หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – ตอนที่ 1051

ตอนที่ 1051

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1051 บุกเข้าหุบเขา
“เป็นยังไงบ้าง?”

บนยอดเขาจิ่วโยวมองมู่เฉินที่ลืมตาขึ้นมาก็รีบถาม พื้นที่ตรงหน้านั้นอันตรายยิ่ง คิดว่าคงไม่ธรรมดาแน่นอน

เมื่อมู่เฉินเห็นทุกคนจ้องมองมาก็ยิ้มแล้วพูดว่า “ในหุบเขามีอสูรวิญญาณขั้นแปดสิบแปดตัว… และอสูรวิญญาณขั้นเก้าหนึ่งตัว”

“ซี้ด!”

พอได้ยินคำพูดของมู่เฉินแม้ว่าทุกคนจะเตรียมใจไว้แล้ว แต่ก็ยังอดไม่ได้ที่จะสูดหายใจเย็นเข้าลึกสุดปอด พวกเขาคาดว่าคงจะมีอสูรวิญญาณขั้นแปดอยู่ แต่ไม่นึกว่าจะมีอสูรวิญญาณขั้นเก้าด้วย

นั่นเป็นสิ่งที่สามารถเทียบเคียงได้กับจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าเลยนะ! ต่อให้อยู่ในเผ่าต่างๆ ก็สามารถได้รับตำแหน่งสูงส่ง กลายเป็นสมาชิกชั้นสูงในเผ่าได้

สายตาจิ่วโยวฉายแววเคร่งเครียด จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้า ในอาณาเขตกงเวทสววรค์มีเพียงสามจอมพลเท่านั้นที่ไปถึงระดับนั้นได้…

“ข้าตั้งใจจะเข้าไป”

ทว่าขณะที่พรรคพวกกำลังตกตะลึง ประโยคต่อไปของมู่เฉินก็ทำให้พวกเขาสติหลุดไปเลย มากจนกระทั่งจิ่วโยวยังเบิกตากว้างมองมู่เฉินด้วยความตกใจ เห็นได้ชัดว่านางไม่เข้าใจว่าทำไมมู่เฉินต้องการที่เข้าไปเสี่ยงตายเช่นนี้ อย่าว่าแต่กลุ่มของพวกเขาเลย ต่อให้กลุ่มระดับต้นอื่นๆ ทั้งหมดมารวมตัวกัน ก็เละไม่เป็นท่าแน่

มู่เฉินมองทุกคนที่อยู่ในอาการตกตะลึงก็กล่าวต่อ “พวกเจ้าไม่ต้องไปกับข้า ข้าจะเข้าไปคนเดียว”

เผชิญหน้ากับการรวมตัวที่ดุร้ายนี้ พวกเขาเข้าไปก็เป็นภาระ

คนอื่นๆ มองหน้ากัน สุดท้ายจิ่วโยวก็ขมวดคิ้วพูดว่า “เจ้าคิดจะใช้หัวใจพาฬกินสายฟ้าเหรอ?”

นางเข้าใจมู่เฉินดี แม้ว่าพลังของเขาจะไม่สามารถใช้เกณฑ์ปกติตัดสินได้ แต่ตอนนี้นอกจากว่าเขามีกองทัพทรงพลังและสามารถใช้พลังของจั้นเจินซือ ถึงมีความเป็นไปได้ที่เขาจะประจัญบานกับการรวมตัวน่าหวาดกลัวในหุบเขา แต่เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ได้มีวิธีการอย่างว่าในเวลานี้ หากเป็นเช่นนั้นก็มีความเป็นไปได้เพียงอย่างเดียว มู่เฉินตั้งใจจะใช้หัวใจพาฬกินสายฟ้า

“แต่เมื่อไรที่เจ้าไม่มีหัวใจพาฬกินสายฟ้า ไป๋หมิงเผ่าหงส์ฟ้าก็จะไม่กลัวเจ้าอีกต่อไป” หานซันอดไม่ได้ที่จะชี้ให้เห็นเรื่องนี้ ไป๋หมิงไม่ได้เป็นคนใจดี ก่อนหน้ามู่เฉินสามารถข่มขู่อีกฝ่ายด้วยหัวใจนี้ แต่ทันทีที่ใช้ไป ด้วยนิสัยของไป๋หมิงไม่มีทางปล่อยมู่เฉินไปได้แน่

มู่เฉินยิ้มจ้องมองไปที่หุบเขาที่เต็มไปด้วยรัศมีความตายตอบว่า “ข้านำหัวใจพาฬกินสายฟ้าออกมาเพื่อข่มขู่คนอื่นเท่านั้น ไป๋หมิงยังไม่คู่ควรที่ต้องใช้สิ่งนี้เพื่อปราบปราม”

คำพูดสงบเงียบแต่ความมั่นใจในตัวเองล้นปรี่ ไป๋หมิงเป็นจอมยุทธ์ที่น่าเกรงขามแท้จริงและจากการคาดการณ์ก็น่าจะมีขุมพลังจื้อจุนขั้นแปด นอกจากนี้ยังเป็นจอมยุทธ์ที่มีเล่ห์เหลี่ยมและครอบครองอาวุธเสมือนมหสวรรค์ พลังการต่อสู้มีมากกว่าอสูรวิญญาณขั้นแปดที่พวกเขาปะทะมาก่อนหน้าอย่างไม่ต้องสงสัย

ทว่าแม้ไป๋หมิงจะทรงพลัง แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่ามู่เฉินทำอะไรไม่ได้ ถ้าพวกเขาต่อสู้กันจริง มู่เฉินก็มั่นใจว่าไป๋หมิงไม่ได้ตามที่หวังแน่

นอกจากนี้ตัวเขาอยู่ในระดับจื้อจุนขั้นหกระยะปลายสุด อีกก้าวเดียวก็จะก้าวเข้าสู่ขั้นเจ็ด หากเป็นเวลาปกติเขาคงต้องการเวลาฝึกฝนหนึ่งเดือนถึงจะลองบรรลุได้

แต่ตอนนี้เขากลับมีโอกาส นั่นก็คือดอกบัวมรกตเก้าโคจร แม้ว่าผลประโยชน์หลักจะแสดงให้เห็นตอนบรรลุขั้นตี้จื้อจุน แต่ยังไงมันก็บรรจุด้วยพลังงานที่บริสุทธิ์และมหาศาล หลังจากกลืนกินเข้าไปมู่เฉินก็จะสามารถใช้ประโยชน์จากสิ่งนี้เพื่อบรรลุระดับจื้อจุนขั้นเจ็ด

ทันทีที่เขาก้าวเข้าสู่ขั้นเจ็ด พลังอำนาจในการต่อสู้ก็จะยกสูงขึ้น ถึงเวลานั้นแม้จะไม่มีหัวใจพาฬกินสายฟ้า เขาก็ไม่กลัวไป๋หมิง

เมื่อคนอื่นๆ เห็นว่ามู่เฉินตัดสินใจแล้ว พวกเขาก็ไม่พยายามโน้มน้าวอีก นอกจากนี้พวกเขาก็รู้ถึงพลังของหัวใจพาฬกินสายฟ้า แม้ว่าการรวมตัวของอสูรวิญญาณในหุบเขาจะทรงพลัง แต่ก็ไม่อาจทนต่อการโจมตีของหัวใจพาฬได้

“งั้นก็ระวังตัว พวกเราจะถอยออกไปก่อน” จิ่วโยวพยักหน้าเชิงรับรู้ เนื่องจากพวกนางไม่สามารถให้ความช่วยเหลือใดๆ แก่มู่เฉินหากรออยู่ที่นี่ ถ้ามีสิ่งใดเกิดขึ้นพวกเขาอาจทำให้มู่เฉินพะว้าพะวงด้วยซ้ำ

“ฝากดูรอบๆ ให้ข้าด้วย” มู่เฉินกล่าว เขาไม่ต้องการให้ผู้อื่นได้รับประโยชน์หลังจากที่เขาจัดการอสูรวิญญาณทั้งหมดที่นี่ด้วยความยากลำบาก

จิ่วโยวพยักหน้า จากนั้นก็ไม่รอช้าหันหลังกลับทะยานออกไป แม้ว่าพวกหานซันจะอยากรู้เป้าหมายของมู่เฉิน แต่พวกเขาก็ไม่ได้ถามอะไร ตามจิ่วโยวไปอย่างรวดเร็ว

มู่เฉินมองส่งร่างเงาพรรคพวกที่แยกย้ายไปจนลับสายตา จากนั้นก็เลื่อนสายตามองไปที่หุบเขาเบื้องหน้าพลางสูดหายใจลึก หัวใจสีเงินที่แล่นแปลบปลาบด้วยสายฟ้าก็ปรากฏขึ้นในมือ

“ต้องพึ่งเจ้าแล้วนะ คู่หู…” มู่เฉินพึมพำขณะกลายเป็นร่างแสงพุ่งเข้าไปยังหุบเขาที่ล้อมรอบด้วยรัศมีความตาย

ยิ่งเข้าใกล้รัศมีความตายก็ยิ่งหนาทึบมากขึ้น ท้องฟ้าปกคลุมไปด้วยเมฆรัศมีความตายสีดำ สายฝนสีดำตกลงมา ทำให้บริเวณนี้ถูกปกคลุมด้วยไอเย็นเยือก

ภายใต้ความเย็นเยือกนี้ คลื่นหลิงในร่างกายของมู่เฉินก็เริ่มเฉื่อยชาลง ผิวหนังถูกปกคลุมด้วยไอเย็น ราวกับว่ากำลังกัดกร่อนร่างกายของเขา

เมื่อสัมผัสได้ถึงสถานการณ์นี้ มู่เฉินก็ไม่กล้าชักช้าเร้ากายามังกรหงส์อย่างรวดเร็ว แสงสีทองกำจายอยู่บนร่าง เสียงคำรามของมังกรและหงส์ฟ้าดังก้องออกมาขับไล่รัศมีความตายที่บุกเข้ามาในร่างกายของเขาทั้งหมด

ฟิ้ว!

ด้วยการปกป้องร่างของกายามังกรหงส์ มู่เฉินก็พุ่งเข้าไปในหุบเขาที่ปกคลุมด้วยรัศมีความตายอย่างรวดเร็ว จังหวะที่เขาก้าวเข้าไปในหุบเขา เงาสีดำที่อยู่ในหุบเขาก็เบิกตาโพลง เสียงคำรามโกรธเกรี้ยวดังออกมาจากปากของพวกมัน

วาบ!

เงาดำจำนวนมากพุ่งออกมาเปลี่ยนเป็นแสงสีดำซัดใส่มู่เฉิน พยายามล้อมฆ่าเขา

มู่เฉินมองเงาดำเหล่านั้นที่พุ่งเข้ามาก็ไม่กล้าเข้าโรมรันพันตู เพราะเขารู้ว่าถ้าถูกสกัดเอาไว้ วันนี้เขาคงไม่สามารถหนีจากหุบเขาไปได้แล้ว

ฮา!

มู่เฉินสูดหายใจเข้าลึก ตราประทับเปลี่ยนไป วิญญาณหงส์ฟ้าแท้จริงที่สถิตอยู่บนแขนของเขาก็ขยับไปที่ด้านหลัง แสงหลิงพวยพุ่ง ปีกหงส์ฟ้าขนาดใหญ่คู่หนึ่งก็กางออก

ตู้ม!

ปีกหงส์ฟ้ากระพือวูบวาบ ความเร็วของมู่เฉินก็เพิ่มสูงขึ้น เขาทะยานผ่านแนวกีดขวางของอสูรวิญญาณขั้นแปดไปอย่างรวดเร็ว พุ่งเข้าไปในส่วนลึก

โฮก!

เมื่ออสูรวิญญาณเหล่านั้นเห็นว่าการสกัดกั้นล้มเหลวก็ส่งเสียงคำรามอย่างโกรธแค้น พวกมันกระโจนขึ้นก่อนที่จะทะยานล้อมรอบร่างมู่เฉิน

ฟิ้ว! ฟิ้ว!

ด้วยความช่วยเหลือของปีกหงส์ฟ้า ความเร็วของเขาก็เพิ่มสูงขึ้นจนน่าตกใจ เขาผ่านการสกัดกั้นของอสูรวิญญาณอย่างคล่องแคล่ว โดยใช้ข้อบกพร่องจากการขาดสติปัญญาของพวกมัน ค้นหาช่องโหว่ พุ่งลึกเข้าไปในหุบเขาลึก

หลังจากเสียเวลาไปไม่กี่นาทีจากการตามล่าและการล้อมกรอบ ในที่สุดมู่เฉินก็เข้าสู่บึงน้ำ

ขณะที่เขาก้าวเข้ามายังบึงรัศมีความตาย อสูรวิญญาณขั้นเก้าที่นั่งอยู่บนต้นไม้ความตายในส่วนลึกก็เปิดตาขึ้น ดวงตาคู่นั้นไม่ได้ว่างเปล่า เหมือนมีแสงไฟกะพริบเลือนราง เมื่อเปรียบเทียบกับอสูรวิญญาณขั้นแปด เห็นได้ชัดว่ามันมีร่องรอยของจิตวิญญาณ

โฮก!

อสูรวิญญาณขั้นเก้ามองไปในทิศทางของมู่เฉินก็ปล่อยเสียงคำรามลึกพลางชกหมัดออกมาจากระยะไกล

ตู้ม!

กำปั้นเหวี่ยงออก ฉีกรอยร้าวบนมิติราวกับเป็นกระจกร้าว รัศมีความตายไร้ขอบเขตเจาะทะลุมิติอย่างรวดเร็วแล้วมาปรากฏต่อหน้ามู่เฉิน ก่อนที่จะกระโจนเข้ามาอย่างดุร้าย

รัศมีความตายอันน่าสะพรึงกลัวครอบงำแผ่ซ่าน ตราประทับในมือมู่เฉินก็เปลี่ยนไป ร่างที่กำลังพุ่งก็แข็งทื่อ จากนั้นก็ทิ้งตัวลงมาจากท้องฟ้าราวกับก้อนหินหนักพันชั่งถ่วงไว้ เมื่อเหยียบย่ำลงไปบนพื้นดิน รัศมีความตายก็ลอยหวือเหนือร่างไป ทำลายผาหินขนาดใหญ่

แต่ถึงแม้ว่าจะสามารถหลบหลีกรัศมีความตายได้ มู่เฉินก็ยังรู้สึกถึงเลือดและรัศมีที่พลุ่งพล่านอยู่ในร่างกาย เขาแอบตกตะลึงและหวาดผวาในใจ อสูรวิญญาณขั้นเก้าน่ากลัวเสียจริง…

หากเขาเผชิญหน้ากับมันตรงๆ ด้วยพลังในปัจจุบัน ต่อให้เขาใช้ทุกวิถีทางก็ไม่สามารถหลบอสูรวิญญาณขั้นเก้าไปได้…

เมื่ออสูรวิญญาณเห็นว่ามู่เฉินหลีกเลี่ยงการโจมตีไปได้ มันก็ไม่ได้ไล่ตามเพราะไม่ต้องการออกห่างจากดอกบัวมรกตเก้าโคจร เนื่องจากกลัวมีเหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้น

แต่มู่เฉินต้องการดึงมันออกมาให้ได้ถ้าเขาต้องการใช้หัวใจพาฬกินสายฟ้า ความคิดสายหนึ่งวูบไหว จากนั้นเขาก็หันไปอีกทางหนึ่ง ชัดว่าคิดจะเข้าไปส่วนลึกบ่อจากขอบบ่อ

ด้านหลังแม้ว่าอสูรวิญญาณขั้นแปดเหล่านั้นจะไล่ตามมาไม่หยุด แต่พวกมันก็ไม่สามารถตามทันได้

โฮก!

อสูรวิญญาณขั้นเก้าก็รับรู้ถึงความตั้งใจของมู่เฉิน มันสัมผัสมู่เฉินที่เคลื่อนไหวลึกเข้าไปในบึงเรื่อยๆ ในที่สุดก็ไม่สามารถนั่งนิ่งได้อีกต่อไป ทันใดนั้นมันก็ปลดปล่อยเสียงคำราม รัศมีความตายครอบงำราวกับพายุทอร์นาโด

มันกระทืบเท้า ร่างหายไปทันที เมื่อปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งก็อยู่ที่ขอบฟ้าแล้ว

ขณะที่อสูรวิญญาณขั้นเก้าเข้ามาอยู่ในสายตาของมู่เฉิน เขาก็รู้สึกถึงแรงกดดันของบริเวณนี้พุ่งขึ้นฉับพลัน ความเจ็บปวดบนผิวหนังพล่านไป เนื่องจากสัมผัสได้ถึงภัยคุกคามใหญ่หลวง

ดังนั้นมู่เฉินจึงหยุดชะงักทันที ปีกของหงส์ฟ้ากระพือ เขาหันไปทางอื่นแล้วหลบหนี

ที่เบื้องหลังอสูรวิญญาณขั้นเก้าไล่ตามมาพร้อมกับอสูรวิญญาณขั้นแปดตามติดมาอย่างกระชั้นชิด แม้ว่าพวกมันจะทรงพลังแต่สติปัญญาก็ขาดหาย

แต่สิ่งที่ทำให้มู่เฉินตกใจก็คือความเร็วของอสูรวิญญาณขั้นเก้า กระทั่งหลังจากการใช้จิตวิญญาณหงส์ฟ้าแท้จริง มันก็ยังสามารถปิดช่องว่างระหว่างพวกเขาได้อย่างรวดเร็ว

ไม่กี่นาทีต่อมาเขาก็รู้สึกถึงแรงกดดันทรงพลังห่อหุ้มจากด้านหลัง เขาสามารถรับรู้ถึงกลิ่นความตายที่มาจากอสูรวิญญาณขั้นเก้าได้แล้ว

ถ้ายังเป็นแบบนี้ต่อไป อสูรวิญญาณขั้นเก้าจะไล่ตามเขาทันในอีกไม่นาน

ดวงตาของมู่เฉินวูบไหว จากนั้นก็หายใจเข้าลึก ร่างเคลื่อนไหวไปปรากฏบนเนินเขาก่อนจะหันกลับมามองรัศมีความตายที่พล่านออกรุนแรง

มือของเขาเหยียดออกจากแขนเสื้อ หัวใจสีเงินเต้นตุบตับเปล่งเสียงฟ้าร้องดังกึกก้อง

“ได้โอกาสแล้ว…”

มู่เฉินพึมพำกับตัวเอง จากนั้นสายตาก็ดุร้ายลงหลายส่วน ฝ่ามือสั่นไหว หัวใจสีเงินก็กลายเป็นแสงสีเงินพุ่งเข้าหารัศมีความตายเชี่ยวกราก

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler ฟรี ได้ที่ novel-fast 


เรื่องย่อ

โดย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler บางส่วนของนิยาย

บทนำ

หนึ่งในใต้หล้าจากปลายปากกาของเทียนฉานถูโต้ว กล่าวถึงมู่เฉิน เด็กหนุ่มจากสำนักศึกษาเป่ยหลิง ผู้ที่ได้รับเลือกให้เข้าฝึกในสงครามเทพยุทธ์ซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าคนเก่งกาจ ทว่า… อยู่ดีๆ เขากลับถูกขับไล่ออกมาด้วยเหตุผลที่ไม่มีใครล่วงรู้ มู่เฉินพยายามฝึกหนักอีกครั้งเพื่อจะพาตัวเองกลับเข้าไปในเส้นทางแห่งนี้ เขาจำเป็นต้องใช้สิ่งนี้เป็นใบเบิกทางเพื่อเข้าศึกษาที่ภาคเบญจภาคี เพื่อ… ปกป้องหญิงสาวที่ตนรัก และยิ่งกว่านั้นคือเพื่อค้นหาเบาะแสของมารดาที่หายสาบสูญไป

‘มหาพันภพ’ เป็นที่ที่มิติทั้งหลายเชื่อมต่อกันในระบบสุริยจักรวาล สถานที่แห่งนี้มีขั้วอำนาจมากมายอาศัยอยู่ จักรพรรดิที่มาจากพิภพเขตล่างต่างเป็นตำนานที่ผู้อื่นปรารถนาขึ้นไปบนเส้นทางแห่งกฎของโลกไร้ขอบเขตนี้

แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว เทพจักรพรรดิอัคคีควบคุมเปลวเพลิงกวาดข้ามสวรรค์

แคว้นหวู เทพจักรพรรดิสงครามผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำให้ทั้งสวรรค์และโลกหวาดกลัว

ตำหนักซีเทียน จักรพรรดิสัประยุทธ์ที่แข็งแกร่งไม่มีผู้ใดเทียบเท่า ในเนินเขารกร้างทางเหนือ ดินแดนวั้นมู่ของจักรพรรดิอมตะครองเหนือภพ

เด็กหนุ่มจากมณฑลเป่ยหลิงออกท่องยุทธภพกับวิหคโลกันตร์คู่ใจ มุ่งหน้าสู่โลกภายนอกที่เต็มไปด้วยสีสัน ใครกันที่จะเป็นผู้กุมชะตากรรมในเส้นทางการเป็นหนึ่ง?

ในมหาพันภพที่สงครามนับหมื่นอุบัติ ข้าคือผู้กุมชะตาฟ้าดิน…

เรื่องย่อ

เมื่อคำพูดของมู่เฉินกระจายออกไป ไม่เพียงแต่จะไม่มีการตอบสนอง แม้แต่ด้านนอกเจดีย์ก็ถูกห่อหุ้มด้วยบรรยากาศราวกับป่าช้า…

ทุกคนตกตะลึงไปกับฉากนี้ พวกเขาจ้องมองจุดที่ลู่สุยหายตัวไป ราวกับว่ายังไม่สามารถฟื้นจากอาการตะลึงงันที่เกิดขึ้นได้

ก่อนหน้าเมื่อลู่สุยออกกระบวนท่าที่น่าสะพรึง ผู้คนส่วนใหญ่ก็คิดว่าผลลัพธ์ของการต่อสู้ได้ถูกกำหนดแล้ว ทว่าพวกเขาไม่คิดเลยว่ามู่เฉินจะพลิกสถานการณ์ได้อีกครั้ง เตะลู่สุยที่เหมือนจะคว้าชัยชนะออกไป

ทุกคนตะลึงไปพักใหญ่ ก่อนที่พวกเขาจะหลุดออกจากอาการได้ สายตาเคร่งเครียดลง การประลองกันครั้งนี้มู่เฉินไม่ได้ใช้ค่ายกล แต่เขาก็สามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดอย่างลู่สุยได้ด้วยความแข็งแกร่งที่อยู่ในขั้นหกเท่านั้น แม้ว่าจะมีผลจากลู่สุยประมาทเองในตอนแรก แต่นั่นก็แสดงให้เห็นว่ามู่เฉินน่ากลัวแค่ไหน

พลังเช่นนี้เขาสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์อันดับต้นๆ ในเจดีย์ฝึกพลังกายได้เลยทีเดียว

ทางฝั่งกลุ่มกระเรียนฟ้า ใบหน้าของหลิ่วชิงกลายเป็นเขียวสลับขาว นางมองไปที่ร่างสูงโปร่งบนหน้าจอ กลืนน้ำลายเหนียวหนืด ความกลัวปรากฏในดวงตาของนางเป็นครั้งแรก

มาถึงจุดนี้นางคงโง่แน่ถ้ายังคิดปฏิบัติต่อมู่เฉินเหมือนกับจอมยุทธ์ขั้นหกทั่วไป

ด้วยพลังในการต่อสู้ที่เขาแสดงออกมา บวกกับค่ายกลทรงพลัง แม้แต่จงเถิงก็ยากจะได้เปรียบหากพวกเขาต่อสู้กัน

ก่อนหน้านี้นางหัวเราะเยาะและมองจิ่วโยวด้วยความดูถูก แต่ตอนนี้นางอายแทบแทรกแผ่นดินหนี ซึ่งจุดนี้รู้ได้จากสายตาเยาะเย้ยเหล่านั้นที่ปรายมองเข้ามา

“ทำไมมู่เฉินถึงทรงพลังเช่นนี้?” จงฮั้วที่พ่ายแพ้ให้กับมู่เฉินก็มีสีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดเช่นกันว่ามู่เฉินพึ่งพาเพียงค่ายกลเพื่อจัดการกับศัตรู แต่ใครจะคิดว่าเมื่อไม่มีการใช้ค่ายกลมู่เฉินก็สามารถเอาชนะลู่สุยแบบดุร้ายยิ่งกว่าอะไร

“ดูเหมือนว่ามีเพียงพี่ใหญ่จงเถิงเท่านั้นที่สามารถจัดการกับเขาได้” จอมยุทธ์อีกคนของเผ่ากระเรียนฟ้าพยักหน้า

หลิ่วชิงพยักหน้าเบาๆ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะพิจารณาพลังของมู่เฉินพลาดไปเท่านั้น แม้แต่จงเถิงก็ตัดสินอีกฝ่ายผิดไป ชายคนนั้นเป็นสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง

ฟิ้ว!

ขณะที่นอกเจดีย์ต่างตกตะลึงกับผลลัพธ์ที่มู่เฉินนำมา ทันใดนั้นแสงก็กะพริบบนแท่นนอกเจดีย์ ร่างน่าสังเวชปรากฏขึ้น

เมื่อร่างนั้นออกมาก็รีบถอยกลับไปปรากฏตัวขึ้นในกลุ่มอีกาสายฟ้าทันควัน นี่ก็คือลู่สุยที่มีสีหน้าซีดขาว คลื่นหลิงของเขาถดถอยลงอย่างมาก

สายตาโดยรอบยิงเข้าหาในเวลานี้ทันที

ใบหน้าของลู่สุยเขียวคล้ำ สายตาเกลียดชังมองไปที่มู่เฉินที่อยู่บนหน้าจอ ก่อนที่จะหันหัวสาดสายตาดุร้ายใส่จิ่วโยวและมั่วหลิง ที่ข้างๆ พรรคพวกของเขาก็มีท่าทางไม่ดีเช่นกัน

ทว่าจิ่วโยวไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับสายตาเหล่านั้น นางเค้นเสียงอย่างเย็นชา “ลูกหมาที่ถูกฟาดยังกล้าที่จะออกมาแยกเขี้ยวอีกเหรอ?”

ตอนนี้ลู่สุยบาดเจ็บสาหัส สูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปหมด ส่วนคนที่เหลือก็ไม่มีอะไรต้องกลัว หากพวกเขากล้าที่จะคิดบัญชีกับพวกนาง จิ่วโยวก็ไม่คิดปล่อยพวกเขาไว้เป็นภัยคุกคามในอนาคตหรอก

สายตาแสดงความเกลียดชังของลู่สุยจ้องเขม็งอยู่ที่จิ่วโยว แต่สุดท้ายเขาก็ต้องถอนสายตาออกไปอย่างไม่เต็มใจ ก่อนที่จะถอยกลับนั่งลงบนซากปรักหักพังเข้าสมาธิเพื่อฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ

จอมยุทธ์กลุ่มอีกาสายฟ้าก็ปรากฏรอบตัวเขาเพื่อปกป้อง

เมื่อจิ่วโยวเห็นการตอบสนองนั่น นางก็ไม่ได้ใส่ใจกับพวกเขาอีก นางมองไปที่หน้าจออีกครั้งโดยพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ร่างเงาอ่อนเยาว์ มือที่กำแน่นผ่อนคลายลง

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงสำหรับนางที่มู่เฉินจะเอาชนะได้เด็ดขาดแบบนี้ นั่นเป็นเพราะตามการประเมินของนางแม้ว่ามู่เฉินจะยืนยงอยู่ได้ก็เป็นยากที่จะเอาชนะลู่สุยด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นหกและถ้าการต่อสู้ถูกลากไปจนสุดอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบคาดไม่ถึง

ทว่าผลลัพธ์สุดท้ายที่ได้ก็ทำให้นางทั้งประหลาดใจและดีใจ

เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินได้รับประโยชน์มหาศาลจากสามชั้นแรกของเจดีย์ฝึกพลังกาย ไม่เช่นนั้นเขาไม่สามารถแสดงพลังเป็นที่ประจักษ์เช่นนี้ได้

“ว่ากันว่าในชั้นสี่มหัศจรรย์กว่านี้มาก หากใครสามารถเข้าไปได้ พวกเขาจะสามารถได้รับผลประโยชน์เกินกว่าสามชั้นแรกมาก…”

จิ่วโยวยิ้มบาง ดูจากสถานการณ์ปัจจุบันไม่น่ามีปัญหาใดๆ ที่มู่เฉินจะเข้าสู่ชั้นสี่ สำหรับมั่วเฟิงความแข็งแกร่งของเขาเป็นหนึ่งในอันดับต้นของกลุ่มที่เข้าไป ดังนั้นจึงไม่ยากสำหรับเขาที่จะได้หนึ่งในห้าที่นั่งนี้ไปเช่นกัน

ดูเหมือนว่าการเดินทางมาที่เจดีย์ฝึกพลังกายโบราณครั้งนี้เผ่าวิหคโลกันตร์อาจเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

บนลานเมฆสายฟ้า

ไม่มีใครตอบคำถามของมู่เฉิน ขณะนี้แม้แต่จอมยุทธ์ทรงอำนาจอย่างหานซันและสีคุนก็ยังรู้สึกหวาดระแวงมู่เฉินอยู่บ้าง ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะไม่ไปปะทะกับมนุษย์ผู้นี้

ดังนั้นคนทั้งหมดที่อยู่ที่นี่จึงเงียบลง ก่อนที่จะถอยออกจากรัศมีโดยรอบมู่เฉินอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณบอกว่าพวกเขาไม่ต้องการต่อสู้กับเขา

เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ก็ไม่มีอารมณ์ใดบนใบหน้า แต่ในใจกลับรู้สึกโล่งอก คนอื่นๆ เห็นเพียงฉากการต่อสู้ตระการที่เขาเอาชนะลู่สุยได้ แต่พวกเขาไม่รู้หรอกว่าหมัดที่เขาชกออกไปก่อนหน้านี้คือพลังงานส่วนเกินจากสามชั้นแรก

ร่างกายของมู่เฉินก่อนหน้าเปรียบเสมือนฟองน้ำที่ดูดซับน้ำจนถึงขีดจำกัด หมัดของเขาจึงเท่ากับบีบน้ำออกจนหมด ทำให้ร่างกายที่อัดแน่นกลับสู่สภาพเดิม

ดังนั้นถ้าให้เขาโจมตีแบบนั้นอีกครั้ง พลังก็จะไม่ทรงประสิทธิภาพเหมือนเมื่อครู่แน่นอน

ประสิทธิผลพิเศษชนิดนี้ของการสะสมพลังงานในร่างกายเป็นทักษะที่ได้มาจากกายามังกรหงส์ ด้วยวิธีนี้เขาจะได้รับผลลัพธ์ที่ไม่มีใครคาดคิดไว้ กลายเป็นไพ่ลับอีกใบหนึ่ง

“คัมภีร์หลงเฟิ่งทรงพลังจริงๆ”

แม้แต่มู่เฉินก็ยังชื่นชมในสิ่งนี้ คัมภีร์หลงเฟิ่งสมแล้วที่เป็นทักษะยอดเยี่ยมแท้จริง จากการประเมินของเขาคัมภีร์นี้ต้องอยู่ในระดับเสินทงแน่นอน ซึ่งไม่ธรรมดาแม้จะอยู่ในกลุ่มวิทยายุทธระดับเสินทงด้วย

มู่เฉินชื่นชมก่อนที่จะใจเย็นลง แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีใครท้าทายเขา แต่เขาก็ไม่ตั้งใจที่จะท้าทายคนอื่นด้วยเช่นกัน เขายืนนิ่งบนตำแหน่งตนเองรอผลการคัดออก

สำหรับจงเถิง มู่เฉินรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นพวกยุแยงให้ลู่สุยมาปะทะกับเขา แต่เนื่องจากตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ดีในการจัดการ เขาจึงได้แต่ผลักแผนไปก่อน

แต่ถึงกระนั้นสายตาคมกล้าของมู่เฉินก็ยังจ้องเขม็งไปที่จงเถิง รอบตัวเต็มไปด้วยคลื่นหลิงราวกับเสือดาวที่กำลังจะจ้องตะครุบเหยื่ออัดแน่นด้วยภัยคุกคาม

เมื่อเห็นท่าทางของมู่เฉิน จงเถิงที่ประจันหน้ากับมั่วเฟิงก็รู้สึกอึดอัดใจ เขาต้องแยกสมาธิอยู่ตลอดเพื่อจับตามองมู่เฉิน ป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายเคลื่อนไหวมาประสานพลังกับมั่วเฟิง

ด้วยวิธีนี้สมาธิของจงเถิงจึงค่อนข้างฟุ้งซ่าน สุดท้ายเขาได้แต่กัดฟัน ถอนคลื่นหลิงและถอยออกจากบริเวณของมั่วเฟิง

“พี่มั่วยากสำหรับการต่อสู้ของเราที่จะได้ข้อสรุป ทำไมเราไม่ไปจัดการคนอื่นและรับที่นั่งมาล่ะ?” ขณะที่จงเถิงถอยกลับเสียงก็สะท้อนก้องไปด้วย

มั่วเฟิงจ้องมองจงเถิงอย่างไม่แยแสก่อนที่จะพยักหน้า นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าหากพวกเขายังอยู่ในสถานการณ์ยืนจ้องหน้ากันก็จะไม่เกิดผลลัพธ์ใด หากเขาร่วมมือกับมู่เฉิน พวกเขาอาจทำให้จงเถิงบ้าดีเดือดขึ้นมา แม้แต่พวกเขาก็ต้องจ่ายราคามหาศาลจากการตีโต้

ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาคือการได้ที่นั่งเพื่อเข้าสู่ชั้นสี่

เมื่อจงเถิงเห็นคำตอบของมั่วเฟิงก็รู้สึกโล่งใจในใจ เขาถอยกลับอย่างรวดเร็วออกจากจุดที่มู่เฉินและมั่วเฟิงอยู่ เขาครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนจะเลือกปะทะกับคนที่อ่อนแอกว่า

พอมู่เฉินเห็นจงเถิงไปแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจอีกต่อไป สายตาหันมามองมั่วเฟิงแล้วก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มแสดงความขอบคุณในการช่วยเหลือครั้งนี้

สายตาของมั่วเฟิงเป็นมิตรมากขึ้น คิดว่าการที่มู่เฉินเอาชนะลู่สุย ทำให้มั่วเฟิงมองมู่เฉินในฐานะจอมยุทธ์ที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเขา ดังนั้นจึงไม่ได้มีท่าทางเฉยเมยเหมือนเมื่อก่อน

มั่วเฟิงพยักหน้าให้มู่เฉิน ก่อนที่จะหันหลังกลับและเริ่มเลือกคู่ต่อสู้ของตนเอง

ครืน!

เมื่อทุกคนเลือกคู่ต่อสู้แล้ว ทันใดนั้นคลื่นหลิงก็ระเบิดรุนแรงบนลานเมฆสายฟ้า คลื่นกระแทกกวาดออก ทำให้มิติเกิดการสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไม่หยุด

บนลานเมฆสายฟ้าพลังงานหลิงกวาดหายนะ มีเพียงตรงมู่เฉินเท่านั้นที่ไม่ถูกรบกวน เนื่องจากไม่มีใครกล้าเหยียบเข้ามาในรัศมีพันจั้ง ยามนี้เขาเหมือนผู้ชมที่ดูการต่อสู้ติดขอบ ในเวลาเดียวกันก็บันทึกกระบวนท่าที่ทรงพลังของบางคนไว้ในสมอง

แม้ว่าในชั้นนี้พวกเขาอาจไม่ได้ประลองกัน แต่ก็ยังมีอีกสองชั้นรอพวกเขาอยู่ ใครจะสามารถรับประกันได้ว่าจะไม่มีการลดจำนวนลงในชั้นต่อไป?

ดังนั้นถ้ามีโอกาสเขาต้องพยายามจดจำข้อมูลผู้อื่นเก็บไว้

ภายใต้การสังเกตของมู่เฉิน การประลองบนลานเมฆสายฟ้าก็คงอยู่ชั่วระยะหนึ่ง ก่อนที่แต่ละคู่จะมาถึงจุดสิ้นสุด ผลลัพธ์ก็เป็นไปตามที่คาดไว้

หลังจากมู่เฉินก็เป็นหานซันที่เอาชนะคู่ต่อสู้ได้ที่นั่งที่สองไป

จากนั้นมั่วเฟิงและจงเถิงก็คว้าชัยชนะตามมา

ที่นั่งสุดท้ายตกเป็นของสีคุนที่ก่อนหน้านี้เคยแพ้หานซันที่ด้านนอกเจดีย์ ชายนี้มีความแข็งแกร่งที่น่าตกใจ แม้แต่หานซันยังต้องใช้ทักษะเต็มที่ถึงจะได้รับชัยชนะมา

เมื่อสีคุนได้รับที่นั่งสุดท้ายลานเมฆสายฟ้าขนาดใหญ่ก็เงียบลงอีกครั้ง ร่างทั้งห้ายืนอยู่ ขณะรัศมีไร้ขอบเขตทั้งห้าสายพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าชนกันเปรี้ยงปร้าง

ทว่าการชนกันก็ดำเนินไปเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ก่อนที่ทั้งห้าจะถอนคลื่นพลังพร้อมกัน พวกเขาเหลือบมองกันและกัน จากนั้นก็ไม่ลังเลทะยานออกไปปรากฏตัวบนเบาะทั้งห้า

สายตาพวกเขาพุ่งตรงไปยังมิติด้านหลังลานเมฆสายฟ้าด้วยความโลภ ตรงนั้นเส้นดาวหางจำนวนมากกวาดผ่านราวกับฝนดาวตก

ในแสงเหล่านั้นแก่นหยดสายฟ้ากำลังกะพริบด้วยความแวววาว


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท