หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – ตอนที่ 1079

ตอนที่ 1079

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1079 ประลองชิงตำแหน่งราชัน
บรรยากาศการประชุมปะทุขึ้นด้วยคำพูดของมั่นถัวหลัว

ดวงตาของผู้คนเปลี่ยนเป็นแดงก่ำ โดยเฉพาะคนที่มีความตั้งใจที่จะลงชิงตำแหน่ง ดูราวกับวัวกระทิงที่อยากพุ่งชนโดยไม่สนใจอะไร ลมหายใจแต่ละคนหอบถี่

การชิงตำแหน่งผู้บัญชาการแตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับในอดีต ไม่เพียงแต่ต้องผ่านการประลอง มิหนำซ้ำยังต้องถูกเสนอชื่อโดยผู้บัญชาการอย่างน้อยห้าคน แน่นอนว่าอีกปัจจัยสำคัญก็คือจำนวนตำแหน่งที่มั่นถัวหลัวจะเปิดให้

มีจอมยุทธ์จำนวนมากในอาณาเขตกงเวทสวรรค์ ดังนั้นอุปทานจึงไม่ตรงกับความต้องการ หากมั่นถัวหลัวเปิดตำแหน่งมากเกินไปก็จะมีข้อพิพาทเกิดขึ้นในสำนัก ความผิดพลาดเพียงเล็กน้อยที่เกิดขึ้นก็จะนำมาซึ่งความปั่นป่วนภายใน ดังนั้นมั่นถัวหลัวจึงเปิดครั้งละน้อยนิด เช่นในการประชุมครั้งนี้ก็เปิดเพียงห้าตำแหน่งเท่านั้น

แล้วจำนวนของผู้เข้าแข่งขันที่หมายจะชิงห้าตำแหน่งนี้ก็มีหลายสิบคน ซึ่งสร้างอัตราการกำจัดที่โหดร้ายยิ่ง

ดังนั้นเมื่อมั่นถัวหลัวโบกมือส่งสัญญาณ คลื่นหลิงก็พุ่งออกมาทุกทิศทาง ร่างหลายสิบคนลอยขึ้นสู่ท้องฟ้าก่อนที่จะร่อนลงบนลานประลอง

โห่! โห่!

เสียงอื้ออึงสนับสนุนดังก้องกังวานจากทุกที่ หากคนที่พวกเขาสนับสนุนชนะและได้รับตำแหน่ง พวกเขาก็จะได้รับรางวัลสำหรับการสนับสนุนเช่นกัน ในอนาคตเมื่อผู้บัญชาการคนใหม่ต้องการจัดตั้งกองทัพของตนเอง ในฐานะผู้สนับสนุนพวกเขาก็จะมีส่วนร่วมในทรัพยากร ทำให้ช่วยเร่งการฝึกฝนได้มาก

มั่นถัวหลัวกวาดม่านตาไปรอบลานประลองก่อนที่จะหลับตาลง เห็นได้ชัดว่าการต่อสู้ในระดับนี้ต่ำกว่ามาตรฐานในสายตาของนางไปแล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะการขยายตัวของอาณาเขตกงเวทสวรรค์ที่แข็งแกร่งเพิ่มขึ้น นางคงมอบหน้าที่ในการประชุมราชันให้สามจอมพลไปจัดการเองนานแล้ว

นอกจากนี้เหตุผลที่นางมาที่นี่ก็ไม่ใช่มาเพื่อดูการประลองสำหรับตำแหน่งผู้บัญชาการ

มั่นถัวหลัวมองไปที่หลงปี้และผู้เฒ่าคูจากปรายหางตา พวกเขาทั้งคู่ดูเป็นอิสระและสบายใจ ราวกับชื่อของจอมพลตกอยู่ในมือแล้ว ในสายตาของพวกเขาไม่มีผู้บัญชาการคนใดที่สมควรได้รับความสนใจ ดังนั้นพวกเขาจึงคิดว่าไม่มีคู่แข่งในหมู่คนเหล่านี้

มุมปากของมั่นถัวหลัวโค้งขึ้นเมื่อเห็น หลงปี้และผู้เฒ่าคูมีพลังพอตัว แต่พวกเขาเย่อหยิ่งจองหองเกินไป ซึ่งนั่นไม่เป็นประโยชน์ต่ออาณาเขตกงเวทสวรรค์ หากพวกเขาได้รับตำแหน่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว

การประลองตำแหน่งผู้บัญชาการเข้มข้นมาก แต่ไม่นานก็จบลงด้วยช่องว่างระหว่างผู้แข่งขันค่อนข้างชัดเจน ดังนั้นการต่อสู้ใช้เวลาประมาณสองชั่วโมงก่อนจะเหลือจอมยุทธ์ห้าคนอยู่บนเวที

ทั้งห้าคนปลดปล่อยความผันผวนของพลังงานที่ไม่ธรรมดา พวกเขาทั้งหมดอยู่ในระยะต้นของระดับจื้อจุนขั้นแปดซึ่งเทียบเท่ากับไป๋หมิงที่มู่เฉินปะทะในดินแดนเสินโซ่

นี่เป็นห้าคนสุดท้ายที่ยืนหยัดต่อสู้เพื่อตำแหน่งผู้บัญชาการ

มั่นถัวหลัวพยักหน้าเบาๆ ให้จอมยุทธ์ทั้งห้า พร้อมกับการเติบโตของสำนักแล้ว คุณภาพของจอมยุทธ์ก็เพิ่มมากขึ้นเช่นกัน เนื่องจากตอนนี้ความดึงดูดใจของอาณาเขตกงเวทสวรรค์มีมากกว่าในอดีตสิ้นเชิง

ดังนั้นขุมพลังของเหล่าผู้บัญชาการคนใหม่ล้วนทรงพลังมาก นอกเหนือจากซิวหลัวและเลี่ยซัน ผู้บัญชาการดั้งเดิมคนอื่นๆ อยู่ในระดับจื้อจุนขั้นเจ็ดเท่านั้น ซึ่งเป็นสาเหตุข้อพิพาทระหว่างคนใหม่กับคนเก่าอยู่เนืองๆ

ผู้บัญชาการเก่าเชื่อในประสบการณ์และความอาวุโส ขณะที่ผู้บัญชาการใหม่เชื่อในพลังของตนเอง ดังนั้นจึงเป็นสาเหตุของความไม่ลงรอยกัน ทว่ามั่นถัวหลัวก็ไม่ได้ดำเนินการใดๆ ที่จะหยุดยั้ง เนื่องจากเรื่องนี้ไม่ได้เป็นข้อเสียต่อสำนักสักเท่าไร

เมื่อปรากฏผู้บัญชาการใหม่ทั้งห้า ก็ทำให้ทั่วจัตุรัสส่งเสียงโห่ร้องยินดี

เหล่าจอมพลยืนขึ้นประกาศการรับผู้บัญชาการใหม่รวมทั้งผู้สนับสนุน ก่อนที่จะเชิญทั้งห้าลงจากลานประลอง แต่แม้จะให้ทั้งห้าลงไปแล้ว ทว่าบรรยากาศกลับยิ่งร้อนแรงเดือดพล่านมากขึ้น

สายตาทั้งหมดจ้องมองไปที่ชายสองคนที่นั่งเงียบๆ ที่ใจกลาง

เพราะทุกคนรู้ว่าพิธีมอบยศราชันช่วงต้นเป็นเพียงอาหารว่าง ช่วงหลังต่างหากที่เป็นอาหารหลักในวันนี้!

จำนวนของผู้บัญชาการในปัจจุบันมีเกินยี่สิบตำแหน่งแล้ว แต่จอมพลยังคงมีอยู่แค่สามตำแหน่งเท่านั้น ปกติเมื่อท่านประมุขเข้าสมาธิฝึกฝน กิจวัตรต่างๆ ก็จะได้รับการจัดการโดยจอมพลทั้งสาม ดังนั้นจึงเห็นได้ชัดถึงอำนาจหน้าที่ของจอมพลมีมากเพียงใด

แต่เวลาเดียวกันการประลองเพื่อชิงตำแหน่งจอมพลก็ยกระดับขึ้น มีเพียงจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าเท่านั้นที่มีคุณสมบัติชิงตำแหน่ง

ซึ่งในปัจจุบันมีเพียงหลงปี้และผู้เฒ่าคูเท่านั้นที่มีคุณสมบัติ

ดังนั้นหากทั้งสองคนสามารถขึ้นดำรงตำแหน่ง จำนวนจอมพลก็จะเพิ่มขึ้นจากสามเป็นห้าสถานการณ์จะเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง

ในบรรดาผู้บัญชาการมีหลายคนตั้งใจจะเชื่อมสายสัมพันธ์ เพื่อที่จะได้รับการดูแลเมื่อทั้งสองได้ตำแหน่งไป

ม่านตาสีทองคำของมั่นถัวหลัวเปิดออก เสียงดังก้องกังวาน “ข้าขอประกาศว่าวันนี้จะมีการเพิ่มตำแหน่งจอมพลสองตำแหน่งสำหรับผู้พร้อมจะลงชิงชัย”

ฮือฮา!

บรรยากาศลุกฮือด้วยคำพูดของนาง สายตาร้อนแรงจ้องมองหลงปี้และผู้เฒ่าคูที่นั่งสงบนิ่ง ราวกับว่าไม่ได้เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึง ตราบใดที่ตำแหน่งจอมพลเพิ่มสองตำแหน่ง พวกเขาก็สามารถก้าวเข้าไปอยู่ในนั้นได้แน่นอน

ซิวหลัวและเลี่ยซันถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ พวกเขาเคยเป็นผู้ที่มีแนวโน้มได้ตำแหน่งจอมพลมากที่สุด แต่ก็ถูกผลักกลับไปพร้อมกับการขยายตัวของสำนัก

แม้จะรู้สึกอึดอัดใจ แต่ก็ไม่มีอะไรที่พวกเขาพูดได้ เพราะด้วยพลังของทั้งสองคนนี้ นอกจากในฐานะคนเก่าของสำนักก็ไม่มีสิ่งใดที่พวกเขาจะสู้ได้

เทียนจิ้วและหลิงถงแลกเปลี่ยนสายตาโดยไม่มีการแสดงออกใดๆ ในอนาคตสำนักคงจะเฮฮาน่าดู เมื่อมีทั้งสองคนเข้าร่วม สิ่งต่างๆ ก็คงจะไม่ราบรื่นนัก

มั่นถัวหลัวมองมาที่ทุกคน เสียงเรียบเฉยยังคงดังก้อง “ทุกคนสามารถลงชิงชัยตำแหน่งจอมพลได้”

หลงปี้และผู้เฒ่าคูยืนขึ้นแล้วมองไปรอบๆ ด้วยรอยยิ้มนุ่มนวล “ไม่ทราบว่ามีใครต้องการท้าพวกข้าหรือไม่? ถ้าพวกข้าแพ้ก็จะปล่อยตำแหน่งจอมพลให้ด้วยมือตัวเอง”

ความกดดันครอบงำอยู่ในน้ำเสียงราบเรียบ เนื่องจากทั้งสองไม่ได้มีความกังวลเกี่ยวกับการประลองเลย

เหล่าผู้บัญชาการดั้งเดิมมีสีหน้าบิดเบี้ยว ก่อนที่จะแลกสายตาพลางส่ายหัว ด้วยพลังที่มีแม้ว่าพวกเขาจะขึ้นไปก็รังแต่จะทำให้ตนเองอับอาย

ทั่วทั้งจัตุรัสเงียบกริบ เวลาผ่านไปแต่ก็ไม่มีใครกล้าเปล่งเสียง เห็นได้ชัดว่าพวกเขารู้ว่าจอมยุทธ์สองคนนี่ไม่ใช่คนที่พวกเขาสามารถเผชิญหน้าได้

เมื่อหลงปี้เห็นฉากนี้ รอยยิ้มพึงพอใจก็ปรากฏบนใบหน้าหยาบกระด้าง ดวงตาก็หรี่ลง “ในเมื่อไม่มีใครอยากประลอง งั้นพวกข้าก็…”

ทว่าก่อนที่เขาจะพูดจบประโยค เสียงหัวเราะสดใสก็กระจายมาจากที่ไกลเขย่าทั้งสวรรค์และโลก

“ฮ่าๆ อย่าใจร้อนสิท่านจอมยุทธ์ พวกข้าสองคนสนใจตำแหน่งจอมพลเช่นกัน”

เสียงดังขึ้นกะทันหันทำให้ทั่วจัตุรัสเต็มไปด้วยความตื่นตกใจ แม้แต่ผู้บัญชาการเก่าก็อึ้งไปก่อนที่จะเงยหน้าขึ้นมองเห็นแสงหลิงจำนวนมากเคลื่อนตัวเข้ามา

คนที่ยืนอยู่หน้าสุดเป็นชายหนุ่มอ่อนเยาว์และหญิงสาวสะคราญโฉม

ผู้บัญชาการเก่าทั้งเจ็ดคนต่างตกตะลึงเมื่อเห็นร่างเงาทั้งสองก็อุทานออกมา “ผู้บัญชาการมู่?! ผู้บัญชาการจิ่วโยว?!”

เสียงอุทานดังก้องระเบิดความโกลาหลขึ้น สายตาพุ่งไปยังทั้งสองด้วยความตกใจ จากนั้นเสียงพูดคุยก็ดังไปทั่ว

“นั่นผู้นำหอวิหคโลกันตร์ ผู้บัญชาการมู่กับผู้บัญชาการจิ่วโยวรึ?”

“พวกเขาหายหน้าไปเกือบปี ไม่คิดว่าจะกลับมาอีก”

“ผู้บัญชาการมู่มีตำแหน่งสำคัญในสำนัก มีข่าวลือว่าท่านประมุขสามารถบรรลุระดับตี้จื้อจุนขั้นปลายได้ก็เพราะเขา”

“เรื่องนี้รู้ๆ กันอยู่แล้ว ไม่งั้นหอวิหคโลกันตร์จะมีสถานะเช่นนี้ในวันนี้ได้รึ?” เสียงที่เต็มไปด้วยความอิจฉาริษยาดังก้องท่ามกลางการโต้เถียง

“จุ๊ๆ แต่เมื่อกี้ผู้บัญชาการมู่พูดอะไรนะ? เขาและผู้บัญชาการจิ่วโยวต้องการลงชิงชัยตำแหน่งจอมพลเรอะ? เฮ้ ข้าว่าพวกเขานี่เป็นวัวน้อยไม่กลัวเสือ แม้ว่าท่านประมุขจะให้ความสำคัญกับเขา แต่ตำแหน่งจอมพลไม่ใช่สิ่งที่เด็กน้อยอย่างเขามีคุณสมบัติเหมาะสม!”

“ใช่ๆ ผู้บัญชาการมู่คิดจะประลองกับหลงปี้และผู้เฒ่าคู ดูเพ้อเจ้อไปจริงๆ”

“…”

บทสนทนาทุกประเภทดังก้อง แต่เห็นได้ชัดว่าทุกคนดูถูกคำพูดของมู่เฉิน แม้แต่คนที่รู้จักเขา

หลงปี้และผู้เฒ่าคูเงยหน้าขึ้นคิ้วขมวดหากันภายใต้บทสนทนาหลากหลาย ก่อนที่พวกเขาจะมองไปที่มู่เฉินและจิ่วโยวที่เก็บคลื่นหลิงเข้าสู่ร่างกาย หลงปี้ก็ยิ้มกว้าง เสียงหัวเราะเยาะเย้ยดังกึกก้อง

“ก็ว่าใคร ที่แท้ก็คือผู้บัญชาการมู่และผู้บัญชาจิ่วโยวงั้นสินะ ข้าได้ยินมานานเกี่ยวกับเรื่องที่พวกเจ้ามีส่วนช่วยอย่างมากกับอาณาเขตกงเวทสวรรค์ ชื่อของเจ้าช่างเลื่องลือ แต่ถ้าวันนี้พวกเจ้าคิดอยากแย่งตำแหน่งจอมพล ข้าก็มีคำบอกพวกเจ้าทั้งสอง …”

“ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ…”

**สุภาษิต วัวน้อยไม่กลัวเสือเปรียบคนที่อ่อนประสบการณ์ย่อมไม่กลัวอะไร

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler ฟรี ได้ที่ novel-fast 


เรื่องย่อ

โดย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler บางส่วนของนิยาย

บทนำ

หนึ่งในใต้หล้าจากปลายปากกาของเทียนฉานถูโต้ว กล่าวถึงมู่เฉิน เด็กหนุ่มจากสำนักศึกษาเป่ยหลิง ผู้ที่ได้รับเลือกให้เข้าฝึกในสงครามเทพยุทธ์ซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าคนเก่งกาจ ทว่า… อยู่ดีๆ เขากลับถูกขับไล่ออกมาด้วยเหตุผลที่ไม่มีใครล่วงรู้ มู่เฉินพยายามฝึกหนักอีกครั้งเพื่อจะพาตัวเองกลับเข้าไปในเส้นทางแห่งนี้ เขาจำเป็นต้องใช้สิ่งนี้เป็นใบเบิกทางเพื่อเข้าศึกษาที่ภาคเบญจภาคี เพื่อ… ปกป้องหญิงสาวที่ตนรัก และยิ่งกว่านั้นคือเพื่อค้นหาเบาะแสของมารดาที่หายสาบสูญไป

‘มหาพันภพ’ เป็นที่ที่มิติทั้งหลายเชื่อมต่อกันในระบบสุริยจักรวาล สถานที่แห่งนี้มีขั้วอำนาจมากมายอาศัยอยู่ จักรพรรดิที่มาจากพิภพเขตล่างต่างเป็นตำนานที่ผู้อื่นปรารถนาขึ้นไปบนเส้นทางแห่งกฎของโลกไร้ขอบเขตนี้

แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว เทพจักรพรรดิอัคคีควบคุมเปลวเพลิงกวาดข้ามสวรรค์

แคว้นหวู เทพจักรพรรดิสงครามผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำให้ทั้งสวรรค์และโลกหวาดกลัว

ตำหนักซีเทียน จักรพรรดิสัประยุทธ์ที่แข็งแกร่งไม่มีผู้ใดเทียบเท่า ในเนินเขารกร้างทางเหนือ ดินแดนวั้นมู่ของจักรพรรดิอมตะครองเหนือภพ

เด็กหนุ่มจากมณฑลเป่ยหลิงออกท่องยุทธภพกับวิหคโลกันตร์คู่ใจ มุ่งหน้าสู่โลกภายนอกที่เต็มไปด้วยสีสัน ใครกันที่จะเป็นผู้กุมชะตากรรมในเส้นทางการเป็นหนึ่ง?

ในมหาพันภพที่สงครามนับหมื่นอุบัติ ข้าคือผู้กุมชะตาฟ้าดิน…

เรื่องย่อ

เมื่อคำพูดของมู่เฉินกระจายออกไป ไม่เพียงแต่จะไม่มีการตอบสนอง แม้แต่ด้านนอกเจดีย์ก็ถูกห่อหุ้มด้วยบรรยากาศราวกับป่าช้า…

ทุกคนตกตะลึงไปกับฉากนี้ พวกเขาจ้องมองจุดที่ลู่สุยหายตัวไป ราวกับว่ายังไม่สามารถฟื้นจากอาการตะลึงงันที่เกิดขึ้นได้

ก่อนหน้าเมื่อลู่สุยออกกระบวนท่าที่น่าสะพรึง ผู้คนส่วนใหญ่ก็คิดว่าผลลัพธ์ของการต่อสู้ได้ถูกกำหนดแล้ว ทว่าพวกเขาไม่คิดเลยว่ามู่เฉินจะพลิกสถานการณ์ได้อีกครั้ง เตะลู่สุยที่เหมือนจะคว้าชัยชนะออกไป

ทุกคนตะลึงไปพักใหญ่ ก่อนที่พวกเขาจะหลุดออกจากอาการได้ สายตาเคร่งเครียดลง การประลองกันครั้งนี้มู่เฉินไม่ได้ใช้ค่ายกล แต่เขาก็สามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดอย่างลู่สุยได้ด้วยความแข็งแกร่งที่อยู่ในขั้นหกเท่านั้น แม้ว่าจะมีผลจากลู่สุยประมาทเองในตอนแรก แต่นั่นก็แสดงให้เห็นว่ามู่เฉินน่ากลัวแค่ไหน

พลังเช่นนี้เขาสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์อันดับต้นๆ ในเจดีย์ฝึกพลังกายได้เลยทีเดียว

ทางฝั่งกลุ่มกระเรียนฟ้า ใบหน้าของหลิ่วชิงกลายเป็นเขียวสลับขาว นางมองไปที่ร่างสูงโปร่งบนหน้าจอ กลืนน้ำลายเหนียวหนืด ความกลัวปรากฏในดวงตาของนางเป็นครั้งแรก

มาถึงจุดนี้นางคงโง่แน่ถ้ายังคิดปฏิบัติต่อมู่เฉินเหมือนกับจอมยุทธ์ขั้นหกทั่วไป

ด้วยพลังในการต่อสู้ที่เขาแสดงออกมา บวกกับค่ายกลทรงพลัง แม้แต่จงเถิงก็ยากจะได้เปรียบหากพวกเขาต่อสู้กัน

ก่อนหน้านี้นางหัวเราะเยาะและมองจิ่วโยวด้วยความดูถูก แต่ตอนนี้นางอายแทบแทรกแผ่นดินหนี ซึ่งจุดนี้รู้ได้จากสายตาเยาะเย้ยเหล่านั้นที่ปรายมองเข้ามา

“ทำไมมู่เฉินถึงทรงพลังเช่นนี้?” จงฮั้วที่พ่ายแพ้ให้กับมู่เฉินก็มีสีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดเช่นกันว่ามู่เฉินพึ่งพาเพียงค่ายกลเพื่อจัดการกับศัตรู แต่ใครจะคิดว่าเมื่อไม่มีการใช้ค่ายกลมู่เฉินก็สามารถเอาชนะลู่สุยแบบดุร้ายยิ่งกว่าอะไร

“ดูเหมือนว่ามีเพียงพี่ใหญ่จงเถิงเท่านั้นที่สามารถจัดการกับเขาได้” จอมยุทธ์อีกคนของเผ่ากระเรียนฟ้าพยักหน้า

หลิ่วชิงพยักหน้าเบาๆ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะพิจารณาพลังของมู่เฉินพลาดไปเท่านั้น แม้แต่จงเถิงก็ตัดสินอีกฝ่ายผิดไป ชายคนนั้นเป็นสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง

ฟิ้ว!

ขณะที่นอกเจดีย์ต่างตกตะลึงกับผลลัพธ์ที่มู่เฉินนำมา ทันใดนั้นแสงก็กะพริบบนแท่นนอกเจดีย์ ร่างน่าสังเวชปรากฏขึ้น

เมื่อร่างนั้นออกมาก็รีบถอยกลับไปปรากฏตัวขึ้นในกลุ่มอีกาสายฟ้าทันควัน นี่ก็คือลู่สุยที่มีสีหน้าซีดขาว คลื่นหลิงของเขาถดถอยลงอย่างมาก

สายตาโดยรอบยิงเข้าหาในเวลานี้ทันที

ใบหน้าของลู่สุยเขียวคล้ำ สายตาเกลียดชังมองไปที่มู่เฉินที่อยู่บนหน้าจอ ก่อนที่จะหันหัวสาดสายตาดุร้ายใส่จิ่วโยวและมั่วหลิง ที่ข้างๆ พรรคพวกของเขาก็มีท่าทางไม่ดีเช่นกัน

ทว่าจิ่วโยวไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับสายตาเหล่านั้น นางเค้นเสียงอย่างเย็นชา “ลูกหมาที่ถูกฟาดยังกล้าที่จะออกมาแยกเขี้ยวอีกเหรอ?”

ตอนนี้ลู่สุยบาดเจ็บสาหัส สูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปหมด ส่วนคนที่เหลือก็ไม่มีอะไรต้องกลัว หากพวกเขากล้าที่จะคิดบัญชีกับพวกนาง จิ่วโยวก็ไม่คิดปล่อยพวกเขาไว้เป็นภัยคุกคามในอนาคตหรอก

สายตาแสดงความเกลียดชังของลู่สุยจ้องเขม็งอยู่ที่จิ่วโยว แต่สุดท้ายเขาก็ต้องถอนสายตาออกไปอย่างไม่เต็มใจ ก่อนที่จะถอยกลับนั่งลงบนซากปรักหักพังเข้าสมาธิเพื่อฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ

จอมยุทธ์กลุ่มอีกาสายฟ้าก็ปรากฏรอบตัวเขาเพื่อปกป้อง

เมื่อจิ่วโยวเห็นการตอบสนองนั่น นางก็ไม่ได้ใส่ใจกับพวกเขาอีก นางมองไปที่หน้าจออีกครั้งโดยพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ร่างเงาอ่อนเยาว์ มือที่กำแน่นผ่อนคลายลง

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงสำหรับนางที่มู่เฉินจะเอาชนะได้เด็ดขาดแบบนี้ นั่นเป็นเพราะตามการประเมินของนางแม้ว่ามู่เฉินจะยืนยงอยู่ได้ก็เป็นยากที่จะเอาชนะลู่สุยด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นหกและถ้าการต่อสู้ถูกลากไปจนสุดอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบคาดไม่ถึง

ทว่าผลลัพธ์สุดท้ายที่ได้ก็ทำให้นางทั้งประหลาดใจและดีใจ

เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินได้รับประโยชน์มหาศาลจากสามชั้นแรกของเจดีย์ฝึกพลังกาย ไม่เช่นนั้นเขาไม่สามารถแสดงพลังเป็นที่ประจักษ์เช่นนี้ได้

“ว่ากันว่าในชั้นสี่มหัศจรรย์กว่านี้มาก หากใครสามารถเข้าไปได้ พวกเขาจะสามารถได้รับผลประโยชน์เกินกว่าสามชั้นแรกมาก…”

จิ่วโยวยิ้มบาง ดูจากสถานการณ์ปัจจุบันไม่น่ามีปัญหาใดๆ ที่มู่เฉินจะเข้าสู่ชั้นสี่ สำหรับมั่วเฟิงความแข็งแกร่งของเขาเป็นหนึ่งในอันดับต้นของกลุ่มที่เข้าไป ดังนั้นจึงไม่ยากสำหรับเขาที่จะได้หนึ่งในห้าที่นั่งนี้ไปเช่นกัน

ดูเหมือนว่าการเดินทางมาที่เจดีย์ฝึกพลังกายโบราณครั้งนี้เผ่าวิหคโลกันตร์อาจเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

บนลานเมฆสายฟ้า

ไม่มีใครตอบคำถามของมู่เฉิน ขณะนี้แม้แต่จอมยุทธ์ทรงอำนาจอย่างหานซันและสีคุนก็ยังรู้สึกหวาดระแวงมู่เฉินอยู่บ้าง ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะไม่ไปปะทะกับมนุษย์ผู้นี้

ดังนั้นคนทั้งหมดที่อยู่ที่นี่จึงเงียบลง ก่อนที่จะถอยออกจากรัศมีโดยรอบมู่เฉินอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณบอกว่าพวกเขาไม่ต้องการต่อสู้กับเขา

เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ก็ไม่มีอารมณ์ใดบนใบหน้า แต่ในใจกลับรู้สึกโล่งอก คนอื่นๆ เห็นเพียงฉากการต่อสู้ตระการที่เขาเอาชนะลู่สุยได้ แต่พวกเขาไม่รู้หรอกว่าหมัดที่เขาชกออกไปก่อนหน้านี้คือพลังงานส่วนเกินจากสามชั้นแรก

ร่างกายของมู่เฉินก่อนหน้าเปรียบเสมือนฟองน้ำที่ดูดซับน้ำจนถึงขีดจำกัด หมัดของเขาจึงเท่ากับบีบน้ำออกจนหมด ทำให้ร่างกายที่อัดแน่นกลับสู่สภาพเดิม

ดังนั้นถ้าให้เขาโจมตีแบบนั้นอีกครั้ง พลังก็จะไม่ทรงประสิทธิภาพเหมือนเมื่อครู่แน่นอน

ประสิทธิผลพิเศษชนิดนี้ของการสะสมพลังงานในร่างกายเป็นทักษะที่ได้มาจากกายามังกรหงส์ ด้วยวิธีนี้เขาจะได้รับผลลัพธ์ที่ไม่มีใครคาดคิดไว้ กลายเป็นไพ่ลับอีกใบหนึ่ง

“คัมภีร์หลงเฟิ่งทรงพลังจริงๆ”

แม้แต่มู่เฉินก็ยังชื่นชมในสิ่งนี้ คัมภีร์หลงเฟิ่งสมแล้วที่เป็นทักษะยอดเยี่ยมแท้จริง จากการประเมินของเขาคัมภีร์นี้ต้องอยู่ในระดับเสินทงแน่นอน ซึ่งไม่ธรรมดาแม้จะอยู่ในกลุ่มวิทยายุทธระดับเสินทงด้วย

มู่เฉินชื่นชมก่อนที่จะใจเย็นลง แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีใครท้าทายเขา แต่เขาก็ไม่ตั้งใจที่จะท้าทายคนอื่นด้วยเช่นกัน เขายืนนิ่งบนตำแหน่งตนเองรอผลการคัดออก

สำหรับจงเถิง มู่เฉินรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นพวกยุแยงให้ลู่สุยมาปะทะกับเขา แต่เนื่องจากตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ดีในการจัดการ เขาจึงได้แต่ผลักแผนไปก่อน

แต่ถึงกระนั้นสายตาคมกล้าของมู่เฉินก็ยังจ้องเขม็งไปที่จงเถิง รอบตัวเต็มไปด้วยคลื่นหลิงราวกับเสือดาวที่กำลังจะจ้องตะครุบเหยื่ออัดแน่นด้วยภัยคุกคาม

เมื่อเห็นท่าทางของมู่เฉิน จงเถิงที่ประจันหน้ากับมั่วเฟิงก็รู้สึกอึดอัดใจ เขาต้องแยกสมาธิอยู่ตลอดเพื่อจับตามองมู่เฉิน ป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายเคลื่อนไหวมาประสานพลังกับมั่วเฟิง

ด้วยวิธีนี้สมาธิของจงเถิงจึงค่อนข้างฟุ้งซ่าน สุดท้ายเขาได้แต่กัดฟัน ถอนคลื่นหลิงและถอยออกจากบริเวณของมั่วเฟิง

“พี่มั่วยากสำหรับการต่อสู้ของเราที่จะได้ข้อสรุป ทำไมเราไม่ไปจัดการคนอื่นและรับที่นั่งมาล่ะ?” ขณะที่จงเถิงถอยกลับเสียงก็สะท้อนก้องไปด้วย

มั่วเฟิงจ้องมองจงเถิงอย่างไม่แยแสก่อนที่จะพยักหน้า นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าหากพวกเขายังอยู่ในสถานการณ์ยืนจ้องหน้ากันก็จะไม่เกิดผลลัพธ์ใด หากเขาร่วมมือกับมู่เฉิน พวกเขาอาจทำให้จงเถิงบ้าดีเดือดขึ้นมา แม้แต่พวกเขาก็ต้องจ่ายราคามหาศาลจากการตีโต้

ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาคือการได้ที่นั่งเพื่อเข้าสู่ชั้นสี่

เมื่อจงเถิงเห็นคำตอบของมั่วเฟิงก็รู้สึกโล่งใจในใจ เขาถอยกลับอย่างรวดเร็วออกจากจุดที่มู่เฉินและมั่วเฟิงอยู่ เขาครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนจะเลือกปะทะกับคนที่อ่อนแอกว่า

พอมู่เฉินเห็นจงเถิงไปแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจอีกต่อไป สายตาหันมามองมั่วเฟิงแล้วก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มแสดงความขอบคุณในการช่วยเหลือครั้งนี้

สายตาของมั่วเฟิงเป็นมิตรมากขึ้น คิดว่าการที่มู่เฉินเอาชนะลู่สุย ทำให้มั่วเฟิงมองมู่เฉินในฐานะจอมยุทธ์ที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเขา ดังนั้นจึงไม่ได้มีท่าทางเฉยเมยเหมือนเมื่อก่อน

มั่วเฟิงพยักหน้าให้มู่เฉิน ก่อนที่จะหันหลังกลับและเริ่มเลือกคู่ต่อสู้ของตนเอง

ครืน!

เมื่อทุกคนเลือกคู่ต่อสู้แล้ว ทันใดนั้นคลื่นหลิงก็ระเบิดรุนแรงบนลานเมฆสายฟ้า คลื่นกระแทกกวาดออก ทำให้มิติเกิดการสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไม่หยุด

บนลานเมฆสายฟ้าพลังงานหลิงกวาดหายนะ มีเพียงตรงมู่เฉินเท่านั้นที่ไม่ถูกรบกวน เนื่องจากไม่มีใครกล้าเหยียบเข้ามาในรัศมีพันจั้ง ยามนี้เขาเหมือนผู้ชมที่ดูการต่อสู้ติดขอบ ในเวลาเดียวกันก็บันทึกกระบวนท่าที่ทรงพลังของบางคนไว้ในสมอง

แม้ว่าในชั้นนี้พวกเขาอาจไม่ได้ประลองกัน แต่ก็ยังมีอีกสองชั้นรอพวกเขาอยู่ ใครจะสามารถรับประกันได้ว่าจะไม่มีการลดจำนวนลงในชั้นต่อไป?

ดังนั้นถ้ามีโอกาสเขาต้องพยายามจดจำข้อมูลผู้อื่นเก็บไว้

ภายใต้การสังเกตของมู่เฉิน การประลองบนลานเมฆสายฟ้าก็คงอยู่ชั่วระยะหนึ่ง ก่อนที่แต่ละคู่จะมาถึงจุดสิ้นสุด ผลลัพธ์ก็เป็นไปตามที่คาดไว้

หลังจากมู่เฉินก็เป็นหานซันที่เอาชนะคู่ต่อสู้ได้ที่นั่งที่สองไป

จากนั้นมั่วเฟิงและจงเถิงก็คว้าชัยชนะตามมา

ที่นั่งสุดท้ายตกเป็นของสีคุนที่ก่อนหน้านี้เคยแพ้หานซันที่ด้านนอกเจดีย์ ชายนี้มีความแข็งแกร่งที่น่าตกใจ แม้แต่หานซันยังต้องใช้ทักษะเต็มที่ถึงจะได้รับชัยชนะมา

เมื่อสีคุนได้รับที่นั่งสุดท้ายลานเมฆสายฟ้าขนาดใหญ่ก็เงียบลงอีกครั้ง ร่างทั้งห้ายืนอยู่ ขณะรัศมีไร้ขอบเขตทั้งห้าสายพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าชนกันเปรี้ยงปร้าง

ทว่าการชนกันก็ดำเนินไปเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ก่อนที่ทั้งห้าจะถอนคลื่นพลังพร้อมกัน พวกเขาเหลือบมองกันและกัน จากนั้นก็ไม่ลังเลทะยานออกไปปรากฏตัวบนเบาะทั้งห้า

สายตาพวกเขาพุ่งตรงไปยังมิติด้านหลังลานเมฆสายฟ้าด้วยความโลภ ตรงนั้นเส้นดาวหางจำนวนมากกวาดผ่านราวกับฝนดาวตก

ในแสงเหล่านั้นแก่นหยดสายฟ้ากำลังกะพริบด้วยความแวววาว


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท