หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – ตอนที่ 1078

ตอนที่ 1078

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1078 เหล่าราชันใหม่
ลึกลงไปในเขตต้าหลัวเทียน

ร่างแสงพุ่งเข้ามาจากทุกทิศทางก่อนที่จะพลิ้วตัวลง ช่างเป็นฉากที่น่าตื่นตา เติมเต็มจัตุรัสจนถึงจุดที่ไม่มีที่ว่างโดยรอบ

เทียบกับปีที่แล้ว ในปัจจุบันอาณาเขตกงเวทสวรรค์ได้รับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ด้วยจำนวนจอมยุทธ์มารวมตัวกันเหมือนเมฆบนท้องฟ้า ด้วยมาตรวัดนี้อาจได้รับการจัดอันดับว่ายิ่งใหญ่ที่สุดในภูมิภาคทางเหนือแล้ว

ขณะนี้จัตุรัสในอาณาเขตกงเวทสวรรค์ดึงดูดความสนใจไว้มากที่สุด

นั่นเป็นเพราะการประชุมราชันทุกครั้งจะมีตำแหน่งใหม่เกิดขึ้น ณ สำนักแห่งนี้เพียงได้รับตำแหน่งถึงจะมีคุณสมบัติพอที่จะสั่งสมพลังอำนาจ ในเวลาเดียวกันก็จะได้รับทรัพยากรมากมายอีกด้วย ดังนั้นในอาณาเขตกงเวทสวรรค์ไม่รู้มีจอมยุทธ์เท่าไรที่หมายตาชิงตำแหน่งอยู่

ซึ่งเห็นได้ชัดว่าการชิงตำแหน่งดุเดือดกว่าหนึ่งปีก่อนมาก

ในอดีตจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นห้าก็มีคุณสมบัติที่จะแข่งขันเพื่อชิงตำแหน่ง แต่ในวันนี้ถ้าไม่ถึงขั้นเจ็ดก็ไม่กล้าจะลงชิงตำแหน่งหรอก

ด้วยสิ่งนี้ก็สามารถบอกได้ว่าอาณาเขตกงเวทสวรรค์มีการเปลี่ยนแปลงมากแค่ไหนเมื่อเทียบกับปีที่แล้ว…

ในจัตุรัสใหญ่คึกคักไปด้วยเสียงอื้ออึง บางครั้งจะมีร่างแสงกลุ่มใหญ่ส่งเสียงกระหึ่มบนท้องฟ้าด้วยการเคลื่อนไหวที่ไม่ธรรมดาที่สามารถดึงดูดสายตาอิจฉาโดยรอบ นั่นเป็นเพราะในเขตต้าหลัวเทียนตำแหน่งผู้บัญชาการถึงจะเริ่มสร้างกองทัพของตัวเองได้

ภายใต้สายตาอิจฉานับไม่ถ้วน ร่างแสงก็ร่อนลงไปที่ศูนย์กลางจัตุรัส ซึ่งเป็นส่วนสำคัญของอาณาเขตกงเวทสวรรค์

สายตานับไม่ถ้วนพุ่งไปที่ศูนย์กลางนั่น

มีบัลลังก์ทองคำที่สุดปลายบันไดซึ่งโดดเด่นเป็นสง่า ราวกับว่าบัลลังก์มีแรงกดดันที่อธิบายไม่ได้ ต่อให้แค่ตั้งตรงอย่างเงียบๆ เหล่าจอมยุทธ์ก็ยังให้ความเคารพในสายตาขณะมองดู นั่นเป็นเพราะบัลลังก์นี้เป็นของประมุขอาณาเขตกงเวทสวรรค์ จอมยุทธ์ที่แข็งแกร่งที่สุดในภูมิภาคทางเหนือในขณะนี้

ใต้บัลลังก์ทองคำมีบัลลังก์เงินสามบัลลังก์ ภายใต้แสงตะวันสีเงินก็ส่องแสงระยิบระยับพร่างตา ขณะนี้มีชายสามคนนั่งอยู่บนบัลลังก์ ดวงตาแต่ละคู่ปิดอยู่ รับความเคารพนับถือและความอิจฉานับไม่ถ้วนที่จ้องมองมาอย่างเฉยเมย

ในเขตอาณาเขตกงเวทสวรรค์ ผู้ที่ครอบครองตำแหน่งนี้ก็คือจอมพลซุยนอน จอมพลเทียนจิ้วและจอมพลหลิงถง ทั้งสามเป็นผู้จงรักภักดีที่ติดตามมั่นถัวหลัวมาตั้งแต่แรกเริ่มต้น

ลดลั่นลงมาจากสามจอมพลเป็นบัลลังก์หินกลุ่มหนึ่ง บนนั้นมีร่างที่นั่งอยู่อัดแน่นด้วยความครอบงำที่ไม่ธรรมดา ทุกคนล้วนเปล่งคลื่นหลิงไร้ขอบเขต พวกเขาก็คือเหล่าผู้บัญชาการอาณาเขตกงเวทสวรรค์

ในบรรดาผู้บัญชาการที่ดึงดูดความสนใจตอนนี้ไม่ใช่ซิวหลัวและเลี่ยซันที่อยู่ในอันดับต้นๆ ในอดีต แต่เป็นคนสองคนที่นั่งอยู่ด้านหน้าสุด

ทั้งสองเป็นผู้นำท่ามกลางเหล่าผู้บัญชาการ คนด้านซ้ายมีลักษณะสูงวัย มีรอยย่นบนผิวหนัง เมื่อมองจากระยะไกลดูเหมือนต้นไม้แก่ใกล้ตาย ดวงตาหลุบต่ำมองดูอ่อนแอ แต่กระนั้นเขากลับเปล่งแรงกดดันที่น่ากลัวออกมา

นั่นเป็นเพราะชายคนนี้เป็นหนึ่งในจอมยุทธ์ชั้นยอดของภูมิภาคทางเหนือที่เข้าร่วมกับอาณาเขตกงเวทสวรรค์—ผู้เฒ่าคู

ทางด้านขวาเป็นชายวัยกลางคนรูปร่างกำยำ เงาของเขาใหญ่โตพอที่จะห่อหุ้มร่างผู้เฒ่าคูได้ ท่อนแขนของเขามีเอกลักษณ์พิเศษมาก เหมือนจะหนากว่าคนทั่วไป มือกางออกกว้างถูกวางไว้ข้างลำตัว เมื่อมองให้ละเอียดก็จะพบว่าเมื่อเขาขยับนิ้ว ก็จะเกิดเสียงระเบิดดังกึกก้องราวกับว่านิ้วมีพลังทำลายล้างที่สามารถทำลายภูเขาด้วยมือข้างเดียว

เขาก็คือหลงปี้จอมยุทธ์ชั้นยอดของภูมิภาคทางเหนือ ว่ากันว่าวิทยายุทธที่เขาฝึกฝนมีความพิเศษมาก ทำให้เขาสามารถรวมแขนมังกรเข้ากับแขนตัวเองได้ ปรับแต่งจนเป็นของตนเองอย่างสมบูรณ์ ดังนั้นจึงมีความแข็งแกร่งเทียบเท่ากับเผ่ามังกร

พวกเขาก้าวเข้าสู่ระดับจื้อจุนขั้นเก้าซึ่งเป็นขุมพลังที่เหนือกว่าผู้บัญชาการคนอื่น มากจนแม้แต่ผู้บัญชาการที่แข็งแกร่งที่สุดที่ผ่านมาอย่างซิวหลัวยังถูกวางไว้ข้างหลังทั้งสอง

แน่นอนว่าพวกเขาไม่ได้เห็นตำแหน่งผู้บัญชาการอยู่ในสายตา พวกเขายิ้มสนทนากัน เพียงแต่บางครั้งจะจ้องมองไปที่ร่างเงาทั้งสามบนบัลลังก์เงินด้วยความท้าทายและถือดีในส่วนลึกของดวงตา

นั่นเป็นเพราะในสายตาของทั้งสอง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องขุมพลังหรือชื่อเสียง พวกเขาก็ไม่ได้อ่อนด้อยไปกว่าจอมพลทั้งสามแห่งอาณาเขตกงเวทสวรรค์ ในบรรดาจอมพลนอกเหนือจากซุยนอนที่มักจะหลับตานอนอยู่ตลอดเวลาที่ทำให้พวกเขารู้สึกหวาดกลัวเล็กน้อย พวกเขาเชื่อว่าตนเองไม่ได้อ่อนแอกว่าเทียนจิ้วและหลิงถงเลย

ก็เป็นปกติที่พวกเขาต้องการตำแหน่งที่เหมาะสมกับพลังของตนเอง ซึ่งก็คือตำแหน่งจอมพลนั่นเอง

ที่บัลลังก์เงินเมื่อเทียนจิ้วและหลิงถงสัมผัสได้ถึงสายตาที่จ้องมองมา ก็ไม่มีระลอกคลื่นใดในสายตาของพวกเขา แต่เสียงเย้ยหยันเย็นชากลับดังขึ้นในหัวใจ

ในฐานะสมาชิกดังเดิมของสำนัก พวกเขารู้สึกถึงการแข่งขันรุนแรงในหนึ่งปีที่ผ่านมา มากจนกระทั่งตำแหน่งของพวกเขาก็ถูกเล็งเอาไว้

แต่พวกเขาไม่สามารถกล่าวหาว่าทั้งสองไม่มีสิทธิ์ นั่นเป็นเพราะชื่อเสียงของผู้เฒ่าคูและหลงปี้ไม่ได้อ่อนแอไปกว่าพวกเขา

มากจนกระทั่งถ้าไม่ใช่เพราะทรัพยากรที่ท่านประมุขมอบให้ในปีที่ผ่านมา ทำให้พวกเขาเจาะผ่านคอขวดบรรลุระดับจื้อจุนขั้นเก้าแท้จริง พวกเขาอาจถูกแซงโดยผู้มาใหม่ที่ทะเยอทะยานเหล่านี้ไปแล้ว

ความขัดแย้งระหว่างคนใหม่และคนเก่าเริ่มส่งผลกระทบมาถึงระดับพวกเขาแล้ว

“ครั้งนี้ไอ้สองนั่นดูมั่นใจในการได้รับตำแหน่งจอมพล” หลิงถงมองไปที่ทั้งสอง ริมฝีปากขยับส่งคลื่นเสียงไปยังเทียนจิ้ว

ในอดีตมักจะเกิดการแข่งระหว่างหลิงถงและเทียนจิ้วเสมอ ดังนั้นจึงไม่มีความสัมพันธ์ที่กลมกลืนนัก แต่การแข่งขันเข้มข้นของจอมยุทธ์ที่เข้าร่วมกับอาณาเขตกงเวทสวรรค์ ทำให้การแข่งขันระหว่างพวกเขาหายไป นอกจากนี้ทั้งสองฝ่ายยังมีความตั้งใจที่จะรวมพลังกันต่อต้านกลับด้วย

เมื่อได้ยินคำพูดของหลิงถง เทียนจิ้วก็พยักหน้าเบาๆ พูดว่า “พลังของสองคนนั่นเพียงพอแล้ว ตอนนี้ยังสร้างรากฐานให้ตัวเองได้ดี กลัวว่าครั้งนี้พวกเขาจะประสบความสำเร็จแล้ว”

ขณะที่พูดเทียนจิ้วก็เบ้ปากอย่างไม่พอใจ ด้วยอุปนิสัยของหลงปี้และผู้เฒ่าคู หากพวกเขาได้รับตำแหน่งจอมพล การแข่งขันก็จะทวีความรุนแรงยิ่งขึ้นในอนาคต

“ฮ่าๆ พี่เหมิงคิดยังไง?” ดวงตาของหลิงถงเป็นประกาย ขณะที่มองไปที่ซุยนอนที่ดวงตาหลุบลงอย่างเฉื่อยเนือย เขาไม่ได้พูดข้ามหัวซุยนอนเมื่อพูดคุยกับเทียนจิ้ว ชัดว่าเขาไม่ได้สนใจว่าซุยนอนจะได้ยินการสนทนาของพวกเขาหรือไม่

แม้จะบรรลุระดับจื้อจุนขั้นเก้า แต่หลิงถงก็ยังแสดงทัศนคติสุภาพต่ออีกฝ่าย นั่นเพราะเขารู้ว่าซุยนอนติดตามท่านประมุขมานานหลายปีและเป็นคนที่ภักดีมากที่สุด ดังนั้นซุยนอนน่าจะรู้ความคิดบางอย่างของท่านประมุข

เมื่อซุยนอนที่ราวกับกำลังงีบได้ยินคำพูดของหลงถิง เขาก็เปิดเปลือกตาเล็กน้อยและยิ้มบาง “ความคิดเห็นของท่านประมุขก็คือถึงเวลาที่ตำแหน่งจอมพลจะเพิ่มขึ้นอีกสองตำแหน่งแล้ว”

ทั้งสองตกตะลึงก่อนที่จะส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้ “สองคนนั่นโชคดีซะจริง”

ในอดีตหลงปี้และผู้เฒ่าคูพยายามที่จะขอตำแหน่งจอมพลตลอด แต่ก็ถูกมั่นถัวหลัวปฏิเสธ เพราะตำแหน่งนี้สำคัญมากและทั้งสองคนก็ยังไม่มีคุณสมบัติและความภักดีพออีกด้วย

แต่ดูจากสถานการณ์ในปัจจุบัน มั่นถัวหลัวคงจะเริ่มเห็นด้วยแล้ว หากเป็นเช่นนั้นเรื่องการมอบตำแหน่งจอมพลก็จะเป็นไปอย่างราบรื่น

ทั้งสองถอนหายใจยาวเหยียด พวกเขารบเคียงบ่าเคียงไหล่มากับท่านประมุขหลายปีเพื่อรับตำแหน่งในปัจจุบัน แต่คนใหม่ที่เพิ่งมาเป็นส่วนหนึ่งของอาณาเขตกงเวทสวรรค์ยังไม่ทันครบปี มิหนำซ้ำยังไม่ได้สร้างคุณูปการ ทว่ากลับกำลังจะอยู่ในตำแหน่งเดียวกัน ดังนั้นทั้งสองจึงรู้สึกไม่สบาย

ทว่าถ้ามองด้วยเหตุผล พวกเขาก็รู้ว่าพลังของหลงปี้และผู้เฒ่าคูมีคุณสมบัติที่จะอยู่ในตำแหน่งนี้

นัยน์ตาของซุยนอนเปิดขึ้นอีกเล็กน้อย สายตาจ้องมองไปที่หลงปี้และผู้เฒ่าคูก่อนจะกดยิ้มลึก “ท่านประมุขบอกเพียงว่าจะมีตำแหน่งจอมพลเพิ่มอีกสองตำแหน่ง แต่นางไม่ได้บอกว่าจะมอบให้พวกเขานะ”

หลิงถงและเทียนจิ้วอึ้งไปทันทีจากนั้นก็รู้สึกงุนงง ในสำนักยามนี้มีเพียงหลงปี้และผู้เฒ่าคูเท่านั้นที่มีคุณสมบัติที่จะแข่งขันเพื่อชิงตำแหน่งจอมพล หรือว่าท่านประมุขตั้งใจจะยกให้ซิวหลัวดำรงตำแหน่งนี้? หากเป็นเช่นนั้นจะทำให้ทั้งสองคนไม่พอใจอย่างแน่นอน เพราะพลังของซิวหลัวที่อยู่ระดับจื้อจุนขั้นแปดยังไม่อาจโน้มน้าวใจคนได้

ทั้งสองแลกเปลี่ยนสายตากัน จากนั้นก็คิดจะถามต่อ แต่ซุยนอนกลับหลับตาลง ท่าทางจะพักผ่อนนั้น ทำให้พวกเขาไม่มีทางเลือกนอกจากส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้

ตึง!

เสียงระฆังโบราณดังก้องขึ้นทั่วบริเวณ จัตุรัสที่คึกคักเงียบสงบลง ผู้คนนับไม่ถ้วนฉายแววเคารพในสายตา แม้แต่หลงปี้และผู้เฒ่าคูยังก้มหน้าเล็กน้อยอย่างนบนอบ

เกลียวแสงทะลุผ่านมิติก่อนที่จะรวมตัวกันบนบัลลังก์ทองมลังเมลือง ภาพเงาเล็กบางสวมชุดสีดำปรากฏขึ้น สายตาไม่แยแสกวาดไปรอบๆ ความกดดันน่าสะพรึงกระจายออกไปตามการจดจ้อง แม้แต่จอมยุทธ์ที่ทรงพลังอย่างพวกหลงปี้ยังรู้สึกถึงคลื่นหลิงในร่างกายถูกแช่แข็งพร้อมกับหัวใจเต็มไปด้วยความประหลาดใจ นี่คือพลังของระดับตี้จื้อจุน เพียงแค่จ้องมองก็สามารถทำให้พวกเขาไม่มีแรงต่อต้านได้

หลังจากกวาดสายตาแล้ว มั่นถัวหลัวก็โบกมือ น้ำเสียงสงบอ่อนโยนดังก้องไปบนท้องฟ้า ทำให้บรรยากาศปะทุขึ้นทันที

“การประชุมราชันเริ่มขึ้นได้ ณ บัดนี้”

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler ฟรี ได้ที่ novel-fast 


เรื่องย่อ

โดย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler บางส่วนของนิยาย

บทนำ

หนึ่งในใต้หล้าจากปลายปากกาของเทียนฉานถูโต้ว กล่าวถึงมู่เฉิน เด็กหนุ่มจากสำนักศึกษาเป่ยหลิง ผู้ที่ได้รับเลือกให้เข้าฝึกในสงครามเทพยุทธ์ซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าคนเก่งกาจ ทว่า… อยู่ดีๆ เขากลับถูกขับไล่ออกมาด้วยเหตุผลที่ไม่มีใครล่วงรู้ มู่เฉินพยายามฝึกหนักอีกครั้งเพื่อจะพาตัวเองกลับเข้าไปในเส้นทางแห่งนี้ เขาจำเป็นต้องใช้สิ่งนี้เป็นใบเบิกทางเพื่อเข้าศึกษาที่ภาคเบญจภาคี เพื่อ… ปกป้องหญิงสาวที่ตนรัก และยิ่งกว่านั้นคือเพื่อค้นหาเบาะแสของมารดาที่หายสาบสูญไป

‘มหาพันภพ’ เป็นที่ที่มิติทั้งหลายเชื่อมต่อกันในระบบสุริยจักรวาล สถานที่แห่งนี้มีขั้วอำนาจมากมายอาศัยอยู่ จักรพรรดิที่มาจากพิภพเขตล่างต่างเป็นตำนานที่ผู้อื่นปรารถนาขึ้นไปบนเส้นทางแห่งกฎของโลกไร้ขอบเขตนี้

แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว เทพจักรพรรดิอัคคีควบคุมเปลวเพลิงกวาดข้ามสวรรค์

แคว้นหวู เทพจักรพรรดิสงครามผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำให้ทั้งสวรรค์และโลกหวาดกลัว

ตำหนักซีเทียน จักรพรรดิสัประยุทธ์ที่แข็งแกร่งไม่มีผู้ใดเทียบเท่า ในเนินเขารกร้างทางเหนือ ดินแดนวั้นมู่ของจักรพรรดิอมตะครองเหนือภพ

เด็กหนุ่มจากมณฑลเป่ยหลิงออกท่องยุทธภพกับวิหคโลกันตร์คู่ใจ มุ่งหน้าสู่โลกภายนอกที่เต็มไปด้วยสีสัน ใครกันที่จะเป็นผู้กุมชะตากรรมในเส้นทางการเป็นหนึ่ง?

ในมหาพันภพที่สงครามนับหมื่นอุบัติ ข้าคือผู้กุมชะตาฟ้าดิน…

เรื่องย่อ

เมื่อคำพูดของมู่เฉินกระจายออกไป ไม่เพียงแต่จะไม่มีการตอบสนอง แม้แต่ด้านนอกเจดีย์ก็ถูกห่อหุ้มด้วยบรรยากาศราวกับป่าช้า…

ทุกคนตกตะลึงไปกับฉากนี้ พวกเขาจ้องมองจุดที่ลู่สุยหายตัวไป ราวกับว่ายังไม่สามารถฟื้นจากอาการตะลึงงันที่เกิดขึ้นได้

ก่อนหน้าเมื่อลู่สุยออกกระบวนท่าที่น่าสะพรึง ผู้คนส่วนใหญ่ก็คิดว่าผลลัพธ์ของการต่อสู้ได้ถูกกำหนดแล้ว ทว่าพวกเขาไม่คิดเลยว่ามู่เฉินจะพลิกสถานการณ์ได้อีกครั้ง เตะลู่สุยที่เหมือนจะคว้าชัยชนะออกไป

ทุกคนตะลึงไปพักใหญ่ ก่อนที่พวกเขาจะหลุดออกจากอาการได้ สายตาเคร่งเครียดลง การประลองกันครั้งนี้มู่เฉินไม่ได้ใช้ค่ายกล แต่เขาก็สามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดอย่างลู่สุยได้ด้วยความแข็งแกร่งที่อยู่ในขั้นหกเท่านั้น แม้ว่าจะมีผลจากลู่สุยประมาทเองในตอนแรก แต่นั่นก็แสดงให้เห็นว่ามู่เฉินน่ากลัวแค่ไหน

พลังเช่นนี้เขาสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์อันดับต้นๆ ในเจดีย์ฝึกพลังกายได้เลยทีเดียว

ทางฝั่งกลุ่มกระเรียนฟ้า ใบหน้าของหลิ่วชิงกลายเป็นเขียวสลับขาว นางมองไปที่ร่างสูงโปร่งบนหน้าจอ กลืนน้ำลายเหนียวหนืด ความกลัวปรากฏในดวงตาของนางเป็นครั้งแรก

มาถึงจุดนี้นางคงโง่แน่ถ้ายังคิดปฏิบัติต่อมู่เฉินเหมือนกับจอมยุทธ์ขั้นหกทั่วไป

ด้วยพลังในการต่อสู้ที่เขาแสดงออกมา บวกกับค่ายกลทรงพลัง แม้แต่จงเถิงก็ยากจะได้เปรียบหากพวกเขาต่อสู้กัน

ก่อนหน้านี้นางหัวเราะเยาะและมองจิ่วโยวด้วยความดูถูก แต่ตอนนี้นางอายแทบแทรกแผ่นดินหนี ซึ่งจุดนี้รู้ได้จากสายตาเยาะเย้ยเหล่านั้นที่ปรายมองเข้ามา

“ทำไมมู่เฉินถึงทรงพลังเช่นนี้?” จงฮั้วที่พ่ายแพ้ให้กับมู่เฉินก็มีสีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดเช่นกันว่ามู่เฉินพึ่งพาเพียงค่ายกลเพื่อจัดการกับศัตรู แต่ใครจะคิดว่าเมื่อไม่มีการใช้ค่ายกลมู่เฉินก็สามารถเอาชนะลู่สุยแบบดุร้ายยิ่งกว่าอะไร

“ดูเหมือนว่ามีเพียงพี่ใหญ่จงเถิงเท่านั้นที่สามารถจัดการกับเขาได้” จอมยุทธ์อีกคนของเผ่ากระเรียนฟ้าพยักหน้า

หลิ่วชิงพยักหน้าเบาๆ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะพิจารณาพลังของมู่เฉินพลาดไปเท่านั้น แม้แต่จงเถิงก็ตัดสินอีกฝ่ายผิดไป ชายคนนั้นเป็นสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง

ฟิ้ว!

ขณะที่นอกเจดีย์ต่างตกตะลึงกับผลลัพธ์ที่มู่เฉินนำมา ทันใดนั้นแสงก็กะพริบบนแท่นนอกเจดีย์ ร่างน่าสังเวชปรากฏขึ้น

เมื่อร่างนั้นออกมาก็รีบถอยกลับไปปรากฏตัวขึ้นในกลุ่มอีกาสายฟ้าทันควัน นี่ก็คือลู่สุยที่มีสีหน้าซีดขาว คลื่นหลิงของเขาถดถอยลงอย่างมาก

สายตาโดยรอบยิงเข้าหาในเวลานี้ทันที

ใบหน้าของลู่สุยเขียวคล้ำ สายตาเกลียดชังมองไปที่มู่เฉินที่อยู่บนหน้าจอ ก่อนที่จะหันหัวสาดสายตาดุร้ายใส่จิ่วโยวและมั่วหลิง ที่ข้างๆ พรรคพวกของเขาก็มีท่าทางไม่ดีเช่นกัน

ทว่าจิ่วโยวไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับสายตาเหล่านั้น นางเค้นเสียงอย่างเย็นชา “ลูกหมาที่ถูกฟาดยังกล้าที่จะออกมาแยกเขี้ยวอีกเหรอ?”

ตอนนี้ลู่สุยบาดเจ็บสาหัส สูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปหมด ส่วนคนที่เหลือก็ไม่มีอะไรต้องกลัว หากพวกเขากล้าที่จะคิดบัญชีกับพวกนาง จิ่วโยวก็ไม่คิดปล่อยพวกเขาไว้เป็นภัยคุกคามในอนาคตหรอก

สายตาแสดงความเกลียดชังของลู่สุยจ้องเขม็งอยู่ที่จิ่วโยว แต่สุดท้ายเขาก็ต้องถอนสายตาออกไปอย่างไม่เต็มใจ ก่อนที่จะถอยกลับนั่งลงบนซากปรักหักพังเข้าสมาธิเพื่อฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ

จอมยุทธ์กลุ่มอีกาสายฟ้าก็ปรากฏรอบตัวเขาเพื่อปกป้อง

เมื่อจิ่วโยวเห็นการตอบสนองนั่น นางก็ไม่ได้ใส่ใจกับพวกเขาอีก นางมองไปที่หน้าจออีกครั้งโดยพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ร่างเงาอ่อนเยาว์ มือที่กำแน่นผ่อนคลายลง

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงสำหรับนางที่มู่เฉินจะเอาชนะได้เด็ดขาดแบบนี้ นั่นเป็นเพราะตามการประเมินของนางแม้ว่ามู่เฉินจะยืนยงอยู่ได้ก็เป็นยากที่จะเอาชนะลู่สุยด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นหกและถ้าการต่อสู้ถูกลากไปจนสุดอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบคาดไม่ถึง

ทว่าผลลัพธ์สุดท้ายที่ได้ก็ทำให้นางทั้งประหลาดใจและดีใจ

เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินได้รับประโยชน์มหาศาลจากสามชั้นแรกของเจดีย์ฝึกพลังกาย ไม่เช่นนั้นเขาไม่สามารถแสดงพลังเป็นที่ประจักษ์เช่นนี้ได้

“ว่ากันว่าในชั้นสี่มหัศจรรย์กว่านี้มาก หากใครสามารถเข้าไปได้ พวกเขาจะสามารถได้รับผลประโยชน์เกินกว่าสามชั้นแรกมาก…”

จิ่วโยวยิ้มบาง ดูจากสถานการณ์ปัจจุบันไม่น่ามีปัญหาใดๆ ที่มู่เฉินจะเข้าสู่ชั้นสี่ สำหรับมั่วเฟิงความแข็งแกร่งของเขาเป็นหนึ่งในอันดับต้นของกลุ่มที่เข้าไป ดังนั้นจึงไม่ยากสำหรับเขาที่จะได้หนึ่งในห้าที่นั่งนี้ไปเช่นกัน

ดูเหมือนว่าการเดินทางมาที่เจดีย์ฝึกพลังกายโบราณครั้งนี้เผ่าวิหคโลกันตร์อาจเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

บนลานเมฆสายฟ้า

ไม่มีใครตอบคำถามของมู่เฉิน ขณะนี้แม้แต่จอมยุทธ์ทรงอำนาจอย่างหานซันและสีคุนก็ยังรู้สึกหวาดระแวงมู่เฉินอยู่บ้าง ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะไม่ไปปะทะกับมนุษย์ผู้นี้

ดังนั้นคนทั้งหมดที่อยู่ที่นี่จึงเงียบลง ก่อนที่จะถอยออกจากรัศมีโดยรอบมู่เฉินอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณบอกว่าพวกเขาไม่ต้องการต่อสู้กับเขา

เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ก็ไม่มีอารมณ์ใดบนใบหน้า แต่ในใจกลับรู้สึกโล่งอก คนอื่นๆ เห็นเพียงฉากการต่อสู้ตระการที่เขาเอาชนะลู่สุยได้ แต่พวกเขาไม่รู้หรอกว่าหมัดที่เขาชกออกไปก่อนหน้านี้คือพลังงานส่วนเกินจากสามชั้นแรก

ร่างกายของมู่เฉินก่อนหน้าเปรียบเสมือนฟองน้ำที่ดูดซับน้ำจนถึงขีดจำกัด หมัดของเขาจึงเท่ากับบีบน้ำออกจนหมด ทำให้ร่างกายที่อัดแน่นกลับสู่สภาพเดิม

ดังนั้นถ้าให้เขาโจมตีแบบนั้นอีกครั้ง พลังก็จะไม่ทรงประสิทธิภาพเหมือนเมื่อครู่แน่นอน

ประสิทธิผลพิเศษชนิดนี้ของการสะสมพลังงานในร่างกายเป็นทักษะที่ได้มาจากกายามังกรหงส์ ด้วยวิธีนี้เขาจะได้รับผลลัพธ์ที่ไม่มีใครคาดคิดไว้ กลายเป็นไพ่ลับอีกใบหนึ่ง

“คัมภีร์หลงเฟิ่งทรงพลังจริงๆ”

แม้แต่มู่เฉินก็ยังชื่นชมในสิ่งนี้ คัมภีร์หลงเฟิ่งสมแล้วที่เป็นทักษะยอดเยี่ยมแท้จริง จากการประเมินของเขาคัมภีร์นี้ต้องอยู่ในระดับเสินทงแน่นอน ซึ่งไม่ธรรมดาแม้จะอยู่ในกลุ่มวิทยายุทธระดับเสินทงด้วย

มู่เฉินชื่นชมก่อนที่จะใจเย็นลง แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีใครท้าทายเขา แต่เขาก็ไม่ตั้งใจที่จะท้าทายคนอื่นด้วยเช่นกัน เขายืนนิ่งบนตำแหน่งตนเองรอผลการคัดออก

สำหรับจงเถิง มู่เฉินรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นพวกยุแยงให้ลู่สุยมาปะทะกับเขา แต่เนื่องจากตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ดีในการจัดการ เขาจึงได้แต่ผลักแผนไปก่อน

แต่ถึงกระนั้นสายตาคมกล้าของมู่เฉินก็ยังจ้องเขม็งไปที่จงเถิง รอบตัวเต็มไปด้วยคลื่นหลิงราวกับเสือดาวที่กำลังจะจ้องตะครุบเหยื่ออัดแน่นด้วยภัยคุกคาม

เมื่อเห็นท่าทางของมู่เฉิน จงเถิงที่ประจันหน้ากับมั่วเฟิงก็รู้สึกอึดอัดใจ เขาต้องแยกสมาธิอยู่ตลอดเพื่อจับตามองมู่เฉิน ป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายเคลื่อนไหวมาประสานพลังกับมั่วเฟิง

ด้วยวิธีนี้สมาธิของจงเถิงจึงค่อนข้างฟุ้งซ่าน สุดท้ายเขาได้แต่กัดฟัน ถอนคลื่นหลิงและถอยออกจากบริเวณของมั่วเฟิง

“พี่มั่วยากสำหรับการต่อสู้ของเราที่จะได้ข้อสรุป ทำไมเราไม่ไปจัดการคนอื่นและรับที่นั่งมาล่ะ?” ขณะที่จงเถิงถอยกลับเสียงก็สะท้อนก้องไปด้วย

มั่วเฟิงจ้องมองจงเถิงอย่างไม่แยแสก่อนที่จะพยักหน้า นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าหากพวกเขายังอยู่ในสถานการณ์ยืนจ้องหน้ากันก็จะไม่เกิดผลลัพธ์ใด หากเขาร่วมมือกับมู่เฉิน พวกเขาอาจทำให้จงเถิงบ้าดีเดือดขึ้นมา แม้แต่พวกเขาก็ต้องจ่ายราคามหาศาลจากการตีโต้

ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาคือการได้ที่นั่งเพื่อเข้าสู่ชั้นสี่

เมื่อจงเถิงเห็นคำตอบของมั่วเฟิงก็รู้สึกโล่งใจในใจ เขาถอยกลับอย่างรวดเร็วออกจากจุดที่มู่เฉินและมั่วเฟิงอยู่ เขาครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนจะเลือกปะทะกับคนที่อ่อนแอกว่า

พอมู่เฉินเห็นจงเถิงไปแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจอีกต่อไป สายตาหันมามองมั่วเฟิงแล้วก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มแสดงความขอบคุณในการช่วยเหลือครั้งนี้

สายตาของมั่วเฟิงเป็นมิตรมากขึ้น คิดว่าการที่มู่เฉินเอาชนะลู่สุย ทำให้มั่วเฟิงมองมู่เฉินในฐานะจอมยุทธ์ที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเขา ดังนั้นจึงไม่ได้มีท่าทางเฉยเมยเหมือนเมื่อก่อน

มั่วเฟิงพยักหน้าให้มู่เฉิน ก่อนที่จะหันหลังกลับและเริ่มเลือกคู่ต่อสู้ของตนเอง

ครืน!

เมื่อทุกคนเลือกคู่ต่อสู้แล้ว ทันใดนั้นคลื่นหลิงก็ระเบิดรุนแรงบนลานเมฆสายฟ้า คลื่นกระแทกกวาดออก ทำให้มิติเกิดการสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไม่หยุด

บนลานเมฆสายฟ้าพลังงานหลิงกวาดหายนะ มีเพียงตรงมู่เฉินเท่านั้นที่ไม่ถูกรบกวน เนื่องจากไม่มีใครกล้าเหยียบเข้ามาในรัศมีพันจั้ง ยามนี้เขาเหมือนผู้ชมที่ดูการต่อสู้ติดขอบ ในเวลาเดียวกันก็บันทึกกระบวนท่าที่ทรงพลังของบางคนไว้ในสมอง

แม้ว่าในชั้นนี้พวกเขาอาจไม่ได้ประลองกัน แต่ก็ยังมีอีกสองชั้นรอพวกเขาอยู่ ใครจะสามารถรับประกันได้ว่าจะไม่มีการลดจำนวนลงในชั้นต่อไป?

ดังนั้นถ้ามีโอกาสเขาต้องพยายามจดจำข้อมูลผู้อื่นเก็บไว้

ภายใต้การสังเกตของมู่เฉิน การประลองบนลานเมฆสายฟ้าก็คงอยู่ชั่วระยะหนึ่ง ก่อนที่แต่ละคู่จะมาถึงจุดสิ้นสุด ผลลัพธ์ก็เป็นไปตามที่คาดไว้

หลังจากมู่เฉินก็เป็นหานซันที่เอาชนะคู่ต่อสู้ได้ที่นั่งที่สองไป

จากนั้นมั่วเฟิงและจงเถิงก็คว้าชัยชนะตามมา

ที่นั่งสุดท้ายตกเป็นของสีคุนที่ก่อนหน้านี้เคยแพ้หานซันที่ด้านนอกเจดีย์ ชายนี้มีความแข็งแกร่งที่น่าตกใจ แม้แต่หานซันยังต้องใช้ทักษะเต็มที่ถึงจะได้รับชัยชนะมา

เมื่อสีคุนได้รับที่นั่งสุดท้ายลานเมฆสายฟ้าขนาดใหญ่ก็เงียบลงอีกครั้ง ร่างทั้งห้ายืนอยู่ ขณะรัศมีไร้ขอบเขตทั้งห้าสายพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าชนกันเปรี้ยงปร้าง

ทว่าการชนกันก็ดำเนินไปเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ก่อนที่ทั้งห้าจะถอนคลื่นพลังพร้อมกัน พวกเขาเหลือบมองกันและกัน จากนั้นก็ไม่ลังเลทะยานออกไปปรากฏตัวบนเบาะทั้งห้า

สายตาพวกเขาพุ่งตรงไปยังมิติด้านหลังลานเมฆสายฟ้าด้วยความโลภ ตรงนั้นเส้นดาวหางจำนวนมากกวาดผ่านราวกับฝนดาวตก

ในแสงเหล่านั้นแก่นหยดสายฟ้ากำลังกะพริบด้วยความแวววาว


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท