หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – ตอนที่ 1015

ตอนที่ 1015

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1015 ลองหมัด
“ถึงตาแกแล้ว…”

เมื่อม่านตาสีดำของมู่เฉินจ้องมา จงเถิงที่มีสีหน้าน่าเกลียดมากก็อดไม่ได้ที่จะถอยหลังไปครึ่งก้าว ฉากเหลือเชื่อที่ลู่สุยพ่ายแพ้มู่เฉินในหมัดเดียวนั้น ส่งผลกับเขาค่อนข้างมาก

ทว่าจงเถิงก็ไม่ใช่จอมยุทธ์ธรรมดาจึงสงบใจลงทันที ดวงตาที่จ้องมองมู่เฉินก็ฉายแววเคร่งเครียดและขยาดกลัว หากเมื่อก่อนมู่เฉินเป็นคนที่พอจะเผชิญหน้ากับเขาได้เท่านั้น แต่คนเบื้องหน้าตอนนี้ทำให้เขารู้สึกว่าเป็นภัยคุกคามร้ายแรงแท้จริง

“ข้าประเมินแกต่ำไป”

เสียงต่ำของจงเถิงดังก้องด้วยความเสียใจในใจ หากเขารู้ว่ามู่เฉินจะมีพัฒนาการเช่นนี้ในเจดีย์ฝึกพลังกาย เขาจัดการอีกฝ่ายไปตั้งแต่แรกแล้ว

ตอนนี้มู่เฉินเป็นภัยคุกคามยิ่งกว่ามั่วเฟิงและจิ่วโยวเสียอีก

“เรื่องวันนี้ถือว่าข้ายอมแพ้ ข้าจะชดใช้ของเหลวจื้อจุนล้านหยดให้แล้วกัน เราลบเรื่องนี้ซะ เป็นไง?” จงเถิงจ้องตามู่เฉินจากนั้นเขาก็กัดฟันและพูดอย่างเด็ดขาด

ผู้คนรอบทิศทางฉายสีหน้าพิลึกพิลั่น ใครจะคิดว่าจงเถิงที่เต็มไปด้วยความภาคภูมิใจจะยอมรับความพ่ายแพ้และคิดจะลบเรื่องไปแบบนี้

แต่ทุกคนก็ไม่ได้แปลกใจมากกับเรื่องนี้ หลังจากได้เห็นความแข็งแกร่งของมู่เฉิน แม้แต่จงเถิงก็คงไม่มีความคิดที่จะสู้ในเวลานี้

ลู่สุยถูกชกหมัดเดียวจนถึงจุดที่ไม่มีใครรู้ว่าเป็นตายร้ายดียังไง ก็ไม่ต้องคิดจะได้รับความช่วยเหลือจากจอมยุทธ์เผ่าอีกาสายฟ้า หากเผ่ากระเรียนฟ้าเผชิญหน้ากับเผ่าวิหคโลกันตร์ตามลำพังละก็ พวกเขาเสียเปรียบทุกประตูอย่างเห็นได้ชัด

ในเมื่อเป็นแบบนี้ก็ควรยอมรับความพ่ายแพ้เพื่อรักษาพลังเอาไว้

แต่มู่เฉินไม่มีสีหน้าท่าทางเปลี่ยนไปกับการยอมแพ้ของจงเถิง สายตาไร้อารมณ์ยังคงจ้องมองไปที่จงเถิง ท่าทางชัดว่าไม่คิดจะจบเรื่องนี้ไปง่ายๆ เนื่องจากเขารู้ดีว่า หากเขาไม่ทำให้คนอย่างจงเถิงรู้สึกเจ็บปวดซะบ้าง จงเถิงก็คงไม่รู้จักจดจำ

เมื่อเห็นสายตาของมู่เฉิน จงเถิงก็เข้าใจ ครั้งนี้มู่เฉินคงโกรธมาก ของเหลวจื้อจุนล้านหยดไม่พอจะแก้ไขปัญหาได้

เมื่อนึกถึงเรื่องนี้คิ้วของจงเถิงก็ขมวดเข้าหากัน สายตาเย็นชามองมู่เฉินเช่นกัน เขาไม่คิดจะก้มหัวอีกพูดเสียงเบาว่า “ในเมื่อเป็นแบบนี้ ข้าจงเถิงก็ขอดูหน่อยว่าวันนี้แกจะสามารถเอาชนะข้าด้วยหมัดเดียวแบบลู่สุยได้ไหม หากทำได้ก็เอาชีวิตข้าไปเลย!”

จงเถิงเป็นคนเหี้ยมหาญและเด็ดขาดแท้จริง ในเมื่อเห็นว่าไร้ประโยชน์ที่จะยอมแพ้ เขาก็โยนความคิดนั้นออกไป หากมู่เฉินต้องการสำแดงพลัง ตัวเขาก็ต้องแสดงพลังออกมาเหมือนกันเท่านั้น ทำให้มู่เฉินรู้ถึงความหมายของความกลัวซึ่งกันและกัน

“เจ้ากล้าใช้ได้”

เมื่อเห็นการตัดสินใจของจงเถิง มู่เฉินก็พยักหน้า เมื่อเทียบกับลู่สุยแล้ว จงเถิงเป็นระดับที่สูงขึ้นไปอีก ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมเขาถึงกลายเป็นจอมยุทธ์ที่โดดเด่นที่สุดในหมู่คนรุ่นใหม่ของเผ่ากระเรียนฟ้า นอกจากนี้ชื่อเสียงของเขาก็กระจายออกไปนอกเผ่าอีกด้วย

ตู้ม!

เมื่อตัดสินใจแล้ว จงเถิงก็ไม่ลังเลอีกต่อไป แววตาเย็นเยือกลงหลายส่วน คลื่นหลิงไร้ขอบเขตกวาดออกจากร่าง มีเสียงท่วงทำนองอันไพเราะของกระเรียนยักษ์ดังก้อง

แรงกดดันที่แผ่ซ่านจากจงเถิง ทำให้เหล่าจอมยุทธ์ฉายสีหน้าหนักใจ แม้จะอยู่ในหมู่จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ด ความแข็งแกร่งของจงเถิงก็ดีเยี่ยม เมื่อเทียบกับลู่สุยเขาแข็งแกร่งกว่าอย่างชัดเจน มิน่าล่ะเขาถึงมีชื่อเสียงเช่นนี้

ทว่าท่าทางของมู่เฉินก็สงบเป็นการตอบสนอง หากเขาไม่ได้บรรลุกายามังกรหงส์ขั้นสอง เขาคงจะต้องกางไพ่ตายทั้งหมดเพื่อจัดการกับจงเถิง อาจจะมากจนจะต้องใช้ค่ายกล แต่ตอนนี้…ชัดว่าไม่ต้องทำให้ยุ่งยากแล้ว

วาบ!

คลื่นหลิงกวาดออก ร่างจงเถิงก็ระเบิดออกด้วยแสงสีทองเหวี่ยงหมัดออกมา ขณะที่แสงสีทองพวยพุ่ง กระเรียนทองคำก็ก่อตัวขึ้นบนกำปั้น ปีกกระพือขึ้นลงรัศมีทะลุทะลวงที่ไม่สามารถอธิบายได้เฉือนไปบนพื้นโลก

หมัดเงาเทพกระเรียน!

ผู้คนโดยรอบถอยกันจ้าละหวั่น ในเมื่อจงเถิงรู้เต็มอกว่ามู่เฉินน่าเกรงขามเพียงใด ดังนั้นเขาจึงใช้พลังหมัดเต็มกำลัง ซึ่งนี่เป็นสิ่งที่แม้แต่คนอย่างลู่สุยยังต้องหลบซ่อน

กำปั้นทองคำแฝงด้วยกระเรียนทองคำระเบิดอากาศก่อนจะกลายเป็นแสงสีทองพุ่งเข้าหามู่เฉิน แสงสีทองขยายตัวอย่างรวดเร็วในดวงตาฝ่ายหลัง อึดใจเขาก็ชกหมัดสวนออกไป

แสงสีทองพวยพุ่งบนกำปั้นเช่นเคย ไม่มีความผันผวนของคลื่นหลิงสักริ้ว มีเพียงพลังกายเน้นๆ

ตู้ม!

หมัดทองคำทั้งสองปะทะกันหนักหน่วง ผลกระทบที่น่ากลัวระเบิดออกมาทันที แผ่นดินที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าทั้งสองแตกเป็นเสี่ยง ซากปรักหักพังบริเวณโดยรอบกลายเป็นฝุ่นผงจากคลื่นกระแทก

เมื่อคลื่นกระแทกอาละวาดออกไป ร่างกายของมู่เฉินก็กระตุก แต่เขาก็ทนรับพลังนั้นไว้ได้

ส่วนจงเถิงถูกบังคับให้ถอยกลับหนึ่งก้าวโดยทิ้งรอยลึกไว้บนพื้น แต่ถึงกระนั้นก็สามารถบอกได้ว่าจงเถิงไม่ได้อ่อนแอ ก่อนหน้าหมัดของมู่เฉินสร้างความสาหัสสากรรจ์ให้กับลู่สุย แต่สำหรับจงเถิงทำได้เพียงถอยห่างออกไปก้าวเดียวเท่านั้น ทั้งคู่ต่างเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ด ไม่คิดว่จะมีช่องว่างพลังกว้างใหญ่เพียงนี้

ทว่าแม้จงเถิงจะถอยกลับไปเพียงก้าวเดียวแต่ใบหน้าก็มืดครึ้มลงหลายส่วน นั่นเป็นเพราะมีเพียงเขาเท่านั้นที่รู้ว่าพลังกายของมู่เฉินน่ากลัวแค่ไหน

หมัดเมื่อครู่เขาใช้ทั้งคลื่นหลิงและความแข็งแกร่งของพลังกาย แต่มู่เฉินใช้เพียงพลังกายล้วนๆ มาปะทะ

พลังกายของชายคนนี้เติบโตอย่างทรงพลังในระยะเวลาอันสั้นได้อย่างไร?

“เยี่ยม!”

ขณะที่จงเถิงกำลังงุนงงในสมอง มู่เฉินกลับยิ้มกริ่ม จากนั้นก็ไม่ให้เวลาอีกฝ่ายได้ถอยหนี เขาก้าวออกไปก้าวหนึ่งแสงสีทองก็พุ่งออกมา ซัดใส่ร่างจงเถิงอีกครั้ง

ตอนนี้พลังกายเขาแข็งแกร่งขึ้นมาก ดังนั้นจึงยากที่จะควบคุมกำลังได้อย่างสมบูรณ์ ในเมื่อมีคนให้ลองมือที่ดีอยู่ตรงหน้า ยังไงเขาก็ไม่ปล่อยไปแน่

ขณะที่ความคิดวาบผ่านในใจ ร่างมู่เฉินก็กลายเป็นลำแสงสีทองทะยานออกไป กำปั้นสีทองสร้างชุดหมัดซับซ้อนห่อหุ้มร่างจงเถิงจากทุกทิศทุกทาง

เผชิญหน้ากับการโจมตีดุเดือดของมู่เฉิน แม้แต่จงเถิงก็ต้องใช้คลื่นหลิงเข้าช่วยในการปะทะตัวต่อตัวนี้

ปัง! ปัง! ปัง!

หมัดต่อหมัดซัดกันนัว ทำให้อากาศหมุนเกลียวเขย่าเส้นขอบฟ้า ทุกเสียงต่ำพร่าของระเบิดราวกับฟ้าคำรนพร้อมกับพลังงานรุนแรงกวาดออก

หลายคนมีสีหน้าว่างเปล่าเมื่อมองการปะทะกันบนท้องฟ้า ใต้ฝ่าเท้าของพวกเขารอยแตกลึกกระจายไปทั่วพื้นแบบไม่สิ้นสุด

ทว่าในร่างแสงทั้งสอง เรื่องที่ทำให้พวกเขามึนงงก็คือจงเถิงที่พลุ่งพล่านด้วยพลังงานหลิงรอบตัวกลับกำลังพ่ายแพ้ให้กับมู่เฉินที่ไม่มีความผันผวนของคลื่นหลิงสักริ้ว

แทบทุกครั้งที่หมัดของมู่เฉินซัดลงมา จงเถิงก็ต้องถอยกลับ มากจนแม้แต่พลังคลื่นหลิงที่กวาดอยู่รอบตัวก็กระเจิดกระเจิงไปเลยทีเดียว

เวลานี้ทุกคนก็รู้แล้วว่าพลังกายของมู่เฉินน่าสะพรึงเพียงใด… ร่างกายของชายคนนี้น่ากลัวมากกว่าพวกเขาที่เป็นเทพอสูรเสียอีก

ไม่รู้จริงๆ ว่าเจ้าตัวประหลาดนี้เพาะบ่มร่างกายของเขาอย่างไร เนื่องจากพวกเขารู้ดีว่าการฝึกฝนพลังกายยากเย็นแค่ไหน…

จอมยุทธ์เผ่ากระเรียนฟ้าอ้าปากตาค้างขณะมองดูจงเถิงที่ถอยหนีอยู่เรื่อยๆ โดยเฉพาะหลิ่วชิง นางมีใบหน้าสลับกันระหว่างสีเขียวกับสีขาว

ก่อนหน้านี้นางยังดูถูกตัวตนของมู่เฉินในฐานะมนุษย์และพลังที่อยู่ในระดับจื้อจุนขั้นหก แต่ตอนนี้จงเถิงที่นางเคารพนับถือกลับอยู่ในสภาพที่น่าสังเวชโดยมนุษย์ที่นางดูถูก… ความแตกต่างนี้ทำให้นางแทบจะเป็นลม

“พี่ใหญ่มู่เฉินน่าเกรงขามจริงๆ!” มั่วหลิงเบิกตากว้างพร้อมกับแสงระยิบระยับอยู่ภายใน สีหน้าเคารพนับถือฉายบนใบหน้าเมื่อมองไปที่มู่เฉินที่กำจายรัศมีเชี่ยวกราก

มั่วเฟิงยังคงมีสีหน้าเคร่งเครียด ความแข็งแกร่งของเขาคล้ายคลึงกับของจงเถิง ตอนนี้จงเถิงตกอยู่ในสภาพที่น่าสังเวช นั่นก็หมายความว่าพลังในการต่อสู้ของมู่เฉินเหนือกว่าเขาแล้ว

“ดูเหมือนมู่เฉินจะมีพัฒนาการร่างกายในเจดีย์ฝึกพลังกายโบราณมากนะเนี่ย” จิ่วโยวก็เกิดริ้วตื่นตะลึงในดวงตา เนื่องจากนางเข้าใจในตัวมู่เฉินเป็นอย่างดี แม้ว่าเมื่อก่อนพลังกายของเขาจะทรงประสิทธิภาพ แต่ก็ไม่ถึงระดับนี้

สีหน้าของมั่วเฟิงเปลี่ยนไปจากนั้นก็ถอนหายใจ “วิธีของเขาคงเป็นวิธีที่ถูกสินะ”

เขาคิดย้อนกลับไปถึงภาพที่มู่เฉินเดินทีละก้าวตั้งแต่ชั้นแรกของเจดีย์ ขณะที่พวกเขาใช้ทุกวิถีทางเร่งความเร็วเพื่อโอกาส มู่เฉินกลับเลือกใช้วิธีฝึกฝนแบบดั้งเดิมที่สุด…

ซึ่งการฝึกฝนแบบนั้นที่ทำให้ร่างกายของมู่เฉินได้รับการพัฒนามากเช่นนี้

จิ่วโยวพยักหน้าเบาๆ ขณะที่คนอื่นตามืดบอดจากวิทยายุทธระดับเสินทงและอาวุธมหสวรรค์ที่เป็นรางวัล มีเพียงมู่เฉินเท่านั้นที่ยังคงใช้วิธีที่มั่นคงที่สุดก้าวเดินในสภาพแวดล้อมที่โหดร้ายของเจดีย์ฝึกพลังกายเพื่อฝึกฝนทีละขั้น

ดังนั้นจึงเห็นได้ชัดว่ามู่เฉินเป็นผู้ที่ได้รับโอกาสล้ำค่าที่สุดในเจดีย์ฝึกพลังกาย

“มู่เฉินกำลังใช้จงเถิงเป็นคู่มือในการลับเขี้ยวเล็บตอนนี้” เมื่อมองกลับไปที่การต่อสู้ สายตาของจิ่วโยวก็ปรากฏรอยยิ้มจางๆ

นางรู้สึกได้ว่าในเวลาสิบกว่านาที หมัดนับร้อยที่มู่เฉินซัดออกไปได้รับการขัดเกลามากขึ้น กระบวนท่าไม่ได้รุนแรงอย่างที่เคยเป็น ง่ายที่จะปล่อยและยากที่จะดึงกลับ

เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินใช้จงเถิงเพื่อขัดเกลาความแข็งแกร่งที่เพิ่มขึ้น

“จงเถิงหมดพลังใจในการต่อสู้แล้ว”

มั่วเฟิงพยักหน้า จากนั้นก็พูดต่อ “การต่อสู้ครั้งนี้กำลังจะจบลงในไม่ช้า”

จงเถิงก็รู้สึกอย่างชัดเจนว่ามู่เฉินควบคุมพลังได้เชี่ยวชาญยิ่งขึ้น ดังนั้นเขาจึงเข้าใจว่าถ้าตนเองไม่ใช้ชีวิตเดิมพันในการต่อสู้โอกาสในการชนะก็ต่ำเตี้ยนัก

ทันทีที่มั่วเฟิงพูดจบ ร่างกายของจงเถิงก็ปะทุด้วยแสงสีทอง ภาพซ้อนทะยานออกมา เปลี่ยนร่างเป็นกระเรียนทองคำขนาดหนึ่งพันจั้ง

กรงเล็บของกระเรียนคว้าไปที่พรรคพวก ลวดลายทองคำนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้นที่ปีกทั้งสองข้าง ด้วยการกระพือครั้งเดียว ลมคลั่งก็พัดออกมาแล้วเปลี่ยนเป็นแสงสีทอง ทะยานหนีไปในระยะไกล

การหลบหนีทันควันของจงเถิง ทำเอาทุกคนอ้าปากเหวอ

แสงสีทองวูบวาบ ร่างเงาของมู่เฉินก็ปรากฏขึ้น เขามองจงเถิงที่หลบหนีด้วยรอยยิ้มจางๆ จากนั้นเขากำมือแน่นกระบี่ขนนกสีทองก็เผยขึ้น

กระบี่โบกลง เขาเทคลื่นหลิงและพลังกายทั้งหมดลงไป

ฮึ่ม!

แสงกระบี่ทองคำขนาดหลายร้อยกว่าจั้งเจาะทะลุมิติหายวับไปทันที

จังหวะที่แสงกระบี่หายไป เสียงร้องโหยหวนก็ดังก้องจากระยะไกล เหมือนจะเลือดสาดกระเซ็นบนท้องฟ้าด้วย

เห็นได้ชัดว่าจงเถิงที่กำลังหนีหลบวิถีกระบี่ไปไม่ได้และได้รับบาดเจ็บสาหัส

มู่เฉินยืนอยู่บนซากปรักหักพังพร้อมกระบี่ขนนกในมือ เลือดสดเปล่งประกายบนท้องฟ้าไกลโพ้น ริ้วแสงสีแดงเข้มสาดส่องลงบนร่าง ทำให้เขาดูคงกระพันในขณะนี้

ฉากนี้สร้างความตกตะลึงให้กับจอมยุทธ์นับไม่ถ้วน ความกลัวหนาแน่นเกาะกุมหัวใจ

พวกเขารู้ว่าหลังจากการต่อสู้ครั้งนี้ชื่อเสียงของมู่เฉินจะขจรขจายในดินแดนเสินโซ่อย่างรวดเร็ว

ช่างเป็นม้ามืดที่น่าตื่นตาจริงๆ

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler ฟรี ได้ที่ novel-fast 


เรื่องย่อ

โดย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler บางส่วนของนิยาย

บทนำ

หนึ่งในใต้หล้าจากปลายปากกาของเทียนฉานถูโต้ว กล่าวถึงมู่เฉิน เด็กหนุ่มจากสำนักศึกษาเป่ยหลิง ผู้ที่ได้รับเลือกให้เข้าฝึกในสงครามเทพยุทธ์ซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าคนเก่งกาจ ทว่า… อยู่ดีๆ เขากลับถูกขับไล่ออกมาด้วยเหตุผลที่ไม่มีใครล่วงรู้ มู่เฉินพยายามฝึกหนักอีกครั้งเพื่อจะพาตัวเองกลับเข้าไปในเส้นทางแห่งนี้ เขาจำเป็นต้องใช้สิ่งนี้เป็นใบเบิกทางเพื่อเข้าศึกษาที่ภาคเบญจภาคี เพื่อ… ปกป้องหญิงสาวที่ตนรัก และยิ่งกว่านั้นคือเพื่อค้นหาเบาะแสของมารดาที่หายสาบสูญไป

‘มหาพันภพ’ เป็นที่ที่มิติทั้งหลายเชื่อมต่อกันในระบบสุริยจักรวาล สถานที่แห่งนี้มีขั้วอำนาจมากมายอาศัยอยู่ จักรพรรดิที่มาจากพิภพเขตล่างต่างเป็นตำนานที่ผู้อื่นปรารถนาขึ้นไปบนเส้นทางแห่งกฎของโลกไร้ขอบเขตนี้

แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว เทพจักรพรรดิอัคคีควบคุมเปลวเพลิงกวาดข้ามสวรรค์

แคว้นหวู เทพจักรพรรดิสงครามผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำให้ทั้งสวรรค์และโลกหวาดกลัว

ตำหนักซีเทียน จักรพรรดิสัประยุทธ์ที่แข็งแกร่งไม่มีผู้ใดเทียบเท่า ในเนินเขารกร้างทางเหนือ ดินแดนวั้นมู่ของจักรพรรดิอมตะครองเหนือภพ

เด็กหนุ่มจากมณฑลเป่ยหลิงออกท่องยุทธภพกับวิหคโลกันตร์คู่ใจ มุ่งหน้าสู่โลกภายนอกที่เต็มไปด้วยสีสัน ใครกันที่จะเป็นผู้กุมชะตากรรมในเส้นทางการเป็นหนึ่ง?

ในมหาพันภพที่สงครามนับหมื่นอุบัติ ข้าคือผู้กุมชะตาฟ้าดิน…

เรื่องย่อ

เมื่อคำพูดของมู่เฉินกระจายออกไป ไม่เพียงแต่จะไม่มีการตอบสนอง แม้แต่ด้านนอกเจดีย์ก็ถูกห่อหุ้มด้วยบรรยากาศราวกับป่าช้า…

ทุกคนตกตะลึงไปกับฉากนี้ พวกเขาจ้องมองจุดที่ลู่สุยหายตัวไป ราวกับว่ายังไม่สามารถฟื้นจากอาการตะลึงงันที่เกิดขึ้นได้

ก่อนหน้าเมื่อลู่สุยออกกระบวนท่าที่น่าสะพรึง ผู้คนส่วนใหญ่ก็คิดว่าผลลัพธ์ของการต่อสู้ได้ถูกกำหนดแล้ว ทว่าพวกเขาไม่คิดเลยว่ามู่เฉินจะพลิกสถานการณ์ได้อีกครั้ง เตะลู่สุยที่เหมือนจะคว้าชัยชนะออกไป

ทุกคนตะลึงไปพักใหญ่ ก่อนที่พวกเขาจะหลุดออกจากอาการได้ สายตาเคร่งเครียดลง การประลองกันครั้งนี้มู่เฉินไม่ได้ใช้ค่ายกล แต่เขาก็สามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดอย่างลู่สุยได้ด้วยความแข็งแกร่งที่อยู่ในขั้นหกเท่านั้น แม้ว่าจะมีผลจากลู่สุยประมาทเองในตอนแรก แต่นั่นก็แสดงให้เห็นว่ามู่เฉินน่ากลัวแค่ไหน

พลังเช่นนี้เขาสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์อันดับต้นๆ ในเจดีย์ฝึกพลังกายได้เลยทีเดียว

ทางฝั่งกลุ่มกระเรียนฟ้า ใบหน้าของหลิ่วชิงกลายเป็นเขียวสลับขาว นางมองไปที่ร่างสูงโปร่งบนหน้าจอ กลืนน้ำลายเหนียวหนืด ความกลัวปรากฏในดวงตาของนางเป็นครั้งแรก

มาถึงจุดนี้นางคงโง่แน่ถ้ายังคิดปฏิบัติต่อมู่เฉินเหมือนกับจอมยุทธ์ขั้นหกทั่วไป

ด้วยพลังในการต่อสู้ที่เขาแสดงออกมา บวกกับค่ายกลทรงพลัง แม้แต่จงเถิงก็ยากจะได้เปรียบหากพวกเขาต่อสู้กัน

ก่อนหน้านี้นางหัวเราะเยาะและมองจิ่วโยวด้วยความดูถูก แต่ตอนนี้นางอายแทบแทรกแผ่นดินหนี ซึ่งจุดนี้รู้ได้จากสายตาเยาะเย้ยเหล่านั้นที่ปรายมองเข้ามา

“ทำไมมู่เฉินถึงทรงพลังเช่นนี้?” จงฮั้วที่พ่ายแพ้ให้กับมู่เฉินก็มีสีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดเช่นกันว่ามู่เฉินพึ่งพาเพียงค่ายกลเพื่อจัดการกับศัตรู แต่ใครจะคิดว่าเมื่อไม่มีการใช้ค่ายกลมู่เฉินก็สามารถเอาชนะลู่สุยแบบดุร้ายยิ่งกว่าอะไร

“ดูเหมือนว่ามีเพียงพี่ใหญ่จงเถิงเท่านั้นที่สามารถจัดการกับเขาได้” จอมยุทธ์อีกคนของเผ่ากระเรียนฟ้าพยักหน้า

หลิ่วชิงพยักหน้าเบาๆ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะพิจารณาพลังของมู่เฉินพลาดไปเท่านั้น แม้แต่จงเถิงก็ตัดสินอีกฝ่ายผิดไป ชายคนนั้นเป็นสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง

ฟิ้ว!

ขณะที่นอกเจดีย์ต่างตกตะลึงกับผลลัพธ์ที่มู่เฉินนำมา ทันใดนั้นแสงก็กะพริบบนแท่นนอกเจดีย์ ร่างน่าสังเวชปรากฏขึ้น

เมื่อร่างนั้นออกมาก็รีบถอยกลับไปปรากฏตัวขึ้นในกลุ่มอีกาสายฟ้าทันควัน นี่ก็คือลู่สุยที่มีสีหน้าซีดขาว คลื่นหลิงของเขาถดถอยลงอย่างมาก

สายตาโดยรอบยิงเข้าหาในเวลานี้ทันที

ใบหน้าของลู่สุยเขียวคล้ำ สายตาเกลียดชังมองไปที่มู่เฉินที่อยู่บนหน้าจอ ก่อนที่จะหันหัวสาดสายตาดุร้ายใส่จิ่วโยวและมั่วหลิง ที่ข้างๆ พรรคพวกของเขาก็มีท่าทางไม่ดีเช่นกัน

ทว่าจิ่วโยวไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับสายตาเหล่านั้น นางเค้นเสียงอย่างเย็นชา “ลูกหมาที่ถูกฟาดยังกล้าที่จะออกมาแยกเขี้ยวอีกเหรอ?”

ตอนนี้ลู่สุยบาดเจ็บสาหัส สูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปหมด ส่วนคนที่เหลือก็ไม่มีอะไรต้องกลัว หากพวกเขากล้าที่จะคิดบัญชีกับพวกนาง จิ่วโยวก็ไม่คิดปล่อยพวกเขาไว้เป็นภัยคุกคามในอนาคตหรอก

สายตาแสดงความเกลียดชังของลู่สุยจ้องเขม็งอยู่ที่จิ่วโยว แต่สุดท้ายเขาก็ต้องถอนสายตาออกไปอย่างไม่เต็มใจ ก่อนที่จะถอยกลับนั่งลงบนซากปรักหักพังเข้าสมาธิเพื่อฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ

จอมยุทธ์กลุ่มอีกาสายฟ้าก็ปรากฏรอบตัวเขาเพื่อปกป้อง

เมื่อจิ่วโยวเห็นการตอบสนองนั่น นางก็ไม่ได้ใส่ใจกับพวกเขาอีก นางมองไปที่หน้าจออีกครั้งโดยพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ร่างเงาอ่อนเยาว์ มือที่กำแน่นผ่อนคลายลง

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงสำหรับนางที่มู่เฉินจะเอาชนะได้เด็ดขาดแบบนี้ นั่นเป็นเพราะตามการประเมินของนางแม้ว่ามู่เฉินจะยืนยงอยู่ได้ก็เป็นยากที่จะเอาชนะลู่สุยด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นหกและถ้าการต่อสู้ถูกลากไปจนสุดอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบคาดไม่ถึง

ทว่าผลลัพธ์สุดท้ายที่ได้ก็ทำให้นางทั้งประหลาดใจและดีใจ

เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินได้รับประโยชน์มหาศาลจากสามชั้นแรกของเจดีย์ฝึกพลังกาย ไม่เช่นนั้นเขาไม่สามารถแสดงพลังเป็นที่ประจักษ์เช่นนี้ได้

“ว่ากันว่าในชั้นสี่มหัศจรรย์กว่านี้มาก หากใครสามารถเข้าไปได้ พวกเขาจะสามารถได้รับผลประโยชน์เกินกว่าสามชั้นแรกมาก…”

จิ่วโยวยิ้มบาง ดูจากสถานการณ์ปัจจุบันไม่น่ามีปัญหาใดๆ ที่มู่เฉินจะเข้าสู่ชั้นสี่ สำหรับมั่วเฟิงความแข็งแกร่งของเขาเป็นหนึ่งในอันดับต้นของกลุ่มที่เข้าไป ดังนั้นจึงไม่ยากสำหรับเขาที่จะได้หนึ่งในห้าที่นั่งนี้ไปเช่นกัน

ดูเหมือนว่าการเดินทางมาที่เจดีย์ฝึกพลังกายโบราณครั้งนี้เผ่าวิหคโลกันตร์อาจเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

บนลานเมฆสายฟ้า

ไม่มีใครตอบคำถามของมู่เฉิน ขณะนี้แม้แต่จอมยุทธ์ทรงอำนาจอย่างหานซันและสีคุนก็ยังรู้สึกหวาดระแวงมู่เฉินอยู่บ้าง ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะไม่ไปปะทะกับมนุษย์ผู้นี้

ดังนั้นคนทั้งหมดที่อยู่ที่นี่จึงเงียบลง ก่อนที่จะถอยออกจากรัศมีโดยรอบมู่เฉินอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณบอกว่าพวกเขาไม่ต้องการต่อสู้กับเขา

เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ก็ไม่มีอารมณ์ใดบนใบหน้า แต่ในใจกลับรู้สึกโล่งอก คนอื่นๆ เห็นเพียงฉากการต่อสู้ตระการที่เขาเอาชนะลู่สุยได้ แต่พวกเขาไม่รู้หรอกว่าหมัดที่เขาชกออกไปก่อนหน้านี้คือพลังงานส่วนเกินจากสามชั้นแรก

ร่างกายของมู่เฉินก่อนหน้าเปรียบเสมือนฟองน้ำที่ดูดซับน้ำจนถึงขีดจำกัด หมัดของเขาจึงเท่ากับบีบน้ำออกจนหมด ทำให้ร่างกายที่อัดแน่นกลับสู่สภาพเดิม

ดังนั้นถ้าให้เขาโจมตีแบบนั้นอีกครั้ง พลังก็จะไม่ทรงประสิทธิภาพเหมือนเมื่อครู่แน่นอน

ประสิทธิผลพิเศษชนิดนี้ของการสะสมพลังงานในร่างกายเป็นทักษะที่ได้มาจากกายามังกรหงส์ ด้วยวิธีนี้เขาจะได้รับผลลัพธ์ที่ไม่มีใครคาดคิดไว้ กลายเป็นไพ่ลับอีกใบหนึ่ง

“คัมภีร์หลงเฟิ่งทรงพลังจริงๆ”

แม้แต่มู่เฉินก็ยังชื่นชมในสิ่งนี้ คัมภีร์หลงเฟิ่งสมแล้วที่เป็นทักษะยอดเยี่ยมแท้จริง จากการประเมินของเขาคัมภีร์นี้ต้องอยู่ในระดับเสินทงแน่นอน ซึ่งไม่ธรรมดาแม้จะอยู่ในกลุ่มวิทยายุทธระดับเสินทงด้วย

มู่เฉินชื่นชมก่อนที่จะใจเย็นลง แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีใครท้าทายเขา แต่เขาก็ไม่ตั้งใจที่จะท้าทายคนอื่นด้วยเช่นกัน เขายืนนิ่งบนตำแหน่งตนเองรอผลการคัดออก

สำหรับจงเถิง มู่เฉินรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นพวกยุแยงให้ลู่สุยมาปะทะกับเขา แต่เนื่องจากตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ดีในการจัดการ เขาจึงได้แต่ผลักแผนไปก่อน

แต่ถึงกระนั้นสายตาคมกล้าของมู่เฉินก็ยังจ้องเขม็งไปที่จงเถิง รอบตัวเต็มไปด้วยคลื่นหลิงราวกับเสือดาวที่กำลังจะจ้องตะครุบเหยื่ออัดแน่นด้วยภัยคุกคาม

เมื่อเห็นท่าทางของมู่เฉิน จงเถิงที่ประจันหน้ากับมั่วเฟิงก็รู้สึกอึดอัดใจ เขาต้องแยกสมาธิอยู่ตลอดเพื่อจับตามองมู่เฉิน ป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายเคลื่อนไหวมาประสานพลังกับมั่วเฟิง

ด้วยวิธีนี้สมาธิของจงเถิงจึงค่อนข้างฟุ้งซ่าน สุดท้ายเขาได้แต่กัดฟัน ถอนคลื่นหลิงและถอยออกจากบริเวณของมั่วเฟิง

“พี่มั่วยากสำหรับการต่อสู้ของเราที่จะได้ข้อสรุป ทำไมเราไม่ไปจัดการคนอื่นและรับที่นั่งมาล่ะ?” ขณะที่จงเถิงถอยกลับเสียงก็สะท้อนก้องไปด้วย

มั่วเฟิงจ้องมองจงเถิงอย่างไม่แยแสก่อนที่จะพยักหน้า นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าหากพวกเขายังอยู่ในสถานการณ์ยืนจ้องหน้ากันก็จะไม่เกิดผลลัพธ์ใด หากเขาร่วมมือกับมู่เฉิน พวกเขาอาจทำให้จงเถิงบ้าดีเดือดขึ้นมา แม้แต่พวกเขาก็ต้องจ่ายราคามหาศาลจากการตีโต้

ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาคือการได้ที่นั่งเพื่อเข้าสู่ชั้นสี่

เมื่อจงเถิงเห็นคำตอบของมั่วเฟิงก็รู้สึกโล่งใจในใจ เขาถอยกลับอย่างรวดเร็วออกจากจุดที่มู่เฉินและมั่วเฟิงอยู่ เขาครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนจะเลือกปะทะกับคนที่อ่อนแอกว่า

พอมู่เฉินเห็นจงเถิงไปแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจอีกต่อไป สายตาหันมามองมั่วเฟิงแล้วก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มแสดงความขอบคุณในการช่วยเหลือครั้งนี้

สายตาของมั่วเฟิงเป็นมิตรมากขึ้น คิดว่าการที่มู่เฉินเอาชนะลู่สุย ทำให้มั่วเฟิงมองมู่เฉินในฐานะจอมยุทธ์ที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเขา ดังนั้นจึงไม่ได้มีท่าทางเฉยเมยเหมือนเมื่อก่อน

มั่วเฟิงพยักหน้าให้มู่เฉิน ก่อนที่จะหันหลังกลับและเริ่มเลือกคู่ต่อสู้ของตนเอง

ครืน!

เมื่อทุกคนเลือกคู่ต่อสู้แล้ว ทันใดนั้นคลื่นหลิงก็ระเบิดรุนแรงบนลานเมฆสายฟ้า คลื่นกระแทกกวาดออก ทำให้มิติเกิดการสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไม่หยุด

บนลานเมฆสายฟ้าพลังงานหลิงกวาดหายนะ มีเพียงตรงมู่เฉินเท่านั้นที่ไม่ถูกรบกวน เนื่องจากไม่มีใครกล้าเหยียบเข้ามาในรัศมีพันจั้ง ยามนี้เขาเหมือนผู้ชมที่ดูการต่อสู้ติดขอบ ในเวลาเดียวกันก็บันทึกกระบวนท่าที่ทรงพลังของบางคนไว้ในสมอง

แม้ว่าในชั้นนี้พวกเขาอาจไม่ได้ประลองกัน แต่ก็ยังมีอีกสองชั้นรอพวกเขาอยู่ ใครจะสามารถรับประกันได้ว่าจะไม่มีการลดจำนวนลงในชั้นต่อไป?

ดังนั้นถ้ามีโอกาสเขาต้องพยายามจดจำข้อมูลผู้อื่นเก็บไว้

ภายใต้การสังเกตของมู่เฉิน การประลองบนลานเมฆสายฟ้าก็คงอยู่ชั่วระยะหนึ่ง ก่อนที่แต่ละคู่จะมาถึงจุดสิ้นสุด ผลลัพธ์ก็เป็นไปตามที่คาดไว้

หลังจากมู่เฉินก็เป็นหานซันที่เอาชนะคู่ต่อสู้ได้ที่นั่งที่สองไป

จากนั้นมั่วเฟิงและจงเถิงก็คว้าชัยชนะตามมา

ที่นั่งสุดท้ายตกเป็นของสีคุนที่ก่อนหน้านี้เคยแพ้หานซันที่ด้านนอกเจดีย์ ชายนี้มีความแข็งแกร่งที่น่าตกใจ แม้แต่หานซันยังต้องใช้ทักษะเต็มที่ถึงจะได้รับชัยชนะมา

เมื่อสีคุนได้รับที่นั่งสุดท้ายลานเมฆสายฟ้าขนาดใหญ่ก็เงียบลงอีกครั้ง ร่างทั้งห้ายืนอยู่ ขณะรัศมีไร้ขอบเขตทั้งห้าสายพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าชนกันเปรี้ยงปร้าง

ทว่าการชนกันก็ดำเนินไปเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ก่อนที่ทั้งห้าจะถอนคลื่นพลังพร้อมกัน พวกเขาเหลือบมองกันและกัน จากนั้นก็ไม่ลังเลทะยานออกไปปรากฏตัวบนเบาะทั้งห้า

สายตาพวกเขาพุ่งตรงไปยังมิติด้านหลังลานเมฆสายฟ้าด้วยความโลภ ตรงนั้นเส้นดาวหางจำนวนมากกวาดผ่านราวกับฝนดาวตก

ในแสงเหล่านั้นแก่นหยดสายฟ้ากำลังกะพริบด้วยความแวววาว


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท