หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – ตอนที่ 1050

ตอนที่ 1050

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1050 ดอกบัวมรกตเก้าโคจร
บนยอดเขา

เมื่อมู่เฉินพลิ้วตัวลงมาก็เพ่งมองไปข้างหน้า เขาเห็นหุบเขาสีดำขนาดใหญ่ที่มีรัศมีความตายจำนวนมากชวนแตกตื่นอยู่ภายใน รัศมีความตายหนาแน่นมากจนก่อตัวเป็นก้อนเมฆเหนือหุบเขา ฝนสีดำโปรยปรายลงมา ซึ่งสายฝนก็เกิดจากรัศมีความตาย

รัศมีความตายที่นั่นเกินกว่าที่มู่เฉินเคยได้เห็น

นอกจากนี้มู่เฉินยังสามารถมองเห็นเงาร่างสีดำสิบกว่าร่างในหุบเขา ร่างเหล่านั้นนั่งนิ่งเงียบพร้อมกับรัศมีความตายรุนแรงรอบตัว ความหนาแน่นของรัศมีแข็งแกร่งกว่าอสูรวิญญาณขั้นแปดที่พวกเขาเจอมาก่อนหน้าเสียอีก

เห็นได้ชัดว่าร่างดำเหล่านั้นล้วนเป็นอสูรวิญญาณขั้นแปด มิหนำซ้ำยังเป็นชั้นสูงด้วย

“ที่นั่นคือที่ไหนกัน?” คนอื่นๆ ก็พลิ้วตัวลงมาหยุดที่ด้านข้างมู่เฉิน พวกเขามองไปที่หุบเขา สีหน้าก็เปลี่ยนแปลงรุนแรง ดวงตาเต็มไปด้วยความตกใจและหวาดกลัว

มู่เฉินส่ายหัว “อสูรวิญญาณที่เราฆ่าก่อนหน้าคงพยายามเข้าไปในหุบเขาแห่งนี้ แต่สุดท้ายก็ถูกไล่ออกไป…”

จากบาดแผลที่เห็น อสูรวิญญาณตัวนั้นจะต้องต่อสู้กับพวกที่อยู่ในหุบเขา แต่สุดท้ายก็ล้มเหลวจึงต้องถอยออกมา

จิ่วโยวพยักหน้าเบาๆ เมื่อได้ยิน รัศมีความตายเทียบเท่ากับคลื่นหลิงในการฝึกฝนสำหรับอสูรวิญญาณ ดังนั้นสถานที่แห่งนี้จึงเป็นดินแดนขุมทรัพย์สำหรับอสูรวิญญาณ แม้ว่าพวกมันจะไม่มีสติปัญญา แต่ก็ยังคงมองหาสถานที่เพาะบ่มพลังตามสัญชาตญาณ

แต่เมื่อพิจารณาจากปัจจุบันหุบเขาแห่งนี้ถูกครอบครองโดยอสูรวิญญาณกลุ่มหนึ่งจึงไม่อนุญาตให้อสูรวิญญาณตัวอื่นๆ เข้ามาได้

“มีอสูรวิญญาณขั้นแปดอย่างน้อยสิบตัวในนั้น” หานซันพูดด้วยสีหน้าซีดเซียว นั่นเทียบเท่ากับการรวมตัวของจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นแปดถึงสิบคนเชียวนะ หากพวกมันพุ่งออกมาคงไม่มีใครสามารถหลบหนีไปได้

ม่านตาสีดำของมู่เฉินจับจ้องไปที่หุบเขา จากนั้นแสงสีดำก็ปรากฏขึ้นบนหน้าผาก เนตรดับชีวิตเปิดปรือเล็กน้อย แสงสีดำทะลุผ่านมิติกวาดมองหุบเขาที่ปกคลุมไปด้วยรัศมีความตายหนาแน่น

ภูมิทัศน์ภายในของหุบเขากว้างใหญ่มาก นอกจากนี้ยังไม่มีร่องรอยของพลังชีวิต ไม่ได้มีอสูรวิญญาณมากมาย แต่ทุกตัวล้วนมีรัศมีความตายที่น่าอัศจรรย์ห่อหุ้มร่างไว้ เห็นได้ชัดว่าเป็นอสูรวิญญาณขั้นแปดทั้งหมด

นอกจากนี้มู่เฉินยังพบว่าแม้แต่อสูรวิญญาณขั้นแปดยังนั่งอยู่ชั้นนอกของหุบเขาเท่านั้น ในส่วนลึกของหุบเขาถูกปกคลุมด้วยแสงสีดำที่ดูลึกลับมาก ต่อให้รัศมีความตายในนั้นมีความหนาแน่นสูง อสูรวิญญาณขั้นแปดเหล่านั้นก็ไม่กล้าย่างเท้าเข้าไปในบริเวณนั้น

“ส่วนลึกของหุบเขามีอะไรกันแน่?”

สายตาของมู่เฉินวูบไหวด้วยความประหลาดใจ เขาครุ่นคิดคร่าวๆ ก่อนที่เนตรดับชีวิตบนหน้าผากจะเปิดออกอย่างสมบูรณ์ แสงสีดำกะพริบก็ทะลุผ่านมิติมองลึกเข้าไปในหุบเขา

รัศมีความตายถูกมองผ่านโดยเนตรดับชีวิต ทิวทัศน์ภายในถูกเปิดเผยในมุมมองของมู่เฉิน

ในความลึกนั้นดูเหมือนจะเป็นบึงสีดำขนาดใหญ่ ถ้ามองโคลนเหล่านั้นดีๆ ก็จะพบว่าก่อตัวมาจากรัศมีความตายที่หนาแน่น

ความหนาวเย็นที่น่ากลัวปกคลุมไปทั่วบริเวณ ทำให้คลื่นหลิงถึงกับไม่บริสุทธิ์

มู่เฉินมองไปที่บึงครู่หนึ่ง จากนั้นจิตใจก็เคลื่อนไหว สายตาถูกดึงดูดจนเพ่งเข้าที่ส่วนลึกของบึงใหญ่ มีต้นไม้แห้งต้นหนึ่งอยู่ตรงนั้น มีเงาดำนั่งเงียบๆ อยู่บนต้นไม้นั่น

ไม่มีพลังงานชีวิตใดมาจากเงานั่น แต่ก็ไม่มีรัศมีความตายรอบตัวเช่นกัน มองดูราวกับคนที่เพิ่งตายเลยทีเดียว

แต่เมื่อมู่เฉินเห็น ม่านตาก็หดเกร็ง นั่นเป็นเพราะยามนี้เขารู้สึกถึงภัยคุกคามรุนแรงที่มาจากร่างนั้น

ภัยคุกคามเกินกว่าอสูรวิญญาณขั้นแปดทุกตัวที่เขาเคยเห็น!

ร่างนั้นปิดตาสนิทแต่ดูเหมือนว่าจะสัมผัสถึงสายตาของมู่เฉินได้ ดวงตาขยับขึ้นเล็กน้อยราวกับว่ากำลังจะเปิดออก

เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ก็รีบดึงสายตากลับและไตร่ตรองอย่างรวดเร็ว แม้ว่าร่างนั้นจะไม่ดูแข็งทื่อหรือปกคลุมไปด้วยรัศมีความตายเหมือนร่างอสูรวิญญาณอื่นๆ แต่มู่เฉินก็รู้ดีว่ามันต้องเป็นอสูรวิญญาณแน่นอน…

ทว่าร่างนั้นเหนือกว่าร่างอื่นทั้งหมด ซึ่งอาจจะเป็น…อสูรวิญญาณขั้นเก้า!

เมื่อคิดถึงสิ่งนี้หัวใจของมู่เฉินก็สั่นสะท้าน การดำรงอยู่นี้เทียบเท่ากับจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้า จุดสูงสุดของระดับจื้อจุน… เพียงอีกก้าวเดียวก็จะมีคุณสมบัติเข้าสู่ระดับตี้จื้อจุนแล้ว…

หากอสูรวิญญาณขั้นเก้าพุ่งออกมาก็สามารถทำให้พวกเขาทั้งกลุ่มเลือดเจิ่งนองไปทั่วได้

แต่ทำไมมันถึงมาอยู่ในบึงตามลำพัง? นอกจากนี้ดูจากตำแหน่งแล้วก็ไม่เหมือนเพาะบ่มพลังอะไร กลับเหมือนกำลังปกป้องบางอย่างอยู่…

ความคิดไหลเวียนอยู่ในใจ จากนั้นเขาก็สัมผัสได้ถึงบางสิ่ง แสงสีดำกะพริบที่หน้าผากสายตายิงเข้าไปในส่วนลึกของหุบเขาค้นหารอบๆ ใจกลางบึง

เขารู้สึกถึงความผันผวนที่แปลกประหลาดในใจกลางของบึงซึ่งปกคลุมไปด้วยรัศมีความตาย

มู่เฉินไม่ได้ค้นหานานนักเนื่องจากความผันผวนแปลกประหลาดโดดเด่นเกินไป ในเวลาเพียงสิบกว่าลมหายใจ สายตาของมู่เฉินก็รวบอยู่ที่ส่วนลึกของบึง อาการไม่เชื่อรุนแรงเผยในสายตา

สิ่งที่ปรากฏในสายตาของมู่เฉินคือบ่อน้ำขนาดหลายสิบจั้ง น้ำใสสะอาดเปล่งพลังงานหลิงที่หนาแน่น นอกจากนี้ยังมีดอกบัวสีฟ้าอมเขียวอยู่ในบ่อน้ำที่เต็มไปด้วยพลังชีวิต

มู่เฉินมองไปที่บ่อด้วยความตกตะลึง หากบ่อน้ำนี้อยู่ด้านนอกสุสาน เขาจะไม่ให้ความสนใจมากนัก แต่สถานที่นี้ไม่เหมือนกันเนื่องจากไม่มีพลังงานชีวิตที่นี่ แต่มีบ่อน้ำที่เต็มไปด้วยพลังชีวิตทำให้แปลกตามาก…

นอกจากนี้พลังชีวิตในบ่อน้ำก็ทรงพลังเกินไป

พลังนั่นจำกัดวงอยู่ที่บ่อเท่านั้น ไม่ได้กระฉอกออกจากบ่อเลยแม้แต่น้อย ดังนั้นรอบๆ บ่อจึงยังคงเต็มไปด้วยรัศมีความตาย ดอกบัวสีฟ้าอมเขียวในบ่อกลายเป็นแหล่งกำเนิดชีวิตเพียงอย่างเดียว

โดยทั่วไปแล้วไม่ควรมีการดำรงอยู่ของพลังชีวิตในสถานที่ซึ่งเต็มไปด้วยความตาย เว้นแต่จะมีอะไรที่เทียบเท่ากับอสูรโบราณโภคะละสังขารไว้ภายใน รัศมีที่เหลืออยู่จึงปกป้องสถานที่นี้ แต่เมื่อครู่มู่เฉินได้สำรวจอย่างละเอียดแล้ว เขาไม่ได้รู้สึกถึงรัศมีทรงพลังใดๆ ที่ถูกทิ้งไว้ข้างหลัง

ดังนั้นบ่อน้ำที่ล้นเอ่อด้วยพลังชีวิตต้องเกิดมาจากฟ้าดิน

ความคิดของมู่เฉินหมุนเร็วจี๋ แม้ว่ารัศมีความตายในดินแดนนี้จะหนาแน่นมาก แต่ด้วยวิถีของโลกนี้เกี่ยวกับความสมดุลระหว่างฟ้าดิน จึงทำให้เมื่อรัศมีความตายทรงพลังจนถึงระดับหนึ่ง ชีวิตก็จะปรากฏขึ้น

ดังนั้นสิ่งที่กำเนิดขึ้นที่นั่นจะต้องเป็นสมบัติวิเศษแน่นอน

“ต้องมีสมบัติอยู่ในบ่อน้ำ!”

สายตาของมู่เฉินวูบไหว แสงควบแน่นบนเนตรดับชีวิตบนหน้าผาก เขาไม่สนใจความอ่อนเพลียหมุนเวียนคลื่นหลิงในร่างกายออกมา แสงสีดำพุ่งเข้าไปในบ่ออย่างรวดเร็ว ทันใดภาพบ่อน้ำก็กระจ่างใสในดวงตา ขณะที่เขาเบิกตากว้าง

มีดอกบัวสีฟ้าอมเขียวขนาดเท่ากำปั้นคล้ายกับหยก แม้ว่าจะอยู่ในบึงความตาย แต่ก็เปล่งประกายสุกสว่างโดยไม่มีการปนเปื้อนใดๆ ความผันผวนของพลังชีวิตที่น่าตกใจแผ่ซ่านออกมา ทำให้น้ำในบ่อบริสุทธิ์

ดอกบัวหยกค่อยๆ เปิดออก เม็ดบัวสีขาวอยู่ที่ใจกลางเกสรดอกปกคลุมไปด้วยลวดลายลึกซึ้ง ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่มนุษย์สร้างแต่เกิดจากฟ้าดิน ราวกับว่าได้รับการหล่อเลี้ยงจากพลังชีวิตที่ยิ่งใหญ่และพลังหลิงที่บริสุทธิ์ระหว่างสวรรค์และโลก

“นี่มัน…”

มู่เฉินตกตะลึงเมื่อมองไปที่ดอกบัวขนาดเท่ากำปั้น ครู่ต่อมาเขาก็อดไม่ได้ที่จะสูดอากาศเย็นพึมพำว่า “ดอกบัวมรกตเก้าโคจร?”

สิ่งที่เรียกว่าดอกบัวมรกตเก้าโคจรเป็นสมบัติหายากในธรรมชาติที่เกิดจากการดูดซับพลังชีวิตในฟ้าดินทำให้มีความลึกซึ้งอย่างมาก ว่ากันว่าสิ่งนี้สามารถย้อนคืนจากความตาย นอกจากนี้ยังบอกต่อกันอีกว่าการกินดอกบัวนี้เข้าไปจะสามารถเพิ่มอัตราความสำเร็จของการพัฒนาระดับจื้อจุนได้

ทุกคนในมหาพันภพรู้ดีเกี่ยวกับความยากลำบากในการบุกทะลวงระดับตี้จื้อจุน จอมยุทธ์อัจฉริยะนับไม่ถ้วนหมดแรงขับเคลื่อนและความสามารถไปมากมายแต่ก็ยังย่ำอยู่ในระดับจื้อจุนขั้นเก้า ไม่สามารถก้าวออกไปซึ่งเป็นการเปลี่ยนชีวิตได้

นอกจากนี้ยังเป็นเพราะเรื่องสมบัติที่สามารถช่วยจอมยุทธ์ระดับจื้อจุนในการทำลายห่วงขุมพลังมีค่ามหาศาลอย่างยิ่ง ราคาเป็นอะไรที่จินตนาการไม่ได้เลยและดอกบัวมรกตเก้าโคจรที่เบื้องหน้าก็เป็นหนึ่งในวัตถุนั้น

เผชิญหน้ากับสมบัติที่หายากเช่นนี้ แม้แต่หัวใจของมู่เฉินก็ยังโลดขึ้น ระดับตี้จื้อจุน…เป็นความใฝ่ฝันของเขาเช่นกัน ตราบใดที่เขาสามารถก้าวเข้าสู่ระดับดังกล่าวก็ไม่มีใครในโลกนี้ที่จะสบประมาทเขาได้

ฮา

มู่เฉินสูดหายใจลึก ดึงสายตากลับมาด้วยความยากลำบาก เขาลืมตาขึ้นแต่ในส่วนลึกของนัยน์ตายังคงลุกโชน ในตอนนี้เขารู้แล้วว่าทำไมถึงมีอสูรวิญญาณมากมายมารวมตัวกันที่นี่ จนถึงจุดที่แม้แต่อสูรวิญญาณขั้นเก้ายังถูกดึงดูดเข้ามา

ทั้งหมดมาที่นี่เพื่อดอกบัวมรกตเก้าโคจร

ตราบใดที่สามารถกลืนกินสิ่งนี้ได้ แม้จะมีร่างกายที่ตายแล้วก็สามารถครอบครองพลังชีวิตได้เช่นกัน อยู่ระหว่างความเป็นและความตายกลายเป็นอมตะ ในเวลาเดียวกันก็จะเปิดเส้นทางใหม่ในการฝึกฝนกลายเป็นสิ่งพิเศษของโลก

นี่เป็นสิ่งล่อใจที่อสูรวิญญาณโง่งมเหล่านี้ไม่สามารถต้านทานได้ สัญชาตญาณจะควบคุมให้พวกมันทำทุกอย่างเพื่อสิ่งนั้น

ดังนั้นหากมู่เฉินต้องการแย่งชิงดอกบัวมรกตเก้าโคจร เขาก็จะดึงดูดการโจมตีบ้าคลั่งของอสูรวิญญาณ ทุกตัวที่นี่อย่างแน่นอน ในเวลานั้นเขาจะต้องเผชิญกับไล่ล่าของอสูรวิญญาณขั้นแปดและขั้นเก้า…

แม้ว่าจะเป็นกลุ่มเทพอสูรระดับต้น พวกเขาก็ต้องถูกล้างบางจากการไล่ล่านี้

ดังนั้นการยอมแพ้ในสิ่งนี้จึงเป็นการตัดสินใจที่เหมาะสมที่สุด

แต่…

มู่เฉินเลียริมฝีปาก ประกายไฟลุกโชนในนัยน์ตา เขาไม่ต้องการยอมแพ้… ในเมื่อเป็นเช่นนี้งั้นเขาขอลองวางเดิมพันสักตั้ง

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler ฟรี ได้ที่ novel-fast 


เรื่องย่อ

โดย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler บางส่วนของนิยาย

บทนำ

หนึ่งในใต้หล้าจากปลายปากกาของเทียนฉานถูโต้ว กล่าวถึงมู่เฉิน เด็กหนุ่มจากสำนักศึกษาเป่ยหลิง ผู้ที่ได้รับเลือกให้เข้าฝึกในสงครามเทพยุทธ์ซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าคนเก่งกาจ ทว่า… อยู่ดีๆ เขากลับถูกขับไล่ออกมาด้วยเหตุผลที่ไม่มีใครล่วงรู้ มู่เฉินพยายามฝึกหนักอีกครั้งเพื่อจะพาตัวเองกลับเข้าไปในเส้นทางแห่งนี้ เขาจำเป็นต้องใช้สิ่งนี้เป็นใบเบิกทางเพื่อเข้าศึกษาที่ภาคเบญจภาคี เพื่อ… ปกป้องหญิงสาวที่ตนรัก และยิ่งกว่านั้นคือเพื่อค้นหาเบาะแสของมารดาที่หายสาบสูญไป

‘มหาพันภพ’ เป็นที่ที่มิติทั้งหลายเชื่อมต่อกันในระบบสุริยจักรวาล สถานที่แห่งนี้มีขั้วอำนาจมากมายอาศัยอยู่ จักรพรรดิที่มาจากพิภพเขตล่างต่างเป็นตำนานที่ผู้อื่นปรารถนาขึ้นไปบนเส้นทางแห่งกฎของโลกไร้ขอบเขตนี้

แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว เทพจักรพรรดิอัคคีควบคุมเปลวเพลิงกวาดข้ามสวรรค์

แคว้นหวู เทพจักรพรรดิสงครามผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำให้ทั้งสวรรค์และโลกหวาดกลัว

ตำหนักซีเทียน จักรพรรดิสัประยุทธ์ที่แข็งแกร่งไม่มีผู้ใดเทียบเท่า ในเนินเขารกร้างทางเหนือ ดินแดนวั้นมู่ของจักรพรรดิอมตะครองเหนือภพ

เด็กหนุ่มจากมณฑลเป่ยหลิงออกท่องยุทธภพกับวิหคโลกันตร์คู่ใจ มุ่งหน้าสู่โลกภายนอกที่เต็มไปด้วยสีสัน ใครกันที่จะเป็นผู้กุมชะตากรรมในเส้นทางการเป็นหนึ่ง?

ในมหาพันภพที่สงครามนับหมื่นอุบัติ ข้าคือผู้กุมชะตาฟ้าดิน…

เรื่องย่อ

เมื่อคำพูดของมู่เฉินกระจายออกไป ไม่เพียงแต่จะไม่มีการตอบสนอง แม้แต่ด้านนอกเจดีย์ก็ถูกห่อหุ้มด้วยบรรยากาศราวกับป่าช้า…

ทุกคนตกตะลึงไปกับฉากนี้ พวกเขาจ้องมองจุดที่ลู่สุยหายตัวไป ราวกับว่ายังไม่สามารถฟื้นจากอาการตะลึงงันที่เกิดขึ้นได้

ก่อนหน้าเมื่อลู่สุยออกกระบวนท่าที่น่าสะพรึง ผู้คนส่วนใหญ่ก็คิดว่าผลลัพธ์ของการต่อสู้ได้ถูกกำหนดแล้ว ทว่าพวกเขาไม่คิดเลยว่ามู่เฉินจะพลิกสถานการณ์ได้อีกครั้ง เตะลู่สุยที่เหมือนจะคว้าชัยชนะออกไป

ทุกคนตะลึงไปพักใหญ่ ก่อนที่พวกเขาจะหลุดออกจากอาการได้ สายตาเคร่งเครียดลง การประลองกันครั้งนี้มู่เฉินไม่ได้ใช้ค่ายกล แต่เขาก็สามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดอย่างลู่สุยได้ด้วยความแข็งแกร่งที่อยู่ในขั้นหกเท่านั้น แม้ว่าจะมีผลจากลู่สุยประมาทเองในตอนแรก แต่นั่นก็แสดงให้เห็นว่ามู่เฉินน่ากลัวแค่ไหน

พลังเช่นนี้เขาสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์อันดับต้นๆ ในเจดีย์ฝึกพลังกายได้เลยทีเดียว

ทางฝั่งกลุ่มกระเรียนฟ้า ใบหน้าของหลิ่วชิงกลายเป็นเขียวสลับขาว นางมองไปที่ร่างสูงโปร่งบนหน้าจอ กลืนน้ำลายเหนียวหนืด ความกลัวปรากฏในดวงตาของนางเป็นครั้งแรก

มาถึงจุดนี้นางคงโง่แน่ถ้ายังคิดปฏิบัติต่อมู่เฉินเหมือนกับจอมยุทธ์ขั้นหกทั่วไป

ด้วยพลังในการต่อสู้ที่เขาแสดงออกมา บวกกับค่ายกลทรงพลัง แม้แต่จงเถิงก็ยากจะได้เปรียบหากพวกเขาต่อสู้กัน

ก่อนหน้านี้นางหัวเราะเยาะและมองจิ่วโยวด้วยความดูถูก แต่ตอนนี้นางอายแทบแทรกแผ่นดินหนี ซึ่งจุดนี้รู้ได้จากสายตาเยาะเย้ยเหล่านั้นที่ปรายมองเข้ามา

“ทำไมมู่เฉินถึงทรงพลังเช่นนี้?” จงฮั้วที่พ่ายแพ้ให้กับมู่เฉินก็มีสีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดเช่นกันว่ามู่เฉินพึ่งพาเพียงค่ายกลเพื่อจัดการกับศัตรู แต่ใครจะคิดว่าเมื่อไม่มีการใช้ค่ายกลมู่เฉินก็สามารถเอาชนะลู่สุยแบบดุร้ายยิ่งกว่าอะไร

“ดูเหมือนว่ามีเพียงพี่ใหญ่จงเถิงเท่านั้นที่สามารถจัดการกับเขาได้” จอมยุทธ์อีกคนของเผ่ากระเรียนฟ้าพยักหน้า

หลิ่วชิงพยักหน้าเบาๆ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะพิจารณาพลังของมู่เฉินพลาดไปเท่านั้น แม้แต่จงเถิงก็ตัดสินอีกฝ่ายผิดไป ชายคนนั้นเป็นสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง

ฟิ้ว!

ขณะที่นอกเจดีย์ต่างตกตะลึงกับผลลัพธ์ที่มู่เฉินนำมา ทันใดนั้นแสงก็กะพริบบนแท่นนอกเจดีย์ ร่างน่าสังเวชปรากฏขึ้น

เมื่อร่างนั้นออกมาก็รีบถอยกลับไปปรากฏตัวขึ้นในกลุ่มอีกาสายฟ้าทันควัน นี่ก็คือลู่สุยที่มีสีหน้าซีดขาว คลื่นหลิงของเขาถดถอยลงอย่างมาก

สายตาโดยรอบยิงเข้าหาในเวลานี้ทันที

ใบหน้าของลู่สุยเขียวคล้ำ สายตาเกลียดชังมองไปที่มู่เฉินที่อยู่บนหน้าจอ ก่อนที่จะหันหัวสาดสายตาดุร้ายใส่จิ่วโยวและมั่วหลิง ที่ข้างๆ พรรคพวกของเขาก็มีท่าทางไม่ดีเช่นกัน

ทว่าจิ่วโยวไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับสายตาเหล่านั้น นางเค้นเสียงอย่างเย็นชา “ลูกหมาที่ถูกฟาดยังกล้าที่จะออกมาแยกเขี้ยวอีกเหรอ?”

ตอนนี้ลู่สุยบาดเจ็บสาหัส สูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปหมด ส่วนคนที่เหลือก็ไม่มีอะไรต้องกลัว หากพวกเขากล้าที่จะคิดบัญชีกับพวกนาง จิ่วโยวก็ไม่คิดปล่อยพวกเขาไว้เป็นภัยคุกคามในอนาคตหรอก

สายตาแสดงความเกลียดชังของลู่สุยจ้องเขม็งอยู่ที่จิ่วโยว แต่สุดท้ายเขาก็ต้องถอนสายตาออกไปอย่างไม่เต็มใจ ก่อนที่จะถอยกลับนั่งลงบนซากปรักหักพังเข้าสมาธิเพื่อฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ

จอมยุทธ์กลุ่มอีกาสายฟ้าก็ปรากฏรอบตัวเขาเพื่อปกป้อง

เมื่อจิ่วโยวเห็นการตอบสนองนั่น นางก็ไม่ได้ใส่ใจกับพวกเขาอีก นางมองไปที่หน้าจออีกครั้งโดยพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ร่างเงาอ่อนเยาว์ มือที่กำแน่นผ่อนคลายลง

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงสำหรับนางที่มู่เฉินจะเอาชนะได้เด็ดขาดแบบนี้ นั่นเป็นเพราะตามการประเมินของนางแม้ว่ามู่เฉินจะยืนยงอยู่ได้ก็เป็นยากที่จะเอาชนะลู่สุยด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นหกและถ้าการต่อสู้ถูกลากไปจนสุดอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบคาดไม่ถึง

ทว่าผลลัพธ์สุดท้ายที่ได้ก็ทำให้นางทั้งประหลาดใจและดีใจ

เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินได้รับประโยชน์มหาศาลจากสามชั้นแรกของเจดีย์ฝึกพลังกาย ไม่เช่นนั้นเขาไม่สามารถแสดงพลังเป็นที่ประจักษ์เช่นนี้ได้

“ว่ากันว่าในชั้นสี่มหัศจรรย์กว่านี้มาก หากใครสามารถเข้าไปได้ พวกเขาจะสามารถได้รับผลประโยชน์เกินกว่าสามชั้นแรกมาก…”

จิ่วโยวยิ้มบาง ดูจากสถานการณ์ปัจจุบันไม่น่ามีปัญหาใดๆ ที่มู่เฉินจะเข้าสู่ชั้นสี่ สำหรับมั่วเฟิงความแข็งแกร่งของเขาเป็นหนึ่งในอันดับต้นของกลุ่มที่เข้าไป ดังนั้นจึงไม่ยากสำหรับเขาที่จะได้หนึ่งในห้าที่นั่งนี้ไปเช่นกัน

ดูเหมือนว่าการเดินทางมาที่เจดีย์ฝึกพลังกายโบราณครั้งนี้เผ่าวิหคโลกันตร์อาจเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

บนลานเมฆสายฟ้า

ไม่มีใครตอบคำถามของมู่เฉิน ขณะนี้แม้แต่จอมยุทธ์ทรงอำนาจอย่างหานซันและสีคุนก็ยังรู้สึกหวาดระแวงมู่เฉินอยู่บ้าง ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะไม่ไปปะทะกับมนุษย์ผู้นี้

ดังนั้นคนทั้งหมดที่อยู่ที่นี่จึงเงียบลง ก่อนที่จะถอยออกจากรัศมีโดยรอบมู่เฉินอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณบอกว่าพวกเขาไม่ต้องการต่อสู้กับเขา

เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ก็ไม่มีอารมณ์ใดบนใบหน้า แต่ในใจกลับรู้สึกโล่งอก คนอื่นๆ เห็นเพียงฉากการต่อสู้ตระการที่เขาเอาชนะลู่สุยได้ แต่พวกเขาไม่รู้หรอกว่าหมัดที่เขาชกออกไปก่อนหน้านี้คือพลังงานส่วนเกินจากสามชั้นแรก

ร่างกายของมู่เฉินก่อนหน้าเปรียบเสมือนฟองน้ำที่ดูดซับน้ำจนถึงขีดจำกัด หมัดของเขาจึงเท่ากับบีบน้ำออกจนหมด ทำให้ร่างกายที่อัดแน่นกลับสู่สภาพเดิม

ดังนั้นถ้าให้เขาโจมตีแบบนั้นอีกครั้ง พลังก็จะไม่ทรงประสิทธิภาพเหมือนเมื่อครู่แน่นอน

ประสิทธิผลพิเศษชนิดนี้ของการสะสมพลังงานในร่างกายเป็นทักษะที่ได้มาจากกายามังกรหงส์ ด้วยวิธีนี้เขาจะได้รับผลลัพธ์ที่ไม่มีใครคาดคิดไว้ กลายเป็นไพ่ลับอีกใบหนึ่ง

“คัมภีร์หลงเฟิ่งทรงพลังจริงๆ”

แม้แต่มู่เฉินก็ยังชื่นชมในสิ่งนี้ คัมภีร์หลงเฟิ่งสมแล้วที่เป็นทักษะยอดเยี่ยมแท้จริง จากการประเมินของเขาคัมภีร์นี้ต้องอยู่ในระดับเสินทงแน่นอน ซึ่งไม่ธรรมดาแม้จะอยู่ในกลุ่มวิทยายุทธระดับเสินทงด้วย

มู่เฉินชื่นชมก่อนที่จะใจเย็นลง แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีใครท้าทายเขา แต่เขาก็ไม่ตั้งใจที่จะท้าทายคนอื่นด้วยเช่นกัน เขายืนนิ่งบนตำแหน่งตนเองรอผลการคัดออก

สำหรับจงเถิง มู่เฉินรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นพวกยุแยงให้ลู่สุยมาปะทะกับเขา แต่เนื่องจากตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ดีในการจัดการ เขาจึงได้แต่ผลักแผนไปก่อน

แต่ถึงกระนั้นสายตาคมกล้าของมู่เฉินก็ยังจ้องเขม็งไปที่จงเถิง รอบตัวเต็มไปด้วยคลื่นหลิงราวกับเสือดาวที่กำลังจะจ้องตะครุบเหยื่ออัดแน่นด้วยภัยคุกคาม

เมื่อเห็นท่าทางของมู่เฉิน จงเถิงที่ประจันหน้ากับมั่วเฟิงก็รู้สึกอึดอัดใจ เขาต้องแยกสมาธิอยู่ตลอดเพื่อจับตามองมู่เฉิน ป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายเคลื่อนไหวมาประสานพลังกับมั่วเฟิง

ด้วยวิธีนี้สมาธิของจงเถิงจึงค่อนข้างฟุ้งซ่าน สุดท้ายเขาได้แต่กัดฟัน ถอนคลื่นหลิงและถอยออกจากบริเวณของมั่วเฟิง

“พี่มั่วยากสำหรับการต่อสู้ของเราที่จะได้ข้อสรุป ทำไมเราไม่ไปจัดการคนอื่นและรับที่นั่งมาล่ะ?” ขณะที่จงเถิงถอยกลับเสียงก็สะท้อนก้องไปด้วย

มั่วเฟิงจ้องมองจงเถิงอย่างไม่แยแสก่อนที่จะพยักหน้า นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าหากพวกเขายังอยู่ในสถานการณ์ยืนจ้องหน้ากันก็จะไม่เกิดผลลัพธ์ใด หากเขาร่วมมือกับมู่เฉิน พวกเขาอาจทำให้จงเถิงบ้าดีเดือดขึ้นมา แม้แต่พวกเขาก็ต้องจ่ายราคามหาศาลจากการตีโต้

ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาคือการได้ที่นั่งเพื่อเข้าสู่ชั้นสี่

เมื่อจงเถิงเห็นคำตอบของมั่วเฟิงก็รู้สึกโล่งใจในใจ เขาถอยกลับอย่างรวดเร็วออกจากจุดที่มู่เฉินและมั่วเฟิงอยู่ เขาครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนจะเลือกปะทะกับคนที่อ่อนแอกว่า

พอมู่เฉินเห็นจงเถิงไปแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจอีกต่อไป สายตาหันมามองมั่วเฟิงแล้วก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มแสดงความขอบคุณในการช่วยเหลือครั้งนี้

สายตาของมั่วเฟิงเป็นมิตรมากขึ้น คิดว่าการที่มู่เฉินเอาชนะลู่สุย ทำให้มั่วเฟิงมองมู่เฉินในฐานะจอมยุทธ์ที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเขา ดังนั้นจึงไม่ได้มีท่าทางเฉยเมยเหมือนเมื่อก่อน

มั่วเฟิงพยักหน้าให้มู่เฉิน ก่อนที่จะหันหลังกลับและเริ่มเลือกคู่ต่อสู้ของตนเอง

ครืน!

เมื่อทุกคนเลือกคู่ต่อสู้แล้ว ทันใดนั้นคลื่นหลิงก็ระเบิดรุนแรงบนลานเมฆสายฟ้า คลื่นกระแทกกวาดออก ทำให้มิติเกิดการสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไม่หยุด

บนลานเมฆสายฟ้าพลังงานหลิงกวาดหายนะ มีเพียงตรงมู่เฉินเท่านั้นที่ไม่ถูกรบกวน เนื่องจากไม่มีใครกล้าเหยียบเข้ามาในรัศมีพันจั้ง ยามนี้เขาเหมือนผู้ชมที่ดูการต่อสู้ติดขอบ ในเวลาเดียวกันก็บันทึกกระบวนท่าที่ทรงพลังของบางคนไว้ในสมอง

แม้ว่าในชั้นนี้พวกเขาอาจไม่ได้ประลองกัน แต่ก็ยังมีอีกสองชั้นรอพวกเขาอยู่ ใครจะสามารถรับประกันได้ว่าจะไม่มีการลดจำนวนลงในชั้นต่อไป?

ดังนั้นถ้ามีโอกาสเขาต้องพยายามจดจำข้อมูลผู้อื่นเก็บไว้

ภายใต้การสังเกตของมู่เฉิน การประลองบนลานเมฆสายฟ้าก็คงอยู่ชั่วระยะหนึ่ง ก่อนที่แต่ละคู่จะมาถึงจุดสิ้นสุด ผลลัพธ์ก็เป็นไปตามที่คาดไว้

หลังจากมู่เฉินก็เป็นหานซันที่เอาชนะคู่ต่อสู้ได้ที่นั่งที่สองไป

จากนั้นมั่วเฟิงและจงเถิงก็คว้าชัยชนะตามมา

ที่นั่งสุดท้ายตกเป็นของสีคุนที่ก่อนหน้านี้เคยแพ้หานซันที่ด้านนอกเจดีย์ ชายนี้มีความแข็งแกร่งที่น่าตกใจ แม้แต่หานซันยังต้องใช้ทักษะเต็มที่ถึงจะได้รับชัยชนะมา

เมื่อสีคุนได้รับที่นั่งสุดท้ายลานเมฆสายฟ้าขนาดใหญ่ก็เงียบลงอีกครั้ง ร่างทั้งห้ายืนอยู่ ขณะรัศมีไร้ขอบเขตทั้งห้าสายพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าชนกันเปรี้ยงปร้าง

ทว่าการชนกันก็ดำเนินไปเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ก่อนที่ทั้งห้าจะถอนคลื่นพลังพร้อมกัน พวกเขาเหลือบมองกันและกัน จากนั้นก็ไม่ลังเลทะยานออกไปปรากฏตัวบนเบาะทั้งห้า

สายตาพวกเขาพุ่งตรงไปยังมิติด้านหลังลานเมฆสายฟ้าด้วยความโลภ ตรงนั้นเส้นดาวหางจำนวนมากกวาดผ่านราวกับฝนดาวตก

ในแสงเหล่านั้นแก่นหยดสายฟ้ากำลังกะพริบด้วยความแวววาว


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท