หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – ตอนที่ 1062

ตอนที่ 1062

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1062 ใกล้แค่เอื้อม
แท่นบูชาขนาดใหญ่เงียบงัน

ทุกคนตกตะลึงเมื่อมองไปที่ร่างชายหนุ่มที่ยืนอยู่บนลานประลอง แม้ว่าคลื่นหลิงที่อยู่รอบตัวเขาจะลดน้อยลง แต่เขาก็ยังคงมีสีหน้าสงบนิ่ง ม่านตาสีดำสนิทประหนึ่งเหวลึกที่ทำให้ผู้คนรู้สึกไม่สามารถหยั่งรู้ได้

ในขณะนี้ทุกคนที่นี่ต่างรู้สึกนับถือมนุษย์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดคนนี้

ความนับถือนี้มาจากความแข็งแกร่งที่ทรงพลังของเขา

นั่นเพราะตั้งแต่เริ่มต้นไม่มีใครมองในแง่ดีเกี่ยวกับการต่อสู้ระหว่างมู่เฉินกับไป๋หมิง ดังนั้นเมื่อพวกเขาเห็นว่ามู่เฉินท้าทายไป๋หมิง พวกเขาจึงมองดูเขาด้วยสายตาเวทนา

แต่ตอนนี้ความเป็นจริงบอกพวกเขาว่ามู่เฉินไม่ได้หยิ่งยโสและโง่เขลา เขามีคุณสมบัติที่จะทำเช่นนั้น แค่ในตอนเริ่มต้นพวกเขาตาบอดไม่สามารถมองเห็นได้เอง

“ชายคนนี้ยากหยั่งถึงอย่างแท้จริง”

ความเงียบดำเนินไปเป็นเวลานานก่อนที่ใครบางคนจะถอนหายใจด้วยเสียงต่ำอย่างอดไม่ได้ ด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ด เขาสามารถเอาชนะไป๋หมิงที่มีขุมพลังจื้อจุนขั้นแปดและครอบครองอาวุธเสมือนมหสวรรค์ แน่นอนว่าที่สำคัญที่สุดคือมู่เฉินครอบครองวิทยายุทธระดับเสินทงด้วย

ไพ่ตายต่างๆ ของเขาทำให้พวกเขาเข้าใจว่าทำไมมู่เฉินถึงไม่กลัวเมื่อเผชิญหน้ากับไป๋หมิง

เทียบกับทุกคนที่อุทานด้วยความตกใจ จอมยุทธ์เผ่าหงส์ฟ้าก็อ้าปากตาค้างไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งไป๋ปิง เขามองหงส์ฟ้าตัวใหญ่ที่น่าสมเพชที่ถูกปกคลุมไปด้วยเลือดอย่างตะลึงงัน ท่าทางราวกับไม่อยากจะเชื่อว่านี่เป็นเรื่องจริง

อัจฉริยะของเผ่าหงส์ฟ้าน้ำแข็งพ่ายแพ้อย่างนี้เหรอ?

ยิ่งกว่านั้นแม้จะงัดกลยุทธ์ทุกประเภทก็พ่ายแพ้ในมือมนุษย์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดเนี่ยนะ?

ที่ด้านข้างฉื่อหงหวู่ก็อ้าปากค้างด้วยความไม่เชื่อเต็มใบหน้า พักใหญ่นางก็ขยี้ตา สุดท้ายถอนหายใจพูดพึมพำว่า “ไป๋หมิงแพ้”

นางรู้ว่าไป๋หมิงถึงที่แล้ว มีหลายกลุ่มที่ร่วมเป็นสักขีพยานในการต่อสู้ หากเรื่องนี้ส่งกลับไปที่เผ่าหงส์ฟ้าน้ำแข็ง ชื่อเสียงของไป๋หมิงจะต้องถูกกระทบครั้งใหญ่ ผู้อาวุโสทุกคนในเผ่าหงส์ฟ้าต่างมีความภาคภูมิใจอย่างยิ่ง หากพวกเขารู้ว่าไป๋หมิงพ่ายแพ้ในมือของมนุษย์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ด พวกเขาจะต้องผิดหวังอย่างมาก แม้แต่ทรัพยากรในการเพาะบ่มพลังที่มอบให้ก็จะถูกลดทอน

เส้นทางในอนาคตของไป๋หมิงน่าเป็นห่วงแท้จริง

ขณะที่ทุกคนต่างตกตะลึงกับฉากเบื้องหน้า จิ่วโยวเป็นคนแรกที่ฟื้นสติจ้องมองไปที่มู่เฉินที่คลื่นหลิงลดลง ก่อนจะส่งสัญญาณทางสายตาให้กับมั่วเฟิงและพรรคพวก ทั้งหมดทะยานออกเข้าไปในลานประลองเพื่อปกป้องมู่เฉินเอาไว้

ยามนี้ชัดว่ามู่เฉินเสียพลังไปมาก ดังนั้นหากมีคนเคลื่อนไหวจัดการก็อาจทำให้เกิดปัญหา พวกเขาจึงต้องป้องกันไม่ให้เกิดเรื่องขึ้น

ทว่าความกังวลของจิ่วโยวและพรรคพวกค่อนข้างเกินเลยไปหน่อย ขณะนี้ทุกคนมองมู่เฉินด้วยความเคารพนับถือและความเคร่งขรึมในสายตา แม้ว่าพวกเขาจะรู้ว่ามู่เฉินเสียพลังไปมาก อาจเหลือไม่ถึงสามส่วน แต่ก็ไม่มีใครกล้าที่จะคิดอะไรหลังจากได้เห็นชุดหมัดบ้าคลั่งนั่น พวกเขากลัวว่าจะทำให้มู่เฉินโกรธ เมื่อไรที่เขาปล่อยหมัดอีกครั้งก็จะผลักพวกเขาไปสู่ความตาย ซึ่งพวกเขาคงได้แต่เสียใจอย่างมาก

มู่เฉินมองพรรคพวกก่อนที่จะถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอกแล้วนั่งลงปรับคลื่นพลังงานในร่างกายให้มีเสถียรภาพ อันที่จริงเขาก็ค่อนข้างตกใจที่ว่าตนเองสามารถใช้หมัดปีศาจพลีชีพของแท้ได้

แม้ว่าช่วงนี้เขาจะพยายามทำความเข้าใจถึงเจตนาการฆ่าที่โหดร้ายของหมัดปีศาจ แต่เขาก็ไม่สามารถใช้พลังนี้ได้อย่างสมบูรณ์ แต่เมื่อครู่เขารู้สึกถึงการคุกคามรุนแรงจากการโจมตีที่ทรงพลังของไป๋หมิง ภายใต้การคุกคามนั้นได้ปลุกเร้าปัจจัยที่ไม่ยอมแพ้ ดังนั้นเขาจึงล้มเลิกความคิดที่จะหลีกเลี่ยง เลือกที่จะเผชิญหน้าโดยตรง ทว่าการค้นหาความตายในลักษณะนี้ กลับทำให้เชื่อมโยงกับรัศมีหมัดปีศาจ ซึ่งทำให้เขาประสบความสำเร็จได้ในท้ายสุด

“ไม่แสวงหาชีวิตแต่แสวงหาความตาย เพื่อชีวิตหลังจากนั้นเรอะ” มู่เฉินพึมพำกับตัวเอง เขาเกิดความสุขในใจบางเบา นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าหลังจากเหตุการณ์วันนี้ เขาก็ได้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับหมัดปีศาจพลีชีพ ในอนาคตเพียงแค่ทำให้คุ้นชิน ต่อไปเมื่อเขาต้องการที่จะใช้เพลงหมัดนี้ เขาก็ไม่จำเป็นต้องถูกบังคับให้สิ้นหวังเช่นนี้อีกแล้ว

วิทยายุทธระดับเสินทงเกินขอบเขตจากระดับเสินซู่แท้จริง เพียงแค่รัศมีเพียงอย่างเดียวก็สามารถข่มศัตรูได้

ขณะที่มู่เฉินกำลังรักษาระดับพลังงานให้มั่นคง ไป๋ปิงและคนอื่นๆ ก็หายจากอาการตกตะลึง พวกเขามองไปที่มู่เฉินด้วยความหวาดกลัว ก่อนที่จะกระโจนลงจากแท่นบูชาเข้าสู่ทะเลสาบเลือด ยามนี้ไป๋หมิงกลับสู่ร่างมนุษย์ นอนพังพาบด้วยดวงตาปิดสนิทภายในแอ่งเลือดดูน่าสมเพชอย่างยิ่ง ไม่รู้ว่ายังมีชีวิตอยู่หรือไม่ แต่เห็นได้ชัดว่าเขาได้รับบาดเจ็บสาหัส

พวกไป๋ปิงรีบประคองไป๋หมิงขึ้น ก่อนจะพากลับไปที่แท่นบูชา แต่ในเวลานี้พวกเขาไม่มีความกล้าพอที่จะเฉียดไปใกล้มู่เฉิน แม้พวกเขาจะมาจากเผ่าหงส์ฟ้าและมีความภาคภูมิใจอย่างมาก แต่ความภาคภูมิใจทุกอย่างก็สู้หมัดแข็งแกร่งนั้นไม่ได้หรอก ถ้าพวกเขาไม่อยากทำให้ตัวเองขายหน้า เป็นการดีที่สุดที่จะไม่ไปยั่วแหย่มู่เฉินอีก

สำหรับแก่นมรดกโลหิตวิหคอมตะโบราณ พวกเขาคงไม่มีโชควาสนาแล้ว

แม้ว่าพวกเขาจะมีคนจำนวนมากกว่า หากพวกเขากลุ้มรุมเข้าไปพร้อมกัน บางทีนั่นอาจเป็นภัยคุกคามต่อกลุ่มมู่เฉิน แต่เมื่อไป๋ปิงเหลือบมองพรรคพวกที่มีใบหน้าซีดเผือด เขาก็รู้ว่าทุกคนหวาดกลัวในใจ ต่อให้ออกไปสู้ก็ไร้ประโยชน์

ครั้งนี้พวกเขาถูกปราบปรามโดยมู่เฉินอย่างสมบูรณ์

หลังจากพาไป๋หมิงซึ่งได้รับบาดเจ็บหนักไปแล้ว ก็ไม่มีใครสังเกตเห็นว่าทะเลสาบเลือดหงส์ฟ้าซึ่งถูกทิ้งไว้โดยไป๋หมิงที่อยู่ด้านนอกแท่นบูชาค่อยๆ ซึมลงบนพื้นสีดำอย่างเงียบๆ หลังจากดูดซับเลือดสดความมืดบนพื้นดินก็มืดมิดผิดแผกไปมากขึ้น

มู่เฉินปรับเสถียรภาพร่างกายซึ่งใช้เวลาไปสิบกว่านาที ก่อนที่เขาจะลืมตาขึ้น ความผันผวนของพลังงานที่ลดน้อยลงรอบตัวได้รับการฟื้นฟูไม่น้อย ความแวววาวควบแน่นในรูม่านตาสีดำสนิทอีกครั้ง

จากนั้นเขาก็สะบัดแขนเสื้อยืนขึ้น เมื่อร่างตั้งมั่นก็มีสายตามากมายมองมาด้วยความเคารพ

มู่เฉินมองไปรอบๆ เข้าใจว่าจะไม่มีใครกล้ายั่วยุเขาหลังจากการต่อสู้ครั้งนี้ หากไม่มีอะไรที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้น เขาก็เป็นผู้ได้รับแก่นมรดกโลหิตวิหคอมตะไป

ทันใดนั้นสายตาของเขาก็พุ่งเข้าหาเผ่าหงส์ฟ้า เมื่อทั้งกลุ่มเห็นว่ามู่เฉินเพ่งสายตามา พวกเขาก็ตื่นระวังขึ้นมาทันที แต่ก็ไม่มีความกลัวพลุ่งพล่านในสายตามาก

ถึงอย่างไรพวกเขาก็มาจากเผ่าหงส์ฟ้า แม้ว่าจะเป็นสายย่อย พวกเขาก็ยังคงภาคภูมิใจ พวกเขารู้ว่าตอนนี้มู่เฉินมีพลังเพียงใด แต่ก็ไม่กังวลว่าอีกฝ่ายจะฆ่าล้างบางพวกเขาทั้งกลุ่ม

เผ่าหงส์ฟ้าไม่มีความขุ่นข้องใจต่อมู่เฉินในการเอาชนะไป๋หมิง แต่ถ้ามู่เฉินสังหารพวกเขาทั้งหมดที่นี่ ก็เป็นเขาเองที่จะสร้างความหมองใจให้กับเผ่าหงส์ฟ้า ผลที่ตามมาไม่ใช่สิ่งที่เขาหรือเผ่าวิหคโลกันตร์รับได้

มู่เฉินก็รู้อย่างชัดเจนเกี่ยวกับเรื่องนี้ ดังนั้นเขาจึงไม่ได้บีบคั้นอีกต่อไป เพียงแค่จ้องมองอย่างเฉยเมยไปที่กลุ่มไป๋ปิงพร้อมกับเตือนด้วยสายตา

เผ่าหงส์ฟ้าได้แต่ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันและกลืนความไม่พอใจลงไปในท้อง ไม่กล้าที่จะโต้เถียงกับมู่เฉิน

เมื่อมู่เฉินเห็นการตอบสนองของพวกเขาก็ไม่อยากจะเสียเวลาไปอีก สายตาเขาเบนไปยังอีกสองลานประลอง การต่อสู้ดุเดือดสิ้นสุดลงแล้วเช่นกัน

อีกสองลานประลอง ทั้งสี่คนล้วนเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นแปด ดังนั้นความรุนแรงของการต่อสู้ก็ทำให้คนอื่นๆ ต้องเพ่งสายตาไปมองด้วยเช่นกัน

แต่การต่อสู้ของพวกเขาไม่เลือดเดือดเหมือนการต่อสู้ระหว่างมู่เฉินและไป๋หมิง เห็นได้ชัดว่าพวกเขาควบคุมตนเองไม่ต้องการเสี่ยงชีวิตเหมือนที่มู่เฉินทำ

ดังนั้นผู้ชนะทั้งสองก็คือจงชิงเฟิงเผ่าคุนเผิงและลู่โหวเผ่าวานรทะลุฟ้า พวกเขาเอาชนะได้แบบเส้นยาแดงผ่าแปด

แต่ในสายตาของมู่เฉิน ข่งหลิงเผ่านกยูงเก้าสีไม่ได้อ่อนแอกว่าจงชิงเฟิง เหตุผลที่จงชิงเฟิงคว้าชัยได้ต้องมีข้อตกลงระหว่างพวกเขาแน่นอน มิฉะนั้นจงชิงเฟิงไม่ใช่คนหัวเราะคนสุดท้ายแน่

แต่เขาก็ไม่สนใจ เขาไม่ได้โลภและเป้าหมายของเขามีเพียงแก่นมรดกโลหิตวิหคอมตะโบราณ ดังนั้นสำหรับแก่นมรดกอีกสองชิ้น เขาไม่สนใจว่าใครเป็นคนได้ไป

เมื่อการต่อสู้ได้ข้อสรุป สายตาของพวกเขาก็จ้องมองมาที่มู่เฉิน แต่ละคนมีแววแปลกประหลาดอยู่ในดวงตา พวกเขาเห็นฉากที่มู่เฉินเอาชนะไป๋หมิงเช่นกัน ดังนั้นจึงตกตะลึงอยู่ในใจ

พลังของพวกเขาไม่ด้อยไปกว่าไป๋หมิง หากพวกเขาเป็นมู่เฉินก็เป็นไปไม่ได้ที่จะเอาชนะไป๋หมิง เว้นแต่พวกเขาจะประลองด้วยเดิมพันชีวิต

แต่มู่เฉินสามารถเอาชนะไป๋หมิงได้ ซ้ำยังทำให้บาดเจ็บหนัก นั่นหมายความว่าถ้ามู่เฉินเผชิญหน้ากับพวกเขาก็มีสิทธิ์ลงเอยด้วยผลลัพธ์เดียวกันกับไป๋หมิง

แค่คิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ใบหน้าของข่งหลิง จงชิงเฟิงและคนอื่นๆ ก็เคร่งเครียดลงหลายส่วนขณะที่มองมู่เฉินโดยไม่มีแววดูถูกเหยียดหยามเหมือนที่เคยมีมา เพราะถูกแทนที่ด้วยความหวาดระแวงของคนในระดับเดียวกัน

“มู่เฉินไม่ธรรมดา ตอนนั้นที่จงเถิงส่งข้อความมา เขาบอกแค่ว่ามู่เฉินสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดระยะปลายสุด แต่ตอนนี้ขั้นแปดยังพ่ายแพ้ต่อเขา การพัฒนาของเขาน่าทึ่งมาก” จงชิงเฟิงมองไปที่มู่เฉิน เขาพับเก็บเรื่องของจงเถิงลงอย่างสมบูรณ์

ดีที่สุดที่เขาจะหลีกเลี่ยงการสร้างศัตรูเช่นนี้

ทว่ามู่เฉินไม่ได้ใส่ใจกับความคิดของพวกเขา เมื่อเขาเห็นว่าตัดสินใจผู้ชนะเรียบร้อยแล้ว เขาก็หันหลังกลับมาจ้องมองวิหคอมตะโบราณที่ปลายบันไดหิน

ยามนี้รูปปั้นหินวิหคอมตะโบราณกำลังเปล่งประกายราวกับเรียกผู้ชนะ

มู่เฉินสูดหายใจลึกพยักหน้าเบาๆ ไปให้จิ่วโยว จากนั้นร่างก็เคลื่อนออกไปประหนึ่งสายฟ้าพุ่งไปในทิศทางของรูปปั้นหิน

แก่นมรดกโลหิตวิหคอมตะโบราณอยู่แค่เอื้อมแล้ว

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler ฟรี ได้ที่ novel-fast 


เรื่องย่อ

โดย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler บางส่วนของนิยาย

บทนำ

หนึ่งในใต้หล้าจากปลายปากกาของเทียนฉานถูโต้ว กล่าวถึงมู่เฉิน เด็กหนุ่มจากสำนักศึกษาเป่ยหลิง ผู้ที่ได้รับเลือกให้เข้าฝึกในสงครามเทพยุทธ์ซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าคนเก่งกาจ ทว่า… อยู่ดีๆ เขากลับถูกขับไล่ออกมาด้วยเหตุผลที่ไม่มีใครล่วงรู้ มู่เฉินพยายามฝึกหนักอีกครั้งเพื่อจะพาตัวเองกลับเข้าไปในเส้นทางแห่งนี้ เขาจำเป็นต้องใช้สิ่งนี้เป็นใบเบิกทางเพื่อเข้าศึกษาที่ภาคเบญจภาคี เพื่อ… ปกป้องหญิงสาวที่ตนรัก และยิ่งกว่านั้นคือเพื่อค้นหาเบาะแสของมารดาที่หายสาบสูญไป

‘มหาพันภพ’ เป็นที่ที่มิติทั้งหลายเชื่อมต่อกันในระบบสุริยจักรวาล สถานที่แห่งนี้มีขั้วอำนาจมากมายอาศัยอยู่ จักรพรรดิที่มาจากพิภพเขตล่างต่างเป็นตำนานที่ผู้อื่นปรารถนาขึ้นไปบนเส้นทางแห่งกฎของโลกไร้ขอบเขตนี้

แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว เทพจักรพรรดิอัคคีควบคุมเปลวเพลิงกวาดข้ามสวรรค์

แคว้นหวู เทพจักรพรรดิสงครามผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำให้ทั้งสวรรค์และโลกหวาดกลัว

ตำหนักซีเทียน จักรพรรดิสัประยุทธ์ที่แข็งแกร่งไม่มีผู้ใดเทียบเท่า ในเนินเขารกร้างทางเหนือ ดินแดนวั้นมู่ของจักรพรรดิอมตะครองเหนือภพ

เด็กหนุ่มจากมณฑลเป่ยหลิงออกท่องยุทธภพกับวิหคโลกันตร์คู่ใจ มุ่งหน้าสู่โลกภายนอกที่เต็มไปด้วยสีสัน ใครกันที่จะเป็นผู้กุมชะตากรรมในเส้นทางการเป็นหนึ่ง?

ในมหาพันภพที่สงครามนับหมื่นอุบัติ ข้าคือผู้กุมชะตาฟ้าดิน…

เรื่องย่อ

เมื่อคำพูดของมู่เฉินกระจายออกไป ไม่เพียงแต่จะไม่มีการตอบสนอง แม้แต่ด้านนอกเจดีย์ก็ถูกห่อหุ้มด้วยบรรยากาศราวกับป่าช้า…

ทุกคนตกตะลึงไปกับฉากนี้ พวกเขาจ้องมองจุดที่ลู่สุยหายตัวไป ราวกับว่ายังไม่สามารถฟื้นจากอาการตะลึงงันที่เกิดขึ้นได้

ก่อนหน้าเมื่อลู่สุยออกกระบวนท่าที่น่าสะพรึง ผู้คนส่วนใหญ่ก็คิดว่าผลลัพธ์ของการต่อสู้ได้ถูกกำหนดแล้ว ทว่าพวกเขาไม่คิดเลยว่ามู่เฉินจะพลิกสถานการณ์ได้อีกครั้ง เตะลู่สุยที่เหมือนจะคว้าชัยชนะออกไป

ทุกคนตะลึงไปพักใหญ่ ก่อนที่พวกเขาจะหลุดออกจากอาการได้ สายตาเคร่งเครียดลง การประลองกันครั้งนี้มู่เฉินไม่ได้ใช้ค่ายกล แต่เขาก็สามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดอย่างลู่สุยได้ด้วยความแข็งแกร่งที่อยู่ในขั้นหกเท่านั้น แม้ว่าจะมีผลจากลู่สุยประมาทเองในตอนแรก แต่นั่นก็แสดงให้เห็นว่ามู่เฉินน่ากลัวแค่ไหน

พลังเช่นนี้เขาสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์อันดับต้นๆ ในเจดีย์ฝึกพลังกายได้เลยทีเดียว

ทางฝั่งกลุ่มกระเรียนฟ้า ใบหน้าของหลิ่วชิงกลายเป็นเขียวสลับขาว นางมองไปที่ร่างสูงโปร่งบนหน้าจอ กลืนน้ำลายเหนียวหนืด ความกลัวปรากฏในดวงตาของนางเป็นครั้งแรก

มาถึงจุดนี้นางคงโง่แน่ถ้ายังคิดปฏิบัติต่อมู่เฉินเหมือนกับจอมยุทธ์ขั้นหกทั่วไป

ด้วยพลังในการต่อสู้ที่เขาแสดงออกมา บวกกับค่ายกลทรงพลัง แม้แต่จงเถิงก็ยากจะได้เปรียบหากพวกเขาต่อสู้กัน

ก่อนหน้านี้นางหัวเราะเยาะและมองจิ่วโยวด้วยความดูถูก แต่ตอนนี้นางอายแทบแทรกแผ่นดินหนี ซึ่งจุดนี้รู้ได้จากสายตาเยาะเย้ยเหล่านั้นที่ปรายมองเข้ามา

“ทำไมมู่เฉินถึงทรงพลังเช่นนี้?” จงฮั้วที่พ่ายแพ้ให้กับมู่เฉินก็มีสีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดเช่นกันว่ามู่เฉินพึ่งพาเพียงค่ายกลเพื่อจัดการกับศัตรู แต่ใครจะคิดว่าเมื่อไม่มีการใช้ค่ายกลมู่เฉินก็สามารถเอาชนะลู่สุยแบบดุร้ายยิ่งกว่าอะไร

“ดูเหมือนว่ามีเพียงพี่ใหญ่จงเถิงเท่านั้นที่สามารถจัดการกับเขาได้” จอมยุทธ์อีกคนของเผ่ากระเรียนฟ้าพยักหน้า

หลิ่วชิงพยักหน้าเบาๆ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะพิจารณาพลังของมู่เฉินพลาดไปเท่านั้น แม้แต่จงเถิงก็ตัดสินอีกฝ่ายผิดไป ชายคนนั้นเป็นสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง

ฟิ้ว!

ขณะที่นอกเจดีย์ต่างตกตะลึงกับผลลัพธ์ที่มู่เฉินนำมา ทันใดนั้นแสงก็กะพริบบนแท่นนอกเจดีย์ ร่างน่าสังเวชปรากฏขึ้น

เมื่อร่างนั้นออกมาก็รีบถอยกลับไปปรากฏตัวขึ้นในกลุ่มอีกาสายฟ้าทันควัน นี่ก็คือลู่สุยที่มีสีหน้าซีดขาว คลื่นหลิงของเขาถดถอยลงอย่างมาก

สายตาโดยรอบยิงเข้าหาในเวลานี้ทันที

ใบหน้าของลู่สุยเขียวคล้ำ สายตาเกลียดชังมองไปที่มู่เฉินที่อยู่บนหน้าจอ ก่อนที่จะหันหัวสาดสายตาดุร้ายใส่จิ่วโยวและมั่วหลิง ที่ข้างๆ พรรคพวกของเขาก็มีท่าทางไม่ดีเช่นกัน

ทว่าจิ่วโยวไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับสายตาเหล่านั้น นางเค้นเสียงอย่างเย็นชา “ลูกหมาที่ถูกฟาดยังกล้าที่จะออกมาแยกเขี้ยวอีกเหรอ?”

ตอนนี้ลู่สุยบาดเจ็บสาหัส สูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปหมด ส่วนคนที่เหลือก็ไม่มีอะไรต้องกลัว หากพวกเขากล้าที่จะคิดบัญชีกับพวกนาง จิ่วโยวก็ไม่คิดปล่อยพวกเขาไว้เป็นภัยคุกคามในอนาคตหรอก

สายตาแสดงความเกลียดชังของลู่สุยจ้องเขม็งอยู่ที่จิ่วโยว แต่สุดท้ายเขาก็ต้องถอนสายตาออกไปอย่างไม่เต็มใจ ก่อนที่จะถอยกลับนั่งลงบนซากปรักหักพังเข้าสมาธิเพื่อฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ

จอมยุทธ์กลุ่มอีกาสายฟ้าก็ปรากฏรอบตัวเขาเพื่อปกป้อง

เมื่อจิ่วโยวเห็นการตอบสนองนั่น นางก็ไม่ได้ใส่ใจกับพวกเขาอีก นางมองไปที่หน้าจออีกครั้งโดยพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ร่างเงาอ่อนเยาว์ มือที่กำแน่นผ่อนคลายลง

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงสำหรับนางที่มู่เฉินจะเอาชนะได้เด็ดขาดแบบนี้ นั่นเป็นเพราะตามการประเมินของนางแม้ว่ามู่เฉินจะยืนยงอยู่ได้ก็เป็นยากที่จะเอาชนะลู่สุยด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นหกและถ้าการต่อสู้ถูกลากไปจนสุดอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบคาดไม่ถึง

ทว่าผลลัพธ์สุดท้ายที่ได้ก็ทำให้นางทั้งประหลาดใจและดีใจ

เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินได้รับประโยชน์มหาศาลจากสามชั้นแรกของเจดีย์ฝึกพลังกาย ไม่เช่นนั้นเขาไม่สามารถแสดงพลังเป็นที่ประจักษ์เช่นนี้ได้

“ว่ากันว่าในชั้นสี่มหัศจรรย์กว่านี้มาก หากใครสามารถเข้าไปได้ พวกเขาจะสามารถได้รับผลประโยชน์เกินกว่าสามชั้นแรกมาก…”

จิ่วโยวยิ้มบาง ดูจากสถานการณ์ปัจจุบันไม่น่ามีปัญหาใดๆ ที่มู่เฉินจะเข้าสู่ชั้นสี่ สำหรับมั่วเฟิงความแข็งแกร่งของเขาเป็นหนึ่งในอันดับต้นของกลุ่มที่เข้าไป ดังนั้นจึงไม่ยากสำหรับเขาที่จะได้หนึ่งในห้าที่นั่งนี้ไปเช่นกัน

ดูเหมือนว่าการเดินทางมาที่เจดีย์ฝึกพลังกายโบราณครั้งนี้เผ่าวิหคโลกันตร์อาจเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

บนลานเมฆสายฟ้า

ไม่มีใครตอบคำถามของมู่เฉิน ขณะนี้แม้แต่จอมยุทธ์ทรงอำนาจอย่างหานซันและสีคุนก็ยังรู้สึกหวาดระแวงมู่เฉินอยู่บ้าง ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะไม่ไปปะทะกับมนุษย์ผู้นี้

ดังนั้นคนทั้งหมดที่อยู่ที่นี่จึงเงียบลง ก่อนที่จะถอยออกจากรัศมีโดยรอบมู่เฉินอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณบอกว่าพวกเขาไม่ต้องการต่อสู้กับเขา

เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ก็ไม่มีอารมณ์ใดบนใบหน้า แต่ในใจกลับรู้สึกโล่งอก คนอื่นๆ เห็นเพียงฉากการต่อสู้ตระการที่เขาเอาชนะลู่สุยได้ แต่พวกเขาไม่รู้หรอกว่าหมัดที่เขาชกออกไปก่อนหน้านี้คือพลังงานส่วนเกินจากสามชั้นแรก

ร่างกายของมู่เฉินก่อนหน้าเปรียบเสมือนฟองน้ำที่ดูดซับน้ำจนถึงขีดจำกัด หมัดของเขาจึงเท่ากับบีบน้ำออกจนหมด ทำให้ร่างกายที่อัดแน่นกลับสู่สภาพเดิม

ดังนั้นถ้าให้เขาโจมตีแบบนั้นอีกครั้ง พลังก็จะไม่ทรงประสิทธิภาพเหมือนเมื่อครู่แน่นอน

ประสิทธิผลพิเศษชนิดนี้ของการสะสมพลังงานในร่างกายเป็นทักษะที่ได้มาจากกายามังกรหงส์ ด้วยวิธีนี้เขาจะได้รับผลลัพธ์ที่ไม่มีใครคาดคิดไว้ กลายเป็นไพ่ลับอีกใบหนึ่ง

“คัมภีร์หลงเฟิ่งทรงพลังจริงๆ”

แม้แต่มู่เฉินก็ยังชื่นชมในสิ่งนี้ คัมภีร์หลงเฟิ่งสมแล้วที่เป็นทักษะยอดเยี่ยมแท้จริง จากการประเมินของเขาคัมภีร์นี้ต้องอยู่ในระดับเสินทงแน่นอน ซึ่งไม่ธรรมดาแม้จะอยู่ในกลุ่มวิทยายุทธระดับเสินทงด้วย

มู่เฉินชื่นชมก่อนที่จะใจเย็นลง แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีใครท้าทายเขา แต่เขาก็ไม่ตั้งใจที่จะท้าทายคนอื่นด้วยเช่นกัน เขายืนนิ่งบนตำแหน่งตนเองรอผลการคัดออก

สำหรับจงเถิง มู่เฉินรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นพวกยุแยงให้ลู่สุยมาปะทะกับเขา แต่เนื่องจากตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ดีในการจัดการ เขาจึงได้แต่ผลักแผนไปก่อน

แต่ถึงกระนั้นสายตาคมกล้าของมู่เฉินก็ยังจ้องเขม็งไปที่จงเถิง รอบตัวเต็มไปด้วยคลื่นหลิงราวกับเสือดาวที่กำลังจะจ้องตะครุบเหยื่ออัดแน่นด้วยภัยคุกคาม

เมื่อเห็นท่าทางของมู่เฉิน จงเถิงที่ประจันหน้ากับมั่วเฟิงก็รู้สึกอึดอัดใจ เขาต้องแยกสมาธิอยู่ตลอดเพื่อจับตามองมู่เฉิน ป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายเคลื่อนไหวมาประสานพลังกับมั่วเฟิง

ด้วยวิธีนี้สมาธิของจงเถิงจึงค่อนข้างฟุ้งซ่าน สุดท้ายเขาได้แต่กัดฟัน ถอนคลื่นหลิงและถอยออกจากบริเวณของมั่วเฟิง

“พี่มั่วยากสำหรับการต่อสู้ของเราที่จะได้ข้อสรุป ทำไมเราไม่ไปจัดการคนอื่นและรับที่นั่งมาล่ะ?” ขณะที่จงเถิงถอยกลับเสียงก็สะท้อนก้องไปด้วย

มั่วเฟิงจ้องมองจงเถิงอย่างไม่แยแสก่อนที่จะพยักหน้า นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าหากพวกเขายังอยู่ในสถานการณ์ยืนจ้องหน้ากันก็จะไม่เกิดผลลัพธ์ใด หากเขาร่วมมือกับมู่เฉิน พวกเขาอาจทำให้จงเถิงบ้าดีเดือดขึ้นมา แม้แต่พวกเขาก็ต้องจ่ายราคามหาศาลจากการตีโต้

ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาคือการได้ที่นั่งเพื่อเข้าสู่ชั้นสี่

เมื่อจงเถิงเห็นคำตอบของมั่วเฟิงก็รู้สึกโล่งใจในใจ เขาถอยกลับอย่างรวดเร็วออกจากจุดที่มู่เฉินและมั่วเฟิงอยู่ เขาครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนจะเลือกปะทะกับคนที่อ่อนแอกว่า

พอมู่เฉินเห็นจงเถิงไปแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจอีกต่อไป สายตาหันมามองมั่วเฟิงแล้วก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มแสดงความขอบคุณในการช่วยเหลือครั้งนี้

สายตาของมั่วเฟิงเป็นมิตรมากขึ้น คิดว่าการที่มู่เฉินเอาชนะลู่สุย ทำให้มั่วเฟิงมองมู่เฉินในฐานะจอมยุทธ์ที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเขา ดังนั้นจึงไม่ได้มีท่าทางเฉยเมยเหมือนเมื่อก่อน

มั่วเฟิงพยักหน้าให้มู่เฉิน ก่อนที่จะหันหลังกลับและเริ่มเลือกคู่ต่อสู้ของตนเอง

ครืน!

เมื่อทุกคนเลือกคู่ต่อสู้แล้ว ทันใดนั้นคลื่นหลิงก็ระเบิดรุนแรงบนลานเมฆสายฟ้า คลื่นกระแทกกวาดออก ทำให้มิติเกิดการสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไม่หยุด

บนลานเมฆสายฟ้าพลังงานหลิงกวาดหายนะ มีเพียงตรงมู่เฉินเท่านั้นที่ไม่ถูกรบกวน เนื่องจากไม่มีใครกล้าเหยียบเข้ามาในรัศมีพันจั้ง ยามนี้เขาเหมือนผู้ชมที่ดูการต่อสู้ติดขอบ ในเวลาเดียวกันก็บันทึกกระบวนท่าที่ทรงพลังของบางคนไว้ในสมอง

แม้ว่าในชั้นนี้พวกเขาอาจไม่ได้ประลองกัน แต่ก็ยังมีอีกสองชั้นรอพวกเขาอยู่ ใครจะสามารถรับประกันได้ว่าจะไม่มีการลดจำนวนลงในชั้นต่อไป?

ดังนั้นถ้ามีโอกาสเขาต้องพยายามจดจำข้อมูลผู้อื่นเก็บไว้

ภายใต้การสังเกตของมู่เฉิน การประลองบนลานเมฆสายฟ้าก็คงอยู่ชั่วระยะหนึ่ง ก่อนที่แต่ละคู่จะมาถึงจุดสิ้นสุด ผลลัพธ์ก็เป็นไปตามที่คาดไว้

หลังจากมู่เฉินก็เป็นหานซันที่เอาชนะคู่ต่อสู้ได้ที่นั่งที่สองไป

จากนั้นมั่วเฟิงและจงเถิงก็คว้าชัยชนะตามมา

ที่นั่งสุดท้ายตกเป็นของสีคุนที่ก่อนหน้านี้เคยแพ้หานซันที่ด้านนอกเจดีย์ ชายนี้มีความแข็งแกร่งที่น่าตกใจ แม้แต่หานซันยังต้องใช้ทักษะเต็มที่ถึงจะได้รับชัยชนะมา

เมื่อสีคุนได้รับที่นั่งสุดท้ายลานเมฆสายฟ้าขนาดใหญ่ก็เงียบลงอีกครั้ง ร่างทั้งห้ายืนอยู่ ขณะรัศมีไร้ขอบเขตทั้งห้าสายพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าชนกันเปรี้ยงปร้าง

ทว่าการชนกันก็ดำเนินไปเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ก่อนที่ทั้งห้าจะถอนคลื่นพลังพร้อมกัน พวกเขาเหลือบมองกันและกัน จากนั้นก็ไม่ลังเลทะยานออกไปปรากฏตัวบนเบาะทั้งห้า

สายตาพวกเขาพุ่งตรงไปยังมิติด้านหลังลานเมฆสายฟ้าด้วยความโลภ ตรงนั้นเส้นดาวหางจำนวนมากกวาดผ่านราวกับฝนดาวตก

ในแสงเหล่านั้นแก่นหยดสายฟ้ากำลังกะพริบด้วยความแวววาว


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท