หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – ตอนที่ 1029

ตอนที่ 1029

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1029 ค่ายกลเทพเผาผลาญ
กระแสความตายพุ่งผ่านป่า

เงาร่างนับไม่ถ้วนลอยหวือไกลออกไป สติปัญญาของพวกมันไม่สามารถคิดได้ว่าทำไมเป้าหมายที่เล็งไว้ถึงหายวับไปกะทันหันแบบนี้…

เบื้องหลังความวุ่นวาย หานซันและคนอื่นๆ ที่มองฝูงอสูรวิญญาณจำนวนมากพุ่งออกไป ร่างกายตึงเครียดก็ผ่อนคลายลง อึดใจจอมยุทธ์เผ่าแรดอสูรก็นั่งแปะลงบนพื้นด้วยใบหน้าซีดปากสั่น

ตอนที่กระแสความตายพุ่งเข้ามา พวกเขาคิดว่าจะถึงที่ตายแน่แล้ว

“พี่มู่…ขอบ-คุณ-มาก” หานซันกลืนน้ำลายอึกใหญ่ ใบหน้าฉายความยินดีหลังจากหายนะครั้งนี้ผ่านพ้นไป เขามองไปที่มู่เฉินพลางพูดขอบคุณจากใจ

ครั้งนี้หากไม่ใช่มู่เฉิน พวกเขาอาจโดนไล่จนกลายเป็นหมาจนตรอกเลยก็ได้

มู่เฉินส่ายหน้าด้วยรอยยิ้ม “ข้าแค่ลอง ไม่คิดว่าจะได้ผลจริงๆ”

หานซันไม่ได้คิดอะไรกับคำพูดมู่เฉิน เขาเข้าใจนิสัยอีกฝ่ายอยู่บ้าง ถ้าชายคนนี้ไม่มีความมั่นใจพอสมควรก็ไม่มีทางเสี่ยงชีวิตของตนลองทำอะไรแบบนี้แน่

แต่ไม่ว่าอย่างไร ครั้งนี้พวกเขาก็ปีนออกมาจากปากเหวความตายได้แล้ว

“ด้วยค่ายกลนี้ไม่ได้หมายความว่าเราจะสามารถเดินไปมาได้อย่างอิสระในสุสานหมื่นอสูรหรือ?” มั่วเฟิงเอ่ยขึ้นด้วยความประหลาดใจ

มู่เฉินส่ายหัว “อสูรวิญญาณที่เราพบยังไม่แข็งแกร่ง ดังนั้นเราจึงหลีกเลี่ยงการรับรู้ได้ แต่ถ้าเราพบวิญญาณที่แข็งแกร่งกว่านี้ วิธีนี้ก็คงไม่ได้ผลแล้ว”

เขาตระหนักถึงปัจจัยนี้แล้วก่อนหน้า ตอนที่ฝูงอสูรวิญญาณเคลื่อนผ่านไป เขารู้สึกชัดเจนว่าอสูรวิญญาณขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดละล้าละลังชั่วครู่ เห็นได้ชัดว่าพวกมันรู้สึกถึงอะไรบางอย่าง แต่เนื่องจากความเร่งรีบที่ผลักมาจากด้านหลัง พวกมันจึงพุ่งออกไปอย่างรวดเร็วพร้อมกับฝูง ไม่ได้ให้ความสนใจอะไรมากนัก

ดังนั้นมู่เฉินจึงอนุมานได้ว่าอสูรวิญญาณที่มีพลังสูงขึ้นก็จะมีการรับรู้ที่ดีเยี่ยมขึ้นเช่นกัน ถึงตอนนั้นหากพวกเขาต้องการหลีกเลี่ยงด้วยการใช้ค่ายกลก็คงฝันหวานเกินไป

เมื่อฝูงอสูรวิญญาณจากไปไกล มู่เฉินก็สะบัดนิ้วมือ ค่ายกลที่ห่อหุ้มพวกเขาไว้ก็สลายลงอย่างรวดเร็ว สายตาของเขาก็เงยขึ้นมองไปที่ยอดไม้

ตรงนั้น จิงเลี่ย ฮั่วหยังและคนอื่นๆ ต่างมีสีหน้ามืดมน ดวงตาที่เต็มไปไอเข่นฆ่าจ้องมาที่เขา

“ดูท่าจะทำให้พวกเจ้าผิดหวังซะแล้ว…” มู่เฉินมองไปที่อีกฝ่ายที่มีใบหน้ามืดครึ้มลง รอยยิ้มสดใสก็ปรากฏบนใบหน้าเขา

“ฮา ไม่คิดว่าจะมีหลิงเจิ้นซืออยู่ในกลุ่มพวกเจ้าด้วย…คิดไม่ถึงจริงๆ” จิงเลี่ยมองมู่เฉินด้วยสายตามืดมน สาดยิ้มเย็นชา

สายตาของหานซันก็เย็นชาลงขณะจ้องไปที่อีกฝ่ายพลางแสยะรอยยิ้มร้ายกาจ “ข้ากลัวว่าจะไม่ใช่สิ่งเดียวที่ทำให้เจ้าคาดไม่ถึงนะ…จิงเลี่ย ดูเหมือนว่าเจ้าจะไม่สามารถครองสมบัติของอสูรโภคะได้คนเดียวแล้ว”

“งั้นหรือ?”

จิงเลี่ยยกเปลือกตาก่อนที่มุมปากจะโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้มเย้ยหยัน “หานซัน แกคิดว่าสามารถท้าทายข้าได้ หลังจากหลบจากความตายมาได้งั้นหรือ? ต่อให้ไม่มีความช่วยเหลือจากอสูรวิญญาณแล้วไง? ด้วยคนแค่นี้ของแกคิดว่าจะล้มพวกข้าได้เหรอ?”

การรวมตัวระหว่างสองกลุ่มทำให้พวกเขามีจอมยุทธ์ระดับจื้อจุนขั้นเจ็ดสิบคน ขณะที่พวกมู่เฉินมีแค่ครึ่งเท่านั้น หากเปิดศึกกันชัดว่าพวกเขาได้เปรียบแน่นอน

“งั้นลองหน่อยไหมล่ะ?” หานซันท้าทาย พวกเขาอาจจะไม่ได้เปรียบในเรื่องจำนวน แต่ชัยชนะเกี่ยวกับเรื่องคุณภาพ จิ่วโยวและมั่วเฟิงต่างเป็นจอมยุทธ์ที่เทียบเคียงกับเขาได้ นับว่าโดดเด่นแม้แต่ในระดับจื้อจุนขั้นเจ็ด ซึ่งห่างไกลจากสิ่งที่พวกทั่วไปสามารถจัดการได้

นอกจากนี้พวกเขายังมีมู่เฉินซึ่งไม่สามารถประเมินกำลังการต่อสู้ได้ การเผชิญหน้ากับคนที่ครั้งหนึ่งเคยชนะลู่สุยด้วยกำปั้นเดียว แม้แต่หานซันยังรู้สึกกลัวในใจ

จากการคาดการณ์กระทั่งจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดสี่ถึงห้าคนก็ไม่สามารถได้เปรียบเขา

จิงเลี่ยมองหานซันพลางยิ้มอย่างเย็นชา “ข้าได้ยินชื่อหานซันแห่งเผ่าแรดอสูรมานาน ดูเหมือนว่าข้าจะได้ลิ้มรสในวันนี้แล้ว”

เขาเอ่ยชื่อว่าจะต่อกรกับหานซัน เห็นได้ชัดว่าเขาตั้งใจที่จะจัดการกับอีกฝ่าย

“ปล่อยจิ่วโยวเผ่าวิหคโลกันตร์มาให้ข้า” ฮั่วหยังมองจิ่วโยวอย่างดุดัน ในมุมมองของพวกเขามีเพียงหานซัน จิ่วโยวและมั่วเฟิงเท่านั้นที่สมควรที่จะให้ความสำคัญ ส่วนคนที่เหลือไม่มีอะไรน่ากังวลเลย

สำหรับไอ้บ้าที่ตั้งค่ายกลก่อนหน้านี้ก็มีขุมพลังจื้อจุนขั้นหกเท่านั้น สามารถฆ่าได้ง่ายยิ่งกว่าพลิกมือเสียอีก

“จิงกังพาอีกคนไปจัดการกับคนนั้น” จิงเลี่ยหันไปมองชายผมสีทองก็พูดเสียงเบา คนที่เขาพูดถึงเป็นมั่วเฟิงอย่างไม่ต้องสงสัย

ชายที่ยืนอยู่ด้านหลังจิงเลี่ยมีร่างกำยำราวกับว่าทำมาจากโลหะ ผิวของเขาออกสีทองเหลือง แม้ว่าจะไม่สามารถเทียบเคียงได้กับวีรบุรุษคู่ทองคำได้ แต่เขาก็มีชื่อเสียงเช่นกัน เมื่อบวกกับจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดอีกคน แม้ว่าพวกเขาจะไม่สามารถเอาชนะมั่วเฟิงได้ แต่การรั้งไว้ก็น่าจะไม่ยาก

“รับทราบ!”

จิงกังยิ้มเผยให้เห็นฟันขาว สายตาคมชัดราวกับใบมีดจับจ้องไปที่มั่วเฟิง

ทว่าเผชิญหน้ากับการจ้องมองราวกับหมาป่านั้น มั่วเฟิงก็ยังคงแสดงออกอย่างเฉยเมย ไม่มีระลอกคลื่นอารมณ์ใดๆ

“อีกห้าคนไปจัดการพวกมันที่เหลือซะ” จิงเลี่ยพูดอย่างไม่แยแส นอกเหนือจากหานซัน จิ่วโยวและมั่วเฟิงแล้ว อีกฝ่ายยังมีจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดธรรมดาอีกหยิบมือ การส่งจอมยุทธ์ห้าคนไปน่าจะสามารถจัดการกับพวกเขาได้อย่างรวดเร็ว

จิงเลี่ยแจกจ่ายงานให้พรรคพวกอย่างรวดเร็ว ดูจากการแบ่งงานก็น่าจะปราบปรามกลุ่มหานซันได้อย่างสมบูรณ์

เห็นได้ชัดว่าจิงเลี่ยมีความมั่นใจในชัยชนะ

จิงเลี่ยยืนเอามือไพล่หลัง สายตาเยาะเย้ยมองหาหานซัน จิ่วโยวและคนอื่นๆ “ถ้าข้าเป็นพวกเจ้าก็คงหนีไปตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว ตอนนี้ถึงจะสามารถหลีกเลี่ยงอสูรวิญญาณได้แล้วไง? ก็ยังส่งตัวเองไปที่ปากหลุมความตายอยู่ดี”

ฮั่วหยังยืนอยู่ข้างจิงเลี่ยก็ยิ้มเย้ยหยันพลางมองไปที่กลุ่มหานซันด้วยความสงสาร ชายคนนั้นคิดว่าที่เขาบอกว่าชอบทำงานกับคนที่ประสบความสำเร็จมากกว่าเป็นการพูดเล่นรึ?

เผ่าราชสีห์ทองคำเตรียมตัวมาดี ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่หานซันจะสั่นคลอนได้

หลังจากแจกจ่ายงานเสร็จ จิงเลี่ยก็ไม่ลังเลอีกต่อไป ร่างเขาวูบไหวกลายเป็นแสงสีทองมาปรากฏตัวไม่ไกลจากหานซัน คลื่นหลิงไร้ขอบเขตพวยพุ่งออกมา สายตาที่ดุร้ายราวกับสิงโตแฝงกลิ่นคาวเลือดหนาแน่นพุ่งไปที่หานซัน

“หวังว่าแกจะไม่ทำให้ข้าผิดหวังมากนะ” จิงเลี่ยพูดเบาๆ

สีหน้าของหานซันเหี้ยมเกรียมลง เขายิ้มไม่ได้ตอบอะไร แต่คลื่นหลิงไร้ขอบเขตกลับระเบิดออกมาจากร่างราวกับภูเขาไฟ ก่อรูปร่างเป็นแรดดึกดำบรรพ์ที่กำจายรัศมีดุร้ายเชี่ยวกราก

จังหวะที่จิงเลี่ยเผชิญหน้ากับหานซัน ฮั่วหยังก็ปรากฏตัวต่อหน้าจิ่วโยว

จิ่วโยวกวาดสายตาเย็นชามองอีกฝ่าย ไม่พูดโต่ตอบให้เมื่อยปาก เปลวไฟสีม่วงลุกลามบนเรียวแขน

วาบ!

จิงกังนำจอมยุทธ์อีกคนประกบข้างมั่วเฟิงพลางยิ้มกริ่ม แม้ท่าทางจะดูซื่อ แต่สายตาก็ดุร้ายมาก “อยู่นิ่งๆ ซะเถอะ”

เวลาเดียวกันจอมยุทธ์ห้าคนก็สร้างค่ายกลรูปพัด ก่อนที่จะทะยานออกไปที่เบื้องหน้ามู่เฉิน มั่วหลิงและจอมยุทธ์เผ่าแรดอสูร สายตามีแต่ความเย้ยหยัน

ในสายตาพวกเขา มีเพียงจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดสองคนของเผ่าแรดอสูรเท่านั้นที่ถือว่าพอใช้ได้ สำหรับมู่เฉินและมั่วหลิงไม่มีนัยสำคัญอะไรเลย

“พี่มู่ พวกข้าจะจัดการสามคนนั่น ที่เหลือปล่อยให้พวกเจ้าจัดการนะ” จอมยุทธ์เผ่าแรดอสูรมองมู่เฉินและพูดอย่างสุภาพ

หลังจากได้เห็นพลังการต่อสู้ของมู่เฉิน เขาก็รู้ว่าถ้าจอมยุทธ์ระดับจื้อจุนขั้นเจ็ดธรรมดาสู้กับอีกฝ่ายก็เป็นเพียงการหาความอัปยศให้กับตนเอง

มู่เฉินไม่ตอบแต่สายตาไม่ได้หยุดอยู่ที่จอมยุทธ์เหล่านี้ สายตาพุ่งตรงไปในระยะไกล นอกจากจิงเลี่ย ฮั่วหยังและคนอื่นๆ เผ่าราชสีห์ทองคำและเผ่าหมาป่าเวหะยังเหลือจอมยุทธ์อีกสามคนนั่งอยู่ข้างสนาม

แต่ความผันผวนของพลังงานรอบตัวทั้งสามก็ไม่ได้ทรงพลังอะไรเพราะอยู่ในระดับจื้อจุนขั้นหกเท่านั้น บางทีนี่อาจเป็นเหตุผลว่าทำไมจิงเลี่ยไม่ได้ให้พวกเขาเคลื่อนไหว

สายตาคมกริบของมู่เฉินกวาดผ่านทั้งสามก่อนที่จะถอนออกมาด้วยแววตาวูบไหว จากนั้นเขาก็โบกมือให้จอมยุทธ์เผ่าแรดอสูรทั้งสาม “พวกเจ้าถอยไปเถอะ ปล่อยพวกมันให้ข้า”

เอ่อ…

เมื่อเขาพูดไม่เพียงแต่จอมยุทธ์ทั้งห้าที่พุ่งเข้ามาจะอึ้งไป แม้แต่จอมยุทธ์สามคนของเผ่าแรดอสูรและมั่วหลิงก็ตกตะลึงไปเช่นกัน

เขาคิดจะจัดการจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดห้าคนด้วยตัวเองเหรอ?

นี่อาจเป็นเรื่องยากแม้กระทั่งสำหรับจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดระยะปลายสุดเลยมั้ง?

“หึ… รนหาที่ตายจริงๆ”

อีกมุมหนึ่งจิงเลี่ยเปล่งเสียงหัวเราะเยาะออกมาก่อนที่จะโบกมือโดยไม่มีอารมณ์ใดๆ “ฆ่ามันซะ”

ในสายตาของเขาการกระทำของมู่เฉินชัดว่าเป็นการโอ้อวด ซึ่งโง่มาก

ทั้งห้ามีสายตาแปลกประหลาดมองไปที่มู่เฉินด้วยความสงสารบนใบหน้า ชายคนนี้บ้าไปจากการถูกบังคับให้อยู่ในความสิ้นหวังเรอะ? หากเป็นเช่นนั้นเขาก็น่าสงสารจริงๆ

หานซัน จิ่วโยวและมั่วเฟิงแลกเปลี่ยนสายตากัน แม้พวกเขาจะรู้ถึงพลังในการต่อสู้ของมู่เฉินว่าไม่ธรรมดา แต่จะยากเกินไปไหมที่เขาจะจัดการกับจอมยุทธ์ห้าคน?

แม้ว่าพวกเขาจะสงสัยในใจ แต่หานซันก็ยังพยักหน้าให้พรรคพวก เนื่องจากความไว้ใจ

ดังนั้นทั้งสามจึงถอยกลับมาด้วยสีหน้าแปลกประหลาด ยังไงหากสถานการณ์ดูไม่ดี พวกเขาก็สามารถกระโจนเข้าไปช่วยได้ ด้วยพลังของมู่เฉิน เขาไม่น่าจะเป็นอะไร

จอมยุทธ์ทั้งห้าถลกแขนขึ้น มองไปที่มู่เฉินคล้ายกับมองลิงติดบ่วง ไม่มีท่าทางรีบร้อน สายตาเยาะเย้ยถากถาง

ทว่ามู่เฉินยังยืนนิ่งอยู่บนพื้น โดยที่ดวงตาหลับลง

อีกมุมหนึ่งเมื่อจิงเลี่ยเห็นท่าทางของมู่เฉิน เขาก็ขมวดคิ้วและรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ ขณะที่ความรู้สึกทะลักเข้ามาในใจ ทันใดนั้นเขาก็นึกถึงบางอย่างออก ใบหน้าเปลี่ยนไป “ฆ่ามัน มันกำลังตั้งค่ายกล!”

ทั้งห้าที่กำลังฉายรอยยิ้มบนใบหน้าก็สีหน้าเปลี่ยนทันที คลื่นหลิงทะลักออกมาจากร่าง

แต่จังหวะนั้นมู่เฉินก็ลืมตา มองไปที่ทั้งห้าที่พุ่งพรวดเข้ามา ก็เผยให้เห็นแววเยาะเย้ยที่ริมฝีปาก

“ไอ้พวกโง่ซ้ำซ้อน…”

หลังจากพูดจบ สัญลักษณ์หลิงยิ่งที่ควบแน่นนับร้อยนับพันก็บินฉวัดเฉวียนออกมาจากนิ้วมือ รวมเข้ากับฟ้าดินอย่างรวดเร็ว

ครืน!

ทั่วบริเวณสั่นสะเทือนเลื่อนลั่น คลื่นหลิงระเบิดราวกับพายุทอร์นาโด

มู่เฉินสะบัดนิ้วทั้งสิบ เสียงแผ่วเบาเปล่งออกจากปาก

“ค่ายกลระดับเทียน ค่ายกลเทพเผาผลาญ!”

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler ฟรี ได้ที่ novel-fast 


เรื่องย่อ

โดย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler บางส่วนของนิยาย

บทนำ

หนึ่งในใต้หล้าจากปลายปากกาของเทียนฉานถูโต้ว กล่าวถึงมู่เฉิน เด็กหนุ่มจากสำนักศึกษาเป่ยหลิง ผู้ที่ได้รับเลือกให้เข้าฝึกในสงครามเทพยุทธ์ซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าคนเก่งกาจ ทว่า… อยู่ดีๆ เขากลับถูกขับไล่ออกมาด้วยเหตุผลที่ไม่มีใครล่วงรู้ มู่เฉินพยายามฝึกหนักอีกครั้งเพื่อจะพาตัวเองกลับเข้าไปในเส้นทางแห่งนี้ เขาจำเป็นต้องใช้สิ่งนี้เป็นใบเบิกทางเพื่อเข้าศึกษาที่ภาคเบญจภาคี เพื่อ… ปกป้องหญิงสาวที่ตนรัก และยิ่งกว่านั้นคือเพื่อค้นหาเบาะแสของมารดาที่หายสาบสูญไป

‘มหาพันภพ’ เป็นที่ที่มิติทั้งหลายเชื่อมต่อกันในระบบสุริยจักรวาล สถานที่แห่งนี้มีขั้วอำนาจมากมายอาศัยอยู่ จักรพรรดิที่มาจากพิภพเขตล่างต่างเป็นตำนานที่ผู้อื่นปรารถนาขึ้นไปบนเส้นทางแห่งกฎของโลกไร้ขอบเขตนี้

แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว เทพจักรพรรดิอัคคีควบคุมเปลวเพลิงกวาดข้ามสวรรค์

แคว้นหวู เทพจักรพรรดิสงครามผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำให้ทั้งสวรรค์และโลกหวาดกลัว

ตำหนักซีเทียน จักรพรรดิสัประยุทธ์ที่แข็งแกร่งไม่มีผู้ใดเทียบเท่า ในเนินเขารกร้างทางเหนือ ดินแดนวั้นมู่ของจักรพรรดิอมตะครองเหนือภพ

เด็กหนุ่มจากมณฑลเป่ยหลิงออกท่องยุทธภพกับวิหคโลกันตร์คู่ใจ มุ่งหน้าสู่โลกภายนอกที่เต็มไปด้วยสีสัน ใครกันที่จะเป็นผู้กุมชะตากรรมในเส้นทางการเป็นหนึ่ง?

ในมหาพันภพที่สงครามนับหมื่นอุบัติ ข้าคือผู้กุมชะตาฟ้าดิน…

เรื่องย่อ

เมื่อคำพูดของมู่เฉินกระจายออกไป ไม่เพียงแต่จะไม่มีการตอบสนอง แม้แต่ด้านนอกเจดีย์ก็ถูกห่อหุ้มด้วยบรรยากาศราวกับป่าช้า…

ทุกคนตกตะลึงไปกับฉากนี้ พวกเขาจ้องมองจุดที่ลู่สุยหายตัวไป ราวกับว่ายังไม่สามารถฟื้นจากอาการตะลึงงันที่เกิดขึ้นได้

ก่อนหน้าเมื่อลู่สุยออกกระบวนท่าที่น่าสะพรึง ผู้คนส่วนใหญ่ก็คิดว่าผลลัพธ์ของการต่อสู้ได้ถูกกำหนดแล้ว ทว่าพวกเขาไม่คิดเลยว่ามู่เฉินจะพลิกสถานการณ์ได้อีกครั้ง เตะลู่สุยที่เหมือนจะคว้าชัยชนะออกไป

ทุกคนตะลึงไปพักใหญ่ ก่อนที่พวกเขาจะหลุดออกจากอาการได้ สายตาเคร่งเครียดลง การประลองกันครั้งนี้มู่เฉินไม่ได้ใช้ค่ายกล แต่เขาก็สามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดอย่างลู่สุยได้ด้วยความแข็งแกร่งที่อยู่ในขั้นหกเท่านั้น แม้ว่าจะมีผลจากลู่สุยประมาทเองในตอนแรก แต่นั่นก็แสดงให้เห็นว่ามู่เฉินน่ากลัวแค่ไหน

พลังเช่นนี้เขาสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์อันดับต้นๆ ในเจดีย์ฝึกพลังกายได้เลยทีเดียว

ทางฝั่งกลุ่มกระเรียนฟ้า ใบหน้าของหลิ่วชิงกลายเป็นเขียวสลับขาว นางมองไปที่ร่างสูงโปร่งบนหน้าจอ กลืนน้ำลายเหนียวหนืด ความกลัวปรากฏในดวงตาของนางเป็นครั้งแรก

มาถึงจุดนี้นางคงโง่แน่ถ้ายังคิดปฏิบัติต่อมู่เฉินเหมือนกับจอมยุทธ์ขั้นหกทั่วไป

ด้วยพลังในการต่อสู้ที่เขาแสดงออกมา บวกกับค่ายกลทรงพลัง แม้แต่จงเถิงก็ยากจะได้เปรียบหากพวกเขาต่อสู้กัน

ก่อนหน้านี้นางหัวเราะเยาะและมองจิ่วโยวด้วยความดูถูก แต่ตอนนี้นางอายแทบแทรกแผ่นดินหนี ซึ่งจุดนี้รู้ได้จากสายตาเยาะเย้ยเหล่านั้นที่ปรายมองเข้ามา

“ทำไมมู่เฉินถึงทรงพลังเช่นนี้?” จงฮั้วที่พ่ายแพ้ให้กับมู่เฉินก็มีสีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดเช่นกันว่ามู่เฉินพึ่งพาเพียงค่ายกลเพื่อจัดการกับศัตรู แต่ใครจะคิดว่าเมื่อไม่มีการใช้ค่ายกลมู่เฉินก็สามารถเอาชนะลู่สุยแบบดุร้ายยิ่งกว่าอะไร

“ดูเหมือนว่ามีเพียงพี่ใหญ่จงเถิงเท่านั้นที่สามารถจัดการกับเขาได้” จอมยุทธ์อีกคนของเผ่ากระเรียนฟ้าพยักหน้า

หลิ่วชิงพยักหน้าเบาๆ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะพิจารณาพลังของมู่เฉินพลาดไปเท่านั้น แม้แต่จงเถิงก็ตัดสินอีกฝ่ายผิดไป ชายคนนั้นเป็นสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง

ฟิ้ว!

ขณะที่นอกเจดีย์ต่างตกตะลึงกับผลลัพธ์ที่มู่เฉินนำมา ทันใดนั้นแสงก็กะพริบบนแท่นนอกเจดีย์ ร่างน่าสังเวชปรากฏขึ้น

เมื่อร่างนั้นออกมาก็รีบถอยกลับไปปรากฏตัวขึ้นในกลุ่มอีกาสายฟ้าทันควัน นี่ก็คือลู่สุยที่มีสีหน้าซีดขาว คลื่นหลิงของเขาถดถอยลงอย่างมาก

สายตาโดยรอบยิงเข้าหาในเวลานี้ทันที

ใบหน้าของลู่สุยเขียวคล้ำ สายตาเกลียดชังมองไปที่มู่เฉินที่อยู่บนหน้าจอ ก่อนที่จะหันหัวสาดสายตาดุร้ายใส่จิ่วโยวและมั่วหลิง ที่ข้างๆ พรรคพวกของเขาก็มีท่าทางไม่ดีเช่นกัน

ทว่าจิ่วโยวไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับสายตาเหล่านั้น นางเค้นเสียงอย่างเย็นชา “ลูกหมาที่ถูกฟาดยังกล้าที่จะออกมาแยกเขี้ยวอีกเหรอ?”

ตอนนี้ลู่สุยบาดเจ็บสาหัส สูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปหมด ส่วนคนที่เหลือก็ไม่มีอะไรต้องกลัว หากพวกเขากล้าที่จะคิดบัญชีกับพวกนาง จิ่วโยวก็ไม่คิดปล่อยพวกเขาไว้เป็นภัยคุกคามในอนาคตหรอก

สายตาแสดงความเกลียดชังของลู่สุยจ้องเขม็งอยู่ที่จิ่วโยว แต่สุดท้ายเขาก็ต้องถอนสายตาออกไปอย่างไม่เต็มใจ ก่อนที่จะถอยกลับนั่งลงบนซากปรักหักพังเข้าสมาธิเพื่อฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ

จอมยุทธ์กลุ่มอีกาสายฟ้าก็ปรากฏรอบตัวเขาเพื่อปกป้อง

เมื่อจิ่วโยวเห็นการตอบสนองนั่น นางก็ไม่ได้ใส่ใจกับพวกเขาอีก นางมองไปที่หน้าจออีกครั้งโดยพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ร่างเงาอ่อนเยาว์ มือที่กำแน่นผ่อนคลายลง

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงสำหรับนางที่มู่เฉินจะเอาชนะได้เด็ดขาดแบบนี้ นั่นเป็นเพราะตามการประเมินของนางแม้ว่ามู่เฉินจะยืนยงอยู่ได้ก็เป็นยากที่จะเอาชนะลู่สุยด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นหกและถ้าการต่อสู้ถูกลากไปจนสุดอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบคาดไม่ถึง

ทว่าผลลัพธ์สุดท้ายที่ได้ก็ทำให้นางทั้งประหลาดใจและดีใจ

เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินได้รับประโยชน์มหาศาลจากสามชั้นแรกของเจดีย์ฝึกพลังกาย ไม่เช่นนั้นเขาไม่สามารถแสดงพลังเป็นที่ประจักษ์เช่นนี้ได้

“ว่ากันว่าในชั้นสี่มหัศจรรย์กว่านี้มาก หากใครสามารถเข้าไปได้ พวกเขาจะสามารถได้รับผลประโยชน์เกินกว่าสามชั้นแรกมาก…”

จิ่วโยวยิ้มบาง ดูจากสถานการณ์ปัจจุบันไม่น่ามีปัญหาใดๆ ที่มู่เฉินจะเข้าสู่ชั้นสี่ สำหรับมั่วเฟิงความแข็งแกร่งของเขาเป็นหนึ่งในอันดับต้นของกลุ่มที่เข้าไป ดังนั้นจึงไม่ยากสำหรับเขาที่จะได้หนึ่งในห้าที่นั่งนี้ไปเช่นกัน

ดูเหมือนว่าการเดินทางมาที่เจดีย์ฝึกพลังกายโบราณครั้งนี้เผ่าวิหคโลกันตร์อาจเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

บนลานเมฆสายฟ้า

ไม่มีใครตอบคำถามของมู่เฉิน ขณะนี้แม้แต่จอมยุทธ์ทรงอำนาจอย่างหานซันและสีคุนก็ยังรู้สึกหวาดระแวงมู่เฉินอยู่บ้าง ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะไม่ไปปะทะกับมนุษย์ผู้นี้

ดังนั้นคนทั้งหมดที่อยู่ที่นี่จึงเงียบลง ก่อนที่จะถอยออกจากรัศมีโดยรอบมู่เฉินอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณบอกว่าพวกเขาไม่ต้องการต่อสู้กับเขา

เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ก็ไม่มีอารมณ์ใดบนใบหน้า แต่ในใจกลับรู้สึกโล่งอก คนอื่นๆ เห็นเพียงฉากการต่อสู้ตระการที่เขาเอาชนะลู่สุยได้ แต่พวกเขาไม่รู้หรอกว่าหมัดที่เขาชกออกไปก่อนหน้านี้คือพลังงานส่วนเกินจากสามชั้นแรก

ร่างกายของมู่เฉินก่อนหน้าเปรียบเสมือนฟองน้ำที่ดูดซับน้ำจนถึงขีดจำกัด หมัดของเขาจึงเท่ากับบีบน้ำออกจนหมด ทำให้ร่างกายที่อัดแน่นกลับสู่สภาพเดิม

ดังนั้นถ้าให้เขาโจมตีแบบนั้นอีกครั้ง พลังก็จะไม่ทรงประสิทธิภาพเหมือนเมื่อครู่แน่นอน

ประสิทธิผลพิเศษชนิดนี้ของการสะสมพลังงานในร่างกายเป็นทักษะที่ได้มาจากกายามังกรหงส์ ด้วยวิธีนี้เขาจะได้รับผลลัพธ์ที่ไม่มีใครคาดคิดไว้ กลายเป็นไพ่ลับอีกใบหนึ่ง

“คัมภีร์หลงเฟิ่งทรงพลังจริงๆ”

แม้แต่มู่เฉินก็ยังชื่นชมในสิ่งนี้ คัมภีร์หลงเฟิ่งสมแล้วที่เป็นทักษะยอดเยี่ยมแท้จริง จากการประเมินของเขาคัมภีร์นี้ต้องอยู่ในระดับเสินทงแน่นอน ซึ่งไม่ธรรมดาแม้จะอยู่ในกลุ่มวิทยายุทธระดับเสินทงด้วย

มู่เฉินชื่นชมก่อนที่จะใจเย็นลง แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีใครท้าทายเขา แต่เขาก็ไม่ตั้งใจที่จะท้าทายคนอื่นด้วยเช่นกัน เขายืนนิ่งบนตำแหน่งตนเองรอผลการคัดออก

สำหรับจงเถิง มู่เฉินรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นพวกยุแยงให้ลู่สุยมาปะทะกับเขา แต่เนื่องจากตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ดีในการจัดการ เขาจึงได้แต่ผลักแผนไปก่อน

แต่ถึงกระนั้นสายตาคมกล้าของมู่เฉินก็ยังจ้องเขม็งไปที่จงเถิง รอบตัวเต็มไปด้วยคลื่นหลิงราวกับเสือดาวที่กำลังจะจ้องตะครุบเหยื่ออัดแน่นด้วยภัยคุกคาม

เมื่อเห็นท่าทางของมู่เฉิน จงเถิงที่ประจันหน้ากับมั่วเฟิงก็รู้สึกอึดอัดใจ เขาต้องแยกสมาธิอยู่ตลอดเพื่อจับตามองมู่เฉิน ป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายเคลื่อนไหวมาประสานพลังกับมั่วเฟิง

ด้วยวิธีนี้สมาธิของจงเถิงจึงค่อนข้างฟุ้งซ่าน สุดท้ายเขาได้แต่กัดฟัน ถอนคลื่นหลิงและถอยออกจากบริเวณของมั่วเฟิง

“พี่มั่วยากสำหรับการต่อสู้ของเราที่จะได้ข้อสรุป ทำไมเราไม่ไปจัดการคนอื่นและรับที่นั่งมาล่ะ?” ขณะที่จงเถิงถอยกลับเสียงก็สะท้อนก้องไปด้วย

มั่วเฟิงจ้องมองจงเถิงอย่างไม่แยแสก่อนที่จะพยักหน้า นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าหากพวกเขายังอยู่ในสถานการณ์ยืนจ้องหน้ากันก็จะไม่เกิดผลลัพธ์ใด หากเขาร่วมมือกับมู่เฉิน พวกเขาอาจทำให้จงเถิงบ้าดีเดือดขึ้นมา แม้แต่พวกเขาก็ต้องจ่ายราคามหาศาลจากการตีโต้

ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาคือการได้ที่นั่งเพื่อเข้าสู่ชั้นสี่

เมื่อจงเถิงเห็นคำตอบของมั่วเฟิงก็รู้สึกโล่งใจในใจ เขาถอยกลับอย่างรวดเร็วออกจากจุดที่มู่เฉินและมั่วเฟิงอยู่ เขาครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนจะเลือกปะทะกับคนที่อ่อนแอกว่า

พอมู่เฉินเห็นจงเถิงไปแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจอีกต่อไป สายตาหันมามองมั่วเฟิงแล้วก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มแสดงความขอบคุณในการช่วยเหลือครั้งนี้

สายตาของมั่วเฟิงเป็นมิตรมากขึ้น คิดว่าการที่มู่เฉินเอาชนะลู่สุย ทำให้มั่วเฟิงมองมู่เฉินในฐานะจอมยุทธ์ที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเขา ดังนั้นจึงไม่ได้มีท่าทางเฉยเมยเหมือนเมื่อก่อน

มั่วเฟิงพยักหน้าให้มู่เฉิน ก่อนที่จะหันหลังกลับและเริ่มเลือกคู่ต่อสู้ของตนเอง

ครืน!

เมื่อทุกคนเลือกคู่ต่อสู้แล้ว ทันใดนั้นคลื่นหลิงก็ระเบิดรุนแรงบนลานเมฆสายฟ้า คลื่นกระแทกกวาดออก ทำให้มิติเกิดการสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไม่หยุด

บนลานเมฆสายฟ้าพลังงานหลิงกวาดหายนะ มีเพียงตรงมู่เฉินเท่านั้นที่ไม่ถูกรบกวน เนื่องจากไม่มีใครกล้าเหยียบเข้ามาในรัศมีพันจั้ง ยามนี้เขาเหมือนผู้ชมที่ดูการต่อสู้ติดขอบ ในเวลาเดียวกันก็บันทึกกระบวนท่าที่ทรงพลังของบางคนไว้ในสมอง

แม้ว่าในชั้นนี้พวกเขาอาจไม่ได้ประลองกัน แต่ก็ยังมีอีกสองชั้นรอพวกเขาอยู่ ใครจะสามารถรับประกันได้ว่าจะไม่มีการลดจำนวนลงในชั้นต่อไป?

ดังนั้นถ้ามีโอกาสเขาต้องพยายามจดจำข้อมูลผู้อื่นเก็บไว้

ภายใต้การสังเกตของมู่เฉิน การประลองบนลานเมฆสายฟ้าก็คงอยู่ชั่วระยะหนึ่ง ก่อนที่แต่ละคู่จะมาถึงจุดสิ้นสุด ผลลัพธ์ก็เป็นไปตามที่คาดไว้

หลังจากมู่เฉินก็เป็นหานซันที่เอาชนะคู่ต่อสู้ได้ที่นั่งที่สองไป

จากนั้นมั่วเฟิงและจงเถิงก็คว้าชัยชนะตามมา

ที่นั่งสุดท้ายตกเป็นของสีคุนที่ก่อนหน้านี้เคยแพ้หานซันที่ด้านนอกเจดีย์ ชายนี้มีความแข็งแกร่งที่น่าตกใจ แม้แต่หานซันยังต้องใช้ทักษะเต็มที่ถึงจะได้รับชัยชนะมา

เมื่อสีคุนได้รับที่นั่งสุดท้ายลานเมฆสายฟ้าขนาดใหญ่ก็เงียบลงอีกครั้ง ร่างทั้งห้ายืนอยู่ ขณะรัศมีไร้ขอบเขตทั้งห้าสายพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าชนกันเปรี้ยงปร้าง

ทว่าการชนกันก็ดำเนินไปเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ก่อนที่ทั้งห้าจะถอนคลื่นพลังพร้อมกัน พวกเขาเหลือบมองกันและกัน จากนั้นก็ไม่ลังเลทะยานออกไปปรากฏตัวบนเบาะทั้งห้า

สายตาพวกเขาพุ่งตรงไปยังมิติด้านหลังลานเมฆสายฟ้าด้วยความโลภ ตรงนั้นเส้นดาวหางจำนวนมากกวาดผ่านราวกับฝนดาวตก

ในแสงเหล่านั้นแก่นหยดสายฟ้ากำลังกะพริบด้วยความแวววาว


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท