หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – ตอนที่ 1056

ตอนที่ 1056

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1056 สู้กับไป๋หมิง
บนบันได

มู่เฉินก้าวขึ้นไปบนลานประลองภายใต้สายตาไม่แยแสของไป๋หมิง เขาไม่ได้ให้ความใส่ใจกับสายตาตกตะลึงที่พุ่งมา ทำเพียงคลี่ยิ้มให้ไป๋หมิง “พวกข้าก็สนใจแก่นมรดกโลหิตวิหคอมตะน่ะ”

ไป๋หมิงโบกพัดขนนกสีฟ้าน้ำแข็งในมือ ไอเย็นเยือกพัดออกมาก่อนที่จะมองไปที่มู่เฉินแล้วก็พยักหน้า “ละครอย่างเดียวไม่มีอะไรน่าดูก็จริง ในเมื่อมีตัวตลกอยากเพิ่มความสนุก ข้าก็ยินดีที่จะเล่นด้วยสักหน่อย”

มุมปากของเขายกขึ้นด้วยความดูถูก คำพูดรุนแรงใส่ลงไปไม่ไว้หน้าให้กับมู่เฉิน

เห็นได้ชัดว่าตั้งแต่เริ่มเขาก็ไม่เห็นมู่เฉินเป็นคนที่อยู่ในระดับเดียวกับเขา

เมื่อได้ยินคำพูดดูถูกเหยียดหยาม แววเกรี้ยวกราดก็วูบไหวในดวงตาของจิ่วโยว ขณะที่มั่วหลิงเดือดดาล ทว่าแม้พวกนางจะโกรธ แต่ก็ไม่พูดอะไรออกมาสักคำ เพราะพวกนางกังวลเต็มหัวใจ ถึงมู่เฉินจะประสบความสำเร็จในการเข้าสู่ระดับจื้อจุนขั้นเจ็ด แต่ถ้าเขาต่อสู้กับไป๋หมิง ใครจะชนะก็ยังไม่แน่นอน

ตรงกันข้ามกับความโกรธของพวกนาง มู่เฉินไม่ได้มีริ้วอารมณ์ใดๆ บนใบหน้า “ข้าว่ายังเร็วไปที่จะตัดสินว่าใครเป็นตัวตลก”

รอยเยาะเย้ยที่มุมปากของไป๋หมิงลึกขึ้นเรื่อยๆ แต่เขาก็ไม่ใส่ใจที่จะลับฝีปากกับมู่เฉิน เขาเพียงคิดว่ามู่เฉินกำลังดิ้นรนก่อนตาย เขาจึงโบกพัดขนนกเบาๆ ขณะที่หลับตาลง

ทว่าเมื่อเขาหลับตา ทุกคนก็สามารถสัมผัสได้ถึงจิตสังหารเย็นเยือกรวมตัวบนร่างไป๋หมิง

จินตนาการได้ว่าเมื่อเขาเริ่มโจมตี กระบวนท่าจะสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นขนาดไหน เขาจะต้องใช้ความเร็วเกินพิกัด เพื่อเหยียบอีกฝ่ายไว้ใต้ฝ่าเท้าราวกับสุนัขตายซากให้เร็วที่สุด ในเวลานั้นเขาจะดูว่ามู่เฉินจะยังคงหน้านิ่งได้อยู่หรือไม่

“แกรนหาที่ตาย!”

เมื่อไป๋หมิงหลับตาลง ไป๋ปิงก็แสยะยิ้มขณะมองไปที่มู่เฉินอย่างอาฆาตมาดร้าย เขาไม่คิดเลยว่าไอ้โง่นี้ยังกล้าไปท้าทายไป๋หมิงในขณะนี้

ถ้าไอ้บ้านี่คุกเข่าลงขอร้องและส่งมอบสมบัติที่เกี่ยวข้องกับรัศมีหงส์ฟ้าแท้จริงให้ บางทีไป๋หมิงอาจจะให้หน้ากับเผ่าวิหคโลกันตร์และปล่อยพวกเขาไป แต่ตอนนี้ทุกอย่างสายเกินแก้ ไอ้โง่นั่นทำให้ไป๋หมิงโกรธอย่างสมบูรณ์ ดังนั้นไป๋ปิงทำนายได้ว่า ณ แท่นบูชาแห่งนี้จะเป็นสถานที่ฝังศพของมนุษย์ที่ชื่อมู่เฉิน

ที่ด้านหลังฉื่อหงหวู่ก็มุ่นคิ้วก่อนที่จะส่ายหัว การกระทำของมู่เฉินในการยั่วยุไป๋หมิงช่างเป็นเรื่องโง่เขลานักในมุมมองของนาง แต่ในเมื่อเกิดขึ้นแล้วคำพูดใดก็ไร้ประโยชน์ ตอนนี้นางทำได้เพียงคิดว่าไป๋หมิงจะปล่อยมู่เฉินไปหลังจากได้รับสิ่งที่ต้องการ

กลุ่มอื่นก็ไม่ได้มองในแง่ดี พวกเขาจ้องมองมู่เฉินราวกับว่ามองคนตาย

“เฮ้ เจ้ามนุษย์กล้าหาญจริงๆ ถ้าเจ้าสามารถเอาชีวิตรอดจากน้ำมือของไป๋หมิงได้ ข้ายินดีที่จะปกป้องชีวิตเจ้าให้” ผู้นำร่างผอมบางของเผ่าวานรทะลุฟ้าหัวเราะด้วยดวงตายิบหยี

เขาเองก็ไม่ชอบใจนิสัยหยิ่งผยองของไป๋หมิง ดังนั้นเมื่อเขาเห็นว่าไม่มีใครกล้าท้าทายไป๋หมิงก่อนหน้า เขาก็รู้สึกไม่พอใจ แต่ไม่คิดว่ามู่เฉินจะหักหน้าของไป๋หมิง ซึ่งทำให้เขาค่อนข้างประหลาดใจ ดังนั้นจึงพูดประโยคดังกล่าวขึ้นมา แม้ว่าไป๋หมิงจะทรงพลัง แต่เขาก็ไม่กลัว

แต่จากคำพูด เขาก็ไม่ได้มองในแง่ดีเกี่ยวกับการท้าทายของมู่เฉินที่มีต่อไป๋หมิง

หลังจากที่หัวเราะออกเขาก็ไม่ได้พูดอะไรอีก ร่างขยับวูบไหวก่อนที่จะปรากฏขึ้นอีกมุมหนึ่งบนลานที่จะนำไปสู่รูปปั้นอสูรไร้พิรุณโบราณ ไม้พลองกระแทกไปบนพื้นทำเอาสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไปหมด

“ไอ้ไรนกเผ่ากระเรียนเทพสวรรค์ อยากได้แก่นมรดกโลหิตนี้ก็มาผ่านข้าไปให้ได้ก่อนสิ!” เขายิ้มพร้อมกับคำพูดจองหองที่ไม่เข้ากับเงาร่างผอมบางสักนิด

“ข้าอยากชิมพลังของเผ่าวานรทะลุฟ้ามานานแล้ว!”

ผู้นำกลุ่มกระเรียนเทพสวรรค์หัวเราะเบาๆ ปลายเท้าแตะลงบนพื้นก่อนที่ร่างจะทะยานไปเบื้องหน้าลู่โหว กำปั้นกำเข้าหากันแน่นกระบี่ยาวสีแดงก็ปรากฏในพริบตา กระบี่ยาวมีรูปร่างคล้ายจงอยปากกระเรียน กลิ่นไหลเอื่อยออกมาซึ่งบรรจุไว้ด้วยพิษร้ายแรง

เมื่อเผ่าวานรทะลุฟ้าเผชิญหน้ากับเผ่ากระเรียนเทพสวรรค์ จงชิงเฟิงก็ยิ้มจ้องมองไปที่ข่งหลิง “เทพธิดาข่งหลิง ผู้ชนะระหว่างเราจะได้รับแก่นมรดกโลหิตปักษาวิญญาณโบราณ เจ้าว่ายังไง?”

“นั่นคือสิ่งที่ข้าต้องการ” ข่งหลิงพูดเบาๆ

เมื่อทั้งสองเผชิญหน้ากัน ประกายไฟก็แล่นแปลบปลาบออกมาจากดวงตาพวกเขา ทั้งคู่เป็นจอมยุทธ์ชั้นสูงในหมู่คนรุ่นใหม่ของเผ่าพันธุ์ ในเมื่อมาพบกันที่นี่ พวกเขาก็ต้องทำให้ดีที่สุดเพื่อดูว่าใครจะแน่กว่ากัน

วาบ!

ทั้งสองคนก้าวออกไปปรากฏตัวที่ลานประลองอีกแห่งหนึ่ง เมื่อยืนเผชิญหน้ากันคลื่นหลิงไร้ขอบเขตก็พวยพุ่งออกมาจากร่างกาย

ตอนนี้จอมยุทธ์ทั้งหกยืนเผชิญหน้ากันบนลานประลองทั้งสามแห่ง รัศมีเหมือนสามารถกลืนกินฟ้าดินเลยทีเดียว ขณะที่คลื่นพลังไร้ขอบเขตกวาดไปทั่ว ทุกคนรู้ว่าการต่อสู้ดุเดือดกำลังจะเกิดขึ้นแล้ว

แน่นอนว่าการต่อสู้ดุเดือดที่ว่าไม่รวมคู่มู่เฉินกับไป๋หมิง เพราะในมุมมองหลายคนไม่มีความสงสัยในผลลัพธ์เลย

บนลานประลองที่นำไปสู่รูปปั้นหินวิหคอมตะโบราณ ไป๋หมิงค่อยๆ ลืมตามองไปที่มู่เฉินอย่างไม่แยแส เขาไม่ได้พูดอะไรแต่ทุกคนก็สามารถสัมผัสถึงกระแสน้ำแข็งสีฟ้าขนาดใหญ่กลิ้งออกมา ก่อร่างเป็นพายุทอร์นาโดเย็นเยือกโอบล้อมร่างเขาไว้

มองไปที่ไป๋หมิงที่มีรัศมีน่าตกใจ สายตามู่เฉินก็เคร่งเครียดลง แม้ว่าไป๋หมิงจะน่ารังเกียจ แต่ก็ต้องยอมรับว่าอีกฝ่ายน่าเกรงขามมาก ในฐานะอัจฉริยะเผ่าหงส์ฟ้าน้ำแข็งเขามีคุณสมบัติที่จะหยิ่งจริงๆ

“ข้าจะแช่แข็งเจ้าเป็นรูปปั้นน้ำแข็ง ให้เจ้ายืนอยู่ในสุสานสักการะเทพตลอดกาล”

เสียงไม่แยแสของไป๋หมิงดังก้อง อึดใจเขาก็กระทืบเท้าลงไป ลอนคลื่นเย็นเยือกที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่ากวาดออก ทันใดนั้นอุณหภูมิระหว่างฟ้าดินก็ลดฮวบลง ชั้นน้ำแข็งหนากระจายออกไปทั่วลานประลอง ราวกับมวลไอเย็นเยือกพุ่งเข้ากลืนกินมู่เฉิน

ฮึ่ม!

แสงสีทองพร่างพราวระเบิดออกจากร่างมู่เฉิน จิตวิญญาณมังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริงบนพื้นผิวก็บินฉวัดเฉวียนไปทั่ว ทั้งสองเคลื่อนไปที่แขนขวาจากนั้นเขาก็เหวี่ยงหมัดออกไป

ตู้ม!

หมัดนี้ทำให้มิติเบื้องหน้ายุบตัวลง พลังอันน่าสะพรึงกลัวที่ไม่สามารถอธิบายกวาดออกปะทะกับชั้นน้ำแข็ง

ตึง!

พลังงานสองสายปะทะกันอย่างดุเดือดเลือดพล่าน ทำให้ทั้งลานประลองโยกคลอน มู่เฉินถอยห่างออกไปหลายก้าวทิ้งรอยลึกยาวไว้บนพื้น

เมื่อก้าวถอยไปแปดก้าว แสงเย็นเยือกก็วูบไหวในม่านตาสีดำของมู่เฉิน เขากำหมัดชกออกไปบนชั้นน้ำแข็งอีกครั้ง

แคร็ก!

รอยแตกที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่ากระจายออกไปจากกำปั้นของมู่เฉิน ในเวลาไม่กี่อึดใจชั้นน้ำแข็งขนาดใหญ่ก็ระเบิดออก มวลไอเย็นสุดขั้วที่สามารถกลืนร่างจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดระยะปลายสุดได้ก็
แตกกระจายเป็นเกล็ดน้ำแข็งบนท้องฟ้า

เมื่อทุกคนเห็นฉากนี้ ดวงตาก็หดลงพลางแอบเดาะลิ้น พวกเขาบอกได้ว่ากระทั่งจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดก็รับหมัดของมู่เฉินไม่ได้

เกล็ดน้ำแข็งกระจายไปทั่ว ร่างมู่เฉินพลุ่งพล่านด้วยแสงสีทอง ชัดว่าเร้ากายามังกรหงส์ถึงขีดสุดแล้ว ทุกการเคลื่อนไหวก็เหมือนมีพลังราวภูเขาไฟมารวมกัน

“เหอะ บ้าพลังจริงๆ”

ร่างของไป๋หมิงปรากฏขึ้นบนท้องฟ้าขณะที่จ้องมองเกล็ดน้ำแข็งที่แตกสลายก็ยิ้มอย่างเย็นชา “น้ำแข็งของข้าทำลายไม่ได้ง่ายๆ หรอก”

พูดจบก็โบกมือ เกล็ดน้ำแข็งที่กระจายไปทั่วตกลงมาราวกับลูกธนูนับหมื่นยิงไปทางมู่เฉิน

มือของมู่เฉินประสานเข้าด้วยกัน จิตวิญญาณมังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริงพุ่งออกมาจากร่างเขา ก่อตัวเป็นปราการมังกรหงส์ล้อมรอบร่างเขาไว้ ไม่ว่าน้ำแข็งจะกระหน่ำมาทางใด ก็ไม่สามารถผ่าแนวป้องกันได้

เมื่อไป๋หมิงเห็นภาพนี้บนท้องฟ้า แววตาก็เย็นเยือกลง ความแข็งแกร่งของพลังกายมู่เฉินค่อนข้างเกินความคาดหมายของเขา การโจมตีของเขาก่อนหน้าเป็นสิ่งที่สามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดระยะปลายสุดได้ แต่มู่เฉินกลับต้านรับไว้ได้

ชายคนนี้มีความสามารถพอที่จะท้าทายเขาแท้จริง แต่มู่เฉินคิดว่าแค่นี้เพียงพอหรือ?

ไป๋หมิงยิ้มเยาะเย้ยขณะที่วาดตราประทับด้วยมือข้างเดียว ไอเย็นค่อยๆ กลั่นตัวในดวงตาของเขา

ในเมื่อเป็นแบบนี้ เจ้าก็ทำให้ข้าได้สนุกซะหน่อยแล้ว

ตู้ม!

ราวกับการปะทุของภูเขาไฟ คลื่นหลิงน่าสะพรึงกลัวพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า ทำให้ท้องฟ้าเย็นยะเยือกลง เกล็ดน้ำแข็งนับไม่ถ้วนรวมตัวกันอยู่เบื้องบน

ไป๋หมิงยืนอยู่บนท้องฟ้ามองลงไปที่มู่เฉินพร้อมรอยยิ้มเย้ยหยันแขวนที่มุมปาก แรงกดดันคลื่นหลิงทรงพลังที่เขาซัดออกมา ทำให้จอมยุทธ์หลายคนที่นี่มีสีหน้าเปลี่ยนไป

นั่นเป็นเพราะคลื่นหลิงนี้เกินขอบเขตของระดับจื้อจุนขั้นเจ็ดไปไกลแล้ว

นี่เป็นระดับจื้อจุนขั้นแปดแท้จริง!

คลื่นหลิงไร้ขอบเขตกวาดหายนะไปทั่วขอบฟ้าราวกับพายุ ไป๋หมิงกำหมัดแน่น พลังงานเยือกเย็นไหลผ่าน ไม่กี่อึดใจก็ก่อร่างเป็นภูเขาน้ำแข็งหมื่นจั้ง ที่มีรูปร่างเหมือนหงส์ฟ้าน้ำแข็งสยายปีกซึ่งปกคลุมไปด้วยลวดลายลึกซึ้ง ลวดลายเหล่านี้เปล่งประกายแวววาว กลืนกินคลื่นหลิงระหว่างฟ้าดินอย่างตะกละตะกลาม

เมื่อทุกคนเห็นภูเขาหงส์ฟ้าน้ำแข็งก็รู้สึกว่าหนังหัวลุกชันไปหมด พวกเขารู้สึกชัดเจนว่าการโจมตีของไป๋หมิงทรงพลังเพียงใด เขาไม่คิดจะมอบเส้นทางรอดให้มู่เฉิน เขาดึงพลังระดับจื้อจุนขั้นแปดทันทีที่เริ่มออกกระบวนท่า

ทีนี้มู่เฉินคงจะถูกกระทืบจนถึงจุดที่ไม่สามารถพลิกสถานการณ์ได้แล้ว

ไป๋หมิงสาดสายตาไม่แยแสราวกับเทพเซียน จากนั้นก็พลิกฝ่ามือ ทำให้ภูเขาหงส์ฟ้าน้ำแข็งพุ่งลงมาราวกับอุกกาบาตซัดใส่มู่เฉินทันที

“คัมภีร์หานหวง ภูเขาหงส์ฟ้าสยบหมื่นอสูร!”

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler ฟรี ได้ที่ novel-fast 


เรื่องย่อ

โดย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler บางส่วนของนิยาย

บทนำ

หนึ่งในใต้หล้าจากปลายปากกาของเทียนฉานถูโต้ว กล่าวถึงมู่เฉิน เด็กหนุ่มจากสำนักศึกษาเป่ยหลิง ผู้ที่ได้รับเลือกให้เข้าฝึกในสงครามเทพยุทธ์ซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าคนเก่งกาจ ทว่า… อยู่ดีๆ เขากลับถูกขับไล่ออกมาด้วยเหตุผลที่ไม่มีใครล่วงรู้ มู่เฉินพยายามฝึกหนักอีกครั้งเพื่อจะพาตัวเองกลับเข้าไปในเส้นทางแห่งนี้ เขาจำเป็นต้องใช้สิ่งนี้เป็นใบเบิกทางเพื่อเข้าศึกษาที่ภาคเบญจภาคี เพื่อ… ปกป้องหญิงสาวที่ตนรัก และยิ่งกว่านั้นคือเพื่อค้นหาเบาะแสของมารดาที่หายสาบสูญไป

‘มหาพันภพ’ เป็นที่ที่มิติทั้งหลายเชื่อมต่อกันในระบบสุริยจักรวาล สถานที่แห่งนี้มีขั้วอำนาจมากมายอาศัยอยู่ จักรพรรดิที่มาจากพิภพเขตล่างต่างเป็นตำนานที่ผู้อื่นปรารถนาขึ้นไปบนเส้นทางแห่งกฎของโลกไร้ขอบเขตนี้

แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว เทพจักรพรรดิอัคคีควบคุมเปลวเพลิงกวาดข้ามสวรรค์

แคว้นหวู เทพจักรพรรดิสงครามผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำให้ทั้งสวรรค์และโลกหวาดกลัว

ตำหนักซีเทียน จักรพรรดิสัประยุทธ์ที่แข็งแกร่งไม่มีผู้ใดเทียบเท่า ในเนินเขารกร้างทางเหนือ ดินแดนวั้นมู่ของจักรพรรดิอมตะครองเหนือภพ

เด็กหนุ่มจากมณฑลเป่ยหลิงออกท่องยุทธภพกับวิหคโลกันตร์คู่ใจ มุ่งหน้าสู่โลกภายนอกที่เต็มไปด้วยสีสัน ใครกันที่จะเป็นผู้กุมชะตากรรมในเส้นทางการเป็นหนึ่ง?

ในมหาพันภพที่สงครามนับหมื่นอุบัติ ข้าคือผู้กุมชะตาฟ้าดิน…

เรื่องย่อ

เมื่อคำพูดของมู่เฉินกระจายออกไป ไม่เพียงแต่จะไม่มีการตอบสนอง แม้แต่ด้านนอกเจดีย์ก็ถูกห่อหุ้มด้วยบรรยากาศราวกับป่าช้า…

ทุกคนตกตะลึงไปกับฉากนี้ พวกเขาจ้องมองจุดที่ลู่สุยหายตัวไป ราวกับว่ายังไม่สามารถฟื้นจากอาการตะลึงงันที่เกิดขึ้นได้

ก่อนหน้าเมื่อลู่สุยออกกระบวนท่าที่น่าสะพรึง ผู้คนส่วนใหญ่ก็คิดว่าผลลัพธ์ของการต่อสู้ได้ถูกกำหนดแล้ว ทว่าพวกเขาไม่คิดเลยว่ามู่เฉินจะพลิกสถานการณ์ได้อีกครั้ง เตะลู่สุยที่เหมือนจะคว้าชัยชนะออกไป

ทุกคนตะลึงไปพักใหญ่ ก่อนที่พวกเขาจะหลุดออกจากอาการได้ สายตาเคร่งเครียดลง การประลองกันครั้งนี้มู่เฉินไม่ได้ใช้ค่ายกล แต่เขาก็สามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดอย่างลู่สุยได้ด้วยความแข็งแกร่งที่อยู่ในขั้นหกเท่านั้น แม้ว่าจะมีผลจากลู่สุยประมาทเองในตอนแรก แต่นั่นก็แสดงให้เห็นว่ามู่เฉินน่ากลัวแค่ไหน

พลังเช่นนี้เขาสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์อันดับต้นๆ ในเจดีย์ฝึกพลังกายได้เลยทีเดียว

ทางฝั่งกลุ่มกระเรียนฟ้า ใบหน้าของหลิ่วชิงกลายเป็นเขียวสลับขาว นางมองไปที่ร่างสูงโปร่งบนหน้าจอ กลืนน้ำลายเหนียวหนืด ความกลัวปรากฏในดวงตาของนางเป็นครั้งแรก

มาถึงจุดนี้นางคงโง่แน่ถ้ายังคิดปฏิบัติต่อมู่เฉินเหมือนกับจอมยุทธ์ขั้นหกทั่วไป

ด้วยพลังในการต่อสู้ที่เขาแสดงออกมา บวกกับค่ายกลทรงพลัง แม้แต่จงเถิงก็ยากจะได้เปรียบหากพวกเขาต่อสู้กัน

ก่อนหน้านี้นางหัวเราะเยาะและมองจิ่วโยวด้วยความดูถูก แต่ตอนนี้นางอายแทบแทรกแผ่นดินหนี ซึ่งจุดนี้รู้ได้จากสายตาเยาะเย้ยเหล่านั้นที่ปรายมองเข้ามา

“ทำไมมู่เฉินถึงทรงพลังเช่นนี้?” จงฮั้วที่พ่ายแพ้ให้กับมู่เฉินก็มีสีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดเช่นกันว่ามู่เฉินพึ่งพาเพียงค่ายกลเพื่อจัดการกับศัตรู แต่ใครจะคิดว่าเมื่อไม่มีการใช้ค่ายกลมู่เฉินก็สามารถเอาชนะลู่สุยแบบดุร้ายยิ่งกว่าอะไร

“ดูเหมือนว่ามีเพียงพี่ใหญ่จงเถิงเท่านั้นที่สามารถจัดการกับเขาได้” จอมยุทธ์อีกคนของเผ่ากระเรียนฟ้าพยักหน้า

หลิ่วชิงพยักหน้าเบาๆ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะพิจารณาพลังของมู่เฉินพลาดไปเท่านั้น แม้แต่จงเถิงก็ตัดสินอีกฝ่ายผิดไป ชายคนนั้นเป็นสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง

ฟิ้ว!

ขณะที่นอกเจดีย์ต่างตกตะลึงกับผลลัพธ์ที่มู่เฉินนำมา ทันใดนั้นแสงก็กะพริบบนแท่นนอกเจดีย์ ร่างน่าสังเวชปรากฏขึ้น

เมื่อร่างนั้นออกมาก็รีบถอยกลับไปปรากฏตัวขึ้นในกลุ่มอีกาสายฟ้าทันควัน นี่ก็คือลู่สุยที่มีสีหน้าซีดขาว คลื่นหลิงของเขาถดถอยลงอย่างมาก

สายตาโดยรอบยิงเข้าหาในเวลานี้ทันที

ใบหน้าของลู่สุยเขียวคล้ำ สายตาเกลียดชังมองไปที่มู่เฉินที่อยู่บนหน้าจอ ก่อนที่จะหันหัวสาดสายตาดุร้ายใส่จิ่วโยวและมั่วหลิง ที่ข้างๆ พรรคพวกของเขาก็มีท่าทางไม่ดีเช่นกัน

ทว่าจิ่วโยวไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับสายตาเหล่านั้น นางเค้นเสียงอย่างเย็นชา “ลูกหมาที่ถูกฟาดยังกล้าที่จะออกมาแยกเขี้ยวอีกเหรอ?”

ตอนนี้ลู่สุยบาดเจ็บสาหัส สูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปหมด ส่วนคนที่เหลือก็ไม่มีอะไรต้องกลัว หากพวกเขากล้าที่จะคิดบัญชีกับพวกนาง จิ่วโยวก็ไม่คิดปล่อยพวกเขาไว้เป็นภัยคุกคามในอนาคตหรอก

สายตาแสดงความเกลียดชังของลู่สุยจ้องเขม็งอยู่ที่จิ่วโยว แต่สุดท้ายเขาก็ต้องถอนสายตาออกไปอย่างไม่เต็มใจ ก่อนที่จะถอยกลับนั่งลงบนซากปรักหักพังเข้าสมาธิเพื่อฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ

จอมยุทธ์กลุ่มอีกาสายฟ้าก็ปรากฏรอบตัวเขาเพื่อปกป้อง

เมื่อจิ่วโยวเห็นการตอบสนองนั่น นางก็ไม่ได้ใส่ใจกับพวกเขาอีก นางมองไปที่หน้าจออีกครั้งโดยพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ร่างเงาอ่อนเยาว์ มือที่กำแน่นผ่อนคลายลง

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงสำหรับนางที่มู่เฉินจะเอาชนะได้เด็ดขาดแบบนี้ นั่นเป็นเพราะตามการประเมินของนางแม้ว่ามู่เฉินจะยืนยงอยู่ได้ก็เป็นยากที่จะเอาชนะลู่สุยด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นหกและถ้าการต่อสู้ถูกลากไปจนสุดอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบคาดไม่ถึง

ทว่าผลลัพธ์สุดท้ายที่ได้ก็ทำให้นางทั้งประหลาดใจและดีใจ

เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินได้รับประโยชน์มหาศาลจากสามชั้นแรกของเจดีย์ฝึกพลังกาย ไม่เช่นนั้นเขาไม่สามารถแสดงพลังเป็นที่ประจักษ์เช่นนี้ได้

“ว่ากันว่าในชั้นสี่มหัศจรรย์กว่านี้มาก หากใครสามารถเข้าไปได้ พวกเขาจะสามารถได้รับผลประโยชน์เกินกว่าสามชั้นแรกมาก…”

จิ่วโยวยิ้มบาง ดูจากสถานการณ์ปัจจุบันไม่น่ามีปัญหาใดๆ ที่มู่เฉินจะเข้าสู่ชั้นสี่ สำหรับมั่วเฟิงความแข็งแกร่งของเขาเป็นหนึ่งในอันดับต้นของกลุ่มที่เข้าไป ดังนั้นจึงไม่ยากสำหรับเขาที่จะได้หนึ่งในห้าที่นั่งนี้ไปเช่นกัน

ดูเหมือนว่าการเดินทางมาที่เจดีย์ฝึกพลังกายโบราณครั้งนี้เผ่าวิหคโลกันตร์อาจเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

บนลานเมฆสายฟ้า

ไม่มีใครตอบคำถามของมู่เฉิน ขณะนี้แม้แต่จอมยุทธ์ทรงอำนาจอย่างหานซันและสีคุนก็ยังรู้สึกหวาดระแวงมู่เฉินอยู่บ้าง ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะไม่ไปปะทะกับมนุษย์ผู้นี้

ดังนั้นคนทั้งหมดที่อยู่ที่นี่จึงเงียบลง ก่อนที่จะถอยออกจากรัศมีโดยรอบมู่เฉินอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณบอกว่าพวกเขาไม่ต้องการต่อสู้กับเขา

เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ก็ไม่มีอารมณ์ใดบนใบหน้า แต่ในใจกลับรู้สึกโล่งอก คนอื่นๆ เห็นเพียงฉากการต่อสู้ตระการที่เขาเอาชนะลู่สุยได้ แต่พวกเขาไม่รู้หรอกว่าหมัดที่เขาชกออกไปก่อนหน้านี้คือพลังงานส่วนเกินจากสามชั้นแรก

ร่างกายของมู่เฉินก่อนหน้าเปรียบเสมือนฟองน้ำที่ดูดซับน้ำจนถึงขีดจำกัด หมัดของเขาจึงเท่ากับบีบน้ำออกจนหมด ทำให้ร่างกายที่อัดแน่นกลับสู่สภาพเดิม

ดังนั้นถ้าให้เขาโจมตีแบบนั้นอีกครั้ง พลังก็จะไม่ทรงประสิทธิภาพเหมือนเมื่อครู่แน่นอน

ประสิทธิผลพิเศษชนิดนี้ของการสะสมพลังงานในร่างกายเป็นทักษะที่ได้มาจากกายามังกรหงส์ ด้วยวิธีนี้เขาจะได้รับผลลัพธ์ที่ไม่มีใครคาดคิดไว้ กลายเป็นไพ่ลับอีกใบหนึ่ง

“คัมภีร์หลงเฟิ่งทรงพลังจริงๆ”

แม้แต่มู่เฉินก็ยังชื่นชมในสิ่งนี้ คัมภีร์หลงเฟิ่งสมแล้วที่เป็นทักษะยอดเยี่ยมแท้จริง จากการประเมินของเขาคัมภีร์นี้ต้องอยู่ในระดับเสินทงแน่นอน ซึ่งไม่ธรรมดาแม้จะอยู่ในกลุ่มวิทยายุทธระดับเสินทงด้วย

มู่เฉินชื่นชมก่อนที่จะใจเย็นลง แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีใครท้าทายเขา แต่เขาก็ไม่ตั้งใจที่จะท้าทายคนอื่นด้วยเช่นกัน เขายืนนิ่งบนตำแหน่งตนเองรอผลการคัดออก

สำหรับจงเถิง มู่เฉินรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นพวกยุแยงให้ลู่สุยมาปะทะกับเขา แต่เนื่องจากตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ดีในการจัดการ เขาจึงได้แต่ผลักแผนไปก่อน

แต่ถึงกระนั้นสายตาคมกล้าของมู่เฉินก็ยังจ้องเขม็งไปที่จงเถิง รอบตัวเต็มไปด้วยคลื่นหลิงราวกับเสือดาวที่กำลังจะจ้องตะครุบเหยื่ออัดแน่นด้วยภัยคุกคาม

เมื่อเห็นท่าทางของมู่เฉิน จงเถิงที่ประจันหน้ากับมั่วเฟิงก็รู้สึกอึดอัดใจ เขาต้องแยกสมาธิอยู่ตลอดเพื่อจับตามองมู่เฉิน ป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายเคลื่อนไหวมาประสานพลังกับมั่วเฟิง

ด้วยวิธีนี้สมาธิของจงเถิงจึงค่อนข้างฟุ้งซ่าน สุดท้ายเขาได้แต่กัดฟัน ถอนคลื่นหลิงและถอยออกจากบริเวณของมั่วเฟิง

“พี่มั่วยากสำหรับการต่อสู้ของเราที่จะได้ข้อสรุป ทำไมเราไม่ไปจัดการคนอื่นและรับที่นั่งมาล่ะ?” ขณะที่จงเถิงถอยกลับเสียงก็สะท้อนก้องไปด้วย

มั่วเฟิงจ้องมองจงเถิงอย่างไม่แยแสก่อนที่จะพยักหน้า นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าหากพวกเขายังอยู่ในสถานการณ์ยืนจ้องหน้ากันก็จะไม่เกิดผลลัพธ์ใด หากเขาร่วมมือกับมู่เฉิน พวกเขาอาจทำให้จงเถิงบ้าดีเดือดขึ้นมา แม้แต่พวกเขาก็ต้องจ่ายราคามหาศาลจากการตีโต้

ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาคือการได้ที่นั่งเพื่อเข้าสู่ชั้นสี่

เมื่อจงเถิงเห็นคำตอบของมั่วเฟิงก็รู้สึกโล่งใจในใจ เขาถอยกลับอย่างรวดเร็วออกจากจุดที่มู่เฉินและมั่วเฟิงอยู่ เขาครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนจะเลือกปะทะกับคนที่อ่อนแอกว่า

พอมู่เฉินเห็นจงเถิงไปแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจอีกต่อไป สายตาหันมามองมั่วเฟิงแล้วก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มแสดงความขอบคุณในการช่วยเหลือครั้งนี้

สายตาของมั่วเฟิงเป็นมิตรมากขึ้น คิดว่าการที่มู่เฉินเอาชนะลู่สุย ทำให้มั่วเฟิงมองมู่เฉินในฐานะจอมยุทธ์ที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเขา ดังนั้นจึงไม่ได้มีท่าทางเฉยเมยเหมือนเมื่อก่อน

มั่วเฟิงพยักหน้าให้มู่เฉิน ก่อนที่จะหันหลังกลับและเริ่มเลือกคู่ต่อสู้ของตนเอง

ครืน!

เมื่อทุกคนเลือกคู่ต่อสู้แล้ว ทันใดนั้นคลื่นหลิงก็ระเบิดรุนแรงบนลานเมฆสายฟ้า คลื่นกระแทกกวาดออก ทำให้มิติเกิดการสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไม่หยุด

บนลานเมฆสายฟ้าพลังงานหลิงกวาดหายนะ มีเพียงตรงมู่เฉินเท่านั้นที่ไม่ถูกรบกวน เนื่องจากไม่มีใครกล้าเหยียบเข้ามาในรัศมีพันจั้ง ยามนี้เขาเหมือนผู้ชมที่ดูการต่อสู้ติดขอบ ในเวลาเดียวกันก็บันทึกกระบวนท่าที่ทรงพลังของบางคนไว้ในสมอง

แม้ว่าในชั้นนี้พวกเขาอาจไม่ได้ประลองกัน แต่ก็ยังมีอีกสองชั้นรอพวกเขาอยู่ ใครจะสามารถรับประกันได้ว่าจะไม่มีการลดจำนวนลงในชั้นต่อไป?

ดังนั้นถ้ามีโอกาสเขาต้องพยายามจดจำข้อมูลผู้อื่นเก็บไว้

ภายใต้การสังเกตของมู่เฉิน การประลองบนลานเมฆสายฟ้าก็คงอยู่ชั่วระยะหนึ่ง ก่อนที่แต่ละคู่จะมาถึงจุดสิ้นสุด ผลลัพธ์ก็เป็นไปตามที่คาดไว้

หลังจากมู่เฉินก็เป็นหานซันที่เอาชนะคู่ต่อสู้ได้ที่นั่งที่สองไป

จากนั้นมั่วเฟิงและจงเถิงก็คว้าชัยชนะตามมา

ที่นั่งสุดท้ายตกเป็นของสีคุนที่ก่อนหน้านี้เคยแพ้หานซันที่ด้านนอกเจดีย์ ชายนี้มีความแข็งแกร่งที่น่าตกใจ แม้แต่หานซันยังต้องใช้ทักษะเต็มที่ถึงจะได้รับชัยชนะมา

เมื่อสีคุนได้รับที่นั่งสุดท้ายลานเมฆสายฟ้าขนาดใหญ่ก็เงียบลงอีกครั้ง ร่างทั้งห้ายืนอยู่ ขณะรัศมีไร้ขอบเขตทั้งห้าสายพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าชนกันเปรี้ยงปร้าง

ทว่าการชนกันก็ดำเนินไปเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ก่อนที่ทั้งห้าจะถอนคลื่นพลังพร้อมกัน พวกเขาเหลือบมองกันและกัน จากนั้นก็ไม่ลังเลทะยานออกไปปรากฏตัวบนเบาะทั้งห้า

สายตาพวกเขาพุ่งตรงไปยังมิติด้านหลังลานเมฆสายฟ้าด้วยความโลภ ตรงนั้นเส้นดาวหางจำนวนมากกวาดผ่านราวกับฝนดาวตก

ในแสงเหล่านั้นแก่นหยดสายฟ้ากำลังกะพริบด้วยความแวววาว


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท