หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1063 แก่นมรดกโลหิต
วาบ!
เมื่อมู่เฉินทะยานขึ้นไปที่รูปปั้นหินวิหคอมตะ จงชิงเฟิงและลู่โหวก็พุ่งไปที่รูปปั้นอีกสองรูป
พวกเขาผ่านการต่อสู้ที่ยากลำบากมากมายเพื่อมาที่นี่ ตอนนี้ถึงเวลาที่พวกเขาจะได้เพลิดเพลินกับผลงานของตนเอง
บนแท่นบูชาทุกคนจ้องมองไปที่ร่างเงาทั้งสามที่เคลื่อนไปยังรูปปั้นหิน ดวงตาของพวกเขาก็เปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ นั่นคือแก่นมรดกโลหิตของมหาเทพอสูร หากพวกเขาสามารถได้รับมาก็จะเกิดการพัฒนาสายเลือด ทำให้เส้นทางการเพาะบ่มขุมพลังราบรื่นขึ้น
มากจนพวกเขาอาจช่วยให้ก้าวเข้าสู่ระดับตี้จื้อจุนในอนาคตได้
แต่น่าเสียดายที่แก่นโลหิตทั้งสามมีเจ้าของแล้ว เผชิญหน้ากับคู่แข่งทรงพลังเหล่านี้ กระทั่งพวกเขายังทำได้เพียงแต่มองผู้อื่นเก็บเกี่ยวไป
ภายใต้สายตาร้อนระอุ มู่เฉินปรากฏขึ้นที่บันไดหินขั้นบนสุด เขาพลิ้วตัวที่เบื้องหน้ารูปปั้น จ้องมองรูปปั้นที่มีขนาดประมาณพันจั้ง ซึ่งมีร่องรอยที่ทิ้งไว้โดยกาลเวลาทำให้ดูเก่าแก่มาก ปีกคู่มหึมาที่กางออกปกคลุมท้องฟ้าซึ่งราวกับลุกโชนด้วยเพลิงอมตะ ถึงแม้ว่าจะละร่างไปหลายหมื่นปี แต่ก็เหมือนยังคงมีพลังชีวิตเหลืออยู่
มู่เฉินฉายสีหน้าเคร่งเครียด แม้จะเป็นเพียงรูปปั้นหินเบื้องหน้า แต่เขาก็ยังรู้สึกถึงแรงกดดันที่อธิบายไม่ได้ แรงกดดันที่ส่งออกมาทะลวงลงสู่หัวใจอย่างรวดเร็ว ทำให้เขารู้สึกราวกับว่ามีก้อนหินถ่วงอยู่ในใจ หากเป็นคนที่มีจิตใจไม่มั่นคง คนคนนั้นคงล้มพับกับพื้นไปนานแล้ว
นี่เป็นแรงกดดันของมหาเทพ
พลังอำนาจระดับเทียนจื้อจุน
“หืม?”
ขณะที่มู่เฉินสัมผัสได้ถึงพลังแผ่วเบาจากรูปปั้น ดวงตาก็หดเกร็งลง เขาเห็นเพลิงบางจางที่ตอนแรกเหมือนไม่มีอยู่จริงบนรูปปั้นของวิหคอมตะโบราณเริ่มลุกโชน
เพลิงนี้แปลกมากดูคล้ายกับอัญมณี เหมือนไม่มีอยู่จริง แต่ขณะที่เผาไหม้ก็มีพลังไร้ขอบเขตแผ่ขยายออกมาราวกับเป็นนิจนิรันดร์
“ระดับสูงสุดของเพลิงอมตะ!”
มู่เฉินจำแนกเปลวไฟที่ใสราวกับอัญมณีได้อย่างรวดเร็ว เนื่องจากได้สร้างพันธะโลหิต ตัวเขาจึงได้รับเพลิงอมตะจากจิ่วโยวหลังจากที่นางก้าวเข้าสู่ระดับจื้อจุนเพื่อชำระคลื่นหลิงของเขา
ดังนั้นคลื่นหลิงของเขาจึงมีพลังเพลิงอมตะบรรจุอยู่ ความคุ้นเคยก็มาจากสิ่งนั้น
แต่เพลิงอมตะที่เบื้องหน้าเขาเป็นระดับสูงสุด ซึ่งมีความแข็งแกร่งกว่าเพลิงอมตะสีม่วงของจิ่วโยวหลายขุม
เมื่อผลึกเพลิงปรากฏขึ้น จู่ๆ มู่เฉินก็รู้สึกว่ารูปปั้นสั่นไหว เขาอึ้งไปก่อนที่จะเห็นว่าดวงตาของรูปปั้นหินวิหคอมตะเปิดขึ้นกะทันหันในเวลานี้
ดวงตาของมันอัดแน่นไปด้วยแสงระยิบระยับไม่มีม่านตาให้เห็น แต่เมื่อเปิดตาขึ้น เพลิงอมตะไร้ขอบเขตก็กวาดออกราวกับเสาเพลิงครอบคลุมร่างมู่เฉินเอาไว้
อ้าก!
ช่วงเวลานั้นผลึกเพลิงอมตะก็พุ่งลงมาบนร่าง ใบหน้าของมู่เฉินบิดเบี้ยวทันที ความเจ็บปวดจากการแผดเผาที่ไม่สามารถอธิบายได้กระจายไปทั่วสรรพางค์กาย ทำเอาเขาเกือบหมดสติ
แต่ดีที่เขามีจิตใจตั้งมั่น ทำให้จิตใจไม่ได้ถูกความเจ็บปวดกลืนกิน เขาเร้ากายามังกรหงส์ขึ้นมา ทันใดนั้นเสียงคำรามของมังกรและหงส์ฟ้าก็ก้องดังออกมาจากร่างกาย สั่นสะเทือนเลือดเนื้อต่อต้านการแผดเผาของเพลิงอมตะ
ริ้วแสงสีทองพวยพุ่งบนผิวหนัง จิตวิญญาณมังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริงก็เริ่มเคลื่อนไหวดูดซับเพลิงอมตะอย่างต่อเนื่อง พยายามที่จะช่วยมู่เฉินต่อต้านความเสียหายจากการเผาไหม้
แต่ถึงแม้จะมีการป้องกัน บนผิวหนังก็ยังถูกเผาอย่างรวดเร็วจนถึงจุดที่เนื้อของเขาเริ่มพุพอง ราวกับว่าเขากำลังถูกครอบงำโดยเพลิงอมตะเมื่อมองจากที่ไกล
ฉากที่เกิดขึ้นกะทันหันทำให้ผู้คนบนแท่นเปลี่ยนสีหน้าพร้อมกับแววตาหวาดผวา ชัดว่าพวกเขาก็สามารถสัมผัสได้ถึงความน่ากลัวของเพลิงอมตะเช่นกัน
แต่สถานการณ์นี้ไม่ได้มีเพียงมู่เฉินเท่านั้น ฉากที่คล้ายกันปรากฏขึ้นพร้อมกันที่เบื้องหน้าปักษาวิญญาณโบราณและอสูรไร้พิรุณโบราณ
รูปปั้นปักษาวิญญาณโบราณเปล่งริ้วแสงแวววาวนับไม่ถ้วนพร้อมกับเสียงร้องคลุมเครือซึ่งห่อหุ้มร่างจงชิงเฟิงเอาไว้ทันที กดดันให้เขาต้องคุกเข่าลงกับพื้น เสียงแตกดังออกมาจากกระดูก
ส่วนรูปปั้นหินอสูรไร้พิรุณโบราณยิ่งเผด็จการมากกว่า มันเหยียดเท้าออกมากระทืบลงไปที่ร่างลู่โหว…
เมื่อทุกคนเห็นฉากนี้ก็เข้าใจทันทีว่านี่คือการทดสอบขั้นสุดท้ายที่ถูกทิ้งไว้เบื้องหลังโดยราชันทั้งสาม หากพวกเขาสามารถผ่านการทดสอบก็จะได้รับแก่นมรดกโลหิตไป
ทว่าจากการทดสอบทั้งสาม จงชิงเฟิงและลู่โหวดูเหมือนจะง่ายกว่ามู่เฉิน แต่เมื่อคิดดูแล้วก็เข้าใจได้ เพราะเผ่าพวกเขามีความสัมพันธ์กับมหาเทพอสูรทั้งสอง ดังนั้นการทดสอบสำหรับพวกเขาจึงไม่ยากเกินไป แต่สำหรับมู่เฉินแล้วโชคร้ายมาก
ผลึกเพลิงเผด็จการอย่างยิ่งยวด แผดเผามู่เฉินอย่างไร้ความปราณีจนถึงจุดที่ผิวหนังปริแยกออกจากกัน ฉากนี้ไม่เหมือนการทดสอบ ในทางกลับกันดูเหมือนว่ากำลังเผาไหม้คนที่มาจากเผ่าพันธุ์อื่น
“หึ เขากำลังรนหาที่ตาย มนุษย์ยังกล้าที่จะสัมผัสเผ่าพันธุ์เทพอสูรเรอะ?” เมื่อไป๋ปิงเห็นภาพนี้ เขาก็รู้สึกโล่งใจ แววเยาะเย้ยวูบไหวในดวงตา ก่อนหน้าเขาถูกปราบโดยมู่เฉินให้ตกอยู่ในสภาวะน่าสมเพช ตอนนี้ในที่สุดเขาก็สามารถระบายความโกรธได้บ้าง
เมื่อจิ่วโยวเห็นมู่เฉินเจ็บปวดแสนสาหัสจากเพลิงอมตะ ใบหน้าของนางก็เปลี่ยนไป เนื่องจากนางรู้ว่าการทดสอบต้องการให้เขาพิสูจน์ตัวเอง วิหคอมตะโบราณคงไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องในสายเลือดได้รับมรดกไป
“พี่ใหญ่จิ่วโยวทำยังไงดี?” มั่วหลิงถามอย่างร้อนรน เพลิงอมตะที่ห่อหุ้มมู่เฉินเริ่มแกร่งกร้าวขึ้นราวกับว่าต้องการแผดเผามู่เฉินให้กลายเป็นเถ้าถ่านก่อนที่จะหยุด
สีหน้าของจิ่วโยวเปลี่ยนไป อึดใจนางก็ขบฟัน กรีดข้อมือด้วยปลายนิ้ว ทันใดนั้นเลือดสดก็พรูออกมาเหมือนกับเสาโลหิตจากบาดแผล
นิ้วของนางเบนออก ทำให้เลือดสดแผ่กระจายประพรมลงบนร่างที่กำลังไหม้ของมู่เฉิน
สายเลือดของนางมาจากวิหคอมตะ ดังนั้นเลือดของนางน่าจะสามารถช่วยมู่เฉินได้
ตามที่นางคาดไว้เมื่อเลือดของนางตกลงไป แม้ว่ามู่เฉินจะชุ่มโชกไปด้วยเลือด แต่ผลึกเพลิงบนร่างของเขาก็เริ่มอ่อนลง
อาการปวดแสบปวดร้อนรุนแรงค่อยๆ จางหาย ใบหน้าที่บิดเบี้ยวของมู่เฉินก็ฟื้นคืนดังเดิมอย่างช้าๆ ดวงตาเขาส่องประกายเมื่อเห็นเพลิงอมตะแผ่วเบาลง
ผลึกเพลิงอมตะเหล่านี้มีระดับสูงสุดทั้งครอบงำและบริสุทธิ์ด้วยพลังไร้ขอบเขต หากเขาสามารถชำระและดูดซับไว้ได้แล้วรวมเข้ากับคลื่นหลิงของเขา ก็จะทำให้พลังงานของเขาเติบโตทบทวีคูณอย่างเอนกอนันต์ แม้แต่คุณภาพก็จะถูกยกขึ้นสู่ระดับใหม่
ในเมื่อมันก่อความเจ็บปวดใหญ่หลวงให้เขา ก็ต้องตอบแทนบางอย่างแก่เขา ถ้าเขาปล่อยให้มันเหือดหายไปเช่นนี้ ก็สิ้นเปลืองโดยเปล่าประโยชน์
เมื่อความคิดนี้วาบขึ้น มู่เฉินก็ไม่ลังเลอีกต่อไป แรงดูดพุ่งออกมาจากร่างดูดซับผลึกเพลิงอมตะที่ใสราวกับอัญมณีเข้ามาในร่าง รวมเข้ากับจุดจื้อจุนไห่ของเขา
ผลึกเพลิงอมตะเคลื่อนลงสู่จุดจื้อจุนไห่ คลื่นหลิงในร่างก็ถูกต้มจนเดือดพล่านจากเปลวเพลิง ทว่ามู่เฉินก็ไม่กลัว เพียงแค่คิดเขาก็หมุนเวียนคลื่นหลิงก่อให้เกิดสายธารกวาดผลึกเพลิงลงไปในจุดจื้อจุนไห่ของเขา ค่อยๆ กลั่นผ่านการเผาไหม้
เมื่อถึงเวลาที่เพลิงหมดลง เขาเชื่อว่าคุณภาพของคลื่นหลิงที่อยู่ในจุดจื้อจุนไห่ก็จะเพิ่มพูนอย่างมีนัยเช่นกัน
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าจะเป็นการเพิ่มพลังการต่อสู้ของเขาแค่ไหน
เบื้องหน้ารูปปั้นหิน ผลึกเพลิงที่ลุกโชติช่วงบนร่างของมู่เฉินค่อยๆ หดกลับก่อนจะหายไป เมื่อเปลวไฟหายไป พื้นผิวร่างกายของมู่เฉินก็เปล่งประกายด้วยแสงสีทอง ผิวหนังและเนื้อที่ไหม้เกรียมก็ได้รับการรักษาอย่างรวดเร็วภายใต้กายามังกรหงส์ ยิ่งกว่านั้นความแวววาวก็ยิ่งใหญ่ขึ้นและมีพลังระเบิดบรรจุอยู่ใต้ผิวหนังของเขาด้วย
มู่เฉินค่อยๆ คลายกำปั้นเหลือบมองไปที่จิ่วโยวที่มีใบหน้าขาวซีด หากนางไม่ได้ใช้เลือดเพื่อช่วยเขาละก็ เขาอาจจะบินไปมาระหว่างชีวิตและความตายจากการเผาไหม้นี้
“นังสารเลว!”
ใบหน้าของไป๋ปิงเขียวคล้ำ เขาหวังว่าจะได้เห็นมู่เฉินถูกเผาไหม้จนตาย เมื่อถึงตอนนั้นเขาจะสามารถเคลื่อนไหวแย่งชิงแก่นมรดกโลหิตวิหคอมตะโบราณได้ แต่ไม่คิดว่าจิ่วโยวจะยื่นมือเข้ามาช่วยกะทันหัน ช่วยให้มู่เฉินต่อต้านการแผดเผาของผลึกเพลิงอมตะ ซึ่งนี่ทำลายแผนการของเขาอย่างสมบูรณ์
แต่เนื่องจากสิ่งต่างๆ เกิดขึ้นแล้ว ก็ไม่มีอะไรที่เขาสามารถทำได้ ดังนั้นเขาจึงได้แต่กล้ำกลืนความโกรธลงไป มากจนถึงขนาดเขาไม่กล้าแม้แต่จะมองมู่เฉิน กลัวว่าอีกฝ่ายจะรู้สึกได้
เมื่อผลึกเพลิงอมตะริ้วสุดท้ายหายไปจากผิวของมู่เฉิน แสงก็เบ่งบานจากรูปปั้นหินวิหคอมตะโบราณอีกครั้ง มู่เฉินที่ได้รับความทนทุกข์อย่างมากเมื่อครู่ไม่กล้ามีปฏิกิริยาตอบสนองชักช้า เขารีบถอยกลับออกมาก้าวหนึ่ง ใบหน้าฉาบแววเคร่งเครียด เพราะกลัวว่าตนเองจะถูกทรมานจากรูปปั้นหินใจโฉดอีก
แต่โชคดีที่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น มีเพียงรัศมีทรงกลดเพิ่มขึ้นในดวงตาของรูปปั้นหินวิหคอมตะโบราณ ไม่มีความลึกกลวงเหมือนเมื่อก่อน
วิหคอมตะโบราณลดดวงตาลงจ้องมองมู่เฉิน ก่อนที่จะเปิดกระหม่อมขึ้น ความแวววาวไร้ขอบเขตพุ่งออกมา ริ้วแสงนี้มีสีแดงเข้มมากควบแน่นเป็นอัญมณีสีแดงเข้มขนาดเท่าฝ่ามือ ดูเหมือนมีวิหคอมตะบินฉวัดเฉวียนอยู่ในก้อนอัญมณี
เมื่อมู่เฉินเห็นอัญมณีสีแดงเข้ม แม้แต่เขาที่สงบอารมณ์ได้ดียังอดใจสั่นหวั่นไหวไม่ได้ เพราะเขารู้ว่าสิ่งนี้จะต้องแก่นมรดกโลหิตวิหคอมตะโบราณแน่นอน
ตราบใดที่ได้รับสิ่งนี้ก็จะช่วยจิ่วโยวให้มีสายเลือดสมบูรณ์แบบ หากมีโอกาสเพียงพอในอนาคตนางอาจจะสามารถพัฒนาเป็นวิหคอมตะโบราณที่เปรียบได้กับระดับเทียนจื้อจุนเลยทีเดียว!
มู่เฉินเอื้อมมือทั้งสองออกอย่างระมัดระวังรับอัญมณีสีแดงเข้มไว้ สุดท้ายเขาก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่รู้สึกโล่งใจอย่างมาก ในที่สุดเขาก็ได้รับแก่นมรดกโลหิตมาแล้ว!