต่มู่เฉินก็ไม่ได้กลัวอะไรมาก เส้นทางการฝึกฝนในหลายปีที่ผ่านมา เขาไม่ได้พึ่งพาความกลัว

“เราจะระวังเรื่องนี้ ขอบคุณสำหรับข้อมูล” มู่เฉินประสานมือแสดงความขอบคุณต่อการเตือนของหานซัน

หานซันยิ้มครุ่นคิดสั้นๆ ถามว่า “ไม่รู้ว่าพวกเจ้าวางแผนจะไปที่ไหนต่อหรือ?”

เมื่อมู่เฉินได้ยินคำถามดังกล่าวก็แลกเปลี่ยนสายตากับจิ่วโยว จากนั้นนางก็พูดขึ้นว่า “พวกข้ากำลังหาร่องรอยของวิหคอมตะโบราณน่ะ”

นางไม่ได้ซ่อนเป้าหมายของตนเอง เพราะถึงยังไงหากข่าววิหคอมตะโบราณกระจายออกไปก็เป็นไปไม่ได้ที่จะปกปิดไว้ นอกจากนี้พวกนางก็ต้องการหาให้พบก่อน

หลายปีมานี้เผ่าวิหคโลกันตร์ก็สืบหาข้อมูลอยู่เสมอ แต่การเก็บเกี่ยวไม่น่าประทับใจอะไรเลย

“วิหคอมตะโบราณเหรอ…”

หานซันไม่ได้ประหลาดใจอะไรกับความจริงข้อนี้ เนื่องจากเขารู้อยู่แล้วว่าเผ่าวิหคโลกันตร์มีสายเลือดวิหคอมตะโบราณ จึงยิ้มเอ่ยว่า “ไม่รู้ว่าได้ข้อมูลอะไรมาหรือยัง?”

จิ่วโยวส่ายหน้า

“ถ้างั้นข้าอาจจะให้ความช่วยเหลือได้บ้าง” หานซันกล่าว

มู่เฉินและจิ่วโยวตกใจก่อนที่จะมองหานซันด้วยสายตาตั้งคำถามพูดอย่างไม่อยากเชื่อ “เจ้ามีเบาะแสบางอย่างเหรอ?”

หากเป็นเช่นนั้นจริงหานซันจะยอมบอกเบาะแสมาอย่างง่ายดายได้ยังไง?

“ไม่ใช่เบาะแสที่แน่นอน” หานซันยิ้ม “แต่ข้าเชื่อว่าดีกว่าคลำไปรอบๆ น่ะ”

“ยินดีรับฟัง”

จิ่วโยวพยักหน้าอย่างจริงจัง ดินแดนเสินโซ่กว้างใหญ่ไพศาล แม้จะมีรัศมีหงส์ฟ้าแท้จริงบนร่างมู่เฉิน แต่ก็คงไม่ใช่เรื่องง่ายนักที่จะพบร่องรอยของวิหคอมตะโบราณ ดังนั้นหากมีเบาะแสน้อยนิดก็ถือว่าเป็นข่าวดีสำหรับพวกเขา

“ไม่รู้ว่าพวกเจ้าเคยได้ยินเรื่องสุสานหมื่นอสูรไหม?” หานซันกล่าว

“สุสานหมื่นอสูร?!”

มู่เฉินไม่ได้ตอบสนองกับคำพูดนี่ แต่ใบหน้าของจิ่วโยวและมั่วเฟิงเปลี่ยนไปพร้อมกับความเคร่งเครียดและหวาดหวั่น

“ที่นั่นคือที่ไหนเหรอ?” มู่เฉินถามอย่างประหลาดใจ

“ก็ตามความหมายของชื่อ นั่นเป็นสุสานของสัตว์อสูรน่ะ… ว่ากันว่าเทพอสูรที่ละสังขารที่นั่นมีจำนวนมากที่สุดในดินแดนเสินโซ่ ทำให้กลายเป็นสุสานขนาดใหญ่ที่โอบล้อมด้วยรัศมีความตายตลอดทั้งปี เนื่องจากผสมผสานเข้ากับรัศมีปีศาจต่างมิติ จึงอันตรายอย่างยิ่งและเป็นหนึ่งในดินแดนมรณะ” จิ่วโยวพูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

“แต่ก็มีข่าวลือว่าไม่ได้มีมหาเทพอสูรเพียงหนึ่งเดียวที่ละสังขารที่สุสานหมื่นอสูร…” มั่วเฟิงกล่าวเสริม

“วิหคอมตะโบราณก็เป็นหนึ่งในนั้นเรอะ?” มู่เฉินมองไปที่หานซัน

“ครั้งก่อนตอนที่ดินแดนนี้เปิดออก เผ่าของข้าได้เข้าไปในสุสานหมื่นอสูร พวกเขาเล่าว่าเคยได้ยินเสียงร้องของหงส์ฟ้าและ… เพลิงอมตะ” หานซันพูดช้าๆ

ลมหายใจของจิ่วโยวกระชั้นขึ้น เพลิงอมตะ… เป็นเพลิงเอกลักษณ์ของวิหคอมตะโบราณ หากสิ่งที่หานซันพูดเป็นความจริงละก็ อาจจะมีร่างวิหคอมตะร่วงหล่นอยู่ในสุสานหมื่นอสูรจริงๆ

เพียงแต่ว่าดินแดนมรณะนั่นอันตรายเกินไป ในอดีตมีคนไม่มากนักจากเผ่าวิหคโลกันตร์ที่ไปที่นั่น

“ทำไมพี่หานถึงบอกเรื่องนี้กับเรา… ” แววตามู่เฉินวูบไหว จากนั้นก็ยิ้มให้หานซัน ความหมายในคำพูดของเขาชัดเจน ในเมื่ออีกฝ่ายบอกข้อมูลเชิงลึกขนาดนี้ก็ต้องมีเป้าหมายอะไรบ้าง

“ข้าต้องการหาพันธมิตรน่ะ” หานซันพูดตรงๆ

“พี่หานพบบางอย่างในสุสานใช่ไหม?” มู่เฉินหยั่งเชิง หากไม่ทราบข้อมูลที่แน่นอน หานซันคงไม่เสี่ยงชีวิตเพื่อเข้าสู่ดินแดนมรณะนั่นหรอก

หานซันเงียบไปครู่หนึ่งเมื่อได้ยินคำพูดของมู่เฉินก่อนที่จะพยักหน้าช้าๆ “กลุ่มของข้าเคยเห็นอสูรโบราณโภคะอยู่ในสุสานนั่น”

“อสูรโบราณโภคะ?!”

เมื่อคำพูดเหล่านั้นพูดออกมา ไม่เพียงแต่จิ่วโยวและมั่วเฟิงที่อึ้งไป แม้แต่มู่เฉินก็เบิกตากว้างพร้อมกับความตกตะลึงบนใบหน้า

อสูรโบราณโภคะไม่เพียงแต่โด่งดังในโลกสัตว์อสูรเท่านั้น แต่ยังเป็นที่เลื่องลือในโลกมนุษย์อีกด้วย

เล่าลือกันว่าอสูรโบราณโภคะชอบกินโลหะที่เป็นเอกลักษณ์ทุกชนิดและสมบัติต่างๆ สิ่งเหล่านั้นจะได้รับการชำระในร่างมันด้วยรูปแบบพิเศษ ก่อนที่จะกลายเป็นอาวุธพบสวรรค์ทรงพลัง มากจนแม้แต่อสูรโบราณโภคะบางตัวสามารถกลั่นอาวุธเสมือนมหสวรรค์และอาวุธมหสวรรค์ได้ กระทั่งจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนยังใจหวั่น

ดังนั้นอสูรโบราณโภคะจึงถูกขนานนามว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการกลั่นอาวุธเทพแต่กำเนิด ตราบใดที่มันตายไปก็ดึงดูดสายตาจำนวนนับไม่ถ้วนไป

นั่นเป็นเพราะศพของมันคือสมบัติ!

แต่น่าเสียดายที่มันหายากแสนยาก ไม่ค่อยปรากฏตัวแม้แต่ในสมัยโบราณ ยิ่งตอนนี้ในมหาพันภพก็มีจำนวนน้อยนิด

แต่ไม่ว่ามันจะหายากเพียงใด ชื่อเสียงก็โด่งดังจนน่ากลัว ดังนั้นแม้แต่คนอย่างมู่เฉินที่รู้เรื่องเผ่าสัตว์อสูรน้อยนิดก็ยังรู้เรื่องนี้

เมื่อหานซันมองเห็นความตกตะลึงที่เขียนบนใบหน้าของพวกเขาก็พยักหน้าเบาๆ “จากข่าวอสูรโบราณโภคะตัวนี้ทรงพลังอย่างยิ่งตอนที่ยังมีชีวิตอยู่เข้าใกล้การเป็นมหาเทพอสูร ถ้ามันไม่ได้พบภัยพิบัตินั่นก็อาจจะพัฒนาเป็นมหาเทพอสูรไปแล้วก็ได้”

เมื่อไรที่กลายเป็นมหาเทพอสูรก็จะสามารถกลั่นอาวุธทรงพลังเท่าอาวุธมหสวรรค์…

ทว่ามู่เฉินและคนอื่นๆ ไม่รู้สึกเสียใจ ตรงกันข้ามดวงตากลับส่องประกายมากขึ้น นั่นหมายความว่าสัตว์อสูรตัวนี้ได้สัมผัสเข้าไปในขอบเขตของมหาเทพอสูรแล้ว

นั่นก็หมายความว่าในร่างมันอาจมี… อาวุธเสมือนมหสวรรค์อยู่ก็ได้

“ในร่างกายมัน ไม่น่าจะมีอาวุธเสมือนมหสวรรค์แค่หนึ่งชิ้น…” หานซันพยักหน้าพร้อมกับความโลภพล่านเต็มในดวงตา หากเขาได้รับอาวุธเสมือนมหสวรรค์สักชิ้น การเดินทางมายังดินแดนเสินโซ่ก็คุ้มค่าอย่างที่สุดแล้ว

ซี้ด!

พวกมู่เฉินสูดลมหายใจเย็น หากข่าวนี้แพร่กระจายออกไปอาจจะดึงดูดคนนับไม่ถ้วนมุ่งหน้าไปยังสุสานหมื่นอสูรก็เป็นได้

“ข้อมูลแบบนี้… เจ้าก็ยินดีแบ่งปันด้วยเหรอ?” มั่วเฟิงจ้องมองหานซันแบบไม่อยากเชื่อ มีใครไม่ต้องการครอบครองตัวสมบัติดังกล่าวแต่เพียงผู้เดียวด้วยเรอะ?

“โอกาสทุกประเภทต้องอาศัยความแข็งแกร่ง”

หานซันยิ้มบาง “ไม่ต้องพูดถึงอันตรายในสุสาน แค่พื้นที่ที่อสูรโบราณโภคะละสังขารก็มีสิ่งที่จัดการได้ยากแล้ว… นอกจากนี้ที่สำคัญที่สุดก็คือไม่ใช่ข้าคนเดียวที่รู้เรื่องนี้”

“ในตอนนั้นนอกเหนือจากจอมยุทธ์เผ่าข้าแล้ว ยังมีเผ่าอื่นอยู่ด้วยเช่นกัน ข้าเชื่อว่าพวกเขาตั้งเป้าหมายไปที่นั่นแล้ว”

“ดังนั้นข้าต้องการเพื่อนร่วมทางที่สามารถไว้ใจได้”

หานซันมองกลุ่มมู่เฉินแล้วยิ้ม “ข้าขอพูดบางคำที่อาจสร้างความไม่พอใจ ก่อนหน้าถ้ามู่เฉินไม่แสดงความแข็งแกร่งให้เห็น ข้าคงมองข้ามพวกเจ้าไปแล้ว… แล้วคำตอบของพวกเจ้าคืออะไร?”

มู่เฉินแลกเปลี่ยนสายตากับพรรคพวก ดวงตาทั้งสี่กะพริบแสงวูบไหว โต้ตอบผ่านการส่งเสียงสั้นๆ ไม่นานจากนั้นพวกเขาก็ตกลงกันได้

มู่เฉินมองไปที่หานซันด้วยรอยยิ้มบนใบหน้าพลางยื่นมือออกมา

“หวังว่าความร่วมมือของเราจะเป็นเรื่องน่ายินดี”

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler ฟรี ได้ที่ novel-fast 


เรื่องย่อ

โดย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler บางส่วนของนิยาย

บทนำ

หนึ่งในใต้หล้าจากปลายปากกาของเทียนฉานถูโต้ว กล่าวถึงมู่เฉิน เด็กหนุ่มจากสำนักศึกษาเป่ยหลิง ผู้ที่ได้รับเลือกให้เข้าฝึกในสงครามเทพยุทธ์ซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าคนเก่งกาจ ทว่า… อยู่ดีๆ เขากลับถูกขับไล่ออกมาด้วยเหตุผลที่ไม่มีใครล่วงรู้ มู่เฉินพยายามฝึกหนักอีกครั้งเพื่อจะพาตัวเองกลับเข้าไปในเส้นทางแห่งนี้ เขาจำเป็นต้องใช้สิ่งนี้เป็นใบเบิกทางเพื่อเข้าศึกษาที่ภาคเบญจภาคี เพื่อ… ปกป้องหญิงสาวที่ตนรัก และยิ่งกว่านั้นคือเพื่อค้นหาเบาะแสของมารดาที่หายสาบสูญไป

‘มหาพันภพ’ เป็นที่ที่มิติทั้งหลายเชื่อมต่อกันในระบบสุริยจักรวาล สถานที่แห่งนี้มีขั้วอำนาจมากมายอาศัยอยู่ จักรพรรดิที่มาจากพิภพเขตล่างต่างเป็นตำนานที่ผู้อื่นปรารถนาขึ้นไปบนเส้นทางแห่งกฎของโลกไร้ขอบเขตนี้

แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว เทพจักรพรรดิอัคคีควบคุมเปลวเพลิงกวาดข้ามสวรรค์

แคว้นหวู เทพจักรพรรดิสงครามผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำให้ทั้งสวรรค์และโลกหวาดกลัว

ตำหนักซีเทียน จักรพรรดิสัประยุทธ์ที่แข็งแกร่งไม่มีผู้ใดเทียบเท่า ในเนินเขารกร้างทางเหนือ ดินแดนวั้นมู่ของจักรพรรดิอมตะครองเหนือภพ

เด็กหนุ่มจากมณฑลเป่ยหลิงออกท่องยุทธภพกับวิหคโลกันตร์คู่ใจ มุ่งหน้าสู่โลกภายนอกที่เต็มไปด้วยสีสัน ใครกันที่จะเป็นผู้กุมชะตากรรมในเส้นทางการเป็นหนึ่ง?

ในมหาพันภพที่สงครามนับหมื่นอุบัติ ข้าคือผู้กุมชะตาฟ้าดิน…

เรื่องย่อ

เมื่อคำพูดของมู่เฉินกระจายออกไป ไม่เพียงแต่จะไม่มีการตอบสนอง แม้แต่ด้านนอกเจดีย์ก็ถูกห่อหุ้มด้วยบรรยากาศราวกับป่าช้า…

ทุกคนตกตะลึงไปกับฉากนี้ พวกเขาจ้องมองจุดที่ลู่สุยหายตัวไป ราวกับว่ายังไม่สามารถฟื้นจากอาการตะลึงงันที่เกิดขึ้นได้

ก่อนหน้าเมื่อลู่สุยออกกระบวนท่าที่น่าสะพรึง ผู้คนส่วนใหญ่ก็คิดว่าผลลัพธ์ของการต่อสู้ได้ถูกกำหนดแล้ว ทว่าพวกเขาไม่คิดเลยว่ามู่เฉินจะพลิกสถานการณ์ได้อีกครั้ง เตะลู่สุยที่เหมือนจะคว้าชัยชนะออกไป

ทุกคนตะลึงไปพักใหญ่ ก่อนที่พวกเขาจะหลุดออกจากอาการได้ สายตาเคร่งเครียดลง การประลองกันครั้งนี้มู่เฉินไม่ได้ใช้ค่ายกล แต่เขาก็สามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดอย่างลู่สุยได้ด้วยความแข็งแกร่งที่อยู่ในขั้นหกเท่านั้น แม้ว่าจะมีผลจากลู่สุยประมาทเองในตอนแรก แต่นั่นก็แสดงให้เห็นว่ามู่เฉินน่ากลัวแค่ไหน

พลังเช่นนี้เขาสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์อันดับต้นๆ ในเจดีย์ฝึกพลังกายได้เลยทีเดียว

ทางฝั่งกลุ่มกระเรียนฟ้า ใบหน้าของหลิ่วชิงกลายเป็นเขียวสลับขาว นางมองไปที่ร่างสูงโปร่งบนหน้าจอ กลืนน้ำลายเหนียวหนืด ความกลัวปรากฏในดวงตาของนางเป็นครั้งแรก

มาถึงจุดนี้นางคงโง่แน่ถ้ายังคิดปฏิบัติต่อมู่เฉินเหมือนกับจอมยุทธ์ขั้นหกทั่วไป

ด้วยพลังในการต่อสู้ที่เขาแสดงออกมา บวกกับค่ายกลทรงพลัง แม้แต่จงเถิงก็ยากจะได้เปรียบหากพวกเขาต่อสู้กัน

ก่อนหน้านี้นางหัวเราะเยาะและมองจิ่วโยวด้วยความดูถูก แต่ตอนนี้นางอายแทบแทรกแผ่นดินหนี ซึ่งจุดนี้รู้ได้จากสายตาเยาะเย้ยเหล่านั้นที่ปรายมองเข้ามา

“ทำไมมู่เฉินถึงทรงพลังเช่นนี้?” จงฮั้วที่พ่ายแพ้ให้กับมู่เฉินก็มีสีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดเช่นกันว่ามู่เฉินพึ่งพาเพียงค่ายกลเพื่อจัดการกับศัตรู แต่ใครจะคิดว่าเมื่อไม่มีการใช้ค่ายกลมู่เฉินก็สามารถเอาชนะลู่สุยแบบดุร้ายยิ่งกว่าอะไร

“ดูเหมือนว่ามีเพียงพี่ใหญ่จงเถิงเท่านั้นที่สามารถจัดการกับเขาได้” จอมยุทธ์อีกคนของเผ่ากระเรียนฟ้าพยักหน้า

หลิ่วชิงพยักหน้าเบาๆ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะพิจารณาพลังของมู่เฉินพลาดไปเท่านั้น แม้แต่จงเถิงก็ตัดสินอีกฝ่ายผิดไป ชายคนนั้นเป็นสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง

ฟิ้ว!

ขณะที่นอกเจดีย์ต่างตกตะลึงกับผลลัพธ์ที่มู่เฉินนำมา ทันใดนั้นแสงก็กะพริบบนแท่นนอกเจดีย์ ร่างน่าสังเวชปรากฏขึ้น

เมื่อร่างนั้นออกมาก็รีบถอยกลับไปปรากฏตัวขึ้นในกลุ่มอีกาสายฟ้าทันควัน นี่ก็คือลู่สุยที่มีสีหน้าซีดขาว คลื่นหลิงของเขาถดถอยลงอย่างมาก

สายตาโดยรอบยิงเข้าหาในเวลานี้ทันที

ใบหน้าของลู่สุยเขียวคล้ำ สายตาเกลียดชังมองไปที่มู่เฉินที่อยู่บนหน้าจอ ก่อนที่จะหันหัวสาดสายตาดุร้ายใส่จิ่วโยวและมั่วหลิง ที่ข้างๆ พรรคพวกของเขาก็มีท่าทางไม่ดีเช่นกัน

ทว่าจิ่วโยวไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับสายตาเหล่านั้น นางเค้นเสียงอย่างเย็นชา “ลูกหมาที่ถูกฟาดยังกล้าที่จะออกมาแยกเขี้ยวอีกเหรอ?”

ตอนนี้ลู่สุยบาดเจ็บสาหัส สูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปหมด ส่วนคนที่เหลือก็ไม่มีอะไรต้องกลัว หากพวกเขากล้าที่จะคิดบัญชีกับพวกนาง จิ่วโยวก็ไม่คิดปล่อยพวกเขาไว้เป็นภัยคุกคามในอนาคตหรอก

สายตาแสดงความเกลียดชังของลู่สุยจ้องเขม็งอยู่ที่จิ่วโยว แต่สุดท้ายเขาก็ต้องถอนสายตาออกไปอย่างไม่เต็มใจ ก่อนที่จะถอยกลับนั่งลงบนซากปรักหักพังเข้าสมาธิเพื่อฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ

จอมยุทธ์กลุ่มอีกาสายฟ้าก็ปรากฏรอบตัวเขาเพื่อปกป้อง

เมื่อจิ่วโยวเห็นการตอบสนองนั่น นางก็ไม่ได้ใส่ใจกับพวกเขาอีก นางมองไปที่หน้าจออีกครั้งโดยพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ร่างเงาอ่อนเยาว์ มือที่กำแน่นผ่อนคลายลง

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงสำหรับนางที่มู่เฉินจะเอาชนะได้เด็ดขาดแบบนี้ นั่นเป็นเพราะตามการประเมินของนางแม้ว่ามู่เฉินจะยืนยงอยู่ได้ก็เป็นยากที่จะเอาชนะลู่สุยด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นหกและถ้าการต่อสู้ถูกลากไปจนสุดอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบคาดไม่ถึง

ทว่าผลลัพธ์สุดท้ายที่ได้ก็ทำให้นางทั้งประหลาดใจและดีใจ

เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินได้รับประโยชน์มหาศาลจากสามชั้นแรกของเจดีย์ฝึกพลังกาย ไม่เช่นนั้นเขาไม่สามารถแสดงพลังเป็นที่ประจักษ์เช่นนี้ได้

“ว่ากันว่าในชั้นสี่มหัศจรรย์กว่านี้มาก หากใครสามารถเข้าไปได้ พวกเขาจะสามารถได้รับผลประโยชน์เกินกว่าสามชั้นแรกมาก…”

จิ่วโยวยิ้มบาง ดูจากสถานการณ์ปัจจุบันไม่น่ามีปัญหาใดๆ ที่มู่เฉินจะเข้าสู่ชั้นสี่ สำหรับมั่วเฟิงความแข็งแกร่งของเขาเป็นหนึ่งในอันดับต้นของกลุ่มที่เข้าไป ดังนั้นจึงไม่ยากสำหรับเขาที่จะได้หนึ่งในห้าที่นั่งนี้ไปเช่นกัน

ดูเหมือนว่าการเดินทางมาที่เจดีย์ฝึกพลังกายโบราณครั้งนี้เผ่าวิหคโลกันตร์อาจเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

บนลานเมฆสายฟ้า

ไม่มีใครตอบคำถามของมู่เฉิน ขณะนี้แม้แต่จอมยุทธ์ทรงอำนาจอย่างหานซันและสีคุนก็ยังรู้สึกหวาดระแวงมู่เฉินอยู่บ้าง ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะไม่ไปปะทะกับมนุษย์ผู้นี้

ดังนั้นคนทั้งหมดที่อยู่ที่นี่จึงเงียบลง ก่อนที่จะถอยออกจากรัศมีโดยรอบมู่เฉินอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณบอกว่าพวกเขาไม่ต้องการต่อสู้กับเขา

เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ก็ไม่มีอารมณ์ใดบนใบหน้า แต่ในใจกลับรู้สึกโล่งอก คนอื่นๆ เห็นเพียงฉากการต่อสู้ตระการที่เขาเอาชนะลู่สุยได้ แต่พวกเขาไม่รู้หรอกว่าหมัดที่เขาชกออกไปก่อนหน้านี้คือพลังงานส่วนเกินจากสามชั้นแรก

ร่างกายของมู่เฉินก่อนหน้าเปรียบเสมือนฟองน้ำที่ดูดซับน้ำจนถึงขีดจำกัด หมัดของเขาจึงเท่ากับบีบน้ำออกจนหมด ทำให้ร่างกายที่อัดแน่นกลับสู่สภาพเดิม

ดังนั้นถ้าให้เขาโจมตีแบบนั้นอีกครั้ง พลังก็จะไม่ทรงประสิทธิภาพเหมือนเมื่อครู่แน่นอน

ประสิทธิผลพิเศษชนิดนี้ของการสะสมพลังงานในร่างกายเป็นทักษะที่ได้มาจากกายามังกรหงส์ ด้วยวิธีนี้เขาจะได้รับผลลัพธ์ที่ไม่มีใครคาดคิดไว้ กลายเป็นไพ่ลับอีกใบหนึ่ง

“คัมภีร์หลงเฟิ่งทรงพลังจริงๆ”

แม้แต่มู่เฉินก็ยังชื่นชมในสิ่งนี้ คัมภีร์หลงเฟิ่งสมแล้วที่เป็นทักษะยอดเยี่ยมแท้จริง จากการประเมินของเขาคัมภีร์นี้ต้องอยู่ในระดับเสินทงแน่นอน ซึ่งไม่ธรรมดาแม้จะอยู่ในกลุ่มวิทยายุทธระดับเสินทงด้วย

มู่เฉินชื่นชมก่อนที่จะใจเย็นลง แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีใครท้าทายเขา แต่เขาก็ไม่ตั้งใจที่จะท้าทายคนอื่นด้วยเช่นกัน เขายืนนิ่งบนตำแหน่งตนเองรอผลการคัดออก

สำหรับจงเถิง มู่เฉินรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นพวกยุแยงให้ลู่สุยมาปะทะกับเขา แต่เนื่องจากตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ดีในการจัดการ เขาจึงได้แต่ผลักแผนไปก่อน

แต่ถึงกระนั้นสายตาคมกล้าของมู่เฉินก็ยังจ้องเขม็งไปที่จงเถิง รอบตัวเต็มไปด้วยคลื่นหลิงราวกับเสือดาวที่กำลังจะจ้องตะครุบเหยื่ออัดแน่นด้วยภัยคุกคาม

เมื่อเห็นท่าทางของมู่เฉิน จงเถิงที่ประจันหน้ากับมั่วเฟิงก็รู้สึกอึดอัดใจ เขาต้องแยกสมาธิอยู่ตลอดเพื่อจับตามองมู่เฉิน ป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายเคลื่อนไหวมาประสานพลังกับมั่วเฟิง

ด้วยวิธีนี้สมาธิของจงเถิงจึงค่อนข้างฟุ้งซ่าน สุดท้ายเขาได้แต่กัดฟัน ถอนคลื่นหลิงและถอยออกจากบริเวณของมั่วเฟิง

“พี่มั่วยากสำหรับการต่อสู้ของเราที่จะได้ข้อสรุป ทำไมเราไม่ไปจัดการคนอื่นและรับที่นั่งมาล่ะ?” ขณะที่จงเถิงถอยกลับเสียงก็สะท้อนก้องไปด้วย

มั่วเฟิงจ้องมองจงเถิงอย่างไม่แยแสก่อนที่จะพยักหน้า นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าหากพวกเขายังอยู่ในสถานการณ์ยืนจ้องหน้ากันก็จะไม่เกิดผลลัพธ์ใด หากเขาร่วมมือกับมู่เฉิน พวกเขาอาจทำให้จงเถิงบ้าดีเดือดขึ้นมา แม้แต่พวกเขาก็ต้องจ่ายราคามหาศาลจากการตีโต้

ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาคือการได้ที่นั่งเพื่อเข้าสู่ชั้นสี่

เมื่อจงเถิงเห็นคำตอบของมั่วเฟิงก็รู้สึกโล่งใจในใจ เขาถอยกลับอย่างรวดเร็วออกจากจุดที่มู่เฉินและมั่วเฟิงอยู่ เขาครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนจะเลือกปะทะกับคนที่อ่อนแอกว่า

พอมู่เฉินเห็นจงเถิงไปแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจอีกต่อไป สายตาหันมามองมั่วเฟิงแล้วก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มแสดงความขอบคุณในการช่วยเหลือครั้งนี้

สายตาของมั่วเฟิงเป็นมิตรมากขึ้น คิดว่าการที่มู่เฉินเอาชนะลู่สุย ทำให้มั่วเฟิงมองมู่เฉินในฐานะจอมยุทธ์ที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเขา ดังนั้นจึงไม่ได้มีท่าทางเฉยเมยเหมือนเมื่อก่อน

มั่วเฟิงพยักหน้าให้มู่เฉิน ก่อนที่จะหันหลังกลับและเริ่มเลือกคู่ต่อสู้ของตนเอง

ครืน!

เมื่อทุกคนเลือกคู่ต่อสู้แล้ว ทันใดนั้นคลื่นหลิงก็ระเบิดรุนแรงบนลานเมฆสายฟ้า คลื่นกระแทกกวาดออก ทำให้มิติเกิดการสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไม่หยุด

บนลานเมฆสายฟ้าพลังงานหลิงกวาดหายนะ มีเพียงตรงมู่เฉินเท่านั้นที่ไม่ถูกรบกวน เนื่องจากไม่มีใครกล้าเหยียบเข้ามาในรัศมีพันจั้ง ยามนี้เขาเหมือนผู้ชมที่ดูการต่อสู้ติดขอบ ในเวลาเดียวกันก็บันทึกกระบวนท่าที่ทรงพลังของบางคนไว้ในสมอง

แม้ว่าในชั้นนี้พวกเขาอาจไม่ได้ประลองกัน แต่ก็ยังมีอีกสองชั้นรอพวกเขาอยู่ ใครจะสามารถรับประกันได้ว่าจะไม่มีการลดจำนวนลงในชั้นต่อไป?

ดังนั้นถ้ามีโอกาสเขาต้องพยายามจดจำข้อมูลผู้อื่นเก็บไว้

ภายใต้การสังเกตของมู่เฉิน การประลองบนลานเมฆสายฟ้าก็คงอยู่ชั่วระยะหนึ่ง ก่อนที่แต่ละคู่จะมาถึงจุดสิ้นสุด ผลลัพธ์ก็เป็นไปตามที่คาดไว้

หลังจากมู่เฉินก็เป็นหานซันที่เอาชนะคู่ต่อสู้ได้ที่นั่งที่สองไป

จากนั้นมั่วเฟิงและจงเถิงก็คว้าชัยชนะตามมา

ที่นั่งสุดท้ายตกเป็นของสีคุนที่ก่อนหน้านี้เคยแพ้หานซันที่ด้านนอกเจดีย์ ชายนี้มีความแข็งแกร่งที่น่าตกใจ แม้แต่หานซันยังต้องใช้ทักษะเต็มที่ถึงจะได้รับชัยชนะมา

เมื่อสีคุนได้รับที่นั่งสุดท้ายลานเมฆสายฟ้าขนาดใหญ่ก็เงียบลงอีกครั้ง ร่างทั้งห้ายืนอยู่ ขณะรัศมีไร้ขอบเขตทั้งห้าสายพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าชนกันเปรี้ยงปร้าง

ทว่าการชนกันก็ดำเนินไปเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ก่อนที่ทั้งห้าจะถอนคลื่นพลังพร้อมกัน พวกเขาเหลือบมองกันและกัน จากนั้นก็ไม่ลังเลทะยานออกไปปรากฏตัวบนเบาะทั้งห้า

สายตาพวกเขาพุ่งตรงไปยังมิติด้านหลังลานเมฆสายฟ้าด้วยความโลภ ตรงนั้นเส้นดาวหางจำนวนมากกวาดผ่านราวกับฝนดาวตก

ในแสงเหล่านั้นแก่นหยดสายฟ้ากำลังกะพริบด้วยความแวววาว


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท