หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – ตอนที่ 1064

ตอนที่ 1064

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1064 ปีศาจ
ช่างเป็นสัมผัสที่อบอุ่น

เมื่ออัญมณีสีแดงเข้มตกอยู่ในมือของมู่เฉินก็ราวกับมีเปลวไฟลุกโชนอยู่ในนั้นพร้อมกับวิหคอมตะงดงามโปรยบินอยู่ในอัญมณีดูลึกลับอย่างยิ่ง

มู่เฉินจ้องมองแก่นมรดกโลหิตวิหคอมตะโบราณในมือ แม้แต่เขาที่มักสงบอารมณ์ได้ดี ยังอดไม่ได้ที่จะฉายความสุขบนใบหน้า พวกเขาไม่ได้พยายามหนักในดินแดนเสิ่นโซ่เพื่อแก่นมรดกโลหิตนี้รึ?

เมื่อได้สิ่งนี้ภารกิจของเขาก็ประสบความสำเร็จอย่างสมบูรณ์ ผู้อาวุโสของเผ่าวิหคโลกันตร์จะไม่แสดงท่าทางกระด้างเกี่ยวกับพันธะโลหิตของเขากับจิ่วโยวอีกต่อไป

“จิ่วโยวเอานี่”

มู่เฉินโยนแก่นมรดกโลหิตของวิหคอมตะโบราณเล่นในมือ จากนั้นนิ้วก็สะบัดออกแก่นโลหิตกลายเป็นลำแสงพุ่งไปหาจิ่วโยว

จิ่วโยวคว้ามือออกไปรับแก่นโลหิตด้วยใบหน้าเต็มเปี่ยมไปด้วยความสุขอย่างไม่สามารถควบคุมได้ แก่นมรดกโลหิตวิหคอมตะโบราณเป็นสิ่งสำคัญยิ่งสำหรับนาง ตราบใดที่นางสามารถดูดซับได้ สายเลือดวิหคอมตะที่ไหลเวียนในร่างกายนางก็จะยกระดับสูงขึ้น หากมีโอกาสมากพอในอนาคตนางอาจจะสามารถพัฒนาเป็นวิหคอมตะที่แท้จริงได้

ในเวลานั้นนางก็จะเป็นจอมยุทธ์หญิงที่ทั้งมหาพันภพต้องให้ความสนใจ

เนื่องจากวิหคอมตะทุกตัวมีความแข็งแกร่งที่น่ากลัวซึ่งเทียบเท่ากับระดับเทียนจื้อจุน

เมื่อจอมยุทธ์เผ่าอื่นๆ บนแท่นบูชาเห็นมู่เฉินยกแก่นมรดกโลหิตที่เขาต่อสู้มาอย่างสาหัสากรรจ์ให้จิ่วโยว พวกเขาก็อึ้งไปเป็นเวลานาน ก่อนที่พวกเขาจะเบ้ริมฝีปาก สายตาที่มองไปยังมู่เฉินก็เปลี่ยนไปจากเดิม

ความกว้างใจกว้างนี้ไม่ใช่สิ่งที่คนทั่วไปสามารถมีได้…

มู่เฉินไม่ได้ใส่ใจกับสายตาตกตะลึงเหล่านั้น เหตุผลที่เขามาดินแดนเสินโซ่ก็เพื่อช่วยจิ่วโยวให้ได้รับแก่นโลหิตวิหคอมตะโบราณ นอกจากนี้จิ่วโยวก็เป็นพี่สาวที่ดูแลเขาเป็นอย่างดีมานาน ดังนั้นแก่นมรดกโลหิตวิหคอมตะโบราณนี้ยังไม่เพียงพอกับความช่วยเหลือที่มีในสายตาของเขาเลย

หลังจากที่มู่เฉินส่งแก่นมรดกโลหิตให้จิ่วโยว จงชิงเฟิงและลู่โหวที่อยู่เบื้องหน้ารูปปั้นอีกสองแห่งก็ได้รับแก่นมรดกโลหิตเรียบร้อยเช่นกัน

จงชิงเฟิงและลู่โหวจ้องมองสมบัติเบื้องหน้าก็ฉายความสุขบนใบหน้า พวกเขาเก็บแก่นโลหิตไป การเก็บเกี่ยวของพวกเขาในการเดินทางมายังดินแดนเสินโซ่ถือว่าสมบูรณ์แบบแล้ว

ทว่าขณะที่พวกเขากำลังชื่นชมยินดี มู่เฉินก็รู้สึกว่าสีของรูปปั้นหินทั้งสามมืดลงและแสงหลิงที่ครอบครองก่อนหน้าก็เริ่มหายไป

ฮึ่ม!

เมื่อรูปปั้นหินทั้งสามหม่นหมองลง จู่ๆ ผืนดินก็โยกคลอนเล็กน้อย แม้ว่าการโยกนี้จะไม่ชัดเจน แต่มู่เฉินก็ยังรับรู้ได้จากประสาทสัมผัสที่ว่องไว

มู่เฉินขมวดคิ้วขณะที่กวาดสายตามอง ครู่เดียวสายตาของเขาก็จ้องไปที่มุมมุมหนึ่งซึ่งเป็นบริเวณที่ไป๋หมิงนอนบาดเจ็บอยู่ก่อนหน้า ทะเลสาบเลือดถูกดูดซึมลงไปในดินตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ ทำให้ดินแดนมืดมนในตอนแรกมีร่องรอยสีแดงสดเพิ่มขึ้น ซึ่งให้ความรู้สึกไม่สบายใจอย่างยิ่ง

มู่เฉินจ้องมองผืนดิน ไม่รู้ว่าทำไมภาพหลุมดำลึกลับใต้ทะเลสาบตัวเป่าผุดขึ้นในหัวอีกครั้ง ความไม่สบายใจกวนตัวขึ้นในใจ จากนั้นสายตาของเขาก็ส่องประกายตะโกนขึ้นอย่างรวดเร็วบอกจิ่วโยวและพรรคพวก “ไป รีบออกจากที่นี่!”

ทว่าทันทีที่เสียงของเขาสะท้อนก้อง กระทั่งตัวเขายังไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ทันท่วงที ความสั่นสะเทือนที่มาจากพื้นดินก็รุนแรงยิ่งขึ้น แม้แต่แท่นบูชาก็สั่นไหว

ครั้งนี้ทุกคนสัมผัสได้ สายตางุนงงจ้องมองไปยังผืนดินมืดครึ้มเหนือแท่นบูชาก็เห็นว่าพื้นดินสั่นระรัวราวกับคลื่นในทะเลสาบ

รัศมีความชั่วร้ายพุ่งสูงจากพื้นดิน เปลี่ยนทั่วฟ้าดินให้มืดมิดลงทันที

“ไม่ดีล่ะ สถานที่นี้แปลกนัก รีบไป!”

เมื่อเห็นฉากนี้ ใบหน้าของทุกคนก็เปลี่ยนไปรุนแรง ตอนนี้แม้แต่คนโง่ยังเข้าใจได้ว่าสุสานสักการะเทพไม่ใช่ธรรมดา

ฟิ้ว!

มีกลุ่มหนึ่งที่อยู่รอบนอกของแท่นบูชาและปฏิกิริยาของพวกเขาก็รวดเร็วมาก ทันใดนั้นพวกเขาก็กลายเป็นร่างแสงพยายามพุ่งออกจากบริเวณที่แปลกประหลาดนี้

ปัง!

แต่ทันทีที่พวกเขาพุ่งออกไป พื้นผิวสีดำมืดก็กระเพื่อมบนพื้นดิน ใบหน้าที่ดูใหญ่โตน่ากลัวปรากฏขึ้น มันเปิดปากหมอกสีดำเชี่ยวกรากโหมกระหน่ำออกมาห่อหุ้มร่างแสงเหล่านั้นเอาไว้ เสียงกรีดร้องดังขึ้น ร่างกายของพวกเขาระเบิดเป็นหมอกเลือดทันที ก่อนที่จะถูกกลืนโดยใบหน้าที่น่ากลัว

คึ! คึ!

หลังจากกลืนหมอกเลือด ใบหน้าบนพื้นก็ยิ่งแปลกประหลาด มันเปล่งเสียงหัวเราะเสียดแก้วหู ทำให้คลื่นหลิงในร่างกายของผู้คนสั่นสะท้าน

รัศมีชั่วร้ายเชี่ยวกรากทะลักออกมา ทำให้ทั่วบริเวณดูราวกับรังปีศาจ

“เลือด—ข้า-ต้องการ-เลือด-สด!”

ใบหน้าบนพื้นจ้องมองไปที่ทุกคนบนแท่นบูชา ส่งเสียงหัวเราะบาดหู อ้าปากปล่อยหมอกสีดำซัดสาดเข้าหาทุกคนบนแท่น

เมื่อทุกคนเห็นภาพนี้ ใบหน้าก็เปลี่ยนเป็นซีดขาว ความกลัวพล่านในสายตา พวกเขาจะมองไม่ออกได้อย่างไรว่าพลังของใบหน้าปีศาจนี้ไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาสามารถรับมือได้เลย

“ให้ตายเถอะ นี่จะต้องถูกทิ้งไว้โดยพวกปีศาจต่างมิติแน่!” มีคนอุทานด้วยความสยองขวัญ พวกเขาคิดได้จากฉากเบื้องหน้า เพราะมหันตภัยร้ายของมหาพันภพก็คือเผ่าปีศาจต่างมิติ นอกจากพวกมันไม่มีใครที่จะมีรัศมีชั่วร้ายแบบนี้ได้อีก

นอกจากนี้สถานที่แห่งนี้ก็เป็นสมรภูมิรบที่ดุเดือดที่สุดในดินแดนเสินโซ่ตอนที่จักรวรรดิปีศาจต่างมิติบุกเข้ามา มีนักรบนับไม่ถ้วนจากเผ่าปีศาจถูกสังหารที่นี่ ดังนั้นจึงเป็นเรื่องธรรมดาที่จะมีตัวที่หลุดรอดไป

ฮึ่ม!

หมอกสีดำเชี่ยวกรากกวาดเข้ามา แต่เมื่อไอหมอกกำลังจะไปถึงแท่นบูชา ริ้วแสงยาวเหยียดหมื่นจั้งก็เบ่งบานขึ้นมาบนแท่นบูชา ดูเหมือนจะถูกสร้างขึ้นจากลวดลายลึกซึ้งนับไม่ถ้วน ลวดลายเหล่านี้ฉีกทึ้งหมอกสีดำอย่างรวดเร็ว

บนแท่นทุกคนยินดีกับภาพดังกล่าว สายตายกขึ้นไปยังสามทิศทางทันที รูปปั้นหินทั้งสามดูเหมือนจะมีชีวิตขึ้นมา ริ้วแสงควบแน่นบนรูปปั้นก่อตัวเป็นภาพเงาลวงตาสามร่าง

บนร่างวิหคอมตะโบราณ หญิงสาวสะคราญโฉมสวมชุดสูงศักดิ์ฉายอารมณ์สูงส่ง นางมีความงามที่น่าทึ่งพร้อมกับรูปร่างงดงาม กำจายรัศมีทรงเกียรติออกมาจากทั่วร่าง

บนร่างปักษาวิญญาณโบราณ ชายคนหนึ่งสวมเสื้อผ้าห้าแถบสีดูหล่อเหลาด้วยท่วงท่าสง่างามราวกับเขาไม่แยแสแม้ว่าท้องฟ้าจะถล่มลงมา

บนร่างอสูรไร้พิรุณโบราณ ชายร่างกำยำไม่ได้สวมเสื้อท่อนบน ผิวของเขาคล้ายกับโลหะดำ รูปร่างที่แข็งแกร่งดูเหมือนภูเขาสูงตระหง่าน ทุกสิ่งรอบตัวเขามั่นคงแข็งแรง

เมื่อทั้งสามปรากฏขึ้นก็กวาดพายุโบราณไปทั่วระหว่างสวรรค์และโลก แรงกดดันเกินพรรณนาปกคลุมทั่วพื้นที่ ทำให้เกิดแสงในบริเวณนี้ซึ่งดูเหมือนรังของปีศาจ

“นั่นราชันเทพอสูรทั้งสามแห่งดินแดนเสิ่นโซ!” จิ่วโยวอุทานเมื่อเห็น แม้แต่คนโง่ก็รู้ได้ว่าสามร่างนี้เป็นร่างจิตที่หลงเหลืออยู่ของราชันทั้งสาม

“คึ คึ…” ใบหน้าปีศาจบนพื้นเปล่งเสียงแหลมแสบแก้วหูออกมาเมื่อเห็นทั้งสามปรากฏขึ้น น้ำเสียงราวกับว่ามีภูตผีนับไม่ถ้วนส่งเสียงร้องพร้อมกัน “พวกแกผนึกพวกข้ามานานนับหมื่นปี โดยคิดว่าสามารถฆ่าพวกข้าได้ แต่พวกแกคงไม่คิดว่าพวกข้าจะฉลาดกว่า คึ คึ!”

บนรูปปั้นหินราชินีวิหคอมตะจ้องมองใบหน้าปีศาจบนพื้นดินก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ “ปีศาจพวกนี้ ตายยากตายเย็นนัก”

ราชันปักษาวิญญาณมองทุกคนบนแท่นแล้วพูดว่า “น่าเสียดาย ตอนแรกคิดว่าจะทนได้อีกสักร้อยปี ไม่คิดว่าแก่นมรดกโลหิตจะถูกรับไปเร็วเช่นนี้ ทำให้ผนึกต้องคลายลงก่อน”

“ฮึ่ม ผืนดินปีศาจถูกปลุกให้ตื่นขึ้นด้วยโลหิตทรงประสิทธิภาพ ใครเป็นคนทำ?!” ราชันอสูรไร้พิรุณเค้นเสียงดังกึกก้องราวกับฟ้าร้อง สะท้อนอยู่ในโสตประสาทของทุกคน ทำให้เลือดลมปราณในร่างกลิ้งตัวไปมา

ทุกคนบนแท่นแลกเปลี่ยนสายตากัน ก่อนที่จะเบนสายตามายังมู่เฉินและไป๋หมิง เห็นได้ชัดว่าเลือดของไป๋หมิงซึ่งเต็มไปด้วยพลังยิ่งใหญ่ของเผ่าหงส์ฟ้าเป็นสาเหตุของเรื่องนี้

ดังนั้นสายตาคมกล้าของราชันอสูรไร้พิรุณจึงจ้องไปที่มู่เฉินและไป๋หมิง

มู่เฉินรู้สึกว่าหนังหัวชาหนึบไปหมด ส่วนไป๋หมิงที่เพิ่งรู้สึกตัวตื่นขึ้นมาจากอาการหมดสติก็ร่างกายสั่นเทา แม้ว่าราชันอสูรไร้พิรุณจะเป็นเพียงร่างดวงจิต แต่ก็เป็นเรื่องง่ายดายนักที่จะฆ่าพวกเขา

แต่ขณะที่พวกเขากำลังหวาดกลัวในหัวใจ ราชินีวิหคอมตะก็ส่ายหัว “เรื่องนี้โทษพวกเขาไม่ได้ ปีศาจพวกนี้เตรียมการตั้งแต่ต้น เรื่องนี้จะเกิดขึ้นเมื่อไรก็เป็นเพียงเรื่องของเวลา วันนี้เราต้องหาวิธีกำจัดพวกมันให้สิ้นซาก”

“เราสามคนเป็นเพียงร่างดวงจิตที่เหลืออยู่ แค่รักษาค่ายกลไว้ก็สุดพลังแล้ว กลัวว่าจะไม่สามารถกำจัดปีศาจนี้ได้” ราชันอสูรไร้พิรุณพูดเสียงเหี้ยม เขากวาดมองทุกคนก็เค้นเสียงเย็นขึ้นจมูก “นอกจากนี้พวกเด็กรุ่นใหม่ก็ไร้ประโยชน์ ไม่มีแม้แต่ระดับจื้อจุนขั้นเก้า น่าละอายนัก พลังแค่นี้ยังกล้ามารับมรดกของเรารึ?”

ทุกคนรู้สึกว่าใบหน้าเห่อแดงจากคำพูดนั่น แต่ก็ไม่กล้าจะเถียงอะไร เผชิญกับจอมยุทธ์เช่นนี้ จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดขั้นแปดก็ราวกับมดปลวก

ราชินีวิหคอมตะยิ้มบางก่อนที่จะมองทุกคน “ไม่รู้ว่ามีใครที่นี่มีความสามารถทางด้านค่ายกลสงครามหรือไม่ ข้าจะมอบโอกาสที่ยิ่งใหญ่ให้กับเขา”

เมื่อทุกคนได้ยินคำพูดของนางก็ได้แต่ส่ายหัว เห็นได้ชัดว่าพวกเขาไม่มีความเชี่ยวชาญในค่ายกลสงคราม

ในหมู่คนมู่เฉินหดดวงตาแต่ไม่คิดจะก้าวออกไป ต่อให้จะโง่แค่ไหนก็รู้ว่าสถานการณ์ตรงหน้าไม่ใช่สิ่งที่เขาจะสามารถรับมือได้ หากก้าวออกไปโดยไม่ยั้งคิด คงไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะตายด้วยท่าไหน

สำหรับโอกาสส้มหล่นแบบนั้น…ลืมไปเถอะ

ดังนั้นเขาจึงส่ายหัวให้จิ่วโยวลับๆ ไม่เพียงแต่ไม่ก้าวออกไป เขายังเตรียมก้าวถอยไปหาฝูงชนอีกด้วย

ทว่าทันทีที่เขายกเท้า ท่าทางก็แข็งทื่อไป เนื่องจากเขาตกใจเมื่อพบว่าตนเองสูญเสียการควบคุมร่างกาย ราวกับว่าถูกตรึงอยู่กับที่

สายตาของเขาเลื่อนขึ้นไปข้างบน ก็เห็นร่างสะคราญโฉมมองเขาด้วยรอยยิ้มพิมพ์ใจ…

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler ฟรี ได้ที่ novel-fast 


เรื่องย่อ

โดย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler บางส่วนของนิยาย

บทนำ

หนึ่งในใต้หล้าจากปลายปากกาของเทียนฉานถูโต้ว กล่าวถึงมู่เฉิน เด็กหนุ่มจากสำนักศึกษาเป่ยหลิง ผู้ที่ได้รับเลือกให้เข้าฝึกในสงครามเทพยุทธ์ซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าคนเก่งกาจ ทว่า… อยู่ดีๆ เขากลับถูกขับไล่ออกมาด้วยเหตุผลที่ไม่มีใครล่วงรู้ มู่เฉินพยายามฝึกหนักอีกครั้งเพื่อจะพาตัวเองกลับเข้าไปในเส้นทางแห่งนี้ เขาจำเป็นต้องใช้สิ่งนี้เป็นใบเบิกทางเพื่อเข้าศึกษาที่ภาคเบญจภาคี เพื่อ… ปกป้องหญิงสาวที่ตนรัก และยิ่งกว่านั้นคือเพื่อค้นหาเบาะแสของมารดาที่หายสาบสูญไป

‘มหาพันภพ’ เป็นที่ที่มิติทั้งหลายเชื่อมต่อกันในระบบสุริยจักรวาล สถานที่แห่งนี้มีขั้วอำนาจมากมายอาศัยอยู่ จักรพรรดิที่มาจากพิภพเขตล่างต่างเป็นตำนานที่ผู้อื่นปรารถนาขึ้นไปบนเส้นทางแห่งกฎของโลกไร้ขอบเขตนี้

แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว เทพจักรพรรดิอัคคีควบคุมเปลวเพลิงกวาดข้ามสวรรค์

แคว้นหวู เทพจักรพรรดิสงครามผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำให้ทั้งสวรรค์และโลกหวาดกลัว

ตำหนักซีเทียน จักรพรรดิสัประยุทธ์ที่แข็งแกร่งไม่มีผู้ใดเทียบเท่า ในเนินเขารกร้างทางเหนือ ดินแดนวั้นมู่ของจักรพรรดิอมตะครองเหนือภพ

เด็กหนุ่มจากมณฑลเป่ยหลิงออกท่องยุทธภพกับวิหคโลกันตร์คู่ใจ มุ่งหน้าสู่โลกภายนอกที่เต็มไปด้วยสีสัน ใครกันที่จะเป็นผู้กุมชะตากรรมในเส้นทางการเป็นหนึ่ง?

ในมหาพันภพที่สงครามนับหมื่นอุบัติ ข้าคือผู้กุมชะตาฟ้าดิน…

เรื่องย่อ

เมื่อคำพูดของมู่เฉินกระจายออกไป ไม่เพียงแต่จะไม่มีการตอบสนอง แม้แต่ด้านนอกเจดีย์ก็ถูกห่อหุ้มด้วยบรรยากาศราวกับป่าช้า…

ทุกคนตกตะลึงไปกับฉากนี้ พวกเขาจ้องมองจุดที่ลู่สุยหายตัวไป ราวกับว่ายังไม่สามารถฟื้นจากอาการตะลึงงันที่เกิดขึ้นได้

ก่อนหน้าเมื่อลู่สุยออกกระบวนท่าที่น่าสะพรึง ผู้คนส่วนใหญ่ก็คิดว่าผลลัพธ์ของการต่อสู้ได้ถูกกำหนดแล้ว ทว่าพวกเขาไม่คิดเลยว่ามู่เฉินจะพลิกสถานการณ์ได้อีกครั้ง เตะลู่สุยที่เหมือนจะคว้าชัยชนะออกไป

ทุกคนตะลึงไปพักใหญ่ ก่อนที่พวกเขาจะหลุดออกจากอาการได้ สายตาเคร่งเครียดลง การประลองกันครั้งนี้มู่เฉินไม่ได้ใช้ค่ายกล แต่เขาก็สามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดอย่างลู่สุยได้ด้วยความแข็งแกร่งที่อยู่ในขั้นหกเท่านั้น แม้ว่าจะมีผลจากลู่สุยประมาทเองในตอนแรก แต่นั่นก็แสดงให้เห็นว่ามู่เฉินน่ากลัวแค่ไหน

พลังเช่นนี้เขาสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์อันดับต้นๆ ในเจดีย์ฝึกพลังกายได้เลยทีเดียว

ทางฝั่งกลุ่มกระเรียนฟ้า ใบหน้าของหลิ่วชิงกลายเป็นเขียวสลับขาว นางมองไปที่ร่างสูงโปร่งบนหน้าจอ กลืนน้ำลายเหนียวหนืด ความกลัวปรากฏในดวงตาของนางเป็นครั้งแรก

มาถึงจุดนี้นางคงโง่แน่ถ้ายังคิดปฏิบัติต่อมู่เฉินเหมือนกับจอมยุทธ์ขั้นหกทั่วไป

ด้วยพลังในการต่อสู้ที่เขาแสดงออกมา บวกกับค่ายกลทรงพลัง แม้แต่จงเถิงก็ยากจะได้เปรียบหากพวกเขาต่อสู้กัน

ก่อนหน้านี้นางหัวเราะเยาะและมองจิ่วโยวด้วยความดูถูก แต่ตอนนี้นางอายแทบแทรกแผ่นดินหนี ซึ่งจุดนี้รู้ได้จากสายตาเยาะเย้ยเหล่านั้นที่ปรายมองเข้ามา

“ทำไมมู่เฉินถึงทรงพลังเช่นนี้?” จงฮั้วที่พ่ายแพ้ให้กับมู่เฉินก็มีสีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดเช่นกันว่ามู่เฉินพึ่งพาเพียงค่ายกลเพื่อจัดการกับศัตรู แต่ใครจะคิดว่าเมื่อไม่มีการใช้ค่ายกลมู่เฉินก็สามารถเอาชนะลู่สุยแบบดุร้ายยิ่งกว่าอะไร

“ดูเหมือนว่ามีเพียงพี่ใหญ่จงเถิงเท่านั้นที่สามารถจัดการกับเขาได้” จอมยุทธ์อีกคนของเผ่ากระเรียนฟ้าพยักหน้า

หลิ่วชิงพยักหน้าเบาๆ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะพิจารณาพลังของมู่เฉินพลาดไปเท่านั้น แม้แต่จงเถิงก็ตัดสินอีกฝ่ายผิดไป ชายคนนั้นเป็นสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง

ฟิ้ว!

ขณะที่นอกเจดีย์ต่างตกตะลึงกับผลลัพธ์ที่มู่เฉินนำมา ทันใดนั้นแสงก็กะพริบบนแท่นนอกเจดีย์ ร่างน่าสังเวชปรากฏขึ้น

เมื่อร่างนั้นออกมาก็รีบถอยกลับไปปรากฏตัวขึ้นในกลุ่มอีกาสายฟ้าทันควัน นี่ก็คือลู่สุยที่มีสีหน้าซีดขาว คลื่นหลิงของเขาถดถอยลงอย่างมาก

สายตาโดยรอบยิงเข้าหาในเวลานี้ทันที

ใบหน้าของลู่สุยเขียวคล้ำ สายตาเกลียดชังมองไปที่มู่เฉินที่อยู่บนหน้าจอ ก่อนที่จะหันหัวสาดสายตาดุร้ายใส่จิ่วโยวและมั่วหลิง ที่ข้างๆ พรรคพวกของเขาก็มีท่าทางไม่ดีเช่นกัน

ทว่าจิ่วโยวไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับสายตาเหล่านั้น นางเค้นเสียงอย่างเย็นชา “ลูกหมาที่ถูกฟาดยังกล้าที่จะออกมาแยกเขี้ยวอีกเหรอ?”

ตอนนี้ลู่สุยบาดเจ็บสาหัส สูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปหมด ส่วนคนที่เหลือก็ไม่มีอะไรต้องกลัว หากพวกเขากล้าที่จะคิดบัญชีกับพวกนาง จิ่วโยวก็ไม่คิดปล่อยพวกเขาไว้เป็นภัยคุกคามในอนาคตหรอก

สายตาแสดงความเกลียดชังของลู่สุยจ้องเขม็งอยู่ที่จิ่วโยว แต่สุดท้ายเขาก็ต้องถอนสายตาออกไปอย่างไม่เต็มใจ ก่อนที่จะถอยกลับนั่งลงบนซากปรักหักพังเข้าสมาธิเพื่อฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ

จอมยุทธ์กลุ่มอีกาสายฟ้าก็ปรากฏรอบตัวเขาเพื่อปกป้อง

เมื่อจิ่วโยวเห็นการตอบสนองนั่น นางก็ไม่ได้ใส่ใจกับพวกเขาอีก นางมองไปที่หน้าจออีกครั้งโดยพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ร่างเงาอ่อนเยาว์ มือที่กำแน่นผ่อนคลายลง

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงสำหรับนางที่มู่เฉินจะเอาชนะได้เด็ดขาดแบบนี้ นั่นเป็นเพราะตามการประเมินของนางแม้ว่ามู่เฉินจะยืนยงอยู่ได้ก็เป็นยากที่จะเอาชนะลู่สุยด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นหกและถ้าการต่อสู้ถูกลากไปจนสุดอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบคาดไม่ถึง

ทว่าผลลัพธ์สุดท้ายที่ได้ก็ทำให้นางทั้งประหลาดใจและดีใจ

เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินได้รับประโยชน์มหาศาลจากสามชั้นแรกของเจดีย์ฝึกพลังกาย ไม่เช่นนั้นเขาไม่สามารถแสดงพลังเป็นที่ประจักษ์เช่นนี้ได้

“ว่ากันว่าในชั้นสี่มหัศจรรย์กว่านี้มาก หากใครสามารถเข้าไปได้ พวกเขาจะสามารถได้รับผลประโยชน์เกินกว่าสามชั้นแรกมาก…”

จิ่วโยวยิ้มบาง ดูจากสถานการณ์ปัจจุบันไม่น่ามีปัญหาใดๆ ที่มู่เฉินจะเข้าสู่ชั้นสี่ สำหรับมั่วเฟิงความแข็งแกร่งของเขาเป็นหนึ่งในอันดับต้นของกลุ่มที่เข้าไป ดังนั้นจึงไม่ยากสำหรับเขาที่จะได้หนึ่งในห้าที่นั่งนี้ไปเช่นกัน

ดูเหมือนว่าการเดินทางมาที่เจดีย์ฝึกพลังกายโบราณครั้งนี้เผ่าวิหคโลกันตร์อาจเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

บนลานเมฆสายฟ้า

ไม่มีใครตอบคำถามของมู่เฉิน ขณะนี้แม้แต่จอมยุทธ์ทรงอำนาจอย่างหานซันและสีคุนก็ยังรู้สึกหวาดระแวงมู่เฉินอยู่บ้าง ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะไม่ไปปะทะกับมนุษย์ผู้นี้

ดังนั้นคนทั้งหมดที่อยู่ที่นี่จึงเงียบลง ก่อนที่จะถอยออกจากรัศมีโดยรอบมู่เฉินอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณบอกว่าพวกเขาไม่ต้องการต่อสู้กับเขา

เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ก็ไม่มีอารมณ์ใดบนใบหน้า แต่ในใจกลับรู้สึกโล่งอก คนอื่นๆ เห็นเพียงฉากการต่อสู้ตระการที่เขาเอาชนะลู่สุยได้ แต่พวกเขาไม่รู้หรอกว่าหมัดที่เขาชกออกไปก่อนหน้านี้คือพลังงานส่วนเกินจากสามชั้นแรก

ร่างกายของมู่เฉินก่อนหน้าเปรียบเสมือนฟองน้ำที่ดูดซับน้ำจนถึงขีดจำกัด หมัดของเขาจึงเท่ากับบีบน้ำออกจนหมด ทำให้ร่างกายที่อัดแน่นกลับสู่สภาพเดิม

ดังนั้นถ้าให้เขาโจมตีแบบนั้นอีกครั้ง พลังก็จะไม่ทรงประสิทธิภาพเหมือนเมื่อครู่แน่นอน

ประสิทธิผลพิเศษชนิดนี้ของการสะสมพลังงานในร่างกายเป็นทักษะที่ได้มาจากกายามังกรหงส์ ด้วยวิธีนี้เขาจะได้รับผลลัพธ์ที่ไม่มีใครคาดคิดไว้ กลายเป็นไพ่ลับอีกใบหนึ่ง

“คัมภีร์หลงเฟิ่งทรงพลังจริงๆ”

แม้แต่มู่เฉินก็ยังชื่นชมในสิ่งนี้ คัมภีร์หลงเฟิ่งสมแล้วที่เป็นทักษะยอดเยี่ยมแท้จริง จากการประเมินของเขาคัมภีร์นี้ต้องอยู่ในระดับเสินทงแน่นอน ซึ่งไม่ธรรมดาแม้จะอยู่ในกลุ่มวิทยายุทธระดับเสินทงด้วย

มู่เฉินชื่นชมก่อนที่จะใจเย็นลง แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีใครท้าทายเขา แต่เขาก็ไม่ตั้งใจที่จะท้าทายคนอื่นด้วยเช่นกัน เขายืนนิ่งบนตำแหน่งตนเองรอผลการคัดออก

สำหรับจงเถิง มู่เฉินรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นพวกยุแยงให้ลู่สุยมาปะทะกับเขา แต่เนื่องจากตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ดีในการจัดการ เขาจึงได้แต่ผลักแผนไปก่อน

แต่ถึงกระนั้นสายตาคมกล้าของมู่เฉินก็ยังจ้องเขม็งไปที่จงเถิง รอบตัวเต็มไปด้วยคลื่นหลิงราวกับเสือดาวที่กำลังจะจ้องตะครุบเหยื่ออัดแน่นด้วยภัยคุกคาม

เมื่อเห็นท่าทางของมู่เฉิน จงเถิงที่ประจันหน้ากับมั่วเฟิงก็รู้สึกอึดอัดใจ เขาต้องแยกสมาธิอยู่ตลอดเพื่อจับตามองมู่เฉิน ป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายเคลื่อนไหวมาประสานพลังกับมั่วเฟิง

ด้วยวิธีนี้สมาธิของจงเถิงจึงค่อนข้างฟุ้งซ่าน สุดท้ายเขาได้แต่กัดฟัน ถอนคลื่นหลิงและถอยออกจากบริเวณของมั่วเฟิง

“พี่มั่วยากสำหรับการต่อสู้ของเราที่จะได้ข้อสรุป ทำไมเราไม่ไปจัดการคนอื่นและรับที่นั่งมาล่ะ?” ขณะที่จงเถิงถอยกลับเสียงก็สะท้อนก้องไปด้วย

มั่วเฟิงจ้องมองจงเถิงอย่างไม่แยแสก่อนที่จะพยักหน้า นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าหากพวกเขายังอยู่ในสถานการณ์ยืนจ้องหน้ากันก็จะไม่เกิดผลลัพธ์ใด หากเขาร่วมมือกับมู่เฉิน พวกเขาอาจทำให้จงเถิงบ้าดีเดือดขึ้นมา แม้แต่พวกเขาก็ต้องจ่ายราคามหาศาลจากการตีโต้

ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาคือการได้ที่นั่งเพื่อเข้าสู่ชั้นสี่

เมื่อจงเถิงเห็นคำตอบของมั่วเฟิงก็รู้สึกโล่งใจในใจ เขาถอยกลับอย่างรวดเร็วออกจากจุดที่มู่เฉินและมั่วเฟิงอยู่ เขาครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนจะเลือกปะทะกับคนที่อ่อนแอกว่า

พอมู่เฉินเห็นจงเถิงไปแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจอีกต่อไป สายตาหันมามองมั่วเฟิงแล้วก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มแสดงความขอบคุณในการช่วยเหลือครั้งนี้

สายตาของมั่วเฟิงเป็นมิตรมากขึ้น คิดว่าการที่มู่เฉินเอาชนะลู่สุย ทำให้มั่วเฟิงมองมู่เฉินในฐานะจอมยุทธ์ที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเขา ดังนั้นจึงไม่ได้มีท่าทางเฉยเมยเหมือนเมื่อก่อน

มั่วเฟิงพยักหน้าให้มู่เฉิน ก่อนที่จะหันหลังกลับและเริ่มเลือกคู่ต่อสู้ของตนเอง

ครืน!

เมื่อทุกคนเลือกคู่ต่อสู้แล้ว ทันใดนั้นคลื่นหลิงก็ระเบิดรุนแรงบนลานเมฆสายฟ้า คลื่นกระแทกกวาดออก ทำให้มิติเกิดการสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไม่หยุด

บนลานเมฆสายฟ้าพลังงานหลิงกวาดหายนะ มีเพียงตรงมู่เฉินเท่านั้นที่ไม่ถูกรบกวน เนื่องจากไม่มีใครกล้าเหยียบเข้ามาในรัศมีพันจั้ง ยามนี้เขาเหมือนผู้ชมที่ดูการต่อสู้ติดขอบ ในเวลาเดียวกันก็บันทึกกระบวนท่าที่ทรงพลังของบางคนไว้ในสมอง

แม้ว่าในชั้นนี้พวกเขาอาจไม่ได้ประลองกัน แต่ก็ยังมีอีกสองชั้นรอพวกเขาอยู่ ใครจะสามารถรับประกันได้ว่าจะไม่มีการลดจำนวนลงในชั้นต่อไป?

ดังนั้นถ้ามีโอกาสเขาต้องพยายามจดจำข้อมูลผู้อื่นเก็บไว้

ภายใต้การสังเกตของมู่เฉิน การประลองบนลานเมฆสายฟ้าก็คงอยู่ชั่วระยะหนึ่ง ก่อนที่แต่ละคู่จะมาถึงจุดสิ้นสุด ผลลัพธ์ก็เป็นไปตามที่คาดไว้

หลังจากมู่เฉินก็เป็นหานซันที่เอาชนะคู่ต่อสู้ได้ที่นั่งที่สองไป

จากนั้นมั่วเฟิงและจงเถิงก็คว้าชัยชนะตามมา

ที่นั่งสุดท้ายตกเป็นของสีคุนที่ก่อนหน้านี้เคยแพ้หานซันที่ด้านนอกเจดีย์ ชายนี้มีความแข็งแกร่งที่น่าตกใจ แม้แต่หานซันยังต้องใช้ทักษะเต็มที่ถึงจะได้รับชัยชนะมา

เมื่อสีคุนได้รับที่นั่งสุดท้ายลานเมฆสายฟ้าขนาดใหญ่ก็เงียบลงอีกครั้ง ร่างทั้งห้ายืนอยู่ ขณะรัศมีไร้ขอบเขตทั้งห้าสายพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าชนกันเปรี้ยงปร้าง

ทว่าการชนกันก็ดำเนินไปเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ก่อนที่ทั้งห้าจะถอนคลื่นพลังพร้อมกัน พวกเขาเหลือบมองกันและกัน จากนั้นก็ไม่ลังเลทะยานออกไปปรากฏตัวบนเบาะทั้งห้า

สายตาพวกเขาพุ่งตรงไปยังมิติด้านหลังลานเมฆสายฟ้าด้วยความโลภ ตรงนั้นเส้นดาวหางจำนวนมากกวาดผ่านราวกับฝนดาวตก

ในแสงเหล่านั้นแก่นหยดสายฟ้ากำลังกะพริบด้วยความแวววาว


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท