หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – ตอนที่ 1055

ตอนที่ 1055

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1055 แก่นมรดกโลหิตทั้งสาม
บนแท่นหินขนาดใหญ่

เมื่อสายตาเยาะเย้ยและไม่แยแสของไป๋หมิงสาดใส่ มู่เฉินก็ยังคงสีหน้าสงบ เขากวาดมองกลับไปก็เห็นว่าพวกไป๋หมิงยืนอยู่บนลานหินหนึ่ง ซึ่งตามคาดเผ่าคุนเผิงและเผ่านกยูงเก้าสีก็มาถึงแล้วด้วย

นอกจากกลุ่มชั้นยอดแล้ว มู่เฉินก็ต้องประหลาดใจเนื่องจากมีกลุ่มอื่นๆ มาที่นี่เช่นกัน กลุ่มเหล่านั้นมาจากเผ่าเทพอสูรที่มีรากฐานแข็งแกร่ง แต่สถานการณ์สำหรับพวกเขาดูไม่ดีนัก มีกระทั่งการบาดเจ็บล้มตาย เห็นได้ชัดว่าพวกเขาจ่ายราคาแพงลิ่วตอนเผชิญหน้ากับอสูรวิญญาณขั้นแปด

ขณะที่มู่เฉินกวาดสายตาไป กลุ่มคนที่อยู่บนแท่นหินก็มองมาที่มู่เฉินอย่างประหลาดใจ นั่นเป็นเพราะพวกเขาตระหนักได้ว่าไม่มีการบาดเจ็บล้มตายในกลุ่มมู่เฉินเลย

นั่นหมายความว่ากลุ่มมู่เฉินไม่ได้จ่ายราคาใดๆ ที่ต้องจัดการกับอสูรวิญญาณขั้นแปด

ทว่าไม่เพียงแต่กลุ่มเหล่านี้ไม่ได้ชื่นชม กลับยังมีร่องรอยแห่งความสงสารในสายตา นั่นเป็นเพราะตอนที่มู่เฉินใช้หัวใจพาฬกินสายฟ้าก่อนหน้า พวกเขาสัมผัสได้ถึงความผันผวนที่น่ากลัว ดังนั้นจึงคิดว่ามู่เฉินใช้วัตถุนั้นไปกับอสูรวิญญาณขั้นแปดเรียบร้อย

วัตถุนั้นเป็นสิ่งที่มู่เฉินพึ่งพาได้มากที่สุด ก่อนหน้าที่กลุ่มไป๋หมิงไม่กล้าลงมือ ก็เพราะการมีอยู่ของหัวใจพาฬกินสายฟ้า แต่หลังจากสูญเสียวัตถุน่ากลัวนี้ไป เขาจะเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้ดุร้ายอย่างไป๋หมิงได้อย่างไร?

ดังนั้นเมื่อพวกเขาเห็นว่ากลุ่มมู่เฉินไม่ได้รับบาดเจ็บใดๆ พวกเขาก็รู้สึกสงสารขึ้นจับใจ บางกลุ่มถึงกับส่ายหัว มู่เฉินประเมินตัวเองสูงเกินไป เขาคิดว่าไป๋หมิงเป็นคู่ต่อสู้ที่ง่ายจัดการเรอะ?

หากไป๋หมิงมีความตั้งใจที่จะสังหาร ทั้งกลุ่มมู่เฉินคงจะถูกฝังกลบอยู่ที่นี่ นอกจากนี้ต่อให้เผ่าวิหคโลกันตร์จะรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้ในภายหลัง ก็ไม่มีอะไรที่พวกเขาสามารถทำกับไป๋หมิงได้ คงได้แต่กล้ำกลืนลงไปเท่านั้น

ชายหนุ่มผมขาวที่เป็นผู้นำเผ่าคุนเผิงมองไปที่มู่เฉินด้วยความสนใจ ราวกับอยากรู้ว่ามู่เฉินโง่จริงๆ หรือไม่กลัวไป๋หมิง

ข่งหลิงเผ่านกยูงเก้าสีไม่ได้หันมามองมู่เฉินเลยสักนิด ตอนที่อยู่นอกสุสานสักการะเทพ เหตุผลที่นางเคลื่อนไหวเข้าไปขัดขวางไป๋หมิงก็แค่ไม่ต้องการให้มู่เฉินและไป๋หมิงปะทะกัน เพราะจะรบกวนการเข้าสู่ส่วนใน แต่ในเมื่อตอนนี้พวกเขาเข้ามาส่วนในได้แล้ว มิหนำซ้ำมู่เฉินดูเหมือนยังรนหาความตายเอง งั้นนางก็ไม่ต้องสนใจเรื่องชีวิตหรือความตายของอีกฝ่ายแล้ว

ท่ามกลางสายตาที่มีอารมณ์แตกต่างมากมาย การแสดงออกของมู่เฉินก็ไม่เปลี่ยนแปลง เขานำพรรคพวกพลิ้วลงบนแท่นหิน

“มู่เฉินดูสิ!”

เมื่อมู่เฉินพลิ้วตัวลง ทันใดนั้นจิ่วโยวก็ตะโกนออกมาด้วยความตื่นเต้นจากด้านหลัง

ทันใดนั้นมู่เฉินก็กวาดตาตามจิ่วโยวไป ดวงตาเขาหดเกร็งลงทันที นั่นเป็นเพราะเขาเห็นรูปปั้นหินบนเจดีย์หินซึ่งตั้งอยู่ทางทิศเหนือของแท่นบูชา

รูปปั้นนั้นกางปีกออกปกคลุมดวงอาทิตย์ ดูราวกับหงส์ฟ้าแต่ก็ไม่เหมือนเสียทีเดียว เปลวไฟพวยพุ่งบนร่างประหนึ่งเป็นนิรันดร์ แม้ว่าจะเป็นเพียงแค่รูปปั้นหิน แต่แรงกดดันโบราณที่เปล่งออกมา ก็ทำให้กระแสเลือดในร่างกายของเขาเฉื่อยช้าลง

มู่เฉินรู้สึกถึงจิตวิญญาณหงส์ฟ้าในร่างที่สั่นไหว เสียงร้องดังกึกก้องเต็มไปด้วยความอยากใกล้ชิดและเคารพที่ไม่อาจมองผ่านได้

ฮา

มู่เฉินปล่อยลมหายใจยาว ขณะที่ความเบิกบานใจฉายในดวงตา แม้ว่าเขาจะไม่เคยเห็นวิหคอมตะโบราณมาก่อน แต่จากปฏิกิริยาของจิตวิญญาณหงส์ฟ้าแท้จริงเขาก็มั่นใจว่ารูปปั้นที่อยู่เบื้องหน้าเป็นวิหคอมตะโบราณแน่แท้!

ดูเหมือนว่าเขาจะเดาไม่ผิด มีวิหคอมตะโบราณอยู่ในสุสานสักการะเทพจริงด้วย!

นั่นก็หมายความว่าจะต้องมีแก่นมรดกโลหิตของวิหคอมตะโบราณอยู่ที่นี่ด้วย!

ความตื่นเต้นในใจปะทุขึ้นแต่ก็ถูกระงับไว้อย่างรวดเร็ว เนื่องจากเขาสัมผัสได้ว่ามีรูปปั้นหินทั้งหมดสามรูป ไม่ใช่เพียงรูปเดียว

หนึ่งในสองเป็นนกขนาดใหญ่ที่ดูงดงามมาก ราวกับว่ามีจิตวิญญาณที่น่าอัศจรรย์ที่เต็มไปด้วยความมีชีวิตชีวาขณะที่กระพือปีก

“นั่นมัน?” มู่เฉินมองดูรูปปั้นนกที่ไม่คุ้นเคยก็รู้สึกสงสัย เห็นได้ชัดว่าเขาไม่รู้จักสิ่งมีชีวิตนี้

“นั่นคือปักษาวิญญาณโบราณเป็นหนึ่งในมหาเทพอสูรที่สูญพันธุ์ไปนานแล้ว” คำพูดของจิ่วโยวเต็มไปด้วยการเคารพขณะทอดถอนหายใจ “ในสมัยโบราณมหาพันภพได้รับเดือดร้อนอย่างมากจากการรุกรานของเผ่าปีศาจต่างมิติ เทพอสูรที่ทรงพลังและหายากส่วนใหญ่สูญพันธุ์เนื่องจากมรดกสูญหาย สุดท้ายค่อยๆกลายเป็นเผ่าสัตว์อสูรธรรมดาสามัญไป”

มู่เฉินพยักหน้าเบาๆ หากเป็นเช่นนั้นเผ่าปีศาจต่างมิติก็เป็นศัตรูตัวฉกาจของมหาพันโลก แค่การบุกโจมตีครั้งเดียวก็สร้างความสูญเสียครั้งใหญ่ต่อมวลมนุษยชาติ มากจนแม้แต่เผ่าพันธุ์ยังสูญพันธุ์

“แล้วอีกรูปปั้นล่ะ?” มู่เฉินมองที่รูปปั้นหินสุดท้าย นี่เป็นสัตว์อสูรขนาดมหึมาที่เงยหน้าคำรามก้องฟ้าราวกับว่าร่างสามารถรองรับสวรรค์ทั้งผืนได้ มันมีสีดำสนิท ฝ่ามือขนาดใหญ่เท่ากับภูเขาสามารถทำลายผืนดินได้หมื่นลี้ด้วยตบครั้งเดียว

“นั่นคืออสูรไร้พิรุณโบราณ ซึ่งเป็นเทพอสูรอันดับต้นในสมัยโบราณที่มีพละกำลังมหาศาลและความสามารถที่บ้าบิ่น ช่วงเวลาที่บ้าดีเดือดพลังการต่อสู้จะทะยานขึ้น เผ่าวานรทะลุฟ้าที่ว่าบ้าดีเดือดว่ากันว่าความสามารถนั้นมาจากเทพอสูรพันธุ์นี้” จิ่วโยวอธิบาย

“ดูเหมือนว่าข้อความโบราณไม่ผิด ในสมัยโบราณดินแดนเสินโซ่มีราชันเทพอสูรทั้งสาม ว่ากันว่าขณะที่ดินแดนเสินโซ่กำลังถูกทำลาย พวกเขาก็ได้เปิดการโจมตีขุดรากถอนโคนระดับจอมพลของเผ่าปีศาจต่างมิติมากมายให้ตายตกกันไปแล้วผนึกไว้” จิ่วโยวจ้องมองแท่นบูชาขนาดใหญ่ขณะที่พูดด้วยความเคารพสูงสุด

“สามราชันเทพอสูรเรอะ”

มู่เฉินพยักหน้าเบาๆ เมื่อพิจารณาจากรูปลักษณ์ของรูปปั้นทั้งสามก็สมควรกับขนานนามนี้ แต่หลังจากที่เขากวาดมองไปยังพื้นที่รอบแท่นบูชาซึ่งถูกย้อมด้วยเลือดก็ต้องขมวดคิ้ว ทันใดนั้นเขาก็นึกถึงสถานที่ที่อสูรโบราณโภคะละสังขาร หลุมดำที่ไม่รู้เชื่อมกับที่ใดดูดแก่นโลหิตเข้าไปทั้งหมด

ไม่รู้ว่าจะมีความเชื่อมโยงกันหรือไม่ แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องระวังไว้ก่อน

“ดูเหมือนว่ากลุ่มที่ควรมาที่นี่ก็มาถึงกันหมดแล้ว” ขณะที่มู่เฉินกับจิ่วโยวพูดคุยกัน ข่งหลิงเผ่านกยูงเก้าสีก็เงยหน้าขึ้นพูดเบาๆ “ในเมื่อทุกคนมาถึงที่นี่ได้ก็ถือว่ามีความแข็งแกร่งเช่นกัน ส่วนในของสุสานเป็นสถานที่ที่ราชันทั้งสามละสังขารไว้ ก็เป็นตามที่พวกเจ้าจินตนาการนั่นแหละ เจ้าสามารถเลือกรับแก่นมรดกโลหิตได้ที่นี่”

เมื่อนางพูดออกมา นอกเหนือจากกลุ่มอันดับต้นที่รู้เรื่องนี้มาก่อนแล้ว กลุ่มอื่นๆ รวมทั้งกลุ่มจิ่วโยวก็มีดวงตาเปล่งประกาย

“แต่…”

ข่งหลิงหยุดไปอึดใจจากนั้นก็เอ่ยต่อ “มีแก่นมรดกโลหิตสามชิ้นเท่านั้น ซึ่งก็หมายความว่ามีเพียงสามคนที่จะได้รับไป คนที่เหลือต้องกลับไปมือเปล่า”

ผู้คนที่กำลังตื่นเต้นก็รู้สึกราวกับว่ามีน้ำเย็นราดลงบนหัวทันที แก่นมรดกโลหิตมีเพียงสามชิ้นเท่านั้น นั่นหมายความว่าขนาดสองในห้าของกลุ่มอันดับต้นยังต้องกลับไปมือเปล่า ยิ่งไม่ต้องพูดถึงกลุ่มของพวกเขาเลย

มู่เฉินยังคงความสงบไว้ แม้ว่าจะยังไม่ทราบข้อมูลแน่นอน แต่ก็สามารถเดาได้ว่าไม่ง่ายเลยที่จะได้รับแก่นมรดกโลหิตไป ดังนั้นเขาจึงไม่ได้มองโลกในแง่ดีตั้งแต่ต้น ไม่ได้ผิดหวังอะไรมากมาย

เมื่อข่งหลิงพูดจบทั่วบริเวณก็เงียบลง กลุ่มที่สามารถเข้ามาส่วนในได้ล้วนมีความแข็งแกร่งไม่ธรรมดา แต่ทุกคนก็รู้ว่ามีเพียงห้ากลุ่มอันดับต้นเท่านั้นที่สามารถแข่งขันเพื่อรับแก่นมรดกโลหิตนี้ไปได้

แม้ว่าพวกเขาจะไม่เต็มใจก็ทำอะไรไม่ได้ ไม่ต้องพูดถึงการรวมตัวของกลุ่มอันดับต้นทั้งห้า เพียงแค่หัวหน้ากลุ่มคนเดียวก็เป็นจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นแปดแล้ว เมื่อเปรียบเทียบคนอื่นๆ ก็อยู่ในระดับที่สูงกว่า พูดตามจริงเพียงแค่หนึ่งในนั้นก็สามารถทำลายกลุ่มของพวกเขาได้

ขณะที่กลุ่มอื่นๆ จมลงในความเงียบ ไป๋หมิงเป็นคนแรกที่คลี่ยิ้ม “ในเมื่อกฎก็ชัดเจนอยู่แล้ว งั้นข้าขอเลือกแก่นมรดกโลหิตวิหคอมตะโบราณก่อนนะ”

เมื่อเขาพูดจบก็ไปปรากฏตัวที่ด้านบนสุดของบันไดหิน ก้าวเข้าสู่ลานกว้างซึ่งนำไปยังรูปปั้น นี่เป็นเส้นทางเดียวเท่านั้นที่จะไปหาวิหคอมตะโบราณได้

เมื่อจิ่วโยวเห็นว่าไป๋หมิงเลือกแก่นมรดกวิหคอมตะโบราณ หัวใจนางก็ดิ่งลง ถ้าต้องการรับแก่นมรดกก็ต้องสู้กับไป๋หมิงด้วยจริงเรอะ?

“วิหคอมตะโบราณเป็นสายพันธุ์เดียวกับเผ่าของข้า หวังว่าทุกคนจะให้หน้ากับข้านะ…” ไป๋หมิงมองทุกคนบนแท่นหินยิ้มพลางประสานมือ

ชายผมสีขาวเผ่าคุนเผิงยิ้มบาง เขาไม่ได้เลือกที่จะแข่งกับไป๋หมิงเพราะแรงจูงใจของเขาไม่ได้อยู่ที่แก่นมรดกโลหิตวิหคอมตะโบราณ

เผ่านกยูงเก้าสีก็ไม่ได้สนใจ เพราะนางจะปะทะกับจงชิงเฟิง สำหรับแก่นมรดกปักษาวิญญาณโบราณ

สำหรับเผ่าวานรทะลุฟ้าและเผ่ากระเรียนเทพสวรรค์ก็ไม่ได้เคลื่อนไหวเช่นกัน เนื่องจากเป้าหมายของพวกเขาคือแก่นมรดกโลหิตอสูรไร้พิรุณโบราณ เผ่าวานรทะลุฟ้าต้องการเพราะสายเลือดเดียวกันกับเทพอสูรนี้ ส่วนเผ่ากระเรียนฟ้าต้องการความสามารถบ้าดีเดือดที่อยู่ในนั้น…

แม้แต่กลุ่มอันดับต้นทั้งสี่ก็ไม่ได้เลือกที่จะแข่งกับไป๋หมิง ดังนั้นกลุ่มที่เหลือก็ไม่คิดกระโจนออกไป เพราะยังไงไป๋หมิงก็เป็นสมาชิกเผ่าหงส์ฟ้า แน่นอนว่าสิ่งที่พวกเขากลัวที่สุดคือความแข็งแกร่งของตัวเขา

ดังนั้นเมื่อไป๋หมิงพูดออกมา ทั่วบริเวณก็สงบนิ่งไม่มีใครกล้าขึ้นไปท้าทายเขา

เมื่อไป๋ปิงเห็นภาพนี้ก็แอบรู้สึกยินดี ก่อนที่สายตามืดครึ้มจะเหลือบมองมู่เฉิน รอให้พี่ใหญ่ไป๋หมิงได้รับแก่นมรดกโลหิตวิหคอมตะโบราณก่อนเถอะ อีกเดี๋ยวก็จะได้จัดการกับพวกแกเป็นลำดับแรก

ทว่าขณะที่ความคิดนี้กำลังฟุ้งกระจาย ม่านตาก็ต้องหดเกร็งลง เมื่อเห็นเหตุการณ์ไม่น่าเชื่อเกิดขึ้น

แน่นอนว่าไม่เพียงแต่เขา กระทั่งกลุ่มอื่นๆ ก็ฉายความตกตะลึงบนใบหน้าในเวลานี้

นั่นเป็นเพราะเวลาเดียวกับที่ไป๋หมิงพูดจบ มู่เฉินซึ่งยืนหน้ากลุ่มตัวเองก็ย่างเท้าขึ้นไปบนบันไดอย่างช้าๆ

เสียงอืออึงดังก้องจากฝูงคน ชัดว่าไม่มีใครคิดว่ามนุษย์คนนี้ที่เคยท้าทายไป๋หมิงจะวิ่งเข้าชนโดยไม่คิดหันหนี

บนลานประลองรอยยิ้มบางบนใบหน้าของไป๋หมิงก็หายไปทีละน้อย เขามองมู่เฉินที่กำลังเดินขึ้นบันไดอย่างไม่แยแส มุมปากยกโค้งขึ้นทีละนิด

“แกรนหาที่ตายจริงๆ”

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler ฟรี ได้ที่ novel-fast 


เรื่องย่อ

โดย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler บางส่วนของนิยาย

บทนำ

หนึ่งในใต้หล้าจากปลายปากกาของเทียนฉานถูโต้ว กล่าวถึงมู่เฉิน เด็กหนุ่มจากสำนักศึกษาเป่ยหลิง ผู้ที่ได้รับเลือกให้เข้าฝึกในสงครามเทพยุทธ์ซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าคนเก่งกาจ ทว่า… อยู่ดีๆ เขากลับถูกขับไล่ออกมาด้วยเหตุผลที่ไม่มีใครล่วงรู้ มู่เฉินพยายามฝึกหนักอีกครั้งเพื่อจะพาตัวเองกลับเข้าไปในเส้นทางแห่งนี้ เขาจำเป็นต้องใช้สิ่งนี้เป็นใบเบิกทางเพื่อเข้าศึกษาที่ภาคเบญจภาคี เพื่อ… ปกป้องหญิงสาวที่ตนรัก และยิ่งกว่านั้นคือเพื่อค้นหาเบาะแสของมารดาที่หายสาบสูญไป

‘มหาพันภพ’ เป็นที่ที่มิติทั้งหลายเชื่อมต่อกันในระบบสุริยจักรวาล สถานที่แห่งนี้มีขั้วอำนาจมากมายอาศัยอยู่ จักรพรรดิที่มาจากพิภพเขตล่างต่างเป็นตำนานที่ผู้อื่นปรารถนาขึ้นไปบนเส้นทางแห่งกฎของโลกไร้ขอบเขตนี้

แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว เทพจักรพรรดิอัคคีควบคุมเปลวเพลิงกวาดข้ามสวรรค์

แคว้นหวู เทพจักรพรรดิสงครามผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำให้ทั้งสวรรค์และโลกหวาดกลัว

ตำหนักซีเทียน จักรพรรดิสัประยุทธ์ที่แข็งแกร่งไม่มีผู้ใดเทียบเท่า ในเนินเขารกร้างทางเหนือ ดินแดนวั้นมู่ของจักรพรรดิอมตะครองเหนือภพ

เด็กหนุ่มจากมณฑลเป่ยหลิงออกท่องยุทธภพกับวิหคโลกันตร์คู่ใจ มุ่งหน้าสู่โลกภายนอกที่เต็มไปด้วยสีสัน ใครกันที่จะเป็นผู้กุมชะตากรรมในเส้นทางการเป็นหนึ่ง?

ในมหาพันภพที่สงครามนับหมื่นอุบัติ ข้าคือผู้กุมชะตาฟ้าดิน…

เรื่องย่อ

เมื่อคำพูดของมู่เฉินกระจายออกไป ไม่เพียงแต่จะไม่มีการตอบสนอง แม้แต่ด้านนอกเจดีย์ก็ถูกห่อหุ้มด้วยบรรยากาศราวกับป่าช้า…

ทุกคนตกตะลึงไปกับฉากนี้ พวกเขาจ้องมองจุดที่ลู่สุยหายตัวไป ราวกับว่ายังไม่สามารถฟื้นจากอาการตะลึงงันที่เกิดขึ้นได้

ก่อนหน้าเมื่อลู่สุยออกกระบวนท่าที่น่าสะพรึง ผู้คนส่วนใหญ่ก็คิดว่าผลลัพธ์ของการต่อสู้ได้ถูกกำหนดแล้ว ทว่าพวกเขาไม่คิดเลยว่ามู่เฉินจะพลิกสถานการณ์ได้อีกครั้ง เตะลู่สุยที่เหมือนจะคว้าชัยชนะออกไป

ทุกคนตะลึงไปพักใหญ่ ก่อนที่พวกเขาจะหลุดออกจากอาการได้ สายตาเคร่งเครียดลง การประลองกันครั้งนี้มู่เฉินไม่ได้ใช้ค่ายกล แต่เขาก็สามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดอย่างลู่สุยได้ด้วยความแข็งแกร่งที่อยู่ในขั้นหกเท่านั้น แม้ว่าจะมีผลจากลู่สุยประมาทเองในตอนแรก แต่นั่นก็แสดงให้เห็นว่ามู่เฉินน่ากลัวแค่ไหน

พลังเช่นนี้เขาสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์อันดับต้นๆ ในเจดีย์ฝึกพลังกายได้เลยทีเดียว

ทางฝั่งกลุ่มกระเรียนฟ้า ใบหน้าของหลิ่วชิงกลายเป็นเขียวสลับขาว นางมองไปที่ร่างสูงโปร่งบนหน้าจอ กลืนน้ำลายเหนียวหนืด ความกลัวปรากฏในดวงตาของนางเป็นครั้งแรก

มาถึงจุดนี้นางคงโง่แน่ถ้ายังคิดปฏิบัติต่อมู่เฉินเหมือนกับจอมยุทธ์ขั้นหกทั่วไป

ด้วยพลังในการต่อสู้ที่เขาแสดงออกมา บวกกับค่ายกลทรงพลัง แม้แต่จงเถิงก็ยากจะได้เปรียบหากพวกเขาต่อสู้กัน

ก่อนหน้านี้นางหัวเราะเยาะและมองจิ่วโยวด้วยความดูถูก แต่ตอนนี้นางอายแทบแทรกแผ่นดินหนี ซึ่งจุดนี้รู้ได้จากสายตาเยาะเย้ยเหล่านั้นที่ปรายมองเข้ามา

“ทำไมมู่เฉินถึงทรงพลังเช่นนี้?” จงฮั้วที่พ่ายแพ้ให้กับมู่เฉินก็มีสีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดเช่นกันว่ามู่เฉินพึ่งพาเพียงค่ายกลเพื่อจัดการกับศัตรู แต่ใครจะคิดว่าเมื่อไม่มีการใช้ค่ายกลมู่เฉินก็สามารถเอาชนะลู่สุยแบบดุร้ายยิ่งกว่าอะไร

“ดูเหมือนว่ามีเพียงพี่ใหญ่จงเถิงเท่านั้นที่สามารถจัดการกับเขาได้” จอมยุทธ์อีกคนของเผ่ากระเรียนฟ้าพยักหน้า

หลิ่วชิงพยักหน้าเบาๆ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะพิจารณาพลังของมู่เฉินพลาดไปเท่านั้น แม้แต่จงเถิงก็ตัดสินอีกฝ่ายผิดไป ชายคนนั้นเป็นสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง

ฟิ้ว!

ขณะที่นอกเจดีย์ต่างตกตะลึงกับผลลัพธ์ที่มู่เฉินนำมา ทันใดนั้นแสงก็กะพริบบนแท่นนอกเจดีย์ ร่างน่าสังเวชปรากฏขึ้น

เมื่อร่างนั้นออกมาก็รีบถอยกลับไปปรากฏตัวขึ้นในกลุ่มอีกาสายฟ้าทันควัน นี่ก็คือลู่สุยที่มีสีหน้าซีดขาว คลื่นหลิงของเขาถดถอยลงอย่างมาก

สายตาโดยรอบยิงเข้าหาในเวลานี้ทันที

ใบหน้าของลู่สุยเขียวคล้ำ สายตาเกลียดชังมองไปที่มู่เฉินที่อยู่บนหน้าจอ ก่อนที่จะหันหัวสาดสายตาดุร้ายใส่จิ่วโยวและมั่วหลิง ที่ข้างๆ พรรคพวกของเขาก็มีท่าทางไม่ดีเช่นกัน

ทว่าจิ่วโยวไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับสายตาเหล่านั้น นางเค้นเสียงอย่างเย็นชา “ลูกหมาที่ถูกฟาดยังกล้าที่จะออกมาแยกเขี้ยวอีกเหรอ?”

ตอนนี้ลู่สุยบาดเจ็บสาหัส สูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปหมด ส่วนคนที่เหลือก็ไม่มีอะไรต้องกลัว หากพวกเขากล้าที่จะคิดบัญชีกับพวกนาง จิ่วโยวก็ไม่คิดปล่อยพวกเขาไว้เป็นภัยคุกคามในอนาคตหรอก

สายตาแสดงความเกลียดชังของลู่สุยจ้องเขม็งอยู่ที่จิ่วโยว แต่สุดท้ายเขาก็ต้องถอนสายตาออกไปอย่างไม่เต็มใจ ก่อนที่จะถอยกลับนั่งลงบนซากปรักหักพังเข้าสมาธิเพื่อฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ

จอมยุทธ์กลุ่มอีกาสายฟ้าก็ปรากฏรอบตัวเขาเพื่อปกป้อง

เมื่อจิ่วโยวเห็นการตอบสนองนั่น นางก็ไม่ได้ใส่ใจกับพวกเขาอีก นางมองไปที่หน้าจออีกครั้งโดยพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ร่างเงาอ่อนเยาว์ มือที่กำแน่นผ่อนคลายลง

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงสำหรับนางที่มู่เฉินจะเอาชนะได้เด็ดขาดแบบนี้ นั่นเป็นเพราะตามการประเมินของนางแม้ว่ามู่เฉินจะยืนยงอยู่ได้ก็เป็นยากที่จะเอาชนะลู่สุยด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นหกและถ้าการต่อสู้ถูกลากไปจนสุดอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบคาดไม่ถึง

ทว่าผลลัพธ์สุดท้ายที่ได้ก็ทำให้นางทั้งประหลาดใจและดีใจ

เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินได้รับประโยชน์มหาศาลจากสามชั้นแรกของเจดีย์ฝึกพลังกาย ไม่เช่นนั้นเขาไม่สามารถแสดงพลังเป็นที่ประจักษ์เช่นนี้ได้

“ว่ากันว่าในชั้นสี่มหัศจรรย์กว่านี้มาก หากใครสามารถเข้าไปได้ พวกเขาจะสามารถได้รับผลประโยชน์เกินกว่าสามชั้นแรกมาก…”

จิ่วโยวยิ้มบาง ดูจากสถานการณ์ปัจจุบันไม่น่ามีปัญหาใดๆ ที่มู่เฉินจะเข้าสู่ชั้นสี่ สำหรับมั่วเฟิงความแข็งแกร่งของเขาเป็นหนึ่งในอันดับต้นของกลุ่มที่เข้าไป ดังนั้นจึงไม่ยากสำหรับเขาที่จะได้หนึ่งในห้าที่นั่งนี้ไปเช่นกัน

ดูเหมือนว่าการเดินทางมาที่เจดีย์ฝึกพลังกายโบราณครั้งนี้เผ่าวิหคโลกันตร์อาจเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

บนลานเมฆสายฟ้า

ไม่มีใครตอบคำถามของมู่เฉิน ขณะนี้แม้แต่จอมยุทธ์ทรงอำนาจอย่างหานซันและสีคุนก็ยังรู้สึกหวาดระแวงมู่เฉินอยู่บ้าง ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะไม่ไปปะทะกับมนุษย์ผู้นี้

ดังนั้นคนทั้งหมดที่อยู่ที่นี่จึงเงียบลง ก่อนที่จะถอยออกจากรัศมีโดยรอบมู่เฉินอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณบอกว่าพวกเขาไม่ต้องการต่อสู้กับเขา

เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ก็ไม่มีอารมณ์ใดบนใบหน้า แต่ในใจกลับรู้สึกโล่งอก คนอื่นๆ เห็นเพียงฉากการต่อสู้ตระการที่เขาเอาชนะลู่สุยได้ แต่พวกเขาไม่รู้หรอกว่าหมัดที่เขาชกออกไปก่อนหน้านี้คือพลังงานส่วนเกินจากสามชั้นแรก

ร่างกายของมู่เฉินก่อนหน้าเปรียบเสมือนฟองน้ำที่ดูดซับน้ำจนถึงขีดจำกัด หมัดของเขาจึงเท่ากับบีบน้ำออกจนหมด ทำให้ร่างกายที่อัดแน่นกลับสู่สภาพเดิม

ดังนั้นถ้าให้เขาโจมตีแบบนั้นอีกครั้ง พลังก็จะไม่ทรงประสิทธิภาพเหมือนเมื่อครู่แน่นอน

ประสิทธิผลพิเศษชนิดนี้ของการสะสมพลังงานในร่างกายเป็นทักษะที่ได้มาจากกายามังกรหงส์ ด้วยวิธีนี้เขาจะได้รับผลลัพธ์ที่ไม่มีใครคาดคิดไว้ กลายเป็นไพ่ลับอีกใบหนึ่ง

“คัมภีร์หลงเฟิ่งทรงพลังจริงๆ”

แม้แต่มู่เฉินก็ยังชื่นชมในสิ่งนี้ คัมภีร์หลงเฟิ่งสมแล้วที่เป็นทักษะยอดเยี่ยมแท้จริง จากการประเมินของเขาคัมภีร์นี้ต้องอยู่ในระดับเสินทงแน่นอน ซึ่งไม่ธรรมดาแม้จะอยู่ในกลุ่มวิทยายุทธระดับเสินทงด้วย

มู่เฉินชื่นชมก่อนที่จะใจเย็นลง แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีใครท้าทายเขา แต่เขาก็ไม่ตั้งใจที่จะท้าทายคนอื่นด้วยเช่นกัน เขายืนนิ่งบนตำแหน่งตนเองรอผลการคัดออก

สำหรับจงเถิง มู่เฉินรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นพวกยุแยงให้ลู่สุยมาปะทะกับเขา แต่เนื่องจากตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ดีในการจัดการ เขาจึงได้แต่ผลักแผนไปก่อน

แต่ถึงกระนั้นสายตาคมกล้าของมู่เฉินก็ยังจ้องเขม็งไปที่จงเถิง รอบตัวเต็มไปด้วยคลื่นหลิงราวกับเสือดาวที่กำลังจะจ้องตะครุบเหยื่ออัดแน่นด้วยภัยคุกคาม

เมื่อเห็นท่าทางของมู่เฉิน จงเถิงที่ประจันหน้ากับมั่วเฟิงก็รู้สึกอึดอัดใจ เขาต้องแยกสมาธิอยู่ตลอดเพื่อจับตามองมู่เฉิน ป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายเคลื่อนไหวมาประสานพลังกับมั่วเฟิง

ด้วยวิธีนี้สมาธิของจงเถิงจึงค่อนข้างฟุ้งซ่าน สุดท้ายเขาได้แต่กัดฟัน ถอนคลื่นหลิงและถอยออกจากบริเวณของมั่วเฟิง

“พี่มั่วยากสำหรับการต่อสู้ของเราที่จะได้ข้อสรุป ทำไมเราไม่ไปจัดการคนอื่นและรับที่นั่งมาล่ะ?” ขณะที่จงเถิงถอยกลับเสียงก็สะท้อนก้องไปด้วย

มั่วเฟิงจ้องมองจงเถิงอย่างไม่แยแสก่อนที่จะพยักหน้า นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าหากพวกเขายังอยู่ในสถานการณ์ยืนจ้องหน้ากันก็จะไม่เกิดผลลัพธ์ใด หากเขาร่วมมือกับมู่เฉิน พวกเขาอาจทำให้จงเถิงบ้าดีเดือดขึ้นมา แม้แต่พวกเขาก็ต้องจ่ายราคามหาศาลจากการตีโต้

ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาคือการได้ที่นั่งเพื่อเข้าสู่ชั้นสี่

เมื่อจงเถิงเห็นคำตอบของมั่วเฟิงก็รู้สึกโล่งใจในใจ เขาถอยกลับอย่างรวดเร็วออกจากจุดที่มู่เฉินและมั่วเฟิงอยู่ เขาครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนจะเลือกปะทะกับคนที่อ่อนแอกว่า

พอมู่เฉินเห็นจงเถิงไปแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจอีกต่อไป สายตาหันมามองมั่วเฟิงแล้วก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มแสดงความขอบคุณในการช่วยเหลือครั้งนี้

สายตาของมั่วเฟิงเป็นมิตรมากขึ้น คิดว่าการที่มู่เฉินเอาชนะลู่สุย ทำให้มั่วเฟิงมองมู่เฉินในฐานะจอมยุทธ์ที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเขา ดังนั้นจึงไม่ได้มีท่าทางเฉยเมยเหมือนเมื่อก่อน

มั่วเฟิงพยักหน้าให้มู่เฉิน ก่อนที่จะหันหลังกลับและเริ่มเลือกคู่ต่อสู้ของตนเอง

ครืน!

เมื่อทุกคนเลือกคู่ต่อสู้แล้ว ทันใดนั้นคลื่นหลิงก็ระเบิดรุนแรงบนลานเมฆสายฟ้า คลื่นกระแทกกวาดออก ทำให้มิติเกิดการสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไม่หยุด

บนลานเมฆสายฟ้าพลังงานหลิงกวาดหายนะ มีเพียงตรงมู่เฉินเท่านั้นที่ไม่ถูกรบกวน เนื่องจากไม่มีใครกล้าเหยียบเข้ามาในรัศมีพันจั้ง ยามนี้เขาเหมือนผู้ชมที่ดูการต่อสู้ติดขอบ ในเวลาเดียวกันก็บันทึกกระบวนท่าที่ทรงพลังของบางคนไว้ในสมอง

แม้ว่าในชั้นนี้พวกเขาอาจไม่ได้ประลองกัน แต่ก็ยังมีอีกสองชั้นรอพวกเขาอยู่ ใครจะสามารถรับประกันได้ว่าจะไม่มีการลดจำนวนลงในชั้นต่อไป?

ดังนั้นถ้ามีโอกาสเขาต้องพยายามจดจำข้อมูลผู้อื่นเก็บไว้

ภายใต้การสังเกตของมู่เฉิน การประลองบนลานเมฆสายฟ้าก็คงอยู่ชั่วระยะหนึ่ง ก่อนที่แต่ละคู่จะมาถึงจุดสิ้นสุด ผลลัพธ์ก็เป็นไปตามที่คาดไว้

หลังจากมู่เฉินก็เป็นหานซันที่เอาชนะคู่ต่อสู้ได้ที่นั่งที่สองไป

จากนั้นมั่วเฟิงและจงเถิงก็คว้าชัยชนะตามมา

ที่นั่งสุดท้ายตกเป็นของสีคุนที่ก่อนหน้านี้เคยแพ้หานซันที่ด้านนอกเจดีย์ ชายนี้มีความแข็งแกร่งที่น่าตกใจ แม้แต่หานซันยังต้องใช้ทักษะเต็มที่ถึงจะได้รับชัยชนะมา

เมื่อสีคุนได้รับที่นั่งสุดท้ายลานเมฆสายฟ้าขนาดใหญ่ก็เงียบลงอีกครั้ง ร่างทั้งห้ายืนอยู่ ขณะรัศมีไร้ขอบเขตทั้งห้าสายพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าชนกันเปรี้ยงปร้าง

ทว่าการชนกันก็ดำเนินไปเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ก่อนที่ทั้งห้าจะถอนคลื่นพลังพร้อมกัน พวกเขาเหลือบมองกันและกัน จากนั้นก็ไม่ลังเลทะยานออกไปปรากฏตัวบนเบาะทั้งห้า

สายตาพวกเขาพุ่งตรงไปยังมิติด้านหลังลานเมฆสายฟ้าด้วยความโลภ ตรงนั้นเส้นดาวหางจำนวนมากกวาดผ่านราวกับฝนดาวตก

ในแสงเหล่านั้นแก่นหยดสายฟ้ากำลังกะพริบด้วยความแวววาว


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท