หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – ตอนที่ 1026

ตอนที่ 1026

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1026 จิงเลี่ย
เบื้องหน้าป่าขาวโพลน

ผู้นำกลุ่มหมาป่าเวหะจ้องมองพวกมู่เฉินด้วยตาสีแดงก่ำ ความคมปลาบในดวงตาประหนึ่งใบมีดที่ต้องการกรีดแทงร่างคนไป

“ฮ่าๆ พี่ฮั่วไม่ต้องกังวล พวกเขาเป็นสหายจากเผ่าวิหคโลกันตร์ เป็นพันธมิตรของข้า” หานซันยิ้มพลางอธิบาย

“พันธมิตร?”

ฮั่วหยังจากเผ่าหมาป่าเวหะขมวดคิ้วขณะหัวเราะเสียงเย็น “หานซัน เจ้าคิดว่ามีสมบัติล้ำค่ามากมายจากอสูรโบราณโภคะเรอะไง? คนมากขึ้นก็หมายความว่าส่วนแบ่งจะมากขึ้นตาม ข้าไม่เห็นด้วยกับเรื่องนี้”

หานซันพูดด้วยสีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง “พี่ฮั่วไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้ ในเมื่อข้าเป็นคนชวนพวกเขามา ก็แบ่งในส่วนของข้า ไม่ไปแตะต้องของพวกเจ้าหรอก”

เมื่อฮั่วหยังได้ยินคำพูดของหานซันสีหน้าก็ดูดีขึ้น ทว่าเขายังคงมองไปที่กลุ่มมู่เฉินด้วยสายตาดุร้าย อึดใจมุมปากดึงขึ้นพร้อมกับแววตาเหยียดหยาม

ชัดว่าเขารู้สึกได้แล้วว่าในกลุ่มนี้ มีเพียงจิ่วโยวและมั่วเฟิงที่มีขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ด ส่วนอีกสองคนยังอยู่ขั้นหกเท่านั้น

พลังแค่นี้ยังกล้ามาที่สุสานหมื่นอสูร ดวงตามืดบอดด้วยความโง่เขลาอย่างแท้จริง

การดูถูกในสายตาของฮั่วหยังไม่ได้ปิดบัง ดังนั้นพวกมู่เฉินก็สัมผัสได้ ทว่าพวกเขาไม่ได้โกรธ สีหน้ายังคงสงบนิ่ง ไม่มีท่าทางจะสร้างความสัมพันธ์กับเผ่าหมาป่าเวหะแม้แต่น้อย

มู่เฉินกวาดตามองอีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว พวกเขามีทั้งหมดห้าคน สี่คนมีขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ด การรวมตัวของพวกเขาเทียบได้กับเผ่าแรดอสูรเลยทีเดียว เห็นได้ชัดว่าพวกเขาก็ทุ่มความพยายามอย่างมากสำหรับการเดินทางมาเพื่ออสูรโบราณโภคะ

เนื่องจากความยากลำบากในการส่งจอมยุทธ์เพิ่มเติมเข้ามาจะยากขึ้น แม้แต่เผ่าวิหคโลกันตร์ยังส่งมาได้เพียงสี่คนเท่านั้น แน่นอนว่ามีเหตุผลที่ไม่อยากส่งสมาชิกเผ่าที่มีกำลังอ่อนแอเข้ามาด้วย เพราะมีอัจฉริยะในดินแดนเสินโซ่มีจำนวนมากเกิน ดังนั้นพวกเขาจึงแสวงหาคุณภาพป้อนเข้ามาไม่ใช่ปริมาณ

แต่ในบรรดาจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดทั้งสี่คนของเผ่าหมาป่าเวหะ นอกเหนือจากฮั่วหยังที่ทำให้มู่เฉินค่อนข้างคาดหวัง คนที่เหลือเขาก็กวาดตามองผ่านไปอย่างรวดเร็ว ประสาทสัมผัสของเขาบอกว่าทั้งสามคนมีพลังคล้ายคลึงกับลู่สุยเผ่าอีกาสายฟ้า หากเขาเผชิญหน้ากับพวกเขาก่อนที่จะบรรลุขั้นสองของคัมภีร์หลงเฟิ่งได้ก็อาจจะลำบากไปบ้าง แต่ตอนนี้…เป็นเรื่องง่ายดายมาก

“พี่ฮั่วหยังสถานการณ์ตอนนี้เป็นไงบ้าง?” หานซันยิ้ม

ฮั่วหยังเบ้ปาก “เผ่าราชสีห์ทองคำมาถึงก่อนครึ่งวันแล้ว แต่พวกเขาก็ไม่กล้าเข้าลึกเกินไป ข้างในจำนวนของอสูรวิญญาณเหมือนจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ”

“เผ่าราชสีห์ทองคำเคยส่งข้อความมาถึงพวกเรา บอกว่าจากการตรวจสอบของพวกเขาจำนวนอสูรวิญญาณขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดในสุสานเพิ่มมาเป็นสิบห้าร่างแล้ว”

เมื่อหานซันได้ยินคำพูดนั่น ใบหน้าก็อดจะเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียดไม่ได้ อสูรวิญญาณขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดสิบห้าร่าง ยากสำหรับเผ่าเดียวที่จะทำลายทั้งหมดด้วยตัวเอง

“จุดประสงค์ของเผ่าราชสีห์ทองคำคือร่วมมือกันจัดการกับอสูรวิญญาณก่อน แล้วค่อยมาตัดสินเรื่องสมบัติหลังจากไปถึงขุมทรัพย์แล้ว” ดวงตาสีแดงของฮั่วหยังเหลือบมองไปที่หานซันขณะที่พูด

“ร่วมมือรึ?”

หานซันยังไม่ตอบคำถามนั้นแต่กล่าวว่า “เราไปดูกันก่อน”

หลังจากที่พูดจบ ก็พาทุกคนเข้าป่าอย่างรวดเร็ว

ที่ด้านหลังฮั่วหยังมองร่างเงาของพวกเขาด้วยแวววูบไหว จากนั้นก็โบกมือติดตามไปอย่างรวดเร็ว

พืชพันธุ์ในป่าเป็นสีขาวซีดปกคลุมไปด้วยรัศมีความตายหนาแน่น ยิ่งเข้าไปลึกขึ้น มู่เฉินก็สัมผัสได้ถึงความหนาแน่นของรัศมีที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนถึงจุดที่สามารถหยุดกระแสเลือดในร่างกายได้เลยทีเดียว

ป่าแห่งนี้กว้างใหญ่มาก พวกเขาเหาะเหินมาอย่างรวดเร็วก็ใช้เวลาสิบกว่านาทีก่อนจะเริ่มชะลอตัวลง ป่าที่เบื้องหน้าเริ่มบางตาถูกแทนที่ด้วยเนินเขาสูงชัน กลุ่มมู่เฉินยืนอยู่บนก้อนหินสีเทาอ่อนมองลงไปที่หุบเหวขนาดใหญ่ใต้เนินเขา

ต้นไม้ที่นี่มีสีดำสนิทเนื่องจากถูกกัดกร่อนรุนแรงจากรัศมีความตาย ทั่วบริเวณเต็มไปด้วยเสียงคำรามของสัตว์อสูร มองเห็นเงาวูบไหวเลือนราง

“นี่คือที่ที่อสูรโภคะละสังขาร” หานซันชี้ไปทางหุบเหว พูดด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

มู่เฉินเพ่งมองไป รัศมีความตายน่าสะพรึงกลัวแปรสภาพเป็นชั้นเมฆสีเทาเหนือปากเหว พื้นที่ทั้งหมดไม่มีสัญญาณพลังชีวิตเลย

ทิวทัศน์นี้แสดงถึงอันตรายอย่างยิ่งของสุสานหมื่นอสูร เมื่อจอมยุทธ์ธรรมดาเห็นฉากนี้ก็จะรีบเผ่นออกไปให้ไกล หากไม่ใช่เพราะความบังเอิญแม้แต่จอมยุทธ์เผ่าแรดอสูร เผ่าหมาป่าเวหะและเผ่าราชสีห์ทองคำ ก็คงไม่สามารถค้นพบสุสานอสูรโบราณโภคะที่ซ่อนอยู่ที่นี่ได้

ขณะที่พวกเขาสำรวจพื้นที่ แสงสีทองก็กะพริบในระยะไกลเสียงลมแหวกอากาศดังก้อง ทันใดนั้นสีหน้าหานซันก็ตื่นตัว

แสงสีทองเหล่านั้นปรากฏขึ้นอย่างรวดเร็ว เมื่อพวกเขาแสดงตัวแรงกดดันทรงพลังก็พล่านออกมาจากร่างที่กำยำ

มู่เฉินกวาดสายตามองไปก็เห็นจอมยุทธ์หกคนที่มา ทั้งหมดมีรูปร่างกำยำล่ำสัน เรือนผมสีทอง มีอักขระสีทองจางๆ บนใบหน้าพวกเขา ในดวงตาสีทองความเย่อหยิ่งและความกดดันที่ไม่อาจปกปิดได้กวาดออก

เห็นได้ชัดว่าพวกเขาเป็นจอมยุทธ์จากเผ่าราชสีห์ทองคำ

เมื่อจอมยุทธ์เผ่าราชสีห์ทองคำปรากฏตัว จอมยุทธ์เผ่าแรดอสูรก็เพิ่มความระมัดระวัง ร่างกายตึงเครียดขึ้นมาทันที คลื่นหลิงพลุ่งพล่านรอบตัวขณะจ้องมองอีกฝ่าย

ใบหน้าหานซันยังคงสงบนิ่ง เขามองเบื้องหน้าเผ่าราชสีห์ทองคำ ผู้นำคนนี้เป็นชายรูปร่างสูงใหญ่กำยำ ร่างกายราวกับเหล็กกล้าที่มีแสงสีทองวับวาวอยู่ใต้ผิวหนัง เขาส่งแรงกดดันที่น่าอัศจรรย์ใจพร้อมกับแรงกดดันคลื่นหลิงพวยพุ่งออกจากร่างกายไม่รู้จบ

“จิงเลี่ย…เจ้าเป็นหัวหน้ากลุ่มราชสีห์ทองคำครั้งนี้จริงด้วย” หานซันจ้องมองชายร่างกำยำก็พูดขึ้นช้าๆ

จิ่วโยวหันมากระซิบบอกมู่เฉิน “มีจอมยุทธ์โดดเด่นสองคนในหมู่คนรุ่นใหม่ของเผ่าราชสีห์ทองคำ ที่รู้จักกันในฉายาวีรบุรุษคู่ทองคำ จิงเลี่ยเป็นหนึ่งในนั้น แต่ดูเหมือนว่าอีกคนจะไม่ได้มาในครั้งนี้”

มู่เฉินพยักหน้า แรงกดดันที่จิงเลี่ยส่งออกมานั้นทรงพลังอย่างแท้จริง บางทีจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดทั่วไปคงไม่สามารถเผชิญหน้าได้ นอกจากนี้เขายังรู้สึกได้ว่าพลังกายของจิงเลี่ยได้ผ่านการเพาะบ่มจนทำให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้นด้วย

เมื่อจิงเลี่ยได้ยินคำพูดของหานซันก็แสยะยิ้มพร้อมเผยให้เห็นฟันสีขาวไข่มุกที่สาดไอเย็นเยือก เขาจ้องมองหานซันด้วยสายตากดดัน ก่อนจะหยุดอยู่ที่จิ่วโยวและมั่วเฟิง

“หานซัน เจ้าไม่มั่นใจในกลุ่มของตัวเองขนาดนั้นเลยเหรอ ยอมปล่อยให้คนอื่นมีส่วนร่วมในโอกาสแบบนี้ด้วยเรอะ?” จิงเลี่ยฉายยิ้มเยาะเย้ย

เมื่อจิ่วโยวได้ยินคำพูดนั่น นางก็พูดเบาๆ ว่า “พวกข้าแค่ได้รับเชิญมาเปิดหูเปิดตาเฉยๆ”

จิงเลี่ยยิ้ม “การรวมตัวแบบนี้ยังกล้ามา ไม่รู้ว่าพวกเจ้าหยิ่งหรือโง่กันแน่?”

“หยิ่งหรือโง่ ลองดูก็รู้แล้วไม่ใช่เหรอ?” มู่เฉินยิ้มบาง

“ขุมพลังจื้อจุนขั้นหกมีสิทธิ์พูดที่นี่เรอะ?” ยืนอยู่ข้างหลังจิงเลี่ย จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดของเผ่าราชสีห์ทองคำก็โพล่งออกมา

จิงเลี่ยโบกมือหยุดพรรคพวกไว้ ทว่าสายตาไม่ได้มองมู่เฉินสักแวบ ชัดว่าเขาไม่คิดว่าตนเองจำเป็นต้องให้ความสนใจกับจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นหก

“หานซัน เราไม่ได้มาที่นี่เพื่อทะเลาะกัน… จากการสำรวจของพวกข้ามีอสูรวิญญาณระดับจื้อจุนขั้นเจ็ดอยู่ที่นี่ประมาณสิบกว่าร่าง บวกกับอสูรวิญญาณอีกจำนวนมาก ซึ่งเป็นไปไม่ได้ที่กลุ่มใดกลุ่มหนึ่งจะประสบความสำเร็จในการผ่านไปได้ตามลำพัง”

จิงเลี่ยมองหานซันขณะที่พูดต่อ “เรื่องนี้เผ่าหมาป่าเวหะก็เข้ามาสำรวจแล้วเช่นกัน หากเจ้าไม่เชื่อก็ไปสำรวจดูเองได้”

พวกฮั่วหยังที่ตามมาด้านหลังก็พยักหน้า

หานซันมองไปยังบริเวณซึ่งเต็มไปด้วยรัศมีความตายหนาแน่นก็ขมวดคิ้ว ที่จริงแล้วเขาไม่จำเป็นต้องตรวจสอบเพราะเขารู้สึกได้คลุมเครือว่ามีอสูรวิญญาณที่น่ากลัวอยู่มากมาย

“พี่มู่ เจ้ามีความคิดเห็นยังไงกับเรื่องนี้?” หานซันเงียบไปครู่หนึ่งก่อนที่จะหันไปถามความคิดเห็นมู่เฉิน

พอจิงเลี่ยและฮั่วหยังเห็นว่าหานซันไม่ได้ถามจิ่วโยวกับมั่วเฟิง แต่กลับหันไปหามู่เฉินที่มีขุมพลังจื้อจุนขั้นหก พวกเขาก็อดไม่ได้ที่จะอึ้งไปพลางมองมู่เฉินด้วยความประหลาดใจ เห็นได้ชัดว่าพวกเขาไม่เข้าใจว่าทำไมหานซันถึงสุภาพกับมู่เฉินขนาดนั้น

มู่เฉินแลกเปลี่ยนสายตากับจิ่วโยวแล้วพยักหน้า

เมื่อเห็นการตอบสนองนี่ หานซันก็พยักหน้าให้จิงเลี่ย “เราจะร่วมมือกันเพื่อกำจัดอสูรวิญญาณก่อน สำหรับเรื่องสมบัติค่อยแบ่งกันหลังจากที่ผ่านตรงนี้ไป”

เมื่อจิงเลี่ยได้ยินคำพูดนั่นก็พยักหน้า ทั้งสามกลุ่มวางแผนจัดสรรพื้นที่และจำนวนของอสูรวิญญาณ

“ในเมื่อทุกคนเตรียมตัวมาพร้อมแล้ว ก็ลุยกันเลยเถอะ”

จิงเลี่ยเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วและเด็ดขาดโดยไม่ชักช้า เมื่อแจกแจงรายละเอียดเสร็จสิ้น เขาก็ไม่ได้พูดอะไรเพิ่มเติม นำพรรคพวกทะยานออกไปทันที

“เราก็ไปก่อน เดี๋ยวมารวมตัวกันหลังจากจัดการเรียบร้อย”

ฮั่วหยังพูดขึ้นพร้อมกับนำพรรคพวกออกไป

“งั้นเราก็ไปกันเถอะ”

เมื่อหานเห็นสองกลุ่มออกตัวไป เขาก็พูดกับมูเฉินก่อนที่จะเปลี่ยนเป็นลำแสงทะยานไปที่เหวสีดำสนิทเบื้องล่าง

มู่เฉินตามไปที่ด้านหลังดวงตาหรี่ลงมองไปที่ทิศทางกลุ่มราชสีห์ทองคำและหมาป่าเวหะที่จากไป ก่อนจะเอามือไพล่หลัง แอบส่งสัญญาณมือให้พรรคพวก

ระวัง

ทั้งสามแลกเปลี่ยนสายตากันอย่างรวดเร็ว ประกายแสงวาบผ่านดวงตาขณะที่ผงกหัวเบาๆ

ศึกการแย่งชิงอสูรโบราณโภคะในครั้งนี้คงไม่ราบรื่นอย่างที่คิดไว้แล้ว

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler ฟรี ได้ที่ novel-fast 


เรื่องย่อ

โดย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler บางส่วนของนิยาย

บทนำ

หนึ่งในใต้หล้าจากปลายปากกาของเทียนฉานถูโต้ว กล่าวถึงมู่เฉิน เด็กหนุ่มจากสำนักศึกษาเป่ยหลิง ผู้ที่ได้รับเลือกให้เข้าฝึกในสงครามเทพยุทธ์ซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าคนเก่งกาจ ทว่า… อยู่ดีๆ เขากลับถูกขับไล่ออกมาด้วยเหตุผลที่ไม่มีใครล่วงรู้ มู่เฉินพยายามฝึกหนักอีกครั้งเพื่อจะพาตัวเองกลับเข้าไปในเส้นทางแห่งนี้ เขาจำเป็นต้องใช้สิ่งนี้เป็นใบเบิกทางเพื่อเข้าศึกษาที่ภาคเบญจภาคี เพื่อ… ปกป้องหญิงสาวที่ตนรัก และยิ่งกว่านั้นคือเพื่อค้นหาเบาะแสของมารดาที่หายสาบสูญไป

‘มหาพันภพ’ เป็นที่ที่มิติทั้งหลายเชื่อมต่อกันในระบบสุริยจักรวาล สถานที่แห่งนี้มีขั้วอำนาจมากมายอาศัยอยู่ จักรพรรดิที่มาจากพิภพเขตล่างต่างเป็นตำนานที่ผู้อื่นปรารถนาขึ้นไปบนเส้นทางแห่งกฎของโลกไร้ขอบเขตนี้

แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว เทพจักรพรรดิอัคคีควบคุมเปลวเพลิงกวาดข้ามสวรรค์

แคว้นหวู เทพจักรพรรดิสงครามผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำให้ทั้งสวรรค์และโลกหวาดกลัว

ตำหนักซีเทียน จักรพรรดิสัประยุทธ์ที่แข็งแกร่งไม่มีผู้ใดเทียบเท่า ในเนินเขารกร้างทางเหนือ ดินแดนวั้นมู่ของจักรพรรดิอมตะครองเหนือภพ

เด็กหนุ่มจากมณฑลเป่ยหลิงออกท่องยุทธภพกับวิหคโลกันตร์คู่ใจ มุ่งหน้าสู่โลกภายนอกที่เต็มไปด้วยสีสัน ใครกันที่จะเป็นผู้กุมชะตากรรมในเส้นทางการเป็นหนึ่ง?

ในมหาพันภพที่สงครามนับหมื่นอุบัติ ข้าคือผู้กุมชะตาฟ้าดิน…

เรื่องย่อ

เมื่อคำพูดของมู่เฉินกระจายออกไป ไม่เพียงแต่จะไม่มีการตอบสนอง แม้แต่ด้านนอกเจดีย์ก็ถูกห่อหุ้มด้วยบรรยากาศราวกับป่าช้า…

ทุกคนตกตะลึงไปกับฉากนี้ พวกเขาจ้องมองจุดที่ลู่สุยหายตัวไป ราวกับว่ายังไม่สามารถฟื้นจากอาการตะลึงงันที่เกิดขึ้นได้

ก่อนหน้าเมื่อลู่สุยออกกระบวนท่าที่น่าสะพรึง ผู้คนส่วนใหญ่ก็คิดว่าผลลัพธ์ของการต่อสู้ได้ถูกกำหนดแล้ว ทว่าพวกเขาไม่คิดเลยว่ามู่เฉินจะพลิกสถานการณ์ได้อีกครั้ง เตะลู่สุยที่เหมือนจะคว้าชัยชนะออกไป

ทุกคนตะลึงไปพักใหญ่ ก่อนที่พวกเขาจะหลุดออกจากอาการได้ สายตาเคร่งเครียดลง การประลองกันครั้งนี้มู่เฉินไม่ได้ใช้ค่ายกล แต่เขาก็สามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดอย่างลู่สุยได้ด้วยความแข็งแกร่งที่อยู่ในขั้นหกเท่านั้น แม้ว่าจะมีผลจากลู่สุยประมาทเองในตอนแรก แต่นั่นก็แสดงให้เห็นว่ามู่เฉินน่ากลัวแค่ไหน

พลังเช่นนี้เขาสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์อันดับต้นๆ ในเจดีย์ฝึกพลังกายได้เลยทีเดียว

ทางฝั่งกลุ่มกระเรียนฟ้า ใบหน้าของหลิ่วชิงกลายเป็นเขียวสลับขาว นางมองไปที่ร่างสูงโปร่งบนหน้าจอ กลืนน้ำลายเหนียวหนืด ความกลัวปรากฏในดวงตาของนางเป็นครั้งแรก

มาถึงจุดนี้นางคงโง่แน่ถ้ายังคิดปฏิบัติต่อมู่เฉินเหมือนกับจอมยุทธ์ขั้นหกทั่วไป

ด้วยพลังในการต่อสู้ที่เขาแสดงออกมา บวกกับค่ายกลทรงพลัง แม้แต่จงเถิงก็ยากจะได้เปรียบหากพวกเขาต่อสู้กัน

ก่อนหน้านี้นางหัวเราะเยาะและมองจิ่วโยวด้วยความดูถูก แต่ตอนนี้นางอายแทบแทรกแผ่นดินหนี ซึ่งจุดนี้รู้ได้จากสายตาเยาะเย้ยเหล่านั้นที่ปรายมองเข้ามา

“ทำไมมู่เฉินถึงทรงพลังเช่นนี้?” จงฮั้วที่พ่ายแพ้ให้กับมู่เฉินก็มีสีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดเช่นกันว่ามู่เฉินพึ่งพาเพียงค่ายกลเพื่อจัดการกับศัตรู แต่ใครจะคิดว่าเมื่อไม่มีการใช้ค่ายกลมู่เฉินก็สามารถเอาชนะลู่สุยแบบดุร้ายยิ่งกว่าอะไร

“ดูเหมือนว่ามีเพียงพี่ใหญ่จงเถิงเท่านั้นที่สามารถจัดการกับเขาได้” จอมยุทธ์อีกคนของเผ่ากระเรียนฟ้าพยักหน้า

หลิ่วชิงพยักหน้าเบาๆ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะพิจารณาพลังของมู่เฉินพลาดไปเท่านั้น แม้แต่จงเถิงก็ตัดสินอีกฝ่ายผิดไป ชายคนนั้นเป็นสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง

ฟิ้ว!

ขณะที่นอกเจดีย์ต่างตกตะลึงกับผลลัพธ์ที่มู่เฉินนำมา ทันใดนั้นแสงก็กะพริบบนแท่นนอกเจดีย์ ร่างน่าสังเวชปรากฏขึ้น

เมื่อร่างนั้นออกมาก็รีบถอยกลับไปปรากฏตัวขึ้นในกลุ่มอีกาสายฟ้าทันควัน นี่ก็คือลู่สุยที่มีสีหน้าซีดขาว คลื่นหลิงของเขาถดถอยลงอย่างมาก

สายตาโดยรอบยิงเข้าหาในเวลานี้ทันที

ใบหน้าของลู่สุยเขียวคล้ำ สายตาเกลียดชังมองไปที่มู่เฉินที่อยู่บนหน้าจอ ก่อนที่จะหันหัวสาดสายตาดุร้ายใส่จิ่วโยวและมั่วหลิง ที่ข้างๆ พรรคพวกของเขาก็มีท่าทางไม่ดีเช่นกัน

ทว่าจิ่วโยวไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับสายตาเหล่านั้น นางเค้นเสียงอย่างเย็นชา “ลูกหมาที่ถูกฟาดยังกล้าที่จะออกมาแยกเขี้ยวอีกเหรอ?”

ตอนนี้ลู่สุยบาดเจ็บสาหัส สูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปหมด ส่วนคนที่เหลือก็ไม่มีอะไรต้องกลัว หากพวกเขากล้าที่จะคิดบัญชีกับพวกนาง จิ่วโยวก็ไม่คิดปล่อยพวกเขาไว้เป็นภัยคุกคามในอนาคตหรอก

สายตาแสดงความเกลียดชังของลู่สุยจ้องเขม็งอยู่ที่จิ่วโยว แต่สุดท้ายเขาก็ต้องถอนสายตาออกไปอย่างไม่เต็มใจ ก่อนที่จะถอยกลับนั่งลงบนซากปรักหักพังเข้าสมาธิเพื่อฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ

จอมยุทธ์กลุ่มอีกาสายฟ้าก็ปรากฏรอบตัวเขาเพื่อปกป้อง

เมื่อจิ่วโยวเห็นการตอบสนองนั่น นางก็ไม่ได้ใส่ใจกับพวกเขาอีก นางมองไปที่หน้าจออีกครั้งโดยพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ร่างเงาอ่อนเยาว์ มือที่กำแน่นผ่อนคลายลง

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงสำหรับนางที่มู่เฉินจะเอาชนะได้เด็ดขาดแบบนี้ นั่นเป็นเพราะตามการประเมินของนางแม้ว่ามู่เฉินจะยืนยงอยู่ได้ก็เป็นยากที่จะเอาชนะลู่สุยด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นหกและถ้าการต่อสู้ถูกลากไปจนสุดอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบคาดไม่ถึง

ทว่าผลลัพธ์สุดท้ายที่ได้ก็ทำให้นางทั้งประหลาดใจและดีใจ

เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินได้รับประโยชน์มหาศาลจากสามชั้นแรกของเจดีย์ฝึกพลังกาย ไม่เช่นนั้นเขาไม่สามารถแสดงพลังเป็นที่ประจักษ์เช่นนี้ได้

“ว่ากันว่าในชั้นสี่มหัศจรรย์กว่านี้มาก หากใครสามารถเข้าไปได้ พวกเขาจะสามารถได้รับผลประโยชน์เกินกว่าสามชั้นแรกมาก…”

จิ่วโยวยิ้มบาง ดูจากสถานการณ์ปัจจุบันไม่น่ามีปัญหาใดๆ ที่มู่เฉินจะเข้าสู่ชั้นสี่ สำหรับมั่วเฟิงความแข็งแกร่งของเขาเป็นหนึ่งในอันดับต้นของกลุ่มที่เข้าไป ดังนั้นจึงไม่ยากสำหรับเขาที่จะได้หนึ่งในห้าที่นั่งนี้ไปเช่นกัน

ดูเหมือนว่าการเดินทางมาที่เจดีย์ฝึกพลังกายโบราณครั้งนี้เผ่าวิหคโลกันตร์อาจเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

บนลานเมฆสายฟ้า

ไม่มีใครตอบคำถามของมู่เฉิน ขณะนี้แม้แต่จอมยุทธ์ทรงอำนาจอย่างหานซันและสีคุนก็ยังรู้สึกหวาดระแวงมู่เฉินอยู่บ้าง ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะไม่ไปปะทะกับมนุษย์ผู้นี้

ดังนั้นคนทั้งหมดที่อยู่ที่นี่จึงเงียบลง ก่อนที่จะถอยออกจากรัศมีโดยรอบมู่เฉินอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณบอกว่าพวกเขาไม่ต้องการต่อสู้กับเขา

เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ก็ไม่มีอารมณ์ใดบนใบหน้า แต่ในใจกลับรู้สึกโล่งอก คนอื่นๆ เห็นเพียงฉากการต่อสู้ตระการที่เขาเอาชนะลู่สุยได้ แต่พวกเขาไม่รู้หรอกว่าหมัดที่เขาชกออกไปก่อนหน้านี้คือพลังงานส่วนเกินจากสามชั้นแรก

ร่างกายของมู่เฉินก่อนหน้าเปรียบเสมือนฟองน้ำที่ดูดซับน้ำจนถึงขีดจำกัด หมัดของเขาจึงเท่ากับบีบน้ำออกจนหมด ทำให้ร่างกายที่อัดแน่นกลับสู่สภาพเดิม

ดังนั้นถ้าให้เขาโจมตีแบบนั้นอีกครั้ง พลังก็จะไม่ทรงประสิทธิภาพเหมือนเมื่อครู่แน่นอน

ประสิทธิผลพิเศษชนิดนี้ของการสะสมพลังงานในร่างกายเป็นทักษะที่ได้มาจากกายามังกรหงส์ ด้วยวิธีนี้เขาจะได้รับผลลัพธ์ที่ไม่มีใครคาดคิดไว้ กลายเป็นไพ่ลับอีกใบหนึ่ง

“คัมภีร์หลงเฟิ่งทรงพลังจริงๆ”

แม้แต่มู่เฉินก็ยังชื่นชมในสิ่งนี้ คัมภีร์หลงเฟิ่งสมแล้วที่เป็นทักษะยอดเยี่ยมแท้จริง จากการประเมินของเขาคัมภีร์นี้ต้องอยู่ในระดับเสินทงแน่นอน ซึ่งไม่ธรรมดาแม้จะอยู่ในกลุ่มวิทยายุทธระดับเสินทงด้วย

มู่เฉินชื่นชมก่อนที่จะใจเย็นลง แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีใครท้าทายเขา แต่เขาก็ไม่ตั้งใจที่จะท้าทายคนอื่นด้วยเช่นกัน เขายืนนิ่งบนตำแหน่งตนเองรอผลการคัดออก

สำหรับจงเถิง มู่เฉินรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นพวกยุแยงให้ลู่สุยมาปะทะกับเขา แต่เนื่องจากตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ดีในการจัดการ เขาจึงได้แต่ผลักแผนไปก่อน

แต่ถึงกระนั้นสายตาคมกล้าของมู่เฉินก็ยังจ้องเขม็งไปที่จงเถิง รอบตัวเต็มไปด้วยคลื่นหลิงราวกับเสือดาวที่กำลังจะจ้องตะครุบเหยื่ออัดแน่นด้วยภัยคุกคาม

เมื่อเห็นท่าทางของมู่เฉิน จงเถิงที่ประจันหน้ากับมั่วเฟิงก็รู้สึกอึดอัดใจ เขาต้องแยกสมาธิอยู่ตลอดเพื่อจับตามองมู่เฉิน ป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายเคลื่อนไหวมาประสานพลังกับมั่วเฟิง

ด้วยวิธีนี้สมาธิของจงเถิงจึงค่อนข้างฟุ้งซ่าน สุดท้ายเขาได้แต่กัดฟัน ถอนคลื่นหลิงและถอยออกจากบริเวณของมั่วเฟิง

“พี่มั่วยากสำหรับการต่อสู้ของเราที่จะได้ข้อสรุป ทำไมเราไม่ไปจัดการคนอื่นและรับที่นั่งมาล่ะ?” ขณะที่จงเถิงถอยกลับเสียงก็สะท้อนก้องไปด้วย

มั่วเฟิงจ้องมองจงเถิงอย่างไม่แยแสก่อนที่จะพยักหน้า นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าหากพวกเขายังอยู่ในสถานการณ์ยืนจ้องหน้ากันก็จะไม่เกิดผลลัพธ์ใด หากเขาร่วมมือกับมู่เฉิน พวกเขาอาจทำให้จงเถิงบ้าดีเดือดขึ้นมา แม้แต่พวกเขาก็ต้องจ่ายราคามหาศาลจากการตีโต้

ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาคือการได้ที่นั่งเพื่อเข้าสู่ชั้นสี่

เมื่อจงเถิงเห็นคำตอบของมั่วเฟิงก็รู้สึกโล่งใจในใจ เขาถอยกลับอย่างรวดเร็วออกจากจุดที่มู่เฉินและมั่วเฟิงอยู่ เขาครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนจะเลือกปะทะกับคนที่อ่อนแอกว่า

พอมู่เฉินเห็นจงเถิงไปแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจอีกต่อไป สายตาหันมามองมั่วเฟิงแล้วก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มแสดงความขอบคุณในการช่วยเหลือครั้งนี้

สายตาของมั่วเฟิงเป็นมิตรมากขึ้น คิดว่าการที่มู่เฉินเอาชนะลู่สุย ทำให้มั่วเฟิงมองมู่เฉินในฐานะจอมยุทธ์ที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเขา ดังนั้นจึงไม่ได้มีท่าทางเฉยเมยเหมือนเมื่อก่อน

มั่วเฟิงพยักหน้าให้มู่เฉิน ก่อนที่จะหันหลังกลับและเริ่มเลือกคู่ต่อสู้ของตนเอง

ครืน!

เมื่อทุกคนเลือกคู่ต่อสู้แล้ว ทันใดนั้นคลื่นหลิงก็ระเบิดรุนแรงบนลานเมฆสายฟ้า คลื่นกระแทกกวาดออก ทำให้มิติเกิดการสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไม่หยุด

บนลานเมฆสายฟ้าพลังงานหลิงกวาดหายนะ มีเพียงตรงมู่เฉินเท่านั้นที่ไม่ถูกรบกวน เนื่องจากไม่มีใครกล้าเหยียบเข้ามาในรัศมีพันจั้ง ยามนี้เขาเหมือนผู้ชมที่ดูการต่อสู้ติดขอบ ในเวลาเดียวกันก็บันทึกกระบวนท่าที่ทรงพลังของบางคนไว้ในสมอง

แม้ว่าในชั้นนี้พวกเขาอาจไม่ได้ประลองกัน แต่ก็ยังมีอีกสองชั้นรอพวกเขาอยู่ ใครจะสามารถรับประกันได้ว่าจะไม่มีการลดจำนวนลงในชั้นต่อไป?

ดังนั้นถ้ามีโอกาสเขาต้องพยายามจดจำข้อมูลผู้อื่นเก็บไว้

ภายใต้การสังเกตของมู่เฉิน การประลองบนลานเมฆสายฟ้าก็คงอยู่ชั่วระยะหนึ่ง ก่อนที่แต่ละคู่จะมาถึงจุดสิ้นสุด ผลลัพธ์ก็เป็นไปตามที่คาดไว้

หลังจากมู่เฉินก็เป็นหานซันที่เอาชนะคู่ต่อสู้ได้ที่นั่งที่สองไป

จากนั้นมั่วเฟิงและจงเถิงก็คว้าชัยชนะตามมา

ที่นั่งสุดท้ายตกเป็นของสีคุนที่ก่อนหน้านี้เคยแพ้หานซันที่ด้านนอกเจดีย์ ชายนี้มีความแข็งแกร่งที่น่าตกใจ แม้แต่หานซันยังต้องใช้ทักษะเต็มที่ถึงจะได้รับชัยชนะมา

เมื่อสีคุนได้รับที่นั่งสุดท้ายลานเมฆสายฟ้าขนาดใหญ่ก็เงียบลงอีกครั้ง ร่างทั้งห้ายืนอยู่ ขณะรัศมีไร้ขอบเขตทั้งห้าสายพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าชนกันเปรี้ยงปร้าง

ทว่าการชนกันก็ดำเนินไปเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ก่อนที่ทั้งห้าจะถอนคลื่นพลังพร้อมกัน พวกเขาเหลือบมองกันและกัน จากนั้นก็ไม่ลังเลทะยานออกไปปรากฏตัวบนเบาะทั้งห้า

สายตาพวกเขาพุ่งตรงไปยังมิติด้านหลังลานเมฆสายฟ้าด้วยความโลภ ตรงนั้นเส้นดาวหางจำนวนมากกวาดผ่านราวกับฝนดาวตก

ในแสงเหล่านั้นแก่นหยดสายฟ้ากำลังกะพริบด้วยความแวววาว


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท