หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1050 ดอกบัวมรกตเก้าโคจร
บนยอดเขา
เมื่อมู่เฉินพลิ้วตัวลงมาก็เพ่งมองไปข้างหน้า เขาเห็นหุบเขาสีดำขนาดใหญ่ที่มีรัศมีความตายจำนวนมากชวนแตกตื่นอยู่ภายใน รัศมีความตายหนาแน่นมากจนก่อตัวเป็นก้อนเมฆเหนือหุบเขา ฝนสีดำโปรยปรายลงมา ซึ่งสายฝนก็เกิดจากรัศมีความตาย
รัศมีความตายที่นั่นเกินกว่าที่มู่เฉินเคยได้เห็น
นอกจากนี้มู่เฉินยังสามารถมองเห็นเงาร่างสีดำสิบกว่าร่างในหุบเขา ร่างเหล่านั้นนั่งนิ่งเงียบพร้อมกับรัศมีความตายรุนแรงรอบตัว ความหนาแน่นของรัศมีแข็งแกร่งกว่าอสูรวิญญาณขั้นแปดที่พวกเขาเจอมาก่อนหน้าเสียอีก
เห็นได้ชัดว่าร่างดำเหล่านั้นล้วนเป็นอสูรวิญญาณขั้นแปด มิหนำซ้ำยังเป็นชั้นสูงด้วย
“ที่นั่นคือที่ไหนกัน?” คนอื่นๆ ก็พลิ้วตัวลงมาหยุดที่ด้านข้างมู่เฉิน พวกเขามองไปที่หุบเขา สีหน้าก็เปลี่ยนแปลงรุนแรง ดวงตาเต็มไปด้วยความตกใจและหวาดกลัว
มู่เฉินส่ายหัว “อสูรวิญญาณที่เราฆ่าก่อนหน้าคงพยายามเข้าไปในหุบเขาแห่งนี้ แต่สุดท้ายก็ถูกไล่ออกไป…”
จากบาดแผลที่เห็น อสูรวิญญาณตัวนั้นจะต้องต่อสู้กับพวกที่อยู่ในหุบเขา แต่สุดท้ายก็ล้มเหลวจึงต้องถอยออกมา
จิ่วโยวพยักหน้าเบาๆ เมื่อได้ยิน รัศมีความตายเทียบเท่ากับคลื่นหลิงในการฝึกฝนสำหรับอสูรวิญญาณ ดังนั้นสถานที่แห่งนี้จึงเป็นดินแดนขุมทรัพย์สำหรับอสูรวิญญาณ แม้ว่าพวกมันจะไม่มีสติปัญญา แต่ก็ยังคงมองหาสถานที่เพาะบ่มพลังตามสัญชาตญาณ
แต่เมื่อพิจารณาจากปัจจุบันหุบเขาแห่งนี้ถูกครอบครองโดยอสูรวิญญาณกลุ่มหนึ่งจึงไม่อนุญาตให้อสูรวิญญาณตัวอื่นๆ เข้ามาได้
“มีอสูรวิญญาณขั้นแปดอย่างน้อยสิบตัวในนั้น” หานซันพูดด้วยสีหน้าซีดเซียว นั่นเทียบเท่ากับการรวมตัวของจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นแปดถึงสิบคนเชียวนะ หากพวกมันพุ่งออกมาคงไม่มีใครสามารถหลบหนีไปได้
ม่านตาสีดำของมู่เฉินจับจ้องไปที่หุบเขา จากนั้นแสงสีดำก็ปรากฏขึ้นบนหน้าผาก เนตรดับชีวิตเปิดปรือเล็กน้อย แสงสีดำทะลุผ่านมิติกวาดมองหุบเขาที่ปกคลุมไปด้วยรัศมีความตายหนาแน่น
ภูมิทัศน์ภายในของหุบเขากว้างใหญ่มาก นอกจากนี้ยังไม่มีร่องรอยของพลังชีวิต ไม่ได้มีอสูรวิญญาณมากมาย แต่ทุกตัวล้วนมีรัศมีความตายที่น่าอัศจรรย์ห่อหุ้มร่างไว้ เห็นได้ชัดว่าเป็นอสูรวิญญาณขั้นแปดทั้งหมด
นอกจากนี้มู่เฉินยังพบว่าแม้แต่อสูรวิญญาณขั้นแปดยังนั่งอยู่ชั้นนอกของหุบเขาเท่านั้น ในส่วนลึกของหุบเขาถูกปกคลุมด้วยแสงสีดำที่ดูลึกลับมาก ต่อให้รัศมีความตายในนั้นมีความหนาแน่นสูง อสูรวิญญาณขั้นแปดเหล่านั้นก็ไม่กล้าย่างเท้าเข้าไปในบริเวณนั้น
“ส่วนลึกของหุบเขามีอะไรกันแน่?”
สายตาของมู่เฉินวูบไหวด้วยความประหลาดใจ เขาครุ่นคิดคร่าวๆ ก่อนที่เนตรดับชีวิตบนหน้าผากจะเปิดออกอย่างสมบูรณ์ แสงสีดำกะพริบก็ทะลุผ่านมิติมองลึกเข้าไปในหุบเขา
รัศมีความตายถูกมองผ่านโดยเนตรดับชีวิต ทิวทัศน์ภายในถูกเปิดเผยในมุมมองของมู่เฉิน
ในความลึกนั้นดูเหมือนจะเป็นบึงสีดำขนาดใหญ่ ถ้ามองโคลนเหล่านั้นดีๆ ก็จะพบว่าก่อตัวมาจากรัศมีความตายที่หนาแน่น
ความหนาวเย็นที่น่ากลัวปกคลุมไปทั่วบริเวณ ทำให้คลื่นหลิงถึงกับไม่บริสุทธิ์
มู่เฉินมองไปที่บึงครู่หนึ่ง จากนั้นจิตใจก็เคลื่อนไหว สายตาถูกดึงดูดจนเพ่งเข้าที่ส่วนลึกของบึงใหญ่ มีต้นไม้แห้งต้นหนึ่งอยู่ตรงนั้น มีเงาดำนั่งเงียบๆ อยู่บนต้นไม้นั่น
ไม่มีพลังงานชีวิตใดมาจากเงานั่น แต่ก็ไม่มีรัศมีความตายรอบตัวเช่นกัน มองดูราวกับคนที่เพิ่งตายเลยทีเดียว
แต่เมื่อมู่เฉินเห็น ม่านตาก็หดเกร็ง นั่นเป็นเพราะยามนี้เขารู้สึกถึงภัยคุกคามรุนแรงที่มาจากร่างนั้น
ภัยคุกคามเกินกว่าอสูรวิญญาณขั้นแปดทุกตัวที่เขาเคยเห็น!
ร่างนั้นปิดตาสนิทแต่ดูเหมือนว่าจะสัมผัสถึงสายตาของมู่เฉินได้ ดวงตาขยับขึ้นเล็กน้อยราวกับว่ากำลังจะเปิดออก
เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ก็รีบดึงสายตากลับและไตร่ตรองอย่างรวดเร็ว แม้ว่าร่างนั้นจะไม่ดูแข็งทื่อหรือปกคลุมไปด้วยรัศมีความตายเหมือนร่างอสูรวิญญาณอื่นๆ แต่มู่เฉินก็รู้ดีว่ามันต้องเป็นอสูรวิญญาณแน่นอน…
ทว่าร่างนั้นเหนือกว่าร่างอื่นทั้งหมด ซึ่งอาจจะเป็น…อสูรวิญญาณขั้นเก้า!
เมื่อคิดถึงสิ่งนี้หัวใจของมู่เฉินก็สั่นสะท้าน การดำรงอยู่นี้เทียบเท่ากับจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้า จุดสูงสุดของระดับจื้อจุน… เพียงอีกก้าวเดียวก็จะมีคุณสมบัติเข้าสู่ระดับตี้จื้อจุนแล้ว…
หากอสูรวิญญาณขั้นเก้าพุ่งออกมาก็สามารถทำให้พวกเขาทั้งกลุ่มเลือดเจิ่งนองไปทั่วได้
แต่ทำไมมันถึงมาอยู่ในบึงตามลำพัง? นอกจากนี้ดูจากตำแหน่งแล้วก็ไม่เหมือนเพาะบ่มพลังอะไร กลับเหมือนกำลังปกป้องบางอย่างอยู่…
ความคิดไหลเวียนอยู่ในใจ จากนั้นเขาก็สัมผัสได้ถึงบางสิ่ง แสงสีดำกะพริบที่หน้าผากสายตายิงเข้าไปในส่วนลึกของหุบเขาค้นหารอบๆ ใจกลางบึง
เขารู้สึกถึงความผันผวนที่แปลกประหลาดในใจกลางของบึงซึ่งปกคลุมไปด้วยรัศมีความตาย
มู่เฉินไม่ได้ค้นหานานนักเนื่องจากความผันผวนแปลกประหลาดโดดเด่นเกินไป ในเวลาเพียงสิบกว่าลมหายใจ สายตาของมู่เฉินก็รวบอยู่ที่ส่วนลึกของบึง อาการไม่เชื่อรุนแรงเผยในสายตา
สิ่งที่ปรากฏในสายตาของมู่เฉินคือบ่อน้ำขนาดหลายสิบจั้ง น้ำใสสะอาดเปล่งพลังงานหลิงที่หนาแน่น นอกจากนี้ยังมีดอกบัวสีฟ้าอมเขียวอยู่ในบ่อน้ำที่เต็มไปด้วยพลังชีวิต
มู่เฉินมองไปที่บ่อด้วยความตกตะลึง หากบ่อน้ำนี้อยู่ด้านนอกสุสาน เขาจะไม่ให้ความสนใจมากนัก แต่สถานที่นี้ไม่เหมือนกันเนื่องจากไม่มีพลังงานชีวิตที่นี่ แต่มีบ่อน้ำที่เต็มไปด้วยพลังชีวิตทำให้แปลกตามาก…
นอกจากนี้พลังชีวิตในบ่อน้ำก็ทรงพลังเกินไป
พลังนั่นจำกัดวงอยู่ที่บ่อเท่านั้น ไม่ได้กระฉอกออกจากบ่อเลยแม้แต่น้อย ดังนั้นรอบๆ บ่อจึงยังคงเต็มไปด้วยรัศมีความตาย ดอกบัวสีฟ้าอมเขียวในบ่อกลายเป็นแหล่งกำเนิดชีวิตเพียงอย่างเดียว
โดยทั่วไปแล้วไม่ควรมีการดำรงอยู่ของพลังชีวิตในสถานที่ซึ่งเต็มไปด้วยความตาย เว้นแต่จะมีอะไรที่เทียบเท่ากับอสูรโบราณโภคะละสังขารไว้ภายใน รัศมีที่เหลืออยู่จึงปกป้องสถานที่นี้ แต่เมื่อครู่มู่เฉินได้สำรวจอย่างละเอียดแล้ว เขาไม่ได้รู้สึกถึงรัศมีทรงพลังใดๆ ที่ถูกทิ้งไว้ข้างหลัง
ดังนั้นบ่อน้ำที่ล้นเอ่อด้วยพลังชีวิตต้องเกิดมาจากฟ้าดิน
ความคิดของมู่เฉินหมุนเร็วจี๋ แม้ว่ารัศมีความตายในดินแดนนี้จะหนาแน่นมาก แต่ด้วยวิถีของโลกนี้เกี่ยวกับความสมดุลระหว่างฟ้าดิน จึงทำให้เมื่อรัศมีความตายทรงพลังจนถึงระดับหนึ่ง ชีวิตก็จะปรากฏขึ้น
ดังนั้นสิ่งที่กำเนิดขึ้นที่นั่นจะต้องเป็นสมบัติวิเศษแน่นอน
“ต้องมีสมบัติอยู่ในบ่อน้ำ!”
สายตาของมู่เฉินวูบไหว แสงควบแน่นบนเนตรดับชีวิตบนหน้าผาก เขาไม่สนใจความอ่อนเพลียหมุนเวียนคลื่นหลิงในร่างกายออกมา แสงสีดำพุ่งเข้าไปในบ่ออย่างรวดเร็ว ทันใดภาพบ่อน้ำก็กระจ่างใสในดวงตา ขณะที่เขาเบิกตากว้าง
มีดอกบัวสีฟ้าอมเขียวขนาดเท่ากำปั้นคล้ายกับหยก แม้ว่าจะอยู่ในบึงความตาย แต่ก็เปล่งประกายสุกสว่างโดยไม่มีการปนเปื้อนใดๆ ความผันผวนของพลังชีวิตที่น่าตกใจแผ่ซ่านออกมา ทำให้น้ำในบ่อบริสุทธิ์
ดอกบัวหยกค่อยๆ เปิดออก เม็ดบัวสีขาวอยู่ที่ใจกลางเกสรดอกปกคลุมไปด้วยลวดลายลึกซึ้ง ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่มนุษย์สร้างแต่เกิดจากฟ้าดิน ราวกับว่าได้รับการหล่อเลี้ยงจากพลังชีวิตที่ยิ่งใหญ่และพลังหลิงที่บริสุทธิ์ระหว่างสวรรค์และโลก
“นี่มัน…”
มู่เฉินตกตะลึงเมื่อมองไปที่ดอกบัวขนาดเท่ากำปั้น ครู่ต่อมาเขาก็อดไม่ได้ที่จะสูดอากาศเย็นพึมพำว่า “ดอกบัวมรกตเก้าโคจร?”
สิ่งที่เรียกว่าดอกบัวมรกตเก้าโคจรเป็นสมบัติหายากในธรรมชาติที่เกิดจากการดูดซับพลังชีวิตในฟ้าดินทำให้มีความลึกซึ้งอย่างมาก ว่ากันว่าสิ่งนี้สามารถย้อนคืนจากความตาย นอกจากนี้ยังบอกต่อกันอีกว่าการกินดอกบัวนี้เข้าไปจะสามารถเพิ่มอัตราความสำเร็จของการพัฒนาระดับจื้อจุนได้
ทุกคนในมหาพันภพรู้ดีเกี่ยวกับความยากลำบากในการบุกทะลวงระดับตี้จื้อจุน จอมยุทธ์อัจฉริยะนับไม่ถ้วนหมดแรงขับเคลื่อนและความสามารถไปมากมายแต่ก็ยังย่ำอยู่ในระดับจื้อจุนขั้นเก้า ไม่สามารถก้าวออกไปซึ่งเป็นการเปลี่ยนชีวิตได้
นอกจากนี้ยังเป็นเพราะเรื่องสมบัติที่สามารถช่วยจอมยุทธ์ระดับจื้อจุนในการทำลายห่วงขุมพลังมีค่ามหาศาลอย่างยิ่ง ราคาเป็นอะไรที่จินตนาการไม่ได้เลยและดอกบัวมรกตเก้าโคจรที่เบื้องหน้าก็เป็นหนึ่งในวัตถุนั้น
เผชิญหน้ากับสมบัติที่หายากเช่นนี้ แม้แต่หัวใจของมู่เฉินก็ยังโลดขึ้น ระดับตี้จื้อจุน…เป็นความใฝ่ฝันของเขาเช่นกัน ตราบใดที่เขาสามารถก้าวเข้าสู่ระดับดังกล่าวก็ไม่มีใครในโลกนี้ที่จะสบประมาทเขาได้
ฮา
มู่เฉินสูดหายใจลึก ดึงสายตากลับมาด้วยความยากลำบาก เขาลืมตาขึ้นแต่ในส่วนลึกของนัยน์ตายังคงลุกโชน ในตอนนี้เขารู้แล้วว่าทำไมถึงมีอสูรวิญญาณมากมายมารวมตัวกันที่นี่ จนถึงจุดที่แม้แต่อสูรวิญญาณขั้นเก้ายังถูกดึงดูดเข้ามา
ทั้งหมดมาที่นี่เพื่อดอกบัวมรกตเก้าโคจร
ตราบใดที่สามารถกลืนกินสิ่งนี้ได้ แม้จะมีร่างกายที่ตายแล้วก็สามารถครอบครองพลังชีวิตได้เช่นกัน อยู่ระหว่างความเป็นและความตายกลายเป็นอมตะ ในเวลาเดียวกันก็จะเปิดเส้นทางใหม่ในการฝึกฝนกลายเป็นสิ่งพิเศษของโลก
นี่เป็นสิ่งล่อใจที่อสูรวิญญาณโง่งมเหล่านี้ไม่สามารถต้านทานได้ สัญชาตญาณจะควบคุมให้พวกมันทำทุกอย่างเพื่อสิ่งนั้น
ดังนั้นหากมู่เฉินต้องการแย่งชิงดอกบัวมรกตเก้าโคจร เขาก็จะดึงดูดการโจมตีบ้าคลั่งของอสูรวิญญาณ ทุกตัวที่นี่อย่างแน่นอน ในเวลานั้นเขาจะต้องเผชิญกับไล่ล่าของอสูรวิญญาณขั้นแปดและขั้นเก้า…
แม้ว่าจะเป็นกลุ่มเทพอสูรระดับต้น พวกเขาก็ต้องถูกล้างบางจากการไล่ล่านี้
ดังนั้นการยอมแพ้ในสิ่งนี้จึงเป็นการตัดสินใจที่เหมาะสมที่สุด
แต่…
มู่เฉินเลียริมฝีปาก ประกายไฟลุกโชนในนัยน์ตา เขาไม่ต้องการยอมแพ้… ในเมื่อเป็นเช่นนี้งั้นเขาขอลองวางเดิมพันสักตั้ง