หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1056 สู้กับไป๋หมิง
บนบันได
มู่เฉินก้าวขึ้นไปบนลานประลองภายใต้สายตาไม่แยแสของไป๋หมิง เขาไม่ได้ให้ความใส่ใจกับสายตาตกตะลึงที่พุ่งมา ทำเพียงคลี่ยิ้มให้ไป๋หมิง “พวกข้าก็สนใจแก่นมรดกโลหิตวิหคอมตะน่ะ”
ไป๋หมิงโบกพัดขนนกสีฟ้าน้ำแข็งในมือ ไอเย็นเยือกพัดออกมาก่อนที่จะมองไปที่มู่เฉินแล้วก็พยักหน้า “ละครอย่างเดียวไม่มีอะไรน่าดูก็จริง ในเมื่อมีตัวตลกอยากเพิ่มความสนุก ข้าก็ยินดีที่จะเล่นด้วยสักหน่อย”
มุมปากของเขายกขึ้นด้วยความดูถูก คำพูดรุนแรงใส่ลงไปไม่ไว้หน้าให้กับมู่เฉิน
เห็นได้ชัดว่าตั้งแต่เริ่มเขาก็ไม่เห็นมู่เฉินเป็นคนที่อยู่ในระดับเดียวกับเขา
เมื่อได้ยินคำพูดดูถูกเหยียดหยาม แววเกรี้ยวกราดก็วูบไหวในดวงตาของจิ่วโยว ขณะที่มั่วหลิงเดือดดาล ทว่าแม้พวกนางจะโกรธ แต่ก็ไม่พูดอะไรออกมาสักคำ เพราะพวกนางกังวลเต็มหัวใจ ถึงมู่เฉินจะประสบความสำเร็จในการเข้าสู่ระดับจื้อจุนขั้นเจ็ด แต่ถ้าเขาต่อสู้กับไป๋หมิง ใครจะชนะก็ยังไม่แน่นอน
ตรงกันข้ามกับความโกรธของพวกนาง มู่เฉินไม่ได้มีริ้วอารมณ์ใดๆ บนใบหน้า “ข้าว่ายังเร็วไปที่จะตัดสินว่าใครเป็นตัวตลก”
รอยเยาะเย้ยที่มุมปากของไป๋หมิงลึกขึ้นเรื่อยๆ แต่เขาก็ไม่ใส่ใจที่จะลับฝีปากกับมู่เฉิน เขาเพียงคิดว่ามู่เฉินกำลังดิ้นรนก่อนตาย เขาจึงโบกพัดขนนกเบาๆ ขณะที่หลับตาลง
ทว่าเมื่อเขาหลับตา ทุกคนก็สามารถสัมผัสได้ถึงจิตสังหารเย็นเยือกรวมตัวบนร่างไป๋หมิง
จินตนาการได้ว่าเมื่อเขาเริ่มโจมตี กระบวนท่าจะสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นขนาดไหน เขาจะต้องใช้ความเร็วเกินพิกัด เพื่อเหยียบอีกฝ่ายไว้ใต้ฝ่าเท้าราวกับสุนัขตายซากให้เร็วที่สุด ในเวลานั้นเขาจะดูว่ามู่เฉินจะยังคงหน้านิ่งได้อยู่หรือไม่
“แกรนหาที่ตาย!”
เมื่อไป๋หมิงหลับตาลง ไป๋ปิงก็แสยะยิ้มขณะมองไปที่มู่เฉินอย่างอาฆาตมาดร้าย เขาไม่คิดเลยว่าไอ้โง่นี้ยังกล้าไปท้าทายไป๋หมิงในขณะนี้
ถ้าไอ้บ้านี่คุกเข่าลงขอร้องและส่งมอบสมบัติที่เกี่ยวข้องกับรัศมีหงส์ฟ้าแท้จริงให้ บางทีไป๋หมิงอาจจะให้หน้ากับเผ่าวิหคโลกันตร์และปล่อยพวกเขาไป แต่ตอนนี้ทุกอย่างสายเกินแก้ ไอ้โง่นั่นทำให้ไป๋หมิงโกรธอย่างสมบูรณ์ ดังนั้นไป๋ปิงทำนายได้ว่า ณ แท่นบูชาแห่งนี้จะเป็นสถานที่ฝังศพของมนุษย์ที่ชื่อมู่เฉิน
ที่ด้านหลังฉื่อหงหวู่ก็มุ่นคิ้วก่อนที่จะส่ายหัว การกระทำของมู่เฉินในการยั่วยุไป๋หมิงช่างเป็นเรื่องโง่เขลานักในมุมมองของนาง แต่ในเมื่อเกิดขึ้นแล้วคำพูดใดก็ไร้ประโยชน์ ตอนนี้นางทำได้เพียงคิดว่าไป๋หมิงจะปล่อยมู่เฉินไปหลังจากได้รับสิ่งที่ต้องการ
กลุ่มอื่นก็ไม่ได้มองในแง่ดี พวกเขาจ้องมองมู่เฉินราวกับว่ามองคนตาย
“เฮ้ เจ้ามนุษย์กล้าหาญจริงๆ ถ้าเจ้าสามารถเอาชีวิตรอดจากน้ำมือของไป๋หมิงได้ ข้ายินดีที่จะปกป้องชีวิตเจ้าให้” ผู้นำร่างผอมบางของเผ่าวานรทะลุฟ้าหัวเราะด้วยดวงตายิบหยี
เขาเองก็ไม่ชอบใจนิสัยหยิ่งผยองของไป๋หมิง ดังนั้นเมื่อเขาเห็นว่าไม่มีใครกล้าท้าทายไป๋หมิงก่อนหน้า เขาก็รู้สึกไม่พอใจ แต่ไม่คิดว่ามู่เฉินจะหักหน้าของไป๋หมิง ซึ่งทำให้เขาค่อนข้างประหลาดใจ ดังนั้นจึงพูดประโยคดังกล่าวขึ้นมา แม้ว่าไป๋หมิงจะทรงพลัง แต่เขาก็ไม่กลัว
แต่จากคำพูด เขาก็ไม่ได้มองในแง่ดีเกี่ยวกับการท้าทายของมู่เฉินที่มีต่อไป๋หมิง
หลังจากที่หัวเราะออกเขาก็ไม่ได้พูดอะไรอีก ร่างขยับวูบไหวก่อนที่จะปรากฏขึ้นอีกมุมหนึ่งบนลานที่จะนำไปสู่รูปปั้นอสูรไร้พิรุณโบราณ ไม้พลองกระแทกไปบนพื้นทำเอาสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไปหมด
“ไอ้ไรนกเผ่ากระเรียนเทพสวรรค์ อยากได้แก่นมรดกโลหิตนี้ก็มาผ่านข้าไปให้ได้ก่อนสิ!” เขายิ้มพร้อมกับคำพูดจองหองที่ไม่เข้ากับเงาร่างผอมบางสักนิด
“ข้าอยากชิมพลังของเผ่าวานรทะลุฟ้ามานานแล้ว!”
ผู้นำกลุ่มกระเรียนเทพสวรรค์หัวเราะเบาๆ ปลายเท้าแตะลงบนพื้นก่อนที่ร่างจะทะยานไปเบื้องหน้าลู่โหว กำปั้นกำเข้าหากันแน่นกระบี่ยาวสีแดงก็ปรากฏในพริบตา กระบี่ยาวมีรูปร่างคล้ายจงอยปากกระเรียน กลิ่นไหลเอื่อยออกมาซึ่งบรรจุไว้ด้วยพิษร้ายแรง
เมื่อเผ่าวานรทะลุฟ้าเผชิญหน้ากับเผ่ากระเรียนเทพสวรรค์ จงชิงเฟิงก็ยิ้มจ้องมองไปที่ข่งหลิง “เทพธิดาข่งหลิง ผู้ชนะระหว่างเราจะได้รับแก่นมรดกโลหิตปักษาวิญญาณโบราณ เจ้าว่ายังไง?”
“นั่นคือสิ่งที่ข้าต้องการ” ข่งหลิงพูดเบาๆ
เมื่อทั้งสองเผชิญหน้ากัน ประกายไฟก็แล่นแปลบปลาบออกมาจากดวงตาพวกเขา ทั้งคู่เป็นจอมยุทธ์ชั้นสูงในหมู่คนรุ่นใหม่ของเผ่าพันธุ์ ในเมื่อมาพบกันที่นี่ พวกเขาก็ต้องทำให้ดีที่สุดเพื่อดูว่าใครจะแน่กว่ากัน
วาบ!
ทั้งสองคนก้าวออกไปปรากฏตัวที่ลานประลองอีกแห่งหนึ่ง เมื่อยืนเผชิญหน้ากันคลื่นหลิงไร้ขอบเขตก็พวยพุ่งออกมาจากร่างกาย
ตอนนี้จอมยุทธ์ทั้งหกยืนเผชิญหน้ากันบนลานประลองทั้งสามแห่ง รัศมีเหมือนสามารถกลืนกินฟ้าดินเลยทีเดียว ขณะที่คลื่นพลังไร้ขอบเขตกวาดไปทั่ว ทุกคนรู้ว่าการต่อสู้ดุเดือดกำลังจะเกิดขึ้นแล้ว
แน่นอนว่าการต่อสู้ดุเดือดที่ว่าไม่รวมคู่มู่เฉินกับไป๋หมิง เพราะในมุมมองหลายคนไม่มีความสงสัยในผลลัพธ์เลย
บนลานประลองที่นำไปสู่รูปปั้นหินวิหคอมตะโบราณ ไป๋หมิงค่อยๆ ลืมตามองไปที่มู่เฉินอย่างไม่แยแส เขาไม่ได้พูดอะไรแต่ทุกคนก็สามารถสัมผัสถึงกระแสน้ำแข็งสีฟ้าขนาดใหญ่กลิ้งออกมา ก่อร่างเป็นพายุทอร์นาโดเย็นเยือกโอบล้อมร่างเขาไว้
มองไปที่ไป๋หมิงที่มีรัศมีน่าตกใจ สายตามู่เฉินก็เคร่งเครียดลง แม้ว่าไป๋หมิงจะน่ารังเกียจ แต่ก็ต้องยอมรับว่าอีกฝ่ายน่าเกรงขามมาก ในฐานะอัจฉริยะเผ่าหงส์ฟ้าน้ำแข็งเขามีคุณสมบัติที่จะหยิ่งจริงๆ
“ข้าจะแช่แข็งเจ้าเป็นรูปปั้นน้ำแข็ง ให้เจ้ายืนอยู่ในสุสานสักการะเทพตลอดกาล”
เสียงไม่แยแสของไป๋หมิงดังก้อง อึดใจเขาก็กระทืบเท้าลงไป ลอนคลื่นเย็นเยือกที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่ากวาดออก ทันใดนั้นอุณหภูมิระหว่างฟ้าดินก็ลดฮวบลง ชั้นน้ำแข็งหนากระจายออกไปทั่วลานประลอง ราวกับมวลไอเย็นเยือกพุ่งเข้ากลืนกินมู่เฉิน
ฮึ่ม!
แสงสีทองพร่างพราวระเบิดออกจากร่างมู่เฉิน จิตวิญญาณมังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริงบนพื้นผิวก็บินฉวัดเฉวียนไปทั่ว ทั้งสองเคลื่อนไปที่แขนขวาจากนั้นเขาก็เหวี่ยงหมัดออกไป
ตู้ม!
หมัดนี้ทำให้มิติเบื้องหน้ายุบตัวลง พลังอันน่าสะพรึงกลัวที่ไม่สามารถอธิบายกวาดออกปะทะกับชั้นน้ำแข็ง
ตึง!
พลังงานสองสายปะทะกันอย่างดุเดือดเลือดพล่าน ทำให้ทั้งลานประลองโยกคลอน มู่เฉินถอยห่างออกไปหลายก้าวทิ้งรอยลึกยาวไว้บนพื้น
เมื่อก้าวถอยไปแปดก้าว แสงเย็นเยือกก็วูบไหวในม่านตาสีดำของมู่เฉิน เขากำหมัดชกออกไปบนชั้นน้ำแข็งอีกครั้ง
แคร็ก!
รอยแตกที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่ากระจายออกไปจากกำปั้นของมู่เฉิน ในเวลาไม่กี่อึดใจชั้นน้ำแข็งขนาดใหญ่ก็ระเบิดออก มวลไอเย็นสุดขั้วที่สามารถกลืนร่างจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดระยะปลายสุดได้ก็
แตกกระจายเป็นเกล็ดน้ำแข็งบนท้องฟ้า
เมื่อทุกคนเห็นฉากนี้ ดวงตาก็หดลงพลางแอบเดาะลิ้น พวกเขาบอกได้ว่ากระทั่งจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดก็รับหมัดของมู่เฉินไม่ได้
เกล็ดน้ำแข็งกระจายไปทั่ว ร่างมู่เฉินพลุ่งพล่านด้วยแสงสีทอง ชัดว่าเร้ากายามังกรหงส์ถึงขีดสุดแล้ว ทุกการเคลื่อนไหวก็เหมือนมีพลังราวภูเขาไฟมารวมกัน
“เหอะ บ้าพลังจริงๆ”
ร่างของไป๋หมิงปรากฏขึ้นบนท้องฟ้าขณะที่จ้องมองเกล็ดน้ำแข็งที่แตกสลายก็ยิ้มอย่างเย็นชา “น้ำแข็งของข้าทำลายไม่ได้ง่ายๆ หรอก”
พูดจบก็โบกมือ เกล็ดน้ำแข็งที่กระจายไปทั่วตกลงมาราวกับลูกธนูนับหมื่นยิงไปทางมู่เฉิน
มือของมู่เฉินประสานเข้าด้วยกัน จิตวิญญาณมังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริงพุ่งออกมาจากร่างเขา ก่อตัวเป็นปราการมังกรหงส์ล้อมรอบร่างเขาไว้ ไม่ว่าน้ำแข็งจะกระหน่ำมาทางใด ก็ไม่สามารถผ่าแนวป้องกันได้
เมื่อไป๋หมิงเห็นภาพนี้บนท้องฟ้า แววตาก็เย็นเยือกลง ความแข็งแกร่งของพลังกายมู่เฉินค่อนข้างเกินความคาดหมายของเขา การโจมตีของเขาก่อนหน้าเป็นสิ่งที่สามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดระยะปลายสุดได้ แต่มู่เฉินกลับต้านรับไว้ได้
ชายคนนี้มีความสามารถพอที่จะท้าทายเขาแท้จริง แต่มู่เฉินคิดว่าแค่นี้เพียงพอหรือ?
ไป๋หมิงยิ้มเยาะเย้ยขณะที่วาดตราประทับด้วยมือข้างเดียว ไอเย็นค่อยๆ กลั่นตัวในดวงตาของเขา
ในเมื่อเป็นแบบนี้ เจ้าก็ทำให้ข้าได้สนุกซะหน่อยแล้ว
ตู้ม!
ราวกับการปะทุของภูเขาไฟ คลื่นหลิงน่าสะพรึงกลัวพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า ทำให้ท้องฟ้าเย็นยะเยือกลง เกล็ดน้ำแข็งนับไม่ถ้วนรวมตัวกันอยู่เบื้องบน
ไป๋หมิงยืนอยู่บนท้องฟ้ามองลงไปที่มู่เฉินพร้อมรอยยิ้มเย้ยหยันแขวนที่มุมปาก แรงกดดันคลื่นหลิงทรงพลังที่เขาซัดออกมา ทำให้จอมยุทธ์หลายคนที่นี่มีสีหน้าเปลี่ยนไป
นั่นเป็นเพราะคลื่นหลิงนี้เกินขอบเขตของระดับจื้อจุนขั้นเจ็ดไปไกลแล้ว
นี่เป็นระดับจื้อจุนขั้นแปดแท้จริง!
คลื่นหลิงไร้ขอบเขตกวาดหายนะไปทั่วขอบฟ้าราวกับพายุ ไป๋หมิงกำหมัดแน่น พลังงานเยือกเย็นไหลผ่าน ไม่กี่อึดใจก็ก่อร่างเป็นภูเขาน้ำแข็งหมื่นจั้ง ที่มีรูปร่างเหมือนหงส์ฟ้าน้ำแข็งสยายปีกซึ่งปกคลุมไปด้วยลวดลายลึกซึ้ง ลวดลายเหล่านี้เปล่งประกายแวววาว กลืนกินคลื่นหลิงระหว่างฟ้าดินอย่างตะกละตะกลาม
เมื่อทุกคนเห็นภูเขาหงส์ฟ้าน้ำแข็งก็รู้สึกว่าหนังหัวลุกชันไปหมด พวกเขารู้สึกชัดเจนว่าการโจมตีของไป๋หมิงทรงพลังเพียงใด เขาไม่คิดจะมอบเส้นทางรอดให้มู่เฉิน เขาดึงพลังระดับจื้อจุนขั้นแปดทันทีที่เริ่มออกกระบวนท่า
ทีนี้มู่เฉินคงจะถูกกระทืบจนถึงจุดที่ไม่สามารถพลิกสถานการณ์ได้แล้ว
ไป๋หมิงสาดสายตาไม่แยแสราวกับเทพเซียน จากนั้นก็พลิกฝ่ามือ ทำให้ภูเขาหงส์ฟ้าน้ำแข็งพุ่งลงมาราวกับอุกกาบาตซัดใส่มู่เฉินทันที
“คัมภีร์หานหวง ภูเขาหงส์ฟ้าสยบหมื่นอสูร!”