หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1011 ราชันสงครามโลหิต
ด้านหลังศิลาพลังยุทธ์
ประตูแสงซึ่งกำจายคลื่นความผันผวนโบราณปรากฏขึ้นเงียบๆ ราวกับมีความอ้างว้างที่ไม่รู้จบซ่านออกมาจากความสว่าง ทำให้หัวใจของผู้คนรู้สึกเคารพบูชา
ทั้งสี่คนจ้องมองไป
“นี่คือทางสู่ชั้นสุดท้ายใช่ไหม? ชั้นห้าคืออะไรกัน?” มู่เฉินมองไปที่มั่วเฟิงเอ่ยถามเสียงต่ำ
พอมั่วเฟิงได้ยินคำถามก็ส่ายหัว “มีจอมยุทธ์ไม่มากนักที่สามารถเข้าสู่ชั้นห้าได้ ว่ากันว่าการทดสอบในชั้นห้าไม่ตายตัว บททดสอบจะเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ดังนั้นไม่มีใครรู้ว่าการทดสอบใดรอเราอยู่”
มู่เฉินขมวดคิ้วเมื่อได้ยินคำอธิบายของมั่วเฟิง ไม่รู้ว่าทำไมชั้นสุดท้ายของเจดีย์ฝึกพลังกายถึงได้สร้างความรู้สึกกลัวเบางบางให้กับเขาแบบไม่เคยปรากฏมาก่อน
แต่ไม่ว่าอย่างไรในเมื่อมาได้ไกลขนาดนี้แล้ว เขาก็ไม่มีเหตุผลที่จะถอย
นอกจากนี้หลังจากดูดซับแก่นโลหิตบริสุทธิ์ของเทพอสูรกลืนฟ้า พลังกายของเขาก็ได้รับการปรับปรุงอย่างมาก เขารู้สึกได้ว่าแค่ก้าวไปอีกนิดเดียวเท่านั้น
กายามังกรหงส์ก็จะบรรลุขั้นสอง!
ในเวลานั้นพลังกายของเขาจะเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง! เมื่อถึงตอนนั้นต่อให้ต้องเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์อัจฉริยะเผ่าต่างๆ มู่เฉินก็ไม่ต้องกลัวอีกแล้ว
ในหมู่จอมยุทพธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดคงไม่มีใครเป็นศัตรูกับเขาได้อีก
คิดถึงจุดนี้ แสงก็วาบในดวงตาของมู่เฉิน ก่อนที่เขาจะสูดหายใจลึกสุดปอด เขาไม่เสียเวลาไปกับการพูดคุยไร้ประโยชน์เอ่ยขึ้นอย่างรวดเร็วว่า “ไปกันเถอะ!”
เมื่อพูดจบเขาก็เป็นคนแรกที่ก้าวเข้าไปในประตูแสง
ที่เบื้องหลังมั่วเฟิงก็ติดมา หานซันหรี่ตาลงยิ้มพลางปรายตามองจงเถิงที่ใบหน้ามืดครึ้มแล้วรีบตามไป
จงเถิงเป็นคนสุดท้ายที่เข้าไป เขามองดูเงาร่างของทั้งสามที่หายเข้าไปในประตูแสง ไอเย็นยะเยือกก็พล่านในดวงตา ดูเหมือนว่าเขาจะต้องคว้าโอกาสยิ่งใหญ่ที่สุดในชั้นห้าให้จงได้
เมื่อความแข็งแกร่งของเขาเพิ่มพูน มู่เฉินจะเป็นคนแรกที่ตายที่นี่!
“มาดูกันว่าใครจะหัวเราะคนสุดท้าย!” จงเถิงพูดอย่างเย็นชาก่อนจะเดินเข้าไปในอุโมงค์แสงที่เชื่อมโยงกับชั้นสุดท้าย
เมื่อทั้งสี่คนก้าวเข้าไปในประตู
สายตาลุกโชนของทุกคนที่ด้านนอกเจดีย์ก็เลื่อนไปยังชั้นห้า
พวกเขาก็อยากรู้ว่าการทดสอบใดรออยู่ในชั้นห้า… จากข้อมูลที่พวกเขารู้มาคนที่สามารถผ่านการทดสอบชั้นห้าในช่วงหลายปีที่ผ่านมามีจำนวนเพียงหยิบมือเท่านั้น
แม้ว่าทั้งสี่คนถือว่ามีฝีมือ แต่พวกเขาก็อาจกลับมาพร้อมกับความเสียใจ
มั่วหลิงกำมือแน่นถามจิ่วโยวเสียงเบาๆ “พี่ใหญ่จิ่วโยว พวกเขาจะผ่านชั้นห้าได้หรือไม่เจ้าคะ?”
จิ่วโยวไตร่ตรอง จากนั้นก็พูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “ยาก ลือกันว่าการทดสอบชั้นห้าไม่ตายตัว บางครั้งกระทั่งอาวุธมหสวรรค์ยังเข้าจู่โจม… แน่นอนว่าไม่ใช่ของจริง มันเป็นภาพลวงตา แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ใช่สิ่งที่คนในระดับพวกเราจะสามารถรับได้”
มั่วหลิงจุปากมีกระทั่งการโจมตีจากอาวุธมหสวรรค์? การจู่โจมนั่นอาจจะฆ่าจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดตายคาที่เลยมั้ง?
ชั้นห้าของเจดีย์ยากขนาดนี้เลยเหรอ?
เสียงกระซิบกระซาบดังไปรอบๆ เจดีย์ โดยที่สายตาทุกคู่จ้องมองไปที่ชั้นห้า ไม่นานจากนั้นแสงก็รวมตัวกันค่อยๆ ก่อตัวเป็นหน้าจอ
ทุกคนสายตาจ้องเขม็ง
อุโมงค์แสง
หลังจากที่มู่เฉินก้าวเข้าไป แสงก็ปกคลุมดวงตาอยู่ชั่วครู่ก่อนที่จะจางหายไปราวกับคลื่นกระทบฝั่ง จากนั้นกลิ่นเลือดหนาแน่นก็ตลบอบอวล
กลิ่นคาวเฉียบพลันนี้ทำให้หัวใจของมู่เฉินสั่นเทา แสงสีทองกำจายออกมาจากร่างทันที กระบี่ขนนกสีทองซึ่งยึดมาจากจงเถิงก็ปรากฏขึ้นในมือ
หลังจากเตรียมการป้องกันเสร็จ มู่เฉินก็เงยหน้าขึ้น จากนั้นสีหน้าของเขาก็อดเปลี่ยนแปลงไม่ได้
ที่นี่เหมือนจะเป็นที่ตั้งของสนามรบโบราณ สนามรบแห่งนี้มีซากศพถูกทิ้งเกลื่อนกลาด เลือดเจิ่งนองไปทั่ว รัศมีที่โหดร้ายโอบล้อมมิติ ทำให้แม้แต่คนอย่างมู่เฉินยังหนังหัวชาหนึบ
ด้านหลังไม่ไกลจากมู่เฉินอีกสามคนก็ปรากฏตัว เมื่อพวกเขาเห็นฉากตรงหน้า ดวงตาก็หดเกร็งทันที จากนั้นก็ต่างพากันเร้าคลื่นหลิงขึ้นมาเพื่อป้องกันตัวเอง
“นี่คือชั้นสุดท้ายของเจดีย์ฝึกพลังกายเหรอ?”
สายตามู่เฉินจ้องเขม็งไปที่สนามรบโบราณ รัศมีโหดเหี้ยมที่กวาดออกมาในภูมิภาคนี้ ทำให้ทุกคนรู้ว่าการต่อสู้ที่เกิดขึ้นที่นี่น่ากลัวเพียงใด
ฮึ่ม! ฮึ่ม!
ขณะที่ทุกคนกำลังสำรวจ สนามรบโบราณก็สั่นไหวอย่างเงียบๆ พวกเขาสัมผัสได้ว่ากลิ่นคาวเลือดและรัศมีโหดร้ายกำลังกวาดออก ราวกับว่ากำลังก่อตัวเป็นรูปเป็นร่าง สุดท้ายก็ก่อตัวเป็นเงาร่างสีแดงที่เบื้องหน้าครรลองสายตาของพวกเขา
ร่างนี้สวมชุดเกราะสีแดงโลหิต เขายืนอยู่ระหว่างฟ้าดินพร้อมกับรัศมีสังหารไม่มีที่สิ้นสุดกวาดออกมาราวกับคลื่นยักษ์ รัศมีนี้ทำให้ทั้งสี่คนร่างแข็งทื่อไม่กล้าเคลื่อนไหวแม้แต่น้อย
พวกเขาเคยเผชิญศึกเป็นตายมานับไม่ถ้วน แต่พวกเขาไม่เคยเห็นใครที่มีรัศมีสังหารหนาแน่นเช่นนี้มาก่อน ตอนที่ร่างเงานี้มีชีวิตอยู่จะต้องสร้างแม่น้ำเลือดและภูเขาศพไว้เกินคณานับ
ร่างทั้งสี่คนแข็งทื่อไม่กล้าเคลื่อนไหว บนท้องฟ้าร่างสีแดงเข้มค่อยๆ ก้มศีรษะลงมาอย่างช้าๆ ดวงตาสีแดงเข้มที่ไม่มีคลื่นอารมณ์สักริ้วมองมาที่พวกเขา
เมื่อถูกมองด้วยดวงตาสีแดงเข้ม เส้นขนทั่วสรรพางค์กายทั้งสี่ก็ลุกซู่ ความปรารถนาที่จะพุ่งออกจากสถานที่แห่งนี้ผุดขึ้นในหัวใจทันที แต่โชคดีที่พวกเขาไม่ใช่จอมยุทธ์ธรรมดา ดังนั้นพวกเขาจึงระงับความปรารถนานั้นและยืนหยัดอย่างมั่นคง
“ข้าคือราชันสงครามโลหิต”
ร่างสีแดงเข้มเอ่ยช้าๆ ทันทีที่เปล่งเสียงออกมา ลมคลั่งสีแดงก็กวาดตัวระหว่างฟ้าดินซึ่งเต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือด
“ราชันสงครามโลหิต?” เมื่อได้ยินชื่อนี้ใบหน้าของมั่วเฟิง หานซันและจงเถิงก็เปลี่ยนไปอย่างไม่สามารถควบคุมได้ ขณะที่ร้องอุทานเสียงลั่น
“ใครเหรอ?” มู่เฉินไม่คุ้นเคยกับชื่อเสียงของเหล่าจอมยุทธ์ในดินแดนเสินโซ่จึงถามมั่วเฟิงทันที
“มีตำนานกล่าวว่าราชันสงครามโลหิตเป็นจอมยุทธ์ที่ยิ่งใหญ่ในดินแดนเสินโซ่ยุคโบราณ แม้เขาจะมีพรสวรรค์ธรรมดา แต่ก็รอดชีวิตมาจากสงครามนับครั้งไม่ถ้วน ก้าวย่างผ่านแม่น้ำเลือดและภูเขาศพมากมาย ลือกันว่าจอมยุทธ์ผู้นี้มีขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลาย แต่สามารถคุกคามได้แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุน!
“ยิ่งกว่านั้นตอนที่เผ่าปีศาจต่างมิติบุกเข้ามาในดินแดนเสิ่นโซ่ ราชันสงครามโลหิตก็ต่อสู้ถวายชีวิต เสียสละตนเองเพื่อกำจัดนักรบปีศาจที่เทียบได้กับระดับเทียนจื้อจุนเลยทีเดียว” มั่วเฟิงพูดด้วยความเคารพนับถือ
“ลากจอมยุทธ์เทียนจื้อจุนตายไปด้วย?”
เมื่อมู่เฉินได้ยินคำพูดเหล่านั้น หัวใจก็อดสั่นไหวไม่ได้ แม้นั่นจะยังเป็นระดับที่ไกลสำหรับเขา แต่ก็สามารถจินตนาการได้ถึงช่องว่างระหว่างระดับตี้จื้อจุนขั้นปลายและระดับเทียนจื้อจุน ทว่าในเมื่อบุคคลผู้นี้สามารถลากนักรบปีศาจระดับเทียนจื้อจุนตายไปพร้อมกับตัวเองก็บอกได้ว่าคนผู้นี้ทรงพลังอำนาจเพียงใด
ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมบุคคลดังกล่าวยังคงมีความยิ่งใหญ่ที่น่าอัศจรรย์เช่นนี้แม้จะดับสูญไปแล้วนับหมื่นปี
ขณะที่มู่เฉินตกตะลึงในใจ ร่างสีแดงเข้มก็พูดอย่างไม่แยแส “รับหนึ่งหมัดจากข้าได้ก็จะผ่านการทดสอบ”
เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านั้นทั้งสี่คนก็รู้สึกหนังหัวชาหนึบไปหมด จอมยุทธ์ที่ยืนอยู่เบื้องหน้าพวกเขาคือการดำรงอยู่ที่น่าสะพรึงกลัวซึ่งสามารถฆ่าจอมยุทธ์ระดับเทียนจื้อจุนได้ แม้ว่านี่จะเป็นเพียงภาพที่หลงเหลือไว้หลังจากผ่านไปหมื่นปี แต่ก็ไม่สามารถมองข้ามไปได้แน่นอน
“บ้าเอ้ย นี่มันเกินไปแล้ว!” กระทั่งหานซันก็อดไม่ได้ที่จะขบฟัน เขาไม่มีความมั่นใจในการรับหมัดจากราชันสงครามโลหิตสักนิด
มั่วเฟิงก็ส่ายหัวอย่างจนใจ เห็นได้ชัดว่าไม่ได้มีความหวังใดๆ เลย
มู่เฉินขมวดคิ้ว ความยากลำบากในชั้นห้าเกินกว่าจินตนาการไปมาก…
แต่ไม่ว่าพวกเขาจะคิดอะไรอยู่ในใจ ราชันสงครามโลหิตก็ยังแสดงออกอย่างเฉยเมย นอกจากนี้หลังจากที่พูดจบจิตสังหารที่หลั่งไหลออกมาจากร่างกายก็ยิ่งน่ากลัวกว่าเดิม
นิ้วทั้งห้ากำแน่นเป็นหมัด เสียงยิ่งใหญ่ไม่แยแสสะท้อนก้องไปทั่วสนามรบโบราณ “ข้าผ่านการต่อสู้มานับไม่ถ้วน คิดค้นวิทยายุทธระดับเสินทงด้วยตนเอง นี่คือหมัดปีศาจพลีชีพ ใครที่สามารถรับได้จะได้รับการสืบทอดกระบวนท่าแรก”
นรกเอ้ย!
เมื่อได้ยินว่าไม่เพียงแต่เป็นราชันสงครามโลหิตจะออกกระบวนท่า เขายังจะใช้วิทยายุทธระดับเสินทงอีกด้วย ทั้งสี่คนก็ได้แต่สาปแช่ง ชายคนนี้คิดว่ายังรังแกพวกเขาไม่พออีกเรอะ? ราชันสงครามโลหิตอะไรกัน เรียกว่าราชันหน้าด้านแทนซะเถอะ!
ทว่าเมื่อคำพูดสุดท้ายสะท้อนในโสตประสาทก็ทำเอาทั้งสี่อึ้งไป ก่อนที่ดวงตาจะเปลี่ยนเป็นสีแดงทันที
วิทยายุทธระดับเสินทง?!
พวกเขาสามารถได้รับคัมภีร์เทพที่คิดค้นขึ้นโดยราชันสงครามโลหิตจริงเหรอ?!
แม้สติจะบอกพวกเขาว่าไม่มีทางรับหมัดนั้นได้ แต่พวกเขาก็ไม่อาจปฏิเสธความโลภในหัวใจได้ ไม่ใช่เพราะพวกเขาขาดความสำรวม แต่เพราะรางวัล…เหลือเฟือนัก!
วิทยายุทธระดับเสินทงเป็นสิ่งที่แม้แต่จอมยุทธ์ตี้จื้อจุนยังหวั่นไหวได้ ไม่ต้องพูดถึงพวกเขาเลย!
ราคาสำหรับหนึ่งกระบวนท่าก็เกินกว่าสิ่งที่พวกเขาได้รับก่อนหน้ามาหมดแล้ว!
ทั้งสี่คนแลกเปลี่ยนสายตากันอย่างรวดเร็ว ต่างเห็นความโลภหนาแน่นในดวงตาของกันและกัน ขณะนี้ไม่มีใครคิดจะถอยออกเลย…
“มนุษย์ตายเพื่อความร่ำรวย นกตายเพื่ออาหาร…”
มู่เฉินสูดหายใจเข้าลึกดวงตากะพริบวูบไหวมองไปที่ราชันสงครามโลหิต เห็นได้ชัดว่าไม่ว่าผลลัพธ์จะเป็นเช่นไรพวกเขาก็ต้องลองดู อย่างมากก็แค่ยอมแพ้ถอยออกจากเจดีย์
หลังจากที่ราชันสงครามโลหิตพูดจบก็ไม่พูดอะไรอีกต่อไป เขากำหมัดแน่นจิตสังหารพลุ่งพล่านล้นเหลือ จากนั้นก็ก้าวออกไปข้างหน้า ฝีเท้านั้นดูเหมือนจะทำให้เกิดเสียงคำรามนับไม่ถ้วนระหว่างฟ้าดินเลยทีเดียว รัศมีโหดร้ายไม่รู้จบหลั่งไหลมาจากมิติและกาลเวลา ทำเอาพื้นที่โยกคลอน
ในดวงตาของเขาไม่มีอารมณ์ใดๆ เขามองไปที่ทั้งสี่คนก่อนที่จะชกช้าๆ ในเวลาเดียวกันเสียงโบราณก็สั่นสะเทือนเส้นขอบฟ้า
สังเวยพลังกายปีศาจของข้า ทำลายอดีตและปัจจุบัน