หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – ตอนที่ 1063

ตอนที่ 1063

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1063 แก่นมรดกโลหิต
วาบ!

เมื่อมู่เฉินทะยานขึ้นไปที่รูปปั้นหินวิหคอมตะ จงชิงเฟิงและลู่โหวก็พุ่งไปที่รูปปั้นอีกสองรูป

พวกเขาผ่านการต่อสู้ที่ยากลำบากมากมายเพื่อมาที่นี่ ตอนนี้ถึงเวลาที่พวกเขาจะได้เพลิดเพลินกับผลงานของตนเอง

บนแท่นบูชาทุกคนจ้องมองไปที่ร่างเงาทั้งสามที่เคลื่อนไปยังรูปปั้นหิน ดวงตาของพวกเขาก็เปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ นั่นคือแก่นมรดกโลหิตของมหาเทพอสูร หากพวกเขาสามารถได้รับมาก็จะเกิดการพัฒนาสายเลือด ทำให้เส้นทางการเพาะบ่มขุมพลังราบรื่นขึ้น

มากจนพวกเขาอาจช่วยให้ก้าวเข้าสู่ระดับตี้จื้อจุนในอนาคตได้

แต่น่าเสียดายที่แก่นโลหิตทั้งสามมีเจ้าของแล้ว เผชิญหน้ากับคู่แข่งทรงพลังเหล่านี้ กระทั่งพวกเขายังทำได้เพียงแต่มองผู้อื่นเก็บเกี่ยวไป

ภายใต้สายตาร้อนระอุ มู่เฉินปรากฏขึ้นที่บันไดหินขั้นบนสุด เขาพลิ้วตัวที่เบื้องหน้ารูปปั้น จ้องมองรูปปั้นที่มีขนาดประมาณพันจั้ง ซึ่งมีร่องรอยที่ทิ้งไว้โดยกาลเวลาทำให้ดูเก่าแก่มาก ปีกคู่มหึมาที่กางออกปกคลุมท้องฟ้าซึ่งราวกับลุกโชนด้วยเพลิงอมตะ ถึงแม้ว่าจะละร่างไปหลายหมื่นปี แต่ก็เหมือนยังคงมีพลังชีวิตเหลืออยู่

มู่เฉินฉายสีหน้าเคร่งเครียด แม้จะเป็นเพียงรูปปั้นหินเบื้องหน้า แต่เขาก็ยังรู้สึกถึงแรงกดดันที่อธิบายไม่ได้ แรงกดดันที่ส่งออกมาทะลวงลงสู่หัวใจอย่างรวดเร็ว ทำให้เขารู้สึกราวกับว่ามีก้อนหินถ่วงอยู่ในใจ หากเป็นคนที่มีจิตใจไม่มั่นคง คนคนนั้นคงล้มพับกับพื้นไปนานแล้ว

นี่เป็นแรงกดดันของมหาเทพ

พลังอำนาจระดับเทียนจื้อจุน

“หืม?”

ขณะที่มู่เฉินสัมผัสได้ถึงพลังแผ่วเบาจากรูปปั้น ดวงตาก็หดเกร็งลง เขาเห็นเพลิงบางจางที่ตอนแรกเหมือนไม่มีอยู่จริงบนรูปปั้นของวิหคอมตะโบราณเริ่มลุกโชน

เพลิงนี้แปลกมากดูคล้ายกับอัญมณี เหมือนไม่มีอยู่จริง แต่ขณะที่เผาไหม้ก็มีพลังไร้ขอบเขตแผ่ขยายออกมาราวกับเป็นนิจนิรันดร์

“ระดับสูงสุดของเพลิงอมตะ!”

มู่เฉินจำแนกเปลวไฟที่ใสราวกับอัญมณีได้อย่างรวดเร็ว เนื่องจากได้สร้างพันธะโลหิต ตัวเขาจึงได้รับเพลิงอมตะจากจิ่วโยวหลังจากที่นางก้าวเข้าสู่ระดับจื้อจุนเพื่อชำระคลื่นหลิงของเขา

ดังนั้นคลื่นหลิงของเขาจึงมีพลังเพลิงอมตะบรรจุอยู่ ความคุ้นเคยก็มาจากสิ่งนั้น

แต่เพลิงอมตะที่เบื้องหน้าเขาเป็นระดับสูงสุด ซึ่งมีความแข็งแกร่งกว่าเพลิงอมตะสีม่วงของจิ่วโยวหลายขุม

เมื่อผลึกเพลิงปรากฏขึ้น จู่ๆ มู่เฉินก็รู้สึกว่ารูปปั้นสั่นไหว เขาอึ้งไปก่อนที่จะเห็นว่าดวงตาของรูปปั้นหินวิหคอมตะเปิดขึ้นกะทันหันในเวลานี้

ดวงตาของมันอัดแน่นไปด้วยแสงระยิบระยับไม่มีม่านตาให้เห็น แต่เมื่อเปิดตาขึ้น เพลิงอมตะไร้ขอบเขตก็กวาดออกราวกับเสาเพลิงครอบคลุมร่างมู่เฉินเอาไว้

อ้าก!

ช่วงเวลานั้นผลึกเพลิงอมตะก็พุ่งลงมาบนร่าง ใบหน้าของมู่เฉินบิดเบี้ยวทันที ความเจ็บปวดจากการแผดเผาที่ไม่สามารถอธิบายได้กระจายไปทั่วสรรพางค์กาย ทำเอาเขาเกือบหมดสติ

แต่ดีที่เขามีจิตใจตั้งมั่น ทำให้จิตใจไม่ได้ถูกความเจ็บปวดกลืนกิน เขาเร้ากายามังกรหงส์ขึ้นมา ทันใดนั้นเสียงคำรามของมังกรและหงส์ฟ้าก็ก้องดังออกมาจากร่างกาย สั่นสะเทือนเลือดเนื้อต่อต้านการแผดเผาของเพลิงอมตะ

ริ้วแสงสีทองพวยพุ่งบนผิวหนัง จิตวิญญาณมังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริงก็เริ่มเคลื่อนไหวดูดซับเพลิงอมตะอย่างต่อเนื่อง พยายามที่จะช่วยมู่เฉินต่อต้านความเสียหายจากการเผาไหม้

แต่ถึงแม้จะมีการป้องกัน บนผิวหนังก็ยังถูกเผาอย่างรวดเร็วจนถึงจุดที่เนื้อของเขาเริ่มพุพอง ราวกับว่าเขากำลังถูกครอบงำโดยเพลิงอมตะเมื่อมองจากที่ไกล

ฉากที่เกิดขึ้นกะทันหันทำให้ผู้คนบนแท่นเปลี่ยนสีหน้าพร้อมกับแววตาหวาดผวา ชัดว่าพวกเขาก็สามารถสัมผัสได้ถึงความน่ากลัวของเพลิงอมตะเช่นกัน

แต่สถานการณ์นี้ไม่ได้มีเพียงมู่เฉินเท่านั้น ฉากที่คล้ายกันปรากฏขึ้นพร้อมกันที่เบื้องหน้าปักษาวิญญาณโบราณและอสูรไร้พิรุณโบราณ

รูปปั้นปักษาวิญญาณโบราณเปล่งริ้วแสงแวววาวนับไม่ถ้วนพร้อมกับเสียงร้องคลุมเครือซึ่งห่อหุ้มร่างจงชิงเฟิงเอาไว้ทันที กดดันให้เขาต้องคุกเข่าลงกับพื้น เสียงแตกดังออกมาจากกระดูก

ส่วนรูปปั้นหินอสูรไร้พิรุณโบราณยิ่งเผด็จการมากกว่า มันเหยียดเท้าออกมากระทืบลงไปที่ร่างลู่โหว…

เมื่อทุกคนเห็นฉากนี้ก็เข้าใจทันทีว่านี่คือการทดสอบขั้นสุดท้ายที่ถูกทิ้งไว้เบื้องหลังโดยราชันทั้งสาม หากพวกเขาสามารถผ่านการทดสอบก็จะได้รับแก่นมรดกโลหิตไป

ทว่าจากการทดสอบทั้งสาม จงชิงเฟิงและลู่โหวดูเหมือนจะง่ายกว่ามู่เฉิน แต่เมื่อคิดดูแล้วก็เข้าใจได้ เพราะเผ่าพวกเขามีความสัมพันธ์กับมหาเทพอสูรทั้งสอง ดังนั้นการทดสอบสำหรับพวกเขาจึงไม่ยากเกินไป แต่สำหรับมู่เฉินแล้วโชคร้ายมาก

ผลึกเพลิงเผด็จการอย่างยิ่งยวด แผดเผามู่เฉินอย่างไร้ความปราณีจนถึงจุดที่ผิวหนังปริแยกออกจากกัน ฉากนี้ไม่เหมือนการทดสอบ ในทางกลับกันดูเหมือนว่ากำลังเผาไหม้คนที่มาจากเผ่าพันธุ์อื่น

“หึ เขากำลังรนหาที่ตาย มนุษย์ยังกล้าที่จะสัมผัสเผ่าพันธุ์เทพอสูรเรอะ?” เมื่อไป๋ปิงเห็นภาพนี้ เขาก็รู้สึกโล่งใจ แววเยาะเย้ยวูบไหวในดวงตา ก่อนหน้าเขาถูกปราบโดยมู่เฉินให้ตกอยู่ในสภาวะน่าสมเพช ตอนนี้ในที่สุดเขาก็สามารถระบายความโกรธได้บ้าง

เมื่อจิ่วโยวเห็นมู่เฉินเจ็บปวดแสนสาหัสจากเพลิงอมตะ ใบหน้าของนางก็เปลี่ยนไป เนื่องจากนางรู้ว่าการทดสอบต้องการให้เขาพิสูจน์ตัวเอง วิหคอมตะโบราณคงไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องในสายเลือดได้รับมรดกไป

“พี่ใหญ่จิ่วโยวทำยังไงดี?” มั่วหลิงถามอย่างร้อนรน เพลิงอมตะที่ห่อหุ้มมู่เฉินเริ่มแกร่งกร้าวขึ้นราวกับว่าต้องการแผดเผามู่เฉินให้กลายเป็นเถ้าถ่านก่อนที่จะหยุด

สีหน้าของจิ่วโยวเปลี่ยนไป อึดใจนางก็ขบฟัน กรีดข้อมือด้วยปลายนิ้ว ทันใดนั้นเลือดสดก็พรูออกมาเหมือนกับเสาโลหิตจากบาดแผล

นิ้วของนางเบนออก ทำให้เลือดสดแผ่กระจายประพรมลงบนร่างที่กำลังไหม้ของมู่เฉิน

สายเลือดของนางมาจากวิหคอมตะ ดังนั้นเลือดของนางน่าจะสามารถช่วยมู่เฉินได้

ตามที่นางคาดไว้เมื่อเลือดของนางตกลงไป แม้ว่ามู่เฉินจะชุ่มโชกไปด้วยเลือด แต่ผลึกเพลิงบนร่างของเขาก็เริ่มอ่อนลง

อาการปวดแสบปวดร้อนรุนแรงค่อยๆ จางหาย ใบหน้าที่บิดเบี้ยวของมู่เฉินก็ฟื้นคืนดังเดิมอย่างช้าๆ ดวงตาเขาส่องประกายเมื่อเห็นเพลิงอมตะแผ่วเบาลง

ผลึกเพลิงอมตะเหล่านี้มีระดับสูงสุดทั้งครอบงำและบริสุทธิ์ด้วยพลังไร้ขอบเขต หากเขาสามารถชำระและดูดซับไว้ได้แล้วรวมเข้ากับคลื่นหลิงของเขา ก็จะทำให้พลังงานของเขาเติบโตทบทวีคูณอย่างเอนกอนันต์ แม้แต่คุณภาพก็จะถูกยกขึ้นสู่ระดับใหม่

ในเมื่อมันก่อความเจ็บปวดใหญ่หลวงให้เขา ก็ต้องตอบแทนบางอย่างแก่เขา ถ้าเขาปล่อยให้มันเหือดหายไปเช่นนี้ ก็สิ้นเปลืองโดยเปล่าประโยชน์

เมื่อความคิดนี้วาบขึ้น มู่เฉินก็ไม่ลังเลอีกต่อไป แรงดูดพุ่งออกมาจากร่างดูดซับผลึกเพลิงอมตะที่ใสราวกับอัญมณีเข้ามาในร่าง รวมเข้ากับจุดจื้อจุนไห่ของเขา

ผลึกเพลิงอมตะเคลื่อนลงสู่จุดจื้อจุนไห่ คลื่นหลิงในร่างก็ถูกต้มจนเดือดพล่านจากเปลวเพลิง ทว่ามู่เฉินก็ไม่กลัว เพียงแค่คิดเขาก็หมุนเวียนคลื่นหลิงก่อให้เกิดสายธารกวาดผลึกเพลิงลงไปในจุดจื้อจุนไห่ของเขา ค่อยๆ กลั่นผ่านการเผาไหม้

เมื่อถึงเวลาที่เพลิงหมดลง เขาเชื่อว่าคุณภาพของคลื่นหลิงที่อยู่ในจุดจื้อจุนไห่ก็จะเพิ่มพูนอย่างมีนัยเช่นกัน

ไม่ต้องสงสัยเลยว่าจะเป็นการเพิ่มพลังการต่อสู้ของเขาแค่ไหน

เบื้องหน้ารูปปั้นหิน ผลึกเพลิงที่ลุกโชติช่วงบนร่างของมู่เฉินค่อยๆ หดกลับก่อนจะหายไป เมื่อเปลวไฟหายไป พื้นผิวร่างกายของมู่เฉินก็เปล่งประกายด้วยแสงสีทอง ผิวหนังและเนื้อที่ไหม้เกรียมก็ได้รับการรักษาอย่างรวดเร็วภายใต้กายามังกรหงส์ ยิ่งกว่านั้นความแวววาวก็ยิ่งใหญ่ขึ้นและมีพลังระเบิดบรรจุอยู่ใต้ผิวหนังของเขาด้วย

มู่เฉินค่อยๆ คลายกำปั้นเหลือบมองไปที่จิ่วโยวที่มีใบหน้าขาวซีด หากนางไม่ได้ใช้เลือดเพื่อช่วยเขาละก็ เขาอาจจะบินไปมาระหว่างชีวิตและความตายจากการเผาไหม้นี้

“นังสารเลว!”

ใบหน้าของไป๋ปิงเขียวคล้ำ เขาหวังว่าจะได้เห็นมู่เฉินถูกเผาไหม้จนตาย เมื่อถึงตอนนั้นเขาจะสามารถเคลื่อนไหวแย่งชิงแก่นมรดกโลหิตวิหคอมตะโบราณได้ แต่ไม่คิดว่าจิ่วโยวจะยื่นมือเข้ามาช่วยกะทันหัน ช่วยให้มู่เฉินต่อต้านการแผดเผาของผลึกเพลิงอมตะ ซึ่งนี่ทำลายแผนการของเขาอย่างสมบูรณ์

แต่เนื่องจากสิ่งต่างๆ เกิดขึ้นแล้ว ก็ไม่มีอะไรที่เขาสามารถทำได้ ดังนั้นเขาจึงได้แต่กล้ำกลืนความโกรธลงไป มากจนถึงขนาดเขาไม่กล้าแม้แต่จะมองมู่เฉิน กลัวว่าอีกฝ่ายจะรู้สึกได้

เมื่อผลึกเพลิงอมตะริ้วสุดท้ายหายไปจากผิวของมู่เฉิน แสงก็เบ่งบานจากรูปปั้นหินวิหคอมตะโบราณอีกครั้ง มู่เฉินที่ได้รับความทนทุกข์อย่างมากเมื่อครู่ไม่กล้ามีปฏิกิริยาตอบสนองชักช้า เขารีบถอยกลับออกมาก้าวหนึ่ง ใบหน้าฉาบแววเคร่งเครียด เพราะกลัวว่าตนเองจะถูกทรมานจากรูปปั้นหินใจโฉดอีก

แต่โชคดีที่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น มีเพียงรัศมีทรงกลดเพิ่มขึ้นในดวงตาของรูปปั้นหินวิหคอมตะโบราณ ไม่มีความลึกกลวงเหมือนเมื่อก่อน

วิหคอมตะโบราณลดดวงตาลงจ้องมองมู่เฉิน ก่อนที่จะเปิดกระหม่อมขึ้น ความแวววาวไร้ขอบเขตพุ่งออกมา ริ้วแสงนี้มีสีแดงเข้มมากควบแน่นเป็นอัญมณีสีแดงเข้มขนาดเท่าฝ่ามือ ดูเหมือนมีวิหคอมตะบินฉวัดเฉวียนอยู่ในก้อนอัญมณี

เมื่อมู่เฉินเห็นอัญมณีสีแดงเข้ม แม้แต่เขาที่สงบอารมณ์ได้ดียังอดใจสั่นหวั่นไหวไม่ได้ เพราะเขารู้ว่าสิ่งนี้จะต้องแก่นมรดกโลหิตวิหคอมตะโบราณแน่นอน

ตราบใดที่ได้รับสิ่งนี้ก็จะช่วยจิ่วโยวให้มีสายเลือดสมบูรณ์แบบ หากมีโอกาสเพียงพอในอนาคตนางอาจจะสามารถพัฒนาเป็นวิหคอมตะโบราณที่เปรียบได้กับระดับเทียนจื้อจุนเลยทีเดียว!

มู่เฉินเอื้อมมือทั้งสองออกอย่างระมัดระวังรับอัญมณีสีแดงเข้มไว้ สุดท้ายเขาก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่รู้สึกโล่งใจอย่างมาก ในที่สุดเขาก็ได้รับแก่นมรดกโลหิตมาแล้ว!

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler ฟรี ได้ที่ novel-fast 


เรื่องย่อ

โดย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler บางส่วนของนิยาย

บทนำ

หนึ่งในใต้หล้าจากปลายปากกาของเทียนฉานถูโต้ว กล่าวถึงมู่เฉิน เด็กหนุ่มจากสำนักศึกษาเป่ยหลิง ผู้ที่ได้รับเลือกให้เข้าฝึกในสงครามเทพยุทธ์ซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าคนเก่งกาจ ทว่า… อยู่ดีๆ เขากลับถูกขับไล่ออกมาด้วยเหตุผลที่ไม่มีใครล่วงรู้ มู่เฉินพยายามฝึกหนักอีกครั้งเพื่อจะพาตัวเองกลับเข้าไปในเส้นทางแห่งนี้ เขาจำเป็นต้องใช้สิ่งนี้เป็นใบเบิกทางเพื่อเข้าศึกษาที่ภาคเบญจภาคี เพื่อ… ปกป้องหญิงสาวที่ตนรัก และยิ่งกว่านั้นคือเพื่อค้นหาเบาะแสของมารดาที่หายสาบสูญไป

‘มหาพันภพ’ เป็นที่ที่มิติทั้งหลายเชื่อมต่อกันในระบบสุริยจักรวาล สถานที่แห่งนี้มีขั้วอำนาจมากมายอาศัยอยู่ จักรพรรดิที่มาจากพิภพเขตล่างต่างเป็นตำนานที่ผู้อื่นปรารถนาขึ้นไปบนเส้นทางแห่งกฎของโลกไร้ขอบเขตนี้

แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว เทพจักรพรรดิอัคคีควบคุมเปลวเพลิงกวาดข้ามสวรรค์

แคว้นหวู เทพจักรพรรดิสงครามผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำให้ทั้งสวรรค์และโลกหวาดกลัว

ตำหนักซีเทียน จักรพรรดิสัประยุทธ์ที่แข็งแกร่งไม่มีผู้ใดเทียบเท่า ในเนินเขารกร้างทางเหนือ ดินแดนวั้นมู่ของจักรพรรดิอมตะครองเหนือภพ

เด็กหนุ่มจากมณฑลเป่ยหลิงออกท่องยุทธภพกับวิหคโลกันตร์คู่ใจ มุ่งหน้าสู่โลกภายนอกที่เต็มไปด้วยสีสัน ใครกันที่จะเป็นผู้กุมชะตากรรมในเส้นทางการเป็นหนึ่ง?

ในมหาพันภพที่สงครามนับหมื่นอุบัติ ข้าคือผู้กุมชะตาฟ้าดิน…

เรื่องย่อ

เมื่อคำพูดของมู่เฉินกระจายออกไป ไม่เพียงแต่จะไม่มีการตอบสนอง แม้แต่ด้านนอกเจดีย์ก็ถูกห่อหุ้มด้วยบรรยากาศราวกับป่าช้า…

ทุกคนตกตะลึงไปกับฉากนี้ พวกเขาจ้องมองจุดที่ลู่สุยหายตัวไป ราวกับว่ายังไม่สามารถฟื้นจากอาการตะลึงงันที่เกิดขึ้นได้

ก่อนหน้าเมื่อลู่สุยออกกระบวนท่าที่น่าสะพรึง ผู้คนส่วนใหญ่ก็คิดว่าผลลัพธ์ของการต่อสู้ได้ถูกกำหนดแล้ว ทว่าพวกเขาไม่คิดเลยว่ามู่เฉินจะพลิกสถานการณ์ได้อีกครั้ง เตะลู่สุยที่เหมือนจะคว้าชัยชนะออกไป

ทุกคนตะลึงไปพักใหญ่ ก่อนที่พวกเขาจะหลุดออกจากอาการได้ สายตาเคร่งเครียดลง การประลองกันครั้งนี้มู่เฉินไม่ได้ใช้ค่ายกล แต่เขาก็สามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดอย่างลู่สุยได้ด้วยความแข็งแกร่งที่อยู่ในขั้นหกเท่านั้น แม้ว่าจะมีผลจากลู่สุยประมาทเองในตอนแรก แต่นั่นก็แสดงให้เห็นว่ามู่เฉินน่ากลัวแค่ไหน

พลังเช่นนี้เขาสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์อันดับต้นๆ ในเจดีย์ฝึกพลังกายได้เลยทีเดียว

ทางฝั่งกลุ่มกระเรียนฟ้า ใบหน้าของหลิ่วชิงกลายเป็นเขียวสลับขาว นางมองไปที่ร่างสูงโปร่งบนหน้าจอ กลืนน้ำลายเหนียวหนืด ความกลัวปรากฏในดวงตาของนางเป็นครั้งแรก

มาถึงจุดนี้นางคงโง่แน่ถ้ายังคิดปฏิบัติต่อมู่เฉินเหมือนกับจอมยุทธ์ขั้นหกทั่วไป

ด้วยพลังในการต่อสู้ที่เขาแสดงออกมา บวกกับค่ายกลทรงพลัง แม้แต่จงเถิงก็ยากจะได้เปรียบหากพวกเขาต่อสู้กัน

ก่อนหน้านี้นางหัวเราะเยาะและมองจิ่วโยวด้วยความดูถูก แต่ตอนนี้นางอายแทบแทรกแผ่นดินหนี ซึ่งจุดนี้รู้ได้จากสายตาเยาะเย้ยเหล่านั้นที่ปรายมองเข้ามา

“ทำไมมู่เฉินถึงทรงพลังเช่นนี้?” จงฮั้วที่พ่ายแพ้ให้กับมู่เฉินก็มีสีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดเช่นกันว่ามู่เฉินพึ่งพาเพียงค่ายกลเพื่อจัดการกับศัตรู แต่ใครจะคิดว่าเมื่อไม่มีการใช้ค่ายกลมู่เฉินก็สามารถเอาชนะลู่สุยแบบดุร้ายยิ่งกว่าอะไร

“ดูเหมือนว่ามีเพียงพี่ใหญ่จงเถิงเท่านั้นที่สามารถจัดการกับเขาได้” จอมยุทธ์อีกคนของเผ่ากระเรียนฟ้าพยักหน้า

หลิ่วชิงพยักหน้าเบาๆ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะพิจารณาพลังของมู่เฉินพลาดไปเท่านั้น แม้แต่จงเถิงก็ตัดสินอีกฝ่ายผิดไป ชายคนนั้นเป็นสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง

ฟิ้ว!

ขณะที่นอกเจดีย์ต่างตกตะลึงกับผลลัพธ์ที่มู่เฉินนำมา ทันใดนั้นแสงก็กะพริบบนแท่นนอกเจดีย์ ร่างน่าสังเวชปรากฏขึ้น

เมื่อร่างนั้นออกมาก็รีบถอยกลับไปปรากฏตัวขึ้นในกลุ่มอีกาสายฟ้าทันควัน นี่ก็คือลู่สุยที่มีสีหน้าซีดขาว คลื่นหลิงของเขาถดถอยลงอย่างมาก

สายตาโดยรอบยิงเข้าหาในเวลานี้ทันที

ใบหน้าของลู่สุยเขียวคล้ำ สายตาเกลียดชังมองไปที่มู่เฉินที่อยู่บนหน้าจอ ก่อนที่จะหันหัวสาดสายตาดุร้ายใส่จิ่วโยวและมั่วหลิง ที่ข้างๆ พรรคพวกของเขาก็มีท่าทางไม่ดีเช่นกัน

ทว่าจิ่วโยวไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับสายตาเหล่านั้น นางเค้นเสียงอย่างเย็นชา “ลูกหมาที่ถูกฟาดยังกล้าที่จะออกมาแยกเขี้ยวอีกเหรอ?”

ตอนนี้ลู่สุยบาดเจ็บสาหัส สูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปหมด ส่วนคนที่เหลือก็ไม่มีอะไรต้องกลัว หากพวกเขากล้าที่จะคิดบัญชีกับพวกนาง จิ่วโยวก็ไม่คิดปล่อยพวกเขาไว้เป็นภัยคุกคามในอนาคตหรอก

สายตาแสดงความเกลียดชังของลู่สุยจ้องเขม็งอยู่ที่จิ่วโยว แต่สุดท้ายเขาก็ต้องถอนสายตาออกไปอย่างไม่เต็มใจ ก่อนที่จะถอยกลับนั่งลงบนซากปรักหักพังเข้าสมาธิเพื่อฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ

จอมยุทธ์กลุ่มอีกาสายฟ้าก็ปรากฏรอบตัวเขาเพื่อปกป้อง

เมื่อจิ่วโยวเห็นการตอบสนองนั่น นางก็ไม่ได้ใส่ใจกับพวกเขาอีก นางมองไปที่หน้าจออีกครั้งโดยพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ร่างเงาอ่อนเยาว์ มือที่กำแน่นผ่อนคลายลง

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงสำหรับนางที่มู่เฉินจะเอาชนะได้เด็ดขาดแบบนี้ นั่นเป็นเพราะตามการประเมินของนางแม้ว่ามู่เฉินจะยืนยงอยู่ได้ก็เป็นยากที่จะเอาชนะลู่สุยด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นหกและถ้าการต่อสู้ถูกลากไปจนสุดอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบคาดไม่ถึง

ทว่าผลลัพธ์สุดท้ายที่ได้ก็ทำให้นางทั้งประหลาดใจและดีใจ

เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินได้รับประโยชน์มหาศาลจากสามชั้นแรกของเจดีย์ฝึกพลังกาย ไม่เช่นนั้นเขาไม่สามารถแสดงพลังเป็นที่ประจักษ์เช่นนี้ได้

“ว่ากันว่าในชั้นสี่มหัศจรรย์กว่านี้มาก หากใครสามารถเข้าไปได้ พวกเขาจะสามารถได้รับผลประโยชน์เกินกว่าสามชั้นแรกมาก…”

จิ่วโยวยิ้มบาง ดูจากสถานการณ์ปัจจุบันไม่น่ามีปัญหาใดๆ ที่มู่เฉินจะเข้าสู่ชั้นสี่ สำหรับมั่วเฟิงความแข็งแกร่งของเขาเป็นหนึ่งในอันดับต้นของกลุ่มที่เข้าไป ดังนั้นจึงไม่ยากสำหรับเขาที่จะได้หนึ่งในห้าที่นั่งนี้ไปเช่นกัน

ดูเหมือนว่าการเดินทางมาที่เจดีย์ฝึกพลังกายโบราณครั้งนี้เผ่าวิหคโลกันตร์อาจเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

บนลานเมฆสายฟ้า

ไม่มีใครตอบคำถามของมู่เฉิน ขณะนี้แม้แต่จอมยุทธ์ทรงอำนาจอย่างหานซันและสีคุนก็ยังรู้สึกหวาดระแวงมู่เฉินอยู่บ้าง ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะไม่ไปปะทะกับมนุษย์ผู้นี้

ดังนั้นคนทั้งหมดที่อยู่ที่นี่จึงเงียบลง ก่อนที่จะถอยออกจากรัศมีโดยรอบมู่เฉินอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณบอกว่าพวกเขาไม่ต้องการต่อสู้กับเขา

เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ก็ไม่มีอารมณ์ใดบนใบหน้า แต่ในใจกลับรู้สึกโล่งอก คนอื่นๆ เห็นเพียงฉากการต่อสู้ตระการที่เขาเอาชนะลู่สุยได้ แต่พวกเขาไม่รู้หรอกว่าหมัดที่เขาชกออกไปก่อนหน้านี้คือพลังงานส่วนเกินจากสามชั้นแรก

ร่างกายของมู่เฉินก่อนหน้าเปรียบเสมือนฟองน้ำที่ดูดซับน้ำจนถึงขีดจำกัด หมัดของเขาจึงเท่ากับบีบน้ำออกจนหมด ทำให้ร่างกายที่อัดแน่นกลับสู่สภาพเดิม

ดังนั้นถ้าให้เขาโจมตีแบบนั้นอีกครั้ง พลังก็จะไม่ทรงประสิทธิภาพเหมือนเมื่อครู่แน่นอน

ประสิทธิผลพิเศษชนิดนี้ของการสะสมพลังงานในร่างกายเป็นทักษะที่ได้มาจากกายามังกรหงส์ ด้วยวิธีนี้เขาจะได้รับผลลัพธ์ที่ไม่มีใครคาดคิดไว้ กลายเป็นไพ่ลับอีกใบหนึ่ง

“คัมภีร์หลงเฟิ่งทรงพลังจริงๆ”

แม้แต่มู่เฉินก็ยังชื่นชมในสิ่งนี้ คัมภีร์หลงเฟิ่งสมแล้วที่เป็นทักษะยอดเยี่ยมแท้จริง จากการประเมินของเขาคัมภีร์นี้ต้องอยู่ในระดับเสินทงแน่นอน ซึ่งไม่ธรรมดาแม้จะอยู่ในกลุ่มวิทยายุทธระดับเสินทงด้วย

มู่เฉินชื่นชมก่อนที่จะใจเย็นลง แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีใครท้าทายเขา แต่เขาก็ไม่ตั้งใจที่จะท้าทายคนอื่นด้วยเช่นกัน เขายืนนิ่งบนตำแหน่งตนเองรอผลการคัดออก

สำหรับจงเถิง มู่เฉินรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นพวกยุแยงให้ลู่สุยมาปะทะกับเขา แต่เนื่องจากตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ดีในการจัดการ เขาจึงได้แต่ผลักแผนไปก่อน

แต่ถึงกระนั้นสายตาคมกล้าของมู่เฉินก็ยังจ้องเขม็งไปที่จงเถิง รอบตัวเต็มไปด้วยคลื่นหลิงราวกับเสือดาวที่กำลังจะจ้องตะครุบเหยื่ออัดแน่นด้วยภัยคุกคาม

เมื่อเห็นท่าทางของมู่เฉิน จงเถิงที่ประจันหน้ากับมั่วเฟิงก็รู้สึกอึดอัดใจ เขาต้องแยกสมาธิอยู่ตลอดเพื่อจับตามองมู่เฉิน ป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายเคลื่อนไหวมาประสานพลังกับมั่วเฟิง

ด้วยวิธีนี้สมาธิของจงเถิงจึงค่อนข้างฟุ้งซ่าน สุดท้ายเขาได้แต่กัดฟัน ถอนคลื่นหลิงและถอยออกจากบริเวณของมั่วเฟิง

“พี่มั่วยากสำหรับการต่อสู้ของเราที่จะได้ข้อสรุป ทำไมเราไม่ไปจัดการคนอื่นและรับที่นั่งมาล่ะ?” ขณะที่จงเถิงถอยกลับเสียงก็สะท้อนก้องไปด้วย

มั่วเฟิงจ้องมองจงเถิงอย่างไม่แยแสก่อนที่จะพยักหน้า นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าหากพวกเขายังอยู่ในสถานการณ์ยืนจ้องหน้ากันก็จะไม่เกิดผลลัพธ์ใด หากเขาร่วมมือกับมู่เฉิน พวกเขาอาจทำให้จงเถิงบ้าดีเดือดขึ้นมา แม้แต่พวกเขาก็ต้องจ่ายราคามหาศาลจากการตีโต้

ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาคือการได้ที่นั่งเพื่อเข้าสู่ชั้นสี่

เมื่อจงเถิงเห็นคำตอบของมั่วเฟิงก็รู้สึกโล่งใจในใจ เขาถอยกลับอย่างรวดเร็วออกจากจุดที่มู่เฉินและมั่วเฟิงอยู่ เขาครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนจะเลือกปะทะกับคนที่อ่อนแอกว่า

พอมู่เฉินเห็นจงเถิงไปแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจอีกต่อไป สายตาหันมามองมั่วเฟิงแล้วก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มแสดงความขอบคุณในการช่วยเหลือครั้งนี้

สายตาของมั่วเฟิงเป็นมิตรมากขึ้น คิดว่าการที่มู่เฉินเอาชนะลู่สุย ทำให้มั่วเฟิงมองมู่เฉินในฐานะจอมยุทธ์ที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเขา ดังนั้นจึงไม่ได้มีท่าทางเฉยเมยเหมือนเมื่อก่อน

มั่วเฟิงพยักหน้าให้มู่เฉิน ก่อนที่จะหันหลังกลับและเริ่มเลือกคู่ต่อสู้ของตนเอง

ครืน!

เมื่อทุกคนเลือกคู่ต่อสู้แล้ว ทันใดนั้นคลื่นหลิงก็ระเบิดรุนแรงบนลานเมฆสายฟ้า คลื่นกระแทกกวาดออก ทำให้มิติเกิดการสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไม่หยุด

บนลานเมฆสายฟ้าพลังงานหลิงกวาดหายนะ มีเพียงตรงมู่เฉินเท่านั้นที่ไม่ถูกรบกวน เนื่องจากไม่มีใครกล้าเหยียบเข้ามาในรัศมีพันจั้ง ยามนี้เขาเหมือนผู้ชมที่ดูการต่อสู้ติดขอบ ในเวลาเดียวกันก็บันทึกกระบวนท่าที่ทรงพลังของบางคนไว้ในสมอง

แม้ว่าในชั้นนี้พวกเขาอาจไม่ได้ประลองกัน แต่ก็ยังมีอีกสองชั้นรอพวกเขาอยู่ ใครจะสามารถรับประกันได้ว่าจะไม่มีการลดจำนวนลงในชั้นต่อไป?

ดังนั้นถ้ามีโอกาสเขาต้องพยายามจดจำข้อมูลผู้อื่นเก็บไว้

ภายใต้การสังเกตของมู่เฉิน การประลองบนลานเมฆสายฟ้าก็คงอยู่ชั่วระยะหนึ่ง ก่อนที่แต่ละคู่จะมาถึงจุดสิ้นสุด ผลลัพธ์ก็เป็นไปตามที่คาดไว้

หลังจากมู่เฉินก็เป็นหานซันที่เอาชนะคู่ต่อสู้ได้ที่นั่งที่สองไป

จากนั้นมั่วเฟิงและจงเถิงก็คว้าชัยชนะตามมา

ที่นั่งสุดท้ายตกเป็นของสีคุนที่ก่อนหน้านี้เคยแพ้หานซันที่ด้านนอกเจดีย์ ชายนี้มีความแข็งแกร่งที่น่าตกใจ แม้แต่หานซันยังต้องใช้ทักษะเต็มที่ถึงจะได้รับชัยชนะมา

เมื่อสีคุนได้รับที่นั่งสุดท้ายลานเมฆสายฟ้าขนาดใหญ่ก็เงียบลงอีกครั้ง ร่างทั้งห้ายืนอยู่ ขณะรัศมีไร้ขอบเขตทั้งห้าสายพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าชนกันเปรี้ยงปร้าง

ทว่าการชนกันก็ดำเนินไปเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ก่อนที่ทั้งห้าจะถอนคลื่นพลังพร้อมกัน พวกเขาเหลือบมองกันและกัน จากนั้นก็ไม่ลังเลทะยานออกไปปรากฏตัวบนเบาะทั้งห้า

สายตาพวกเขาพุ่งตรงไปยังมิติด้านหลังลานเมฆสายฟ้าด้วยความโลภ ตรงนั้นเส้นดาวหางจำนวนมากกวาดผ่านราวกับฝนดาวตก

ในแสงเหล่านั้นแก่นหยดสายฟ้ากำลังกะพริบด้วยความแวววาว


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท