หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – ตอนที่ 1020

ตอนที่ 1020

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1020 ฉื้อหงหวู่
“ของเหลวจื้อจุนหกแสนหยดสำหรับแก่นเพลิงหงส์ฟ้านี้”

เสียงของหญิงสาวคนหนึ่งดังขึ้นฉับพลัน ซึ่งมีน้ำเสียงเด็ดขาด นอกจากนี้เมื่อคลื่นเสียงสะท้อนก้องแส้ก็ฉกเข้ามาพันแก่นเพลิงหงส์ฟ้าในมือของมั่วหลิงเอาไว้

ลำแสงที่บินไปหามู่เฉินเป็นขวดหยกที่เต็มไปด้วยของเหลวจื้อจุน

การเปลี่ยนแปลงกะทันหันเกินไป นอกจากนี้อีกฝ่ายยังเคลื่อนไหวรวดเร็วโดยไม่ปล่อยให้ใครได้ตอบโต้ ดังนั้นมั่วหลิงจึงได้แต่เบิกตากว้างขณะมองแส้แฉลบเข้ามา

ทว่าขณะที่แส้กำลังจะดึงแก่นเพลิงหงส์ฟ้าไป มือข้างหนึ่งก็ยื่นออกไปคว้าแส้เอาไว้ พลังที่น่าสะพรึงกลัวพวยพุ่งออกมา แส้ถูกกำไว้เหนียวแน่นได้ยินเสียงลั่นเปรียะแต่ก็ไม่สามารถดึงออกไปได้

เจ้าของมือนี้ก็คือมู่เฉินที่ตอนนี้ไม่มีริ้วอารมณ์ใดบนใบหน้า หลังจากจับแส้ไว้เขาก็โบกมือแรงลมพัดขวดหยกกลับไปหาเจ้าของ

“ไม่ขาย”

เขาพูดเสียงเบาปัดแส้กลับไปอย่างหนักหน่วง ทันใดนั้นแส้ก็ราวกับงูที่โดนตีรุนแรงยิงกลับอย่างรวดเร็วตามด้วยเสียงร้องต่ำในลำคอ

ตอนนี้เองมั่วหลิงก็ได้สติกลับมา ความโกรธพลุ่งพล่านในนัยน์ตา นางมองไปในทิศทางที่แส้กลับไปด้วยความกรุ่นโกรธ ก็เห็นหญิงสาวสวมชุดสีแดงมองมาที่พวกนางด้วยความตกใจและโกรธเคือง

หญิงสาวชุดแดงมีเรือนผมสีแดงมองน่าหลงใหล ใบหน้าก็งดงามอย่างมาก ทว่าสีหน้ากลับเต็มไปด้วยความหยิ่งทะนงที่ไม่ปิดบัง

ความหยิ่งทะนงนี้แตกต่างจากของหลิ่วชิงอย่างสิ้นเชิง เนื่องจากหลิ่วชิงหยิ่งเพราะมีจงเถิงหนุนหลัง แต่ความหยิ่งทะนงของผู้หญิงคนนี้เกิดจากแก่นแท้ของตัวเอง

แต่ไม่ว่าอย่างไรความหยิ่งทะนงแบบนี้ก็ไม่เป็นที่ชื่นชอบในสายตาของมู่เฉิน

ดังนั้นเขาจึงมองอีกฝ่ายอย่างเยือกเย็นพูดเสียงเบาว่า “ไม่ทักท้ายสักคำก่อนเลย เจ้าไม่รู้สึกเสียมารยาทไปหน่อยเรอะ?”

หญิงสาวชุดแดงดูเหมือนจะถูกสั่งสอนเป็นครั้งแรก คิ้วขมวดแน่น แต่พอคิดถึงความไร้มารยาทที่ตนเองทำ รัศมีก็ต่ำลงเล็กน้อย ทว่านางก็ไม่ยอมอ่อนให้ “พวกเจ้าจ่ายของเหลวจื้อจุนไปห้าแสนหยดเพื่อซื้อแก่นเพลิงหงส์ฟ้า ข้าให้หกแสนหยด เจ้าก็ไม่ได้ขาดทุนอะไรนี่”

“ไร้เหตุผล”

สายตาของมู่เฉินเย็นชาลงหลายส่วน ในคำพูดไม่ไว้หน้าหญิงสาวเลย “ไสหัวไป!”

“บังอาจ!”

หญิงสาวชุดสีแดงหัวร้อนฉ่าจนใบหน้าเปลี่ยนเป็นสีเขียวคล้ำ แส้ไฟในมือพุ่งออกมาซัดใส่มู่เฉินราวกับมังกรไฟ

แม้ว่าหญิงสาวชุดแดงจะมีนิสัยเอาแต่ใจ แต่ก็ไม่อ่อนแอ จากคลื่นหลิงที่ระเบิดออก แสดงให้เห็นว่านางเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดแล้ว แม้กระทั่งในหมู่จอมยุทธ์ระดับเดียวกัน นางก็มีฝีมือใช้ได้

สายตามู่เฉินเย็นเยือกจ้องมองไปที่มังกรไฟที่บินเข้ามาจากนั้นก็ชกหมัดออกไป ขณะที่แสงสีทองพลุ่งพล่านขึ้น หมัดก็ซัดเข้าที่มังกรไฟราวกับสายฟ้าฟาด

ปัง!

มังกรไฟระเบิดกลายเป็นประกายแสงกระจายในท้องฟ้า

แส้หม่นลงวกกลับไป หญิงสาวชุดแดงที่เห็นก็อดหดเกร็งดวงตาไม่ได้ แต่ก่อนที่นางจะทันพูดอะไร ใบหน้าของนางก็เปลี่ยนไปเนื่องจากมู่เฉินเปลี่ยนร่างเป็นลำแสงสีทองพุ่งเข้ามาหานางแล้ว

หญิงสาวชุดแดงแตะเท้าเบาๆ บนพื้นส่งแรงเหาะหนี ในเวลาเดียวกันคลื่นหลิงสีแดงก็พลุ่งพล่านรอบตัวนางกลายเป็นทะเลเพลิงพัดโหมเข้าหามู่เฉิน แม้แต่ก้อนหินบนพื้นดินก็กลายเป็นเถ้าถ่าน แสดงให้เห็นถึงพลังของเปลวไฟ

วาบ!

แต่ร่างของมู่เฉินที่กำจายแสงสีทองกลับเจาะทะลุเปลวไฟไปปรากฏตัวเบื้องหน้าหญิงสาวชุดแดงอย่างลึกลับแล้วชกหมัดออกไป

ขณะที่แสงสีทองพวยพุ่งขึ้น พลังหมัดก็แตกมิติออกจากกัน นี่ทำเอาใบหน้าของหญิงสาวชุดแดงเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียดอย่างสิ้นเชิง มือบางวาดตราประทับวูบไหวแล้วตบออก

เปลวไฟสีแดงรวมตัวกันอย่างป่าเถื่อนบนฝ่ามือ ทำให้มือกลายเป็นมือลาวา จากนั้นนางก็ตวัดฝ่ามือออก อุณหภูมิที่พุ่งสูงสามารถทำลายชั้นฟ้าได้เลยทีเดียว

ตึง!

ฝ่ามือและหมัดปะทะกันจังใหญ่ คลื่นความร้อนม้วนตัวออกมาทันที

ร่างของมู่เฉินกระตุก ส่วนหญิงสาวชุดแดงก็ก้าวถอยหลังไปหลายสิบก้าว รอยฟกช้ำขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นบนมือของนาง ทำให้รู้สึกถึงความเจ็บปวดรุนแรง

ทั้งสองปะทะกันอย่างกะทันหัน แต่เมื่อหญิงสาวชุดแดงถอยร่น ทุกคนที่นี่ก็ฟื้นคืนสติ ขณะพวกเขาเห็นนางก็อุทานเสียงดังลั่น

“นั่นไม่ใช่ฉื้อหงหวู่จากเผ่าหงส์ฟ้าแดงรึ?”

เมื่อมู่เฉินได้ยินหัวใจก็สั่นไหว หญิงสาวคนนี้มาจากเผ่าหงส์ฟ้าแดงที่เป็นแขนงแยกของเผ่าหงส์ฟ้ารึ? แม้ว่าจะเป็นเพียงเผ่าย่อย แต่นางก็มีสายเลือดหงส์ฟ้าแท้จริง

มิน่าล่ะนางถึงทรงพลังมาก ตามการประเมินของเขาพลังของนางไม่ได้ด้อยไปกว่าจิ่วโยวเลย

เมื่อครู่เหตุผลที่ทำให้เขาได้เปรียบเนื่องมาจากฉื้อหงหวู่ยังไม่ได้ใช้กำลังเต็มที่ ยิ่งกว่านั้นนางเลือกที่จะปะทะกันแบบซึ่งหน้า นี่เป็นสิ่งที่มู่เฉินเชื่อมั่นในตัวเองมาก ท่ามกลางจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดบางทีอาจไม่มีใครสามารถได้เปรียบในการต่อสู้ซึ่งหน้ากับเขา แม้แต่ฉื้อหงหวู่ที่เป็นสมาชิกเผ่าหงส์ฟ้าแดงก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น

ขณะที่มู่เฉินรู้สึกประหลาดใจ ความเจ็บปวดที่มาจากมือก็ทำให้ฉื้อหงหวู่รู้สึกไม่อยากจะเชื่อว่าตัวนางได้รับบาดเจ็บจากกระบวนท่าของจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นหก

“เจ้าซ่อนตัวแนบเนียนจริง”

ฉื้อหงหวู่จ้องมองที่มู่เฉิน ริ้วแปลกประหลาดผุดขึ้นในนัยน์ตา นี่ไม่ได้เป็นแววชื่นชอบแต่เป็นไฟการต่อสู้ที่ลุกโชน เห็นชัดว่าหญิงสาวคนนี้ชอบการต่อสู้ซึมลึกถึงแกนกระดูกเลยทีเดียว

ทว่ามู่เฉินไม่ได้สนใจนางมากนัก แม้ว่านางจะมาจากเผ่าหงส์ฟ้าแดง เขาก็ไม่สนใจที่จะสร้างความสัมพันธ์กับอีกฝ่าย เขาปรายตามองฉื้อหงหวู่อย่างเย็นชาแล้วก็หันหลังเตรียมจากไป

“ฮ่าๆ หงหวู่อยู่นี่เอง ข้าตามหาเจ้าอยู่นะ…”

ขณะที่มู่เฉินกำลังจะไป เสียงหัวเราะเสียงหนึ่งก็ดังก้อง ฝูงชนเปิดทาง คนกลุ่มหนึ่งก็เคลื่อนเข้ามา

ผู้นำเป็นชายสวมชุดขาวหน้าตาหล่อเหลามือข้างหนึ่งถือพัดเอาไว้ จากรูปลักษณ์ที่ปรากฏเขาดูราวกับบัณฑิตอ่อนแอ แต่ประกายแสงที่วาววัวในดวงตากลับคมกริบประหนึ่งใบมีด

เมื่อชายสวมชุดขาวปรากฏ ใบหน้าของมั่วเฟิงที่ยืนอยู่ด้านหลังมู่เฉินก็กลายเป็นไม่น่าดู

มู่เฉินเหลือบมองไปที่คนมาใหม่ก็ขมวดคิ้ว เขารู้สึกถึงกลิ่นอายอันตรายที่มาจากอีกฝ่าย เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่จอมยุทธ์ธรรมดา

ทว่ามู่เฉินก็ไม่ได้ต้องการเพิ่มปัญหาขึ้น เขาหันหลังกลับเดินออกไป

“ฮ่าๆ เจ้าเป็นคนซัดกระบวนท่าใส่ฉื้อหงหวู่ใช่ไหม? งั้นข้าขอเตือนว่าเจ้าอย่าเพิ่งขยับจะดีกว่า” ทว่าเมื่อมู่เฉินกำลังหันหลัง เสียงหัวเราะเย็นเยือกก็ดังขึ้น

มู่เฉินเอียงหัวมองไปที่ชายชุดขาวที่คลี่พัดโบกไปมา พัดนี้ทำให้เกิดความเย็นยะเยือกกวาดออก ทำเอาอากาศตกไปยังจุดเยือกแข็ง ขณะนี้สายตาไม่แยแสของอีกฝ่ายมองมาที่เขาอย่างเย็นชาราวกับเป็นอสรพิษ

“ไป๋ปิง เจ้าไม่ต้องมายุ่งเรื่องของข้า!” เมื่อฉื้อหงหวู่เห็นชายคนนี้ คิ้วก็ขมวดเป็นปมพลางตะเบ็งเสียงใส่

เมื่อชายสวมชุดสีขาวได้ยินคำพูดนั่นก็ยิ้มเรียบแล้วมองไปยังฝั่งของมู่เฉิน สายตาของเขาอึ้งไปวูบหนึ่งเมื่อเห็นมั่วเฟิงและมั่วหลิง จากนั้นรอยยิ้มเย้ยหยันก็ยกขึ้นที่มุมปาก “เฮ้ ไม่คิดว่าข้าจะได้มาเจอลูกนอกกฏหมายพวกไข่เน่าที่นี่…”

เมื่อมู่เฉินได้ยินก็ขมวดคิ้ว เขามองไปที่มั่วเฟิงก็เห็นอีกฝ่ายมีสีหน้ามืดมน ดวงตาที่อัดแน่นไปด้วยจิตสังหารแรงกล้ามองไปยังชายชุดขาว

ฉื้อหงหวู่อึ้งไป จากนั้นก็มองมั่วเฟิงและมั่วหลิงด้วยความประหลาดใจ มิน่าล่ะนางรู้สึกถึงความผันผวนที่คุ้นเคยจากทั้งคู่ ที่แท้ทั้งสองคนมีสายเลือดหงส์ฟ้าอยู่ด้วยเช่นกัน ทว่าทำไมนางไม่เคยเห็นพี่น้องคู่นี้มาก่อน

“หงหวู่เจ้าไม่รู้เรื่องนี้ พ่อของไอ้ไข่เน่าสองใบนี้เป็นสายเลือดสูงส่งในเผ่าของเรา แต่เขาดันไปร่วมคู่กับหญิงสาวของเผ่าวิหคโลกันตร์ ทำให้สายเลือดแปดเปื้อน ผู้อาวุโสโกรธแค้นมาก พวกเขากักขังบิดาของพวกมันไว้ที่ใต้ภูเขาเฮย ตอนแรกพวกมันสองคนก็จะถูกกักขัง แต่มีบางคนพยายามไกล่เกลี่ยให้ พวกเขาถึงหนีไปได้หลายปี” ไป๋ปิงหัวเราะเบาๆ

ตอนนี้ฉื้อหงหวู่ก็เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้น ทว่านางไม่ได้สนใจมาก ในเมื่อมีใครบางคนช่วยไกล่เกลี่ย นั่นก็หมายความว่าอนุญาตให้ทั้งสองมีชีวิตอยู่ เรื่องแบบนี้นางไม่มีอารมณ์ไปใส่ใจอะไร แต่ไป๋ปิงกลับปากเลวยิ่งนักที่เรียกพวกเขาว่าไข่เน่าตลอดเวลา

ไป๋ปิงมองใบหน้ามืดมนของมั่วเฟิงพลางยิ้ม “ดูเหมือนพวกเจ้าพี่น้องจะซ่อนตัวอยู่ในเผ่าวิหคโลกันตร์ มิน่าล่ะถึงไม่มีข่าวคราวใด แต่ตอนนี้พวกแกกล้ามากที่ออกมา”

ขณะที่พูดก็เหลือบมองไปที่มู่เฉิน “แกเป็นพวกเดียวกันใช่ไหม?”

“สองคนนั้นเป็นสายเลือดสกปรกของเผ่าข้า การที่แกซ่อนพวกเขาไว้ก็หมายความว่าแกเป็นศัตรูของเผ่าข้า แต่ข้าไม่ใช่คนที่ไม่ให้อภัยกับเรื่องในอดีต นี่สามารถแก้ไขได้” ขณะที่พูดก็ชี้ไปที่แก่นเพลิงหงส์ฟ้าพูดเสียงเบาว่า “ยกให้ข้า แล้วข้าจะปล่อยไข่เน่าสองใบนี้ไป”

มู่เฉินหรี่ตาลงมองมั่วเฟิงที่มีสีหน้าไม่น่าดู ก่อนที่จะมองไปที่มั่วหลิงที่ถูกเรียกว่าไข่เน่าครั้งแล้วครั้งเล่า จนดวงตาขึ้นริ้วสีแดงดูน่าสงสาร ในใจก็เริ่มรู้สึกโกรธคลั่งขึ้นมา

ดังนั้นเขาจึงเงยหน้าขึ้นมองที่ไป๋ปิง สายตาเปลี่ยนเป็นคมกริบ เสียงคำรามดังก้องราวกับฟ้าผ่า

“ไสหัวไป!”

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler ฟรี ได้ที่ novel-fast 


เรื่องย่อ

โดย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler บางส่วนของนิยาย

บทนำ

หนึ่งในใต้หล้าจากปลายปากกาของเทียนฉานถูโต้ว กล่าวถึงมู่เฉิน เด็กหนุ่มจากสำนักศึกษาเป่ยหลิง ผู้ที่ได้รับเลือกให้เข้าฝึกในสงครามเทพยุทธ์ซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าคนเก่งกาจ ทว่า… อยู่ดีๆ เขากลับถูกขับไล่ออกมาด้วยเหตุผลที่ไม่มีใครล่วงรู้ มู่เฉินพยายามฝึกหนักอีกครั้งเพื่อจะพาตัวเองกลับเข้าไปในเส้นทางแห่งนี้ เขาจำเป็นต้องใช้สิ่งนี้เป็นใบเบิกทางเพื่อเข้าศึกษาที่ภาคเบญจภาคี เพื่อ… ปกป้องหญิงสาวที่ตนรัก และยิ่งกว่านั้นคือเพื่อค้นหาเบาะแสของมารดาที่หายสาบสูญไป

‘มหาพันภพ’ เป็นที่ที่มิติทั้งหลายเชื่อมต่อกันในระบบสุริยจักรวาล สถานที่แห่งนี้มีขั้วอำนาจมากมายอาศัยอยู่ จักรพรรดิที่มาจากพิภพเขตล่างต่างเป็นตำนานที่ผู้อื่นปรารถนาขึ้นไปบนเส้นทางแห่งกฎของโลกไร้ขอบเขตนี้

แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว เทพจักรพรรดิอัคคีควบคุมเปลวเพลิงกวาดข้ามสวรรค์

แคว้นหวู เทพจักรพรรดิสงครามผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำให้ทั้งสวรรค์และโลกหวาดกลัว

ตำหนักซีเทียน จักรพรรดิสัประยุทธ์ที่แข็งแกร่งไม่มีผู้ใดเทียบเท่า ในเนินเขารกร้างทางเหนือ ดินแดนวั้นมู่ของจักรพรรดิอมตะครองเหนือภพ

เด็กหนุ่มจากมณฑลเป่ยหลิงออกท่องยุทธภพกับวิหคโลกันตร์คู่ใจ มุ่งหน้าสู่โลกภายนอกที่เต็มไปด้วยสีสัน ใครกันที่จะเป็นผู้กุมชะตากรรมในเส้นทางการเป็นหนึ่ง?

ในมหาพันภพที่สงครามนับหมื่นอุบัติ ข้าคือผู้กุมชะตาฟ้าดิน…

เรื่องย่อ

เมื่อคำพูดของมู่เฉินกระจายออกไป ไม่เพียงแต่จะไม่มีการตอบสนอง แม้แต่ด้านนอกเจดีย์ก็ถูกห่อหุ้มด้วยบรรยากาศราวกับป่าช้า…

ทุกคนตกตะลึงไปกับฉากนี้ พวกเขาจ้องมองจุดที่ลู่สุยหายตัวไป ราวกับว่ายังไม่สามารถฟื้นจากอาการตะลึงงันที่เกิดขึ้นได้

ก่อนหน้าเมื่อลู่สุยออกกระบวนท่าที่น่าสะพรึง ผู้คนส่วนใหญ่ก็คิดว่าผลลัพธ์ของการต่อสู้ได้ถูกกำหนดแล้ว ทว่าพวกเขาไม่คิดเลยว่ามู่เฉินจะพลิกสถานการณ์ได้อีกครั้ง เตะลู่สุยที่เหมือนจะคว้าชัยชนะออกไป

ทุกคนตะลึงไปพักใหญ่ ก่อนที่พวกเขาจะหลุดออกจากอาการได้ สายตาเคร่งเครียดลง การประลองกันครั้งนี้มู่เฉินไม่ได้ใช้ค่ายกล แต่เขาก็สามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดอย่างลู่สุยได้ด้วยความแข็งแกร่งที่อยู่ในขั้นหกเท่านั้น แม้ว่าจะมีผลจากลู่สุยประมาทเองในตอนแรก แต่นั่นก็แสดงให้เห็นว่ามู่เฉินน่ากลัวแค่ไหน

พลังเช่นนี้เขาสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์อันดับต้นๆ ในเจดีย์ฝึกพลังกายได้เลยทีเดียว

ทางฝั่งกลุ่มกระเรียนฟ้า ใบหน้าของหลิ่วชิงกลายเป็นเขียวสลับขาว นางมองไปที่ร่างสูงโปร่งบนหน้าจอ กลืนน้ำลายเหนียวหนืด ความกลัวปรากฏในดวงตาของนางเป็นครั้งแรก

มาถึงจุดนี้นางคงโง่แน่ถ้ายังคิดปฏิบัติต่อมู่เฉินเหมือนกับจอมยุทธ์ขั้นหกทั่วไป

ด้วยพลังในการต่อสู้ที่เขาแสดงออกมา บวกกับค่ายกลทรงพลัง แม้แต่จงเถิงก็ยากจะได้เปรียบหากพวกเขาต่อสู้กัน

ก่อนหน้านี้นางหัวเราะเยาะและมองจิ่วโยวด้วยความดูถูก แต่ตอนนี้นางอายแทบแทรกแผ่นดินหนี ซึ่งจุดนี้รู้ได้จากสายตาเยาะเย้ยเหล่านั้นที่ปรายมองเข้ามา

“ทำไมมู่เฉินถึงทรงพลังเช่นนี้?” จงฮั้วที่พ่ายแพ้ให้กับมู่เฉินก็มีสีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดเช่นกันว่ามู่เฉินพึ่งพาเพียงค่ายกลเพื่อจัดการกับศัตรู แต่ใครจะคิดว่าเมื่อไม่มีการใช้ค่ายกลมู่เฉินก็สามารถเอาชนะลู่สุยแบบดุร้ายยิ่งกว่าอะไร

“ดูเหมือนว่ามีเพียงพี่ใหญ่จงเถิงเท่านั้นที่สามารถจัดการกับเขาได้” จอมยุทธ์อีกคนของเผ่ากระเรียนฟ้าพยักหน้า

หลิ่วชิงพยักหน้าเบาๆ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะพิจารณาพลังของมู่เฉินพลาดไปเท่านั้น แม้แต่จงเถิงก็ตัดสินอีกฝ่ายผิดไป ชายคนนั้นเป็นสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง

ฟิ้ว!

ขณะที่นอกเจดีย์ต่างตกตะลึงกับผลลัพธ์ที่มู่เฉินนำมา ทันใดนั้นแสงก็กะพริบบนแท่นนอกเจดีย์ ร่างน่าสังเวชปรากฏขึ้น

เมื่อร่างนั้นออกมาก็รีบถอยกลับไปปรากฏตัวขึ้นในกลุ่มอีกาสายฟ้าทันควัน นี่ก็คือลู่สุยที่มีสีหน้าซีดขาว คลื่นหลิงของเขาถดถอยลงอย่างมาก

สายตาโดยรอบยิงเข้าหาในเวลานี้ทันที

ใบหน้าของลู่สุยเขียวคล้ำ สายตาเกลียดชังมองไปที่มู่เฉินที่อยู่บนหน้าจอ ก่อนที่จะหันหัวสาดสายตาดุร้ายใส่จิ่วโยวและมั่วหลิง ที่ข้างๆ พรรคพวกของเขาก็มีท่าทางไม่ดีเช่นกัน

ทว่าจิ่วโยวไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับสายตาเหล่านั้น นางเค้นเสียงอย่างเย็นชา “ลูกหมาที่ถูกฟาดยังกล้าที่จะออกมาแยกเขี้ยวอีกเหรอ?”

ตอนนี้ลู่สุยบาดเจ็บสาหัส สูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปหมด ส่วนคนที่เหลือก็ไม่มีอะไรต้องกลัว หากพวกเขากล้าที่จะคิดบัญชีกับพวกนาง จิ่วโยวก็ไม่คิดปล่อยพวกเขาไว้เป็นภัยคุกคามในอนาคตหรอก

สายตาแสดงความเกลียดชังของลู่สุยจ้องเขม็งอยู่ที่จิ่วโยว แต่สุดท้ายเขาก็ต้องถอนสายตาออกไปอย่างไม่เต็มใจ ก่อนที่จะถอยกลับนั่งลงบนซากปรักหักพังเข้าสมาธิเพื่อฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ

จอมยุทธ์กลุ่มอีกาสายฟ้าก็ปรากฏรอบตัวเขาเพื่อปกป้อง

เมื่อจิ่วโยวเห็นการตอบสนองนั่น นางก็ไม่ได้ใส่ใจกับพวกเขาอีก นางมองไปที่หน้าจออีกครั้งโดยพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ร่างเงาอ่อนเยาว์ มือที่กำแน่นผ่อนคลายลง

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงสำหรับนางที่มู่เฉินจะเอาชนะได้เด็ดขาดแบบนี้ นั่นเป็นเพราะตามการประเมินของนางแม้ว่ามู่เฉินจะยืนยงอยู่ได้ก็เป็นยากที่จะเอาชนะลู่สุยด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นหกและถ้าการต่อสู้ถูกลากไปจนสุดอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบคาดไม่ถึง

ทว่าผลลัพธ์สุดท้ายที่ได้ก็ทำให้นางทั้งประหลาดใจและดีใจ

เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินได้รับประโยชน์มหาศาลจากสามชั้นแรกของเจดีย์ฝึกพลังกาย ไม่เช่นนั้นเขาไม่สามารถแสดงพลังเป็นที่ประจักษ์เช่นนี้ได้

“ว่ากันว่าในชั้นสี่มหัศจรรย์กว่านี้มาก หากใครสามารถเข้าไปได้ พวกเขาจะสามารถได้รับผลประโยชน์เกินกว่าสามชั้นแรกมาก…”

จิ่วโยวยิ้มบาง ดูจากสถานการณ์ปัจจุบันไม่น่ามีปัญหาใดๆ ที่มู่เฉินจะเข้าสู่ชั้นสี่ สำหรับมั่วเฟิงความแข็งแกร่งของเขาเป็นหนึ่งในอันดับต้นของกลุ่มที่เข้าไป ดังนั้นจึงไม่ยากสำหรับเขาที่จะได้หนึ่งในห้าที่นั่งนี้ไปเช่นกัน

ดูเหมือนว่าการเดินทางมาที่เจดีย์ฝึกพลังกายโบราณครั้งนี้เผ่าวิหคโลกันตร์อาจเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

บนลานเมฆสายฟ้า

ไม่มีใครตอบคำถามของมู่เฉิน ขณะนี้แม้แต่จอมยุทธ์ทรงอำนาจอย่างหานซันและสีคุนก็ยังรู้สึกหวาดระแวงมู่เฉินอยู่บ้าง ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะไม่ไปปะทะกับมนุษย์ผู้นี้

ดังนั้นคนทั้งหมดที่อยู่ที่นี่จึงเงียบลง ก่อนที่จะถอยออกจากรัศมีโดยรอบมู่เฉินอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณบอกว่าพวกเขาไม่ต้องการต่อสู้กับเขา

เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ก็ไม่มีอารมณ์ใดบนใบหน้า แต่ในใจกลับรู้สึกโล่งอก คนอื่นๆ เห็นเพียงฉากการต่อสู้ตระการที่เขาเอาชนะลู่สุยได้ แต่พวกเขาไม่รู้หรอกว่าหมัดที่เขาชกออกไปก่อนหน้านี้คือพลังงานส่วนเกินจากสามชั้นแรก

ร่างกายของมู่เฉินก่อนหน้าเปรียบเสมือนฟองน้ำที่ดูดซับน้ำจนถึงขีดจำกัด หมัดของเขาจึงเท่ากับบีบน้ำออกจนหมด ทำให้ร่างกายที่อัดแน่นกลับสู่สภาพเดิม

ดังนั้นถ้าให้เขาโจมตีแบบนั้นอีกครั้ง พลังก็จะไม่ทรงประสิทธิภาพเหมือนเมื่อครู่แน่นอน

ประสิทธิผลพิเศษชนิดนี้ของการสะสมพลังงานในร่างกายเป็นทักษะที่ได้มาจากกายามังกรหงส์ ด้วยวิธีนี้เขาจะได้รับผลลัพธ์ที่ไม่มีใครคาดคิดไว้ กลายเป็นไพ่ลับอีกใบหนึ่ง

“คัมภีร์หลงเฟิ่งทรงพลังจริงๆ”

แม้แต่มู่เฉินก็ยังชื่นชมในสิ่งนี้ คัมภีร์หลงเฟิ่งสมแล้วที่เป็นทักษะยอดเยี่ยมแท้จริง จากการประเมินของเขาคัมภีร์นี้ต้องอยู่ในระดับเสินทงแน่นอน ซึ่งไม่ธรรมดาแม้จะอยู่ในกลุ่มวิทยายุทธระดับเสินทงด้วย

มู่เฉินชื่นชมก่อนที่จะใจเย็นลง แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีใครท้าทายเขา แต่เขาก็ไม่ตั้งใจที่จะท้าทายคนอื่นด้วยเช่นกัน เขายืนนิ่งบนตำแหน่งตนเองรอผลการคัดออก

สำหรับจงเถิง มู่เฉินรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นพวกยุแยงให้ลู่สุยมาปะทะกับเขา แต่เนื่องจากตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ดีในการจัดการ เขาจึงได้แต่ผลักแผนไปก่อน

แต่ถึงกระนั้นสายตาคมกล้าของมู่เฉินก็ยังจ้องเขม็งไปที่จงเถิง รอบตัวเต็มไปด้วยคลื่นหลิงราวกับเสือดาวที่กำลังจะจ้องตะครุบเหยื่ออัดแน่นด้วยภัยคุกคาม

เมื่อเห็นท่าทางของมู่เฉิน จงเถิงที่ประจันหน้ากับมั่วเฟิงก็รู้สึกอึดอัดใจ เขาต้องแยกสมาธิอยู่ตลอดเพื่อจับตามองมู่เฉิน ป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายเคลื่อนไหวมาประสานพลังกับมั่วเฟิง

ด้วยวิธีนี้สมาธิของจงเถิงจึงค่อนข้างฟุ้งซ่าน สุดท้ายเขาได้แต่กัดฟัน ถอนคลื่นหลิงและถอยออกจากบริเวณของมั่วเฟิง

“พี่มั่วยากสำหรับการต่อสู้ของเราที่จะได้ข้อสรุป ทำไมเราไม่ไปจัดการคนอื่นและรับที่นั่งมาล่ะ?” ขณะที่จงเถิงถอยกลับเสียงก็สะท้อนก้องไปด้วย

มั่วเฟิงจ้องมองจงเถิงอย่างไม่แยแสก่อนที่จะพยักหน้า นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าหากพวกเขายังอยู่ในสถานการณ์ยืนจ้องหน้ากันก็จะไม่เกิดผลลัพธ์ใด หากเขาร่วมมือกับมู่เฉิน พวกเขาอาจทำให้จงเถิงบ้าดีเดือดขึ้นมา แม้แต่พวกเขาก็ต้องจ่ายราคามหาศาลจากการตีโต้

ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาคือการได้ที่นั่งเพื่อเข้าสู่ชั้นสี่

เมื่อจงเถิงเห็นคำตอบของมั่วเฟิงก็รู้สึกโล่งใจในใจ เขาถอยกลับอย่างรวดเร็วออกจากจุดที่มู่เฉินและมั่วเฟิงอยู่ เขาครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนจะเลือกปะทะกับคนที่อ่อนแอกว่า

พอมู่เฉินเห็นจงเถิงไปแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจอีกต่อไป สายตาหันมามองมั่วเฟิงแล้วก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มแสดงความขอบคุณในการช่วยเหลือครั้งนี้

สายตาของมั่วเฟิงเป็นมิตรมากขึ้น คิดว่าการที่มู่เฉินเอาชนะลู่สุย ทำให้มั่วเฟิงมองมู่เฉินในฐานะจอมยุทธ์ที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเขา ดังนั้นจึงไม่ได้มีท่าทางเฉยเมยเหมือนเมื่อก่อน

มั่วเฟิงพยักหน้าให้มู่เฉิน ก่อนที่จะหันหลังกลับและเริ่มเลือกคู่ต่อสู้ของตนเอง

ครืน!

เมื่อทุกคนเลือกคู่ต่อสู้แล้ว ทันใดนั้นคลื่นหลิงก็ระเบิดรุนแรงบนลานเมฆสายฟ้า คลื่นกระแทกกวาดออก ทำให้มิติเกิดการสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไม่หยุด

บนลานเมฆสายฟ้าพลังงานหลิงกวาดหายนะ มีเพียงตรงมู่เฉินเท่านั้นที่ไม่ถูกรบกวน เนื่องจากไม่มีใครกล้าเหยียบเข้ามาในรัศมีพันจั้ง ยามนี้เขาเหมือนผู้ชมที่ดูการต่อสู้ติดขอบ ในเวลาเดียวกันก็บันทึกกระบวนท่าที่ทรงพลังของบางคนไว้ในสมอง

แม้ว่าในชั้นนี้พวกเขาอาจไม่ได้ประลองกัน แต่ก็ยังมีอีกสองชั้นรอพวกเขาอยู่ ใครจะสามารถรับประกันได้ว่าจะไม่มีการลดจำนวนลงในชั้นต่อไป?

ดังนั้นถ้ามีโอกาสเขาต้องพยายามจดจำข้อมูลผู้อื่นเก็บไว้

ภายใต้การสังเกตของมู่เฉิน การประลองบนลานเมฆสายฟ้าก็คงอยู่ชั่วระยะหนึ่ง ก่อนที่แต่ละคู่จะมาถึงจุดสิ้นสุด ผลลัพธ์ก็เป็นไปตามที่คาดไว้

หลังจากมู่เฉินก็เป็นหานซันที่เอาชนะคู่ต่อสู้ได้ที่นั่งที่สองไป

จากนั้นมั่วเฟิงและจงเถิงก็คว้าชัยชนะตามมา

ที่นั่งสุดท้ายตกเป็นของสีคุนที่ก่อนหน้านี้เคยแพ้หานซันที่ด้านนอกเจดีย์ ชายนี้มีความแข็งแกร่งที่น่าตกใจ แม้แต่หานซันยังต้องใช้ทักษะเต็มที่ถึงจะได้รับชัยชนะมา

เมื่อสีคุนได้รับที่นั่งสุดท้ายลานเมฆสายฟ้าขนาดใหญ่ก็เงียบลงอีกครั้ง ร่างทั้งห้ายืนอยู่ ขณะรัศมีไร้ขอบเขตทั้งห้าสายพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าชนกันเปรี้ยงปร้าง

ทว่าการชนกันก็ดำเนินไปเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ก่อนที่ทั้งห้าจะถอนคลื่นพลังพร้อมกัน พวกเขาเหลือบมองกันและกัน จากนั้นก็ไม่ลังเลทะยานออกไปปรากฏตัวบนเบาะทั้งห้า

สายตาพวกเขาพุ่งตรงไปยังมิติด้านหลังลานเมฆสายฟ้าด้วยความโลภ ตรงนั้นเส้นดาวหางจำนวนมากกวาดผ่านราวกับฝนดาวตก

ในแสงเหล่านั้นแก่นหยดสายฟ้ากำลังกะพริบด้วยความแวววาว


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท