หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – ตอนที่ 1046

ตอนที่ 1046

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1046 อสูรวิญญาณขั้นแปด
บนต้นไม้สีเทาดำขนาดใหญ่

แต่ละคนพลิ้วกายลงไปพลางมองที่เบื้องหน้า ที่นั่นเป็นป่าขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยต้นไม้สีเทาและสีขาว ต้นไม้เหล่านั้นใบโกร๋นมีเพียงก้านไม้ มองจากระยะไกลดูเหมือนกับป่าหอกซึ่งดูแหลมคมน่ากลัวมาก

ทว่าสายตาพวกเขาไม่ได้หยุดอยู่ตรงนั้นเป็นเวลานาน พวกเขาพุ่งความสนใจไปที่ใจกลางป่าซึ่งรัศมีความตายแผ่ซ่านไปทั่ว มีเงาร่างสีขาวจำนวนมากลอยเร่ร่อนไปมา ตัดสินจากจำนวนคร่าวๆ ก็มีเกือบพันเห็นจะได้…

แสงสีดำกะพริบวาบที่กลางหว่างคิ้วของมู่เฉิน จากนั้นก็เจาะทะลุรัศมีความตายหนาแน่น ทันใดนั้นฉากในป่าลึกก็กระจ่างอยู่ในดวงตาของเขาอย่างรวดเร็ว ใต้ต้นไม้ใหญ่ที่อยู่ลึกเข้าไปมีเงาดำนั่งอยู่บนพื้น ร่างมันถูกหุ้มด้วยเกราะสีดำ บนพื้นผิวของเกราะถูกปกคลุมไปด้วยรัศมีความตาย ความผันผวนนั้นทำให้แม้แต่ใบหน้ามู่เฉินยังเคร่งเครียดลง

รัศมีความตายที่ร่างสีดำเมื่อมครอบครองแข็งแกร่งกว่าอสูรวิญญาณขั้นเจ็ดที่พวกเขาพบมาก่อนหน้ามาก เห็นได้ชัดว่านี่ต้องเป็นอสูรวิญญาณขั้นแปดแน่นอน

“หืม?”

ขณะที่มู่เฉินกำลังตรวจสอบอสูรวิญญาณขั้นแปดด้วยเนตรดับชีวิตอยู่นั้น จู่ๆ เขาก็ส่งเสียงอุทานแผ่วเบาออกมา เมื่อตระหนักได้ว่าชุดเกราะของอสูรวิญญาณร่างนี้เสียหายหนักมาก มีบาดแผลฉกรรจ์ปาดลึกลงไปเผยให้เห็นกระดูกสีขาวโพลนด้วย

นอกจากนี้รัศมีความตายรอบร่างอสูรวิญญาณขั้นแปดร่างนี้ก็ค่อนข้างจะวุ่นวายเช่นเดียวกัน

“ทำไมเหรอ?” จิ่วโยวถามด้วยเสียงต่ำ

“อสูรวิญญาณขั้นแปดตัวนี้เหมือนจะได้รับบาดเจ็บ” มู่เฉินพูดขึ้นด้วยความกังขา ก่อนหน้าเขาได้ตรวจสอบโดยเนตรดับชีวิตว่าไม่มีคนกลุ่มอื่นในบริเวณใกล้เคียง ดังนั้นบาดแผลของอสูรวิญญาณขั้นแปดร่างนี้มาจากไหน?

เมื่อจิ่วโยว มั่วเฟิงและหานซันได้ยินคำพูดของเขาก็ค่อนข้างประหลาดใจก่อนจะคลี่ยิ้ม “ดูท่าแม้แต่สวรรค์ก็ช่วยเรา อสูรวิญญาณขั้นแปดที่บาดเจ็บง่ายในการจัดการกว่า”

มู่เฉินยิ้มแต่ไม่ได้กังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้มาก เขาเลื่อนสายตามองไปที่ป่ารัศมีความตายด้วยดวงตาเป็นประกาย

จิ่วโยวมองมู่เฉิน “แม้ว่าที่นี่จะมีอสูรวิญญาณไม่น้อย มิหนำซ้ำยังมีอสูรวิญญาณขั้นเจ็ดอยู่ในหมู่พวกมัน คงจะลำบากพอตัวถ้าเราดึงดูดความสนใจมา ยิ่งถ้าอสูรวิญญาณขั้นแปดพุ่งออกมาด้วย ก็ยิ่งลำบากสำหรับเรามาก”

การรวมตัวของพวกเขาค่อนข้างลำบากที่จะจัดการกับอสูรวิญญาณขั้นแปดสักร่าง ยิ่งถ้ามีการเพิ่มขึ้นของอสูรวิญญาณขั้นต่างๆ จำนวนมากก็จะลำบากมากอีกหลายส่วน

หานซันและคนอื่นๆ ก็หันไปมองมู่เฉิน เมื่อมาถึงจุดนี้พวกเขาได้แต่พึ่งพามู่เฉินเท่านั้น

มู่เฉินครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนที่จะกวาดสายตาตอบว่า “ประสาทสัมผัสของอสูรวิญญาณขั้นธรรมดาอ่อนแอมาก ข้าสามารถใช้ค่ายกลขังพวกมันไว้ สำหรับพวกขั้นเจ็ดการรับรู้ของพวกมันค่อนข้างหลักแหลม วิธีปลอดภัยที่สุดก็คือกำจัดพวกมันทั้งหมด ไม่งั้นกลัวว่าจะลำบากสำหรับเรา ถ้าพวกมันพุ่งมาหาในขณะที่เราโจมตีอสูรวิญญาณขั้นแปด”

“แต่ที่นี่มีพวกขั้นเจ็ดไม่น้อยกว่าสามสิบร่าง…” มั่วหลิงเบิกตากว้าง นั่นเทียบเท่ากับจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดกว่าสามสิบคนเชียวนะ พวกนางสามารถจัดการพวกมันด้วยกำลังที่มีหรือ?

“อาจจะไม่เมื่อก่อน… แต่ตอนนี้เจ้าคิดว่าอาวุธเสมือนมหสวรรค์มีไว้เพื่อถืออวดเหรอ?” มู่เฉินยิ้ม จิ่วโยว มั่วเฟิงและมั่วหลิง แต่ละคนได้รับอาวุธเสมือนมหสวรรค์มาคนละชิ้น ด้วยความช่วยเหลือของอาวุธเทพก็ยากที่จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดทั่วไปจะต่อกรกับพวกเขา แม้ว่าพวกวิญญาณขั้นเจ็ดจะมีไม่น้อย แต่ก็แค่จะลำบากขึ้นเล็กน้อยเท่านั้น

“ปล่อยพวกวิญญาณพวกนั้นเป็นหน้าที่พวกข้าเอง เจ้าเข้าสมาธิสร้างค่ายกลก็พอ” จิ่วโยวพยักหน้า พวกนางพึ่งพามู่เฉินมาตลอดทาง หากตอนนี้พวกนางไม่สามารถรับมือกับแค่ปัญหาเหล่านี้ได้ก็เกินไปแล้ว

มู่เฉินพยักหน้าไม่พูดอะไรอีก กระโจนลงจากต้นไม้อย่างรวดเร็ว ก่อนที่จะมองหาพื้นที่ว่างเปล่านั่งลง จากนั้นก็ประสานมือเข้าด้วยกัน สัญลักษณ์หลิงยิ่งพรั่งพรูออกมาไม่หยุด เมื่อมู่เฉินสะบัดนิ้วก็รวมตัวเข้ากับมิติ

สัญลักษณ์หลิงยิ่งรวมเข้ากันในมิติอยู่เรื่อยๆ ทำให้คลื่นหลิงในบริเวณนี้มีความผันผวนขึ้นเล็กน้อย สามารถมองเห็นเส้นแสงกระจายออกไปอย่างช้าๆ

ตราประทับในมือของมู่เฉินเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่องเป็นเวลาเกือบสิบนาที ก่อนที่สัญลักษณ์หลิงยิ่งที่ปลายนิ้วจะหายไปอย่างสมบูรณ์

เขาเงยหน้าขึ้นเผยความพึงพอใจเมื่อมองไปที่มิตินี้ ค่ายกลที่เขาสร้างขึ้นในครั้งนี้เรียกว่าค่ายกลภาพมายาปีศาจ แม้ว่าจะไม่ได้เป็นค่ายกลระดับสูงและมีผลต่อการสร้างภาพลวงตาเพียงอย่างเดียว แต่ขนาดจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นหกก็ไม่สามารถหลบหนีได้ด้วยความเร็วที่มีหากติดอยู่ภายใน

ทว่าอสูรวิญญาณมีเพียงความแข็งแกร่ง ไม่มีประสาทสัมผัสและสติปัญญา ดังนั้นประสิทธิภาพของค่ายกลจึงมีพลังอย่างยิ่ง

นอกจากนี้มู่เฉินยังเสริมความแข็งแกร่งให้กับรอบด้านและพลังของค่ายกลอีกด้วย ตราบใดที่ไม่มีสิ่งไม่คาดคิดเกิดขึ้น คิดว่าคงสามารถดักอสูรวิญญาณพวกนี้ได้ทั้งหมด

หลังจากสร้างค่ายกลเรียบร้อย มู่เฉินก็ส่งสัญญาณมือ จิ่วโยวพยักหน้ารับรู้ก่อนทะยานออกไปพุ่งเข้าไปในป่าที่เต็มไปด้วยรัศมีความตาย

โฮก!

เมื่อจิ่วโยวเข้ามาถึงเป้าหมายนางก็ไม่ได้ซ่อนพลังชีวิตเอาไว้ ดังนั้นอสูรวิญญาณที่ลอยเร่ร่อนไปมาก็เปล่งเสียงคำรามทันทีที่นางปรากฏตัว เงาร่างนับไม่ถ้วนพุ่งเข้ามาโรมรันนางทันที

จิ่วโยวก็ไม่ได้หยุดนิ่ง นางพุ่งออกไปด้วยความเร็วเต็มพิกัดทะยานรอบนอกแนวป่า แต่เนื่องจากส่วนในมีอสูรวิญญาณขั้นเจ็ดจำนวนมาก นางจึงไม่ได้ก้าวเข้าไปแม้แต่ก้าวเดียว

โฮก!

เพียงสองสามนาทีเมื่อจิ่วโยวเหาะเหินออกจากป่าอีกครั้งก็มีฝูงวิญญญาณอสูรติดตามเป็นพรวน จำนวนที่มากขนาดนั้นทำให้หานซันและคนอื่นๆ ที่รออยู่บนต้นไม้รู้สึกว่าหนังศีรษะชาวาบไปหมด

จิ่วโยวพุ่งไปยังทิศทางของค่ายกลที่มู่เฉินสร้างไว้ล่วงหน้า นำอสูรวิญญาณจำนวนมากเข้าไป

ทันทีที่ฝูงอสูรวิญญาณเข้าไปในค่ายกล ตราประทับในมือของมู่เฉินก็เปลี่ยนไป เปิดใช้งานค่ายกลทันที

ฮึ่ม!

ทันใดนั้นแสงหลิงก็แวววาวขึ้นในมิติ เส้นสายซับซ้อนนับไม่ถ้วนเกี่ยวพันเข้าด้วยกันกลายเป็นลวดลายจำนวนมาก สุดท้ายก็กลายเป็นค่ายกลขนาดใหญ่ล้อมรอบพื้นที่เอาไว้

มู่เฉินและจิ่วโยวพุ่งออกมาในช่วงเวลาที่ค่ายกลตีกรอบขึ้น ทั้งสองยืนอยู่บนต้นไม้ใหญ่จ้องมองลงมาที่บริเวณนั้นก็เห็นอสูรวิญญาณจำนวนมากวิ่งวุ่นวายในความยุ่งเหยิงราวกับแมลงวันหัวขาด ทุกครั้งที่มีอสูรวิญญาณบางตัวกำลังจะพุ่งออกมา พวกมันก็จะวกกลับเข้าไปข้างในเองอีกครั้ง…

“เยี่ยม” เมื่อจิ่วโยวเห็นภาพนี้ก็อดไม่ได้ที่จะอุทานชื่นชม วิธีการของหลิงเจิ้นซือลึกซึ้งอย่างแท้จริง โดยทั่วไปแม้ว่าจอมยุทธ์ขุมพลังหลิงจะทรงพลัง แต่ก็ไม่สามารถดักอสูรวิญญาณจำนวนมากแบบนี้ได้อย่างง่ายดาย

“ข้าเพิ่มบางอย่างลงไปในค่ายกล สามารถขัดขวางการรับรู้ของวิญญาณเหล่านี้ที่มีต่อคลื่นพลังงานชีวิต ก่อนที่คลื่นหลิงของค่ายกลจะหมดสิ้น พวกมันน่าจะบินวนอยู่ในนี้เท่านั้น” มู่เฉินยิ้ม

จิ่วโยวพยักหน้าก่อนที่จะมองไปในส่วนลึกของป่า หลังจากจัดการกับฝูงอสูรวิญญาณแล้ว พวกเขาก็ต้องพึ่งพาตัวเองเพื่อจัดการกับพวกอสูรวิญญาณขั้นเจ็ด

“ข้าจะปล่อยพวกมันให้พวกเจ้า”

มู่เฉินยิ้มมองไปที่จิ่วโยวก่อนที่จะมุ่งหน้าไปยังอีกทิศทางหนึ่งของป่า เขาต้องเตรียมการบางอย่างเพื่อจัดการกับอสูรวิญญาณขั้นแปด

เมื่อจิ่วโยวเห็นมู่เฉินทะยานออกไป นางก็หันกลับไปมองมั่วเฟิง หานซันและคนอื่นๆ ก่อนที่จะพยักหน้า ทั้งกลุ่มค่อยๆ เข้าใกล้พื้นที่ที่อสูรวิญญาณขั้นเจ็ดอยู่

ในส่วนลึกร่างสีเทาดำจำนวนมากกำลังลอยเร่ร่อนพร้อมกับกำจายรัศมีความตายที่ทรงพลัง เมื่อเปรียบเทียบกับอสูรวิญญาณก่อนหน้า พวกมันแข็งแกร่งกว่ามาก

โฮก!

ขณะที่พวกเขาเข้าไปในส่วนลึก พลังชีวิตก็ถูกสังเกตเห็นโดยอสูรวิญญาณขั้นเจ็ดเหล่านั้น ทันใดนั้นเสียงคำรามลึกก็ดังก้องพร้อมกับเสียงลมถูกแยกออกจากกัน รัศมีความตายน่าสยดสยองกวนตัว ร่างเกือบสิบร่างปรากฏตัวล้อมรอบกลุ่มของจิ่วโยว

เมื่อมองจำนวนอสูรวิญญาณขั้นเจ็ดที่เข้ามา ใบหน้าของทุกคนก็อดไม่ได้ที่จะเปลี่ยนแปลง หากเป็นเมื่อก่อนพวกเขาคงเลือกถอยหนีทันทีเมื่อพบกับอสูรวิญญาณขั้นเจ็ดจำนวนมากเช่นนี้

วาบ!

อสูรวิญญาณเหล่านี้ไม่มีความอดทน ดังนั้นพวกมันจึงเปิดโจมตีทันที ขณะที่รัศมีความตายพวยพุ่ง ร่างพวกมันก็กลายเป็นกระแสเชี่ยวกรากสีเทาโอบล้อมกลุ่มจิ่วโยว

อสูรวิญญาณขั้นเจ็ดสิบตัวโจมตีในเวลาเดียวกัน กระทั่งจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดระยะปลายสุดก็ยังต้องถอยห่างจากกระแสเชี่ยวกรากของรัศมีความตาย

ทว่าจิ่วโยวกลับก้าวเท้าออกไปพร้อมกับมือแน่น ไม้เทพโทษาปรากฏขึ้น จากนั้นนางก็โบกลง ทันใดนั้นแสงสีดำก็กระจายออกราวกับความมืดเขมือบแสงในบริเวณนี้

แสงสีดำพุ่งลงมาทำให้กระแสรัศมีความตายไร้ขอบเขตอ่อนลงมาก ในเวลาเดียวกันเสียงกระดิ่งก็ดังขึ้น ทั้งพื้นที่เริ่มลุกไหม้ เกลียวเพลิงสีแดงม้วนตัวพลิ้วลงมาจากท้องฟ้า เผาไหม้รัศมีความตายทั้งหมด

ด้านหลังมั่วหลิงยิ้มขณะสั่นกระดิ่งในมือ เพลิงสีแดงที่แม้แต่จอมยุทธ์จื้อจุนขั้นเจ็ดยังทนรับไม่ได้กวาดออกมาจากมัน

การโจมตีร่วมกันของอสูรวิญญาณขั้นเจ็ดถูกจัดการอย่างง่ายดายโดยจิ่วโยวและมั่วหลิง

เมื่อเห็นผลลัพธ์นี้ แม้แต่ตัวจิ่วโยวและมั่วหลิงเองยังอดฉายความตื่นตะลึงบนใบหน้าไม่ได้ ถ้าเป็นในอดีตแม้ว่าทั้งคู่จะทำดีที่สุด ก็ไม่สามารถปิดกั้นการโจมตีที่น่าอัศจรรย์เช่นนี้ แต่ตอนนี้พวกนางทำสำเร็จได้อย่างง่ายดาย

“สมแล้วที่เป็นอาวุธเสมือนมหสวรรค์” จิ่วโยวอดไม่ได้ที่จะทอดถอนใจ มิน่าล่ะแม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนยังถูกดึงดูดโดยอาวุธมหสวรรค์ พลังของอาวุธเหล่านี้ไม่อาจหยั่งรู้ได้อย่างแท้จริง

ตู้ม!

เมื่อกระแสรัศมีความตายถูกเผาไหม้ หอกทองคำก็กวาดออกมาพร้อมกับแสงโบราณบริสุทธิ์ ขณะที่หอกวาบผ่านก็ทะลุผ่านหัวร่างอสูรวิญญาณที่แข็งแกร่งจนระเบิดเละเทะ

ปัง!

พลองสีดำฟาดลงมา เงาพุ่งดิ่งลง รอยแตกขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นบนพื้น ร่างอสูรวิญญาณที่แข็งทนทานอีกตัวก็ถูกทำลายราบคาบด้วยพลอง

การลงมือฉับพลันของมั่วเฟิงและหานซันสร้างผลลัพธ์ที่น่าอัศจรรย์ทันที

ทั้งสี่คนแลกเปลี่ยนสายตากันอย่างรวดเร็วด้วยความตกใจ หลังจากรู้ว่าอาวุธเสมือนมหสวรรค์ในมือทรงพลังเพียงใด พวกเขาก็ไม่เกรงกลัวพุ่งออกไปราวกับพยัคฆ์ร้าย ปะทะกับอสูรวิญญาณขั้นเจ็ดที่เหลือทันที

คลื่นหลิงไร้ขอบเขตระเบิดขึ้น จอมยุทธ์ทั้งสามของเผ่าแรดอสูรก็อ้าปากตาค้าง เมื่อเห็นทั้งสี่คนสำแดงพลังแบบไม่มีใครยอมใคร กลุ่มอสูรวิญญาณขั้นเจ็ดที่ตอนแรกได้เปรียบก็แพ้ยับเยิน

ในเวลาเพียงไม่กี่นาทีร่างอสูรวิญญาณสิบตัวก็ถูกกำจัดหมดสิ้น

ด้วยการเริ่มต้นที่ดี พวกเขาก็ไม่ลังเลเคลื่อนไหวออกไปเพื่อล้างบางร่างอสูรวิญญาณขั้นเจ็ดที่เหลืออยู่ในป่า พยายามจัดการให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้

ขณะที่พวกเขากำลังกำจัดอสูรวิญญาณขั้นเจ็ดในป่าไปเรื่อยๆ ที่ส่วนลึกการเตรียมของมู่เฉินก็ค่อยๆ เสร็จสมบูรณ์

ปุ! ปุ!

มู่เฉินยืนอยู่บนกิ่งไม้ เขาปัดมืออย่างแผ่วเบาพร้อมกับจ้องมองไปที่ระยะไกล รัศมีความตายรุนแรงกวาดอยู่ในบริเวณนั้น มีเงาร่างที่ดูเลือนราง ปล่อยแรงกดดันทรงพลัง

เมื่อมองไปที่เงาร่างนั้น มู่เฉินก็หรี่ตาลงขณะที่คลี่ยิ้ม

ต่อไปถึงตาแกแล้ว

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler ฟรี ได้ที่ novel-fast 


เรื่องย่อ

โดย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler บางส่วนของนิยาย

บทนำ

หนึ่งในใต้หล้าจากปลายปากกาของเทียนฉานถูโต้ว กล่าวถึงมู่เฉิน เด็กหนุ่มจากสำนักศึกษาเป่ยหลิง ผู้ที่ได้รับเลือกให้เข้าฝึกในสงครามเทพยุทธ์ซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าคนเก่งกาจ ทว่า… อยู่ดีๆ เขากลับถูกขับไล่ออกมาด้วยเหตุผลที่ไม่มีใครล่วงรู้ มู่เฉินพยายามฝึกหนักอีกครั้งเพื่อจะพาตัวเองกลับเข้าไปในเส้นทางแห่งนี้ เขาจำเป็นต้องใช้สิ่งนี้เป็นใบเบิกทางเพื่อเข้าศึกษาที่ภาคเบญจภาคี เพื่อ… ปกป้องหญิงสาวที่ตนรัก และยิ่งกว่านั้นคือเพื่อค้นหาเบาะแสของมารดาที่หายสาบสูญไป

‘มหาพันภพ’ เป็นที่ที่มิติทั้งหลายเชื่อมต่อกันในระบบสุริยจักรวาล สถานที่แห่งนี้มีขั้วอำนาจมากมายอาศัยอยู่ จักรพรรดิที่มาจากพิภพเขตล่างต่างเป็นตำนานที่ผู้อื่นปรารถนาขึ้นไปบนเส้นทางแห่งกฎของโลกไร้ขอบเขตนี้

แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว เทพจักรพรรดิอัคคีควบคุมเปลวเพลิงกวาดข้ามสวรรค์

แคว้นหวู เทพจักรพรรดิสงครามผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำให้ทั้งสวรรค์และโลกหวาดกลัว

ตำหนักซีเทียน จักรพรรดิสัประยุทธ์ที่แข็งแกร่งไม่มีผู้ใดเทียบเท่า ในเนินเขารกร้างทางเหนือ ดินแดนวั้นมู่ของจักรพรรดิอมตะครองเหนือภพ

เด็กหนุ่มจากมณฑลเป่ยหลิงออกท่องยุทธภพกับวิหคโลกันตร์คู่ใจ มุ่งหน้าสู่โลกภายนอกที่เต็มไปด้วยสีสัน ใครกันที่จะเป็นผู้กุมชะตากรรมในเส้นทางการเป็นหนึ่ง?

ในมหาพันภพที่สงครามนับหมื่นอุบัติ ข้าคือผู้กุมชะตาฟ้าดิน…

เรื่องย่อ

เมื่อคำพูดของมู่เฉินกระจายออกไป ไม่เพียงแต่จะไม่มีการตอบสนอง แม้แต่ด้านนอกเจดีย์ก็ถูกห่อหุ้มด้วยบรรยากาศราวกับป่าช้า…

ทุกคนตกตะลึงไปกับฉากนี้ พวกเขาจ้องมองจุดที่ลู่สุยหายตัวไป ราวกับว่ายังไม่สามารถฟื้นจากอาการตะลึงงันที่เกิดขึ้นได้

ก่อนหน้าเมื่อลู่สุยออกกระบวนท่าที่น่าสะพรึง ผู้คนส่วนใหญ่ก็คิดว่าผลลัพธ์ของการต่อสู้ได้ถูกกำหนดแล้ว ทว่าพวกเขาไม่คิดเลยว่ามู่เฉินจะพลิกสถานการณ์ได้อีกครั้ง เตะลู่สุยที่เหมือนจะคว้าชัยชนะออกไป

ทุกคนตะลึงไปพักใหญ่ ก่อนที่พวกเขาจะหลุดออกจากอาการได้ สายตาเคร่งเครียดลง การประลองกันครั้งนี้มู่เฉินไม่ได้ใช้ค่ายกล แต่เขาก็สามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดอย่างลู่สุยได้ด้วยความแข็งแกร่งที่อยู่ในขั้นหกเท่านั้น แม้ว่าจะมีผลจากลู่สุยประมาทเองในตอนแรก แต่นั่นก็แสดงให้เห็นว่ามู่เฉินน่ากลัวแค่ไหน

พลังเช่นนี้เขาสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์อันดับต้นๆ ในเจดีย์ฝึกพลังกายได้เลยทีเดียว

ทางฝั่งกลุ่มกระเรียนฟ้า ใบหน้าของหลิ่วชิงกลายเป็นเขียวสลับขาว นางมองไปที่ร่างสูงโปร่งบนหน้าจอ กลืนน้ำลายเหนียวหนืด ความกลัวปรากฏในดวงตาของนางเป็นครั้งแรก

มาถึงจุดนี้นางคงโง่แน่ถ้ายังคิดปฏิบัติต่อมู่เฉินเหมือนกับจอมยุทธ์ขั้นหกทั่วไป

ด้วยพลังในการต่อสู้ที่เขาแสดงออกมา บวกกับค่ายกลทรงพลัง แม้แต่จงเถิงก็ยากจะได้เปรียบหากพวกเขาต่อสู้กัน

ก่อนหน้านี้นางหัวเราะเยาะและมองจิ่วโยวด้วยความดูถูก แต่ตอนนี้นางอายแทบแทรกแผ่นดินหนี ซึ่งจุดนี้รู้ได้จากสายตาเยาะเย้ยเหล่านั้นที่ปรายมองเข้ามา

“ทำไมมู่เฉินถึงทรงพลังเช่นนี้?” จงฮั้วที่พ่ายแพ้ให้กับมู่เฉินก็มีสีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดเช่นกันว่ามู่เฉินพึ่งพาเพียงค่ายกลเพื่อจัดการกับศัตรู แต่ใครจะคิดว่าเมื่อไม่มีการใช้ค่ายกลมู่เฉินก็สามารถเอาชนะลู่สุยแบบดุร้ายยิ่งกว่าอะไร

“ดูเหมือนว่ามีเพียงพี่ใหญ่จงเถิงเท่านั้นที่สามารถจัดการกับเขาได้” จอมยุทธ์อีกคนของเผ่ากระเรียนฟ้าพยักหน้า

หลิ่วชิงพยักหน้าเบาๆ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะพิจารณาพลังของมู่เฉินพลาดไปเท่านั้น แม้แต่จงเถิงก็ตัดสินอีกฝ่ายผิดไป ชายคนนั้นเป็นสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง

ฟิ้ว!

ขณะที่นอกเจดีย์ต่างตกตะลึงกับผลลัพธ์ที่มู่เฉินนำมา ทันใดนั้นแสงก็กะพริบบนแท่นนอกเจดีย์ ร่างน่าสังเวชปรากฏขึ้น

เมื่อร่างนั้นออกมาก็รีบถอยกลับไปปรากฏตัวขึ้นในกลุ่มอีกาสายฟ้าทันควัน นี่ก็คือลู่สุยที่มีสีหน้าซีดขาว คลื่นหลิงของเขาถดถอยลงอย่างมาก

สายตาโดยรอบยิงเข้าหาในเวลานี้ทันที

ใบหน้าของลู่สุยเขียวคล้ำ สายตาเกลียดชังมองไปที่มู่เฉินที่อยู่บนหน้าจอ ก่อนที่จะหันหัวสาดสายตาดุร้ายใส่จิ่วโยวและมั่วหลิง ที่ข้างๆ พรรคพวกของเขาก็มีท่าทางไม่ดีเช่นกัน

ทว่าจิ่วโยวไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับสายตาเหล่านั้น นางเค้นเสียงอย่างเย็นชา “ลูกหมาที่ถูกฟาดยังกล้าที่จะออกมาแยกเขี้ยวอีกเหรอ?”

ตอนนี้ลู่สุยบาดเจ็บสาหัส สูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปหมด ส่วนคนที่เหลือก็ไม่มีอะไรต้องกลัว หากพวกเขากล้าที่จะคิดบัญชีกับพวกนาง จิ่วโยวก็ไม่คิดปล่อยพวกเขาไว้เป็นภัยคุกคามในอนาคตหรอก

สายตาแสดงความเกลียดชังของลู่สุยจ้องเขม็งอยู่ที่จิ่วโยว แต่สุดท้ายเขาก็ต้องถอนสายตาออกไปอย่างไม่เต็มใจ ก่อนที่จะถอยกลับนั่งลงบนซากปรักหักพังเข้าสมาธิเพื่อฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ

จอมยุทธ์กลุ่มอีกาสายฟ้าก็ปรากฏรอบตัวเขาเพื่อปกป้อง

เมื่อจิ่วโยวเห็นการตอบสนองนั่น นางก็ไม่ได้ใส่ใจกับพวกเขาอีก นางมองไปที่หน้าจออีกครั้งโดยพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ร่างเงาอ่อนเยาว์ มือที่กำแน่นผ่อนคลายลง

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงสำหรับนางที่มู่เฉินจะเอาชนะได้เด็ดขาดแบบนี้ นั่นเป็นเพราะตามการประเมินของนางแม้ว่ามู่เฉินจะยืนยงอยู่ได้ก็เป็นยากที่จะเอาชนะลู่สุยด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นหกและถ้าการต่อสู้ถูกลากไปจนสุดอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบคาดไม่ถึง

ทว่าผลลัพธ์สุดท้ายที่ได้ก็ทำให้นางทั้งประหลาดใจและดีใจ

เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินได้รับประโยชน์มหาศาลจากสามชั้นแรกของเจดีย์ฝึกพลังกาย ไม่เช่นนั้นเขาไม่สามารถแสดงพลังเป็นที่ประจักษ์เช่นนี้ได้

“ว่ากันว่าในชั้นสี่มหัศจรรย์กว่านี้มาก หากใครสามารถเข้าไปได้ พวกเขาจะสามารถได้รับผลประโยชน์เกินกว่าสามชั้นแรกมาก…”

จิ่วโยวยิ้มบาง ดูจากสถานการณ์ปัจจุบันไม่น่ามีปัญหาใดๆ ที่มู่เฉินจะเข้าสู่ชั้นสี่ สำหรับมั่วเฟิงความแข็งแกร่งของเขาเป็นหนึ่งในอันดับต้นของกลุ่มที่เข้าไป ดังนั้นจึงไม่ยากสำหรับเขาที่จะได้หนึ่งในห้าที่นั่งนี้ไปเช่นกัน

ดูเหมือนว่าการเดินทางมาที่เจดีย์ฝึกพลังกายโบราณครั้งนี้เผ่าวิหคโลกันตร์อาจเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

บนลานเมฆสายฟ้า

ไม่มีใครตอบคำถามของมู่เฉิน ขณะนี้แม้แต่จอมยุทธ์ทรงอำนาจอย่างหานซันและสีคุนก็ยังรู้สึกหวาดระแวงมู่เฉินอยู่บ้าง ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะไม่ไปปะทะกับมนุษย์ผู้นี้

ดังนั้นคนทั้งหมดที่อยู่ที่นี่จึงเงียบลง ก่อนที่จะถอยออกจากรัศมีโดยรอบมู่เฉินอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณบอกว่าพวกเขาไม่ต้องการต่อสู้กับเขา

เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ก็ไม่มีอารมณ์ใดบนใบหน้า แต่ในใจกลับรู้สึกโล่งอก คนอื่นๆ เห็นเพียงฉากการต่อสู้ตระการที่เขาเอาชนะลู่สุยได้ แต่พวกเขาไม่รู้หรอกว่าหมัดที่เขาชกออกไปก่อนหน้านี้คือพลังงานส่วนเกินจากสามชั้นแรก

ร่างกายของมู่เฉินก่อนหน้าเปรียบเสมือนฟองน้ำที่ดูดซับน้ำจนถึงขีดจำกัด หมัดของเขาจึงเท่ากับบีบน้ำออกจนหมด ทำให้ร่างกายที่อัดแน่นกลับสู่สภาพเดิม

ดังนั้นถ้าให้เขาโจมตีแบบนั้นอีกครั้ง พลังก็จะไม่ทรงประสิทธิภาพเหมือนเมื่อครู่แน่นอน

ประสิทธิผลพิเศษชนิดนี้ของการสะสมพลังงานในร่างกายเป็นทักษะที่ได้มาจากกายามังกรหงส์ ด้วยวิธีนี้เขาจะได้รับผลลัพธ์ที่ไม่มีใครคาดคิดไว้ กลายเป็นไพ่ลับอีกใบหนึ่ง

“คัมภีร์หลงเฟิ่งทรงพลังจริงๆ”

แม้แต่มู่เฉินก็ยังชื่นชมในสิ่งนี้ คัมภีร์หลงเฟิ่งสมแล้วที่เป็นทักษะยอดเยี่ยมแท้จริง จากการประเมินของเขาคัมภีร์นี้ต้องอยู่ในระดับเสินทงแน่นอน ซึ่งไม่ธรรมดาแม้จะอยู่ในกลุ่มวิทยายุทธระดับเสินทงด้วย

มู่เฉินชื่นชมก่อนที่จะใจเย็นลง แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีใครท้าทายเขา แต่เขาก็ไม่ตั้งใจที่จะท้าทายคนอื่นด้วยเช่นกัน เขายืนนิ่งบนตำแหน่งตนเองรอผลการคัดออก

สำหรับจงเถิง มู่เฉินรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นพวกยุแยงให้ลู่สุยมาปะทะกับเขา แต่เนื่องจากตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ดีในการจัดการ เขาจึงได้แต่ผลักแผนไปก่อน

แต่ถึงกระนั้นสายตาคมกล้าของมู่เฉินก็ยังจ้องเขม็งไปที่จงเถิง รอบตัวเต็มไปด้วยคลื่นหลิงราวกับเสือดาวที่กำลังจะจ้องตะครุบเหยื่ออัดแน่นด้วยภัยคุกคาม

เมื่อเห็นท่าทางของมู่เฉิน จงเถิงที่ประจันหน้ากับมั่วเฟิงก็รู้สึกอึดอัดใจ เขาต้องแยกสมาธิอยู่ตลอดเพื่อจับตามองมู่เฉิน ป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายเคลื่อนไหวมาประสานพลังกับมั่วเฟิง

ด้วยวิธีนี้สมาธิของจงเถิงจึงค่อนข้างฟุ้งซ่าน สุดท้ายเขาได้แต่กัดฟัน ถอนคลื่นหลิงและถอยออกจากบริเวณของมั่วเฟิง

“พี่มั่วยากสำหรับการต่อสู้ของเราที่จะได้ข้อสรุป ทำไมเราไม่ไปจัดการคนอื่นและรับที่นั่งมาล่ะ?” ขณะที่จงเถิงถอยกลับเสียงก็สะท้อนก้องไปด้วย

มั่วเฟิงจ้องมองจงเถิงอย่างไม่แยแสก่อนที่จะพยักหน้า นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าหากพวกเขายังอยู่ในสถานการณ์ยืนจ้องหน้ากันก็จะไม่เกิดผลลัพธ์ใด หากเขาร่วมมือกับมู่เฉิน พวกเขาอาจทำให้จงเถิงบ้าดีเดือดขึ้นมา แม้แต่พวกเขาก็ต้องจ่ายราคามหาศาลจากการตีโต้

ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาคือการได้ที่นั่งเพื่อเข้าสู่ชั้นสี่

เมื่อจงเถิงเห็นคำตอบของมั่วเฟิงก็รู้สึกโล่งใจในใจ เขาถอยกลับอย่างรวดเร็วออกจากจุดที่มู่เฉินและมั่วเฟิงอยู่ เขาครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนจะเลือกปะทะกับคนที่อ่อนแอกว่า

พอมู่เฉินเห็นจงเถิงไปแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจอีกต่อไป สายตาหันมามองมั่วเฟิงแล้วก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มแสดงความขอบคุณในการช่วยเหลือครั้งนี้

สายตาของมั่วเฟิงเป็นมิตรมากขึ้น คิดว่าการที่มู่เฉินเอาชนะลู่สุย ทำให้มั่วเฟิงมองมู่เฉินในฐานะจอมยุทธ์ที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเขา ดังนั้นจึงไม่ได้มีท่าทางเฉยเมยเหมือนเมื่อก่อน

มั่วเฟิงพยักหน้าให้มู่เฉิน ก่อนที่จะหันหลังกลับและเริ่มเลือกคู่ต่อสู้ของตนเอง

ครืน!

เมื่อทุกคนเลือกคู่ต่อสู้แล้ว ทันใดนั้นคลื่นหลิงก็ระเบิดรุนแรงบนลานเมฆสายฟ้า คลื่นกระแทกกวาดออก ทำให้มิติเกิดการสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไม่หยุด

บนลานเมฆสายฟ้าพลังงานหลิงกวาดหายนะ มีเพียงตรงมู่เฉินเท่านั้นที่ไม่ถูกรบกวน เนื่องจากไม่มีใครกล้าเหยียบเข้ามาในรัศมีพันจั้ง ยามนี้เขาเหมือนผู้ชมที่ดูการต่อสู้ติดขอบ ในเวลาเดียวกันก็บันทึกกระบวนท่าที่ทรงพลังของบางคนไว้ในสมอง

แม้ว่าในชั้นนี้พวกเขาอาจไม่ได้ประลองกัน แต่ก็ยังมีอีกสองชั้นรอพวกเขาอยู่ ใครจะสามารถรับประกันได้ว่าจะไม่มีการลดจำนวนลงในชั้นต่อไป?

ดังนั้นถ้ามีโอกาสเขาต้องพยายามจดจำข้อมูลผู้อื่นเก็บไว้

ภายใต้การสังเกตของมู่เฉิน การประลองบนลานเมฆสายฟ้าก็คงอยู่ชั่วระยะหนึ่ง ก่อนที่แต่ละคู่จะมาถึงจุดสิ้นสุด ผลลัพธ์ก็เป็นไปตามที่คาดไว้

หลังจากมู่เฉินก็เป็นหานซันที่เอาชนะคู่ต่อสู้ได้ที่นั่งที่สองไป

จากนั้นมั่วเฟิงและจงเถิงก็คว้าชัยชนะตามมา

ที่นั่งสุดท้ายตกเป็นของสีคุนที่ก่อนหน้านี้เคยแพ้หานซันที่ด้านนอกเจดีย์ ชายนี้มีความแข็งแกร่งที่น่าตกใจ แม้แต่หานซันยังต้องใช้ทักษะเต็มที่ถึงจะได้รับชัยชนะมา

เมื่อสีคุนได้รับที่นั่งสุดท้ายลานเมฆสายฟ้าขนาดใหญ่ก็เงียบลงอีกครั้ง ร่างทั้งห้ายืนอยู่ ขณะรัศมีไร้ขอบเขตทั้งห้าสายพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าชนกันเปรี้ยงปร้าง

ทว่าการชนกันก็ดำเนินไปเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ก่อนที่ทั้งห้าจะถอนคลื่นพลังพร้อมกัน พวกเขาเหลือบมองกันและกัน จากนั้นก็ไม่ลังเลทะยานออกไปปรากฏตัวบนเบาะทั้งห้า

สายตาพวกเขาพุ่งตรงไปยังมิติด้านหลังลานเมฆสายฟ้าด้วยความโลภ ตรงนั้นเส้นดาวหางจำนวนมากกวาดผ่านราวกับฝนดาวตก

ในแสงเหล่านั้นแก่นหยดสายฟ้ากำลังกะพริบด้วยความแวววาว


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท