หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – ตอนที่ 1080

ตอนที่ 1080

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1080 กลับมาด้วยความแข็งแกร่ง
“ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ”

เสียงประเมินไม่แยแสของหลงปี้ดังก้องในท้องฟ้า ปกคลุมบทสนทนาทั้งหมดไว้ เวลาเดียวกันทั่วทั้งจัตุรัสก็ตกอยู่ในความเงียบงัน

ผู้คนมีสายตาแปลกประหลาด โดยเฉพาะเหล่าผู้บัญชาการดั้งเดิมของอาณาเขตกงเวทสวรรค์ ใบหน้าน่าเกลียดลงทันที หลงปี้ทรงพลังและมีชื่อเสียงโด่งดังก็จริง ทว่ามู่เฉินมีคุณูปการมากมาย หากไม่มีมู่เฉิน ไม่เพียงแต่ท่านประมุขจะไม่สามารถบรรลุระดับตี้จื้อจุนขั้นปลายได้ สุดท้ายอาจจะทำให้หมู่ตึกเทวะได้รับชัยจนพวกเขาไม่สามารถดำรงอยู่ต่อในภูมิภาคทางเหนือได้อีกเลย

ผลงานของเขาเป็นบุญกับทุกคนในสำนัก แม้แต่จอมพลทั้งสามยังเกรงใจมู่เฉิน ไม่ได้ดูถูกอีกฝ่ายเพราะความอ่อนเยาว์

ดังนั้นพวกเขาจึงรู้สึกไม่พอใจที่หลงปี้ทำเช่นนี้ต่อหน้ามู่เฉิน

“หลงปี้ แม้เจ้าจะมีชื่อเสียงในภูมิภาคทางเหนือ แต่สำหรับสำนักเจ้าก็เป็นเพียงคนใหม่ เจ้าเข้าร่วมกับเราเพราะสำนักที่ทรงพลังขึ้น แต่อย่าลืมว่าที่เรามีวันนี้ได้เป็นเพราะการช่วยเหลือของมู่เฉิน” ซิวหลัวพูดขึ้นด้วยความไม่พอใจคนใหม่ทั้งสอง

“ฮ่าๆ ใครมาก่อนก็มีสิทธิ์ก่อน อย่าเอาความแก่มาเบ่งที่นี่” เลี่ยซันเผยรอยยิ้มเยาะ

ผู้บัญชาการดั้งเดิมคนอื่นๆ ก็ส่งเสียงดังแสดงความคิดเห็น ส่วนผู้บัญชาการใหม่ได้แต่แลกเปลี่ยนสายตากัน ไม่ได้เข้าร่วมศึกแลกน้ำลายที่เกิดขึ้น กลัวว่าจะไปมีปัญหากับหลงปี้และผู้เฒ่าคู เพราะหากทั้งสองได้ขึ้นครองตำแหน่งจอมพลก็จะถือเป็นเสาหลักของสำนักหลังจากนี้

เมื่อหลงปี้และผู้เฒ่าคูเห็นเหล่าผู้บัญชาการดั้งเดิมฟาดใส่ไม่ยั้ง พวกเขาก็อึ้งไป ก่อนที่ใบหน้าจะกลายเป็นไม่น่าดู

ในฐานะจอมยุทธ์ชั้นสูงของภูมิภาคทางเหนือที่สร้างชื่อเสียงมานาน พวกเขามีความภูมิใจและไว้ตัว พวกเขาไม่เคยให้ความสำคัญกับมู่เฉินมากนัก จึงคิดว่าไม่จำเป็นต้องสุภาพ ถึงยังไงมู่เฉินก็ยังเด็กเหลือเกิน แม้จะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายโชคดีไปสร้างคุณูปการยิ่งใหญ่อะไรในสงครามล่าจนทำให้ท่านประมุขดูแลเป็นอย่างมาก แต่การดูแลที่ได้มาจากความสัมพันธ์เช่นนี้ ยิ่งทำให้พวกเขาดูถูกเข้าไปใหญ่

ดังนั้นหลงปี้จึงอดเยาะเย้ยไม่ได้ เมื่อเขาเห็นมู่เฉินปรากฏตัวขึ้นพร้อมกับความตั้งใจที่จะลงประลองเพื่อชิงตำแหน่งจอมพลกับพวกเขา แต่ชัดว่าเขาประเมินชื่อเสียงของมู่เฉินต่ำเกินไป เมื่อเขาพูดเยาะเย้ยออกมาก็คล้ายกับแหย่เข้าไปในรังแตน

แต่ก่อนที่พวกเขาจะได้ตอบโต้อะไร เทียนจิ้วและหลิงถงก็พูดย้ำเสียงดังก้องว่า “ผู้บัญชาการมู่และผู้บัญชาการจิ่วโยวมีบุญยิ่งใหญ่ต่ออาณาเขตกงเวทสวรรค์ ตอนนี้พวกเจ้าก็ยังไม่ได้รับการเลื่อนตำแหน่ง จึงมีสถานะเดียวกัน ดังนั้นอย่าได้ไร้มารยาทเกินไป”

ทั้งสองจอมพลมีความเห็นเกี่ยวกับหลงปี้และผู้เฒ่าคูไม่ดีอยู่แล้วตั้งแต่ต้น ดังนั้นเมื่อสบโอกาสที่เห็นว่าทั้งสองถูกโจมตีจากเหล่าผู้บัญชาการดั้งเดิม พวกเขาก็โยนหินใส่ลงไปโดยไม่ลังเล

กระทั่งซุยนอนก็ยังระบายยิ้มเบาบาง ขณะที่พยักหน้าเห็นด้วยกับความคิดนี้

สีหน้าหลงปี้และผู้เฒ่าคูสลับไปมาระหว่างเขียวกับขาว พวกเขาไม่คิดเลยว่าประโยคเดียวสั้นๆ จะทำให้ผู้คนเกิดความโกรธแค้นขนาดนี้

ทีแรกเป็นเรื่องปกติที่พวกเขาจะวิจารณ์คนที่อายุน้อยกว่าจากพลังและชื่อเสียงที่มี แต่ใครจะคิดว่าสถานการณ์จะกลายเป็นเช่นนี้

พวกเขาแลกเปลี่ยนสายตากันแบบกระอักกระอ่วนก่อนจะมองมั่นถัวหลัวบนบัลลังก์ พยายามจะให้นางพูดอะไรบางอย่าง ทว่านางก็ยังคงทำราวพักสายตา โดยไม่มีท่าทีจะเอื้อนเอ่ยคำใดและยิ่งไม่สนจะหยุดคนอื่นๆ ไม่ให้พูด

เมื่อหลงปี้และผู้เฒ่าคูเห็นท่าทางของมั่นถัวหลัวหัวใจก็ดิ่งลง พวกเขาประเมินมู่เฉินต่ำไป เห็นได้ชัดว่าในหัวใจของประมุขพวกเขามีน้ำหนักน้อยกว่ามู่เฉิน เนื่องจากนางไม่ได้มีท่าทีการสนับสนุนพวกเขา แม้จะตกเป็นเป้านิ่งของทุกคนก็ตาม

คิดถึงจุดนี้ สีหน้าทั้งสองก็เขียวสลับขาว แม้จะรู้สึกไม่พอใจในใจ แต่สุดท้ายสิ่งที่พวกเขาทำได้ก็คือระงับอารมณ์ก่อนที่จะเงยหน้าขึ้นมองมู่เฉินและจิ่วโยวบนท้องฟ้าพลางยิ้มลุแก่โทษและฝืนยิ้ม “เป็นความผิดของข้าเอง หวังว่าผู้บัญชาการมู่จะไม่ถือโทษโกรธกัน”

ไม่ว่าตอนนี้จะรู้สึกยังไง พวกเขาก็ต้องเลือกกลืนลงไปเพราะกลัวว่าจะเพิ่มคำตำหนิมากขึ้น ซึ่งเท่ากับสร้างความอับอายให้แก่ตนเอง

บนท้องฟ้า มู่เฉินอึ้งไปเมื่อเห็นสถานการณ์เช่นนี้ ก่อนที่จะส่ายหัวพร้อมกับรอยยิ้มบนใบหน้า อาณาเขตกงเวทสวรรค์ในปัจจุบันน่าสนใจมากและในเวลาเดียวกันก็วุ่นวายมาก แม้หลงปี้และผู้เฒ่าคูจะล้ำเส้นเขาไปบ้าง แต่ชัดว่าได้สร้างความไม่พอใจไว้มากแล้วก่อนหน้า ทำให้เรื่องนี้เป็นเพียงชนวนที่จุดระเบิด

“ตาแก่สองคนนี้ซวยจริงๆ”

มู่เฉินพึมพำในใจ จากนั้นก็ส่ายหัวยิ้มบางพูดว่า “ในเมื่อท่านประมุขบอกว่าทุกคนสามารถประลองเพื่อตำแหน่งจอมพลทั้งสองได้ งั้นพวกข้าสองคนก็น่าจะเข้าร่วมได้ใช่ไหม?”

บนบัลลังก์มั่นถัวหลัวเปิดเปลือกตามองไปที่มู่เฉินด้วยรอยยิ้มไม่เชิงยิ้มกระจายบนใบหน้างาม

แม้ทั้งสองจะปกปิดความผันผวนของคลื่นหลิงไว้ แต่จอมยุทธ์ในระดับนางก็สามารถรับรู้ถึงพลังได้

“ได้” ดังนั้นนางจึงพยักหน้าเอ่ยตอบ

เมื่อคำประกาศหลุดออกมา ความโกลาหลก็เกิดขึ้น แต่ครั้งนี้แม้แต่เหล่าผู้บัญชาการดั้งเดิมก็ยังขมวดคิ้ว พวกเขาไม่คิดว่ามู่เฉินและจิ่วโยวจะลงชิงตำแหน่งจอมพลจริงๆ

หลงปี้และผู้เฒ่าคูมีขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าระยะต้นซึ่งทรงพลังมาก แม้กระทั่งเทียนจิ้วและหลิงถงก็ยังอยู่ในระดับนี้เช่นกัน

พวกเขารู้ว่าพลังของมู่เฉินและจิ่วโยวจะต้องเพิ่มขึ้นหลังจากการเดินทางออกจากสำนักเกือบหนึ่งปี แต่ตอนที่จากไปจิ่วโยวอยู่ในขั้นเจ็ดส่วนมู่เฉินอยู่ในขั้นหกเท่านั้น เวลาหนึ่งปีอย่างมากที่สุดการบรรลุขึ้นไปอีกขั้นก็เป็นขีดจำกัดแล้ว

แต่กระนั้นโอกาสก็เท่ากับศูนย์เมื่อเทียบกับหลงปี้และผู้เฒ่าคู

ประกายแสงวูบไหวในดวงตาของหลงปี้และผู้เฒ่าคู จากนั้นก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา ทว่ามุมปากกลับยกยิ้มเย้ยหยันเพิ่มขึ้น

ด้วยชื่อเสียงของมู่เฉินและจิ่วโยวในอาณาเขตกงเวทสวรรค์ ก็คงไม่มีทางที่จะเอาคืนด้วยวิธีปกติ แต่ในเมื่อทั้งสองยืนกรานที่จะลงประลอง พวกเขาก็จะช่วยส่งเสริมให้ได้อับอายบ้าง

พวกเขาจะมาดูสิว่าหลังจากที่ไอ้เด็กอ่อนเยาว์สองคนพ่ายแพ้ในมือพวกเขา ชื่อเสียงนั้นจะทนต่อความอับอายได้กี่ครั้ง?

“ผู้บัญชาการมู่ ผู้บัญชาการจิ่วโยว การชิงตำแหน่งจอมพลไม่ใช่เรื่องง่าย เจ้าสองคนต้องระวังนะ” เทียนจิ้วเตือนด้วยสีหน้าเคร่งขรึม แม้จะสัมผัสได้ว่าความผันผวนของคลื่นพลังรอบตัวมู่เฉินและจิ่วโยวดูคลุมเครือ แต่พิจารณาจากสภาพทั่วไป พวกเขาก็ไม่ได้คิดว่าพลังของทั้งสองจะทะยานขึ้นแบบฉุดไม่อยู่

“ขอบคุณสำหรับการเตือนขอรับท่านจอมพลเทียนจิ้ว” มู่เฉินตอบด้วยรอยยิ้มแต่ไม่ได้แสดงเจตนาในการถอนตัว

แววสงสัยวูบไหวในดวงตาเทียนจิ้วเมื่อได้ยินคำพูดมั่นใจของมู่เฉิน เขามีความเข้าใจในพื้นนิสัยของมู่เฉินดี ชายหนุ่มคนนี้มีนิสัยแน่วแน่แม้จะอายุน้อย ดังนั้นจะไม่ยอมเอาชีวิตมาเสี่ยงถ้าไม่ได้มีความมั่นใจ หรือว่ามู่เฉินมีวิธีทรงพลังที่สามารถเผชิญหน้ากับระดับจื้อจุนขั้นเก้าระยะต้นได้?

เมื่อนึกถึงไพ่ตายทรงพลังของมู่เฉินในฐานะหลิงเจิ้นซือและจั้นเจิ้นซือ ก็ทำให้ความกังวลของเขาคลายลงเล็กน้อย เขาหวังว่ามู่เฉินจะทำได้สำเร็จ มิเช่นนั้นจะต้องอับอายขายหน้าทั้งตัวเองและหอวิหคโลกันตร์

“ฮ่าๆ ในเมื่อเจ้าสองคนยืนกราน ข้าคงต้องถูกตราหน้าว่าแกล้งเด็กสักครั้ง” ผู้เฒ่าคูหัวเราะเสียงแหบห้าว ก่อนที่จะหายตัวไปปรากฏบนลานหินในจัตุรัส จากนั้นก็มองไปที่มู่เฉินและจิ่วโยวด้วยสายตาเย้ยหยัน

“ไม่รู้ว่าใครที่จะท้าทายข้า? ถ้าข้าแพ้ ข้าจะไม่แย่งตำแหน่งจอมพลนี้อีก”

ดวงตาทุกคู่จ้องมองมาที่มู่เฉินและจิ่วโยว บางคนคาดหวัง บางคนงุนงง ขณะเดียวกันก็มีคนยินดีในความโชคร้ายของทั้งคู่

“ข้าได้ยินชื่อเสียงของผู้เฒ่าคูมานานแล้ว วันนี้จะมาขอคำแนะนำสักหน่อยเจ้าค่ะ”

จิ่วโยวยิ้มหวานเคลื่อนตัวไปปรากฏตรงหน้าผู้เฒ่าคู ไฟแห่งการต่อสู้ร้อนแรงลุกฮือในดวงตา

นั่นคือรัศมีการสู้ที่เร่าร้อน

ฝึกฝนในมิติสองปี ด้วยคำแนะนำของราชินีวิหคอมตะและความช่วยเหลือของแก่นมรดกโลหิต พลังของนางได้ผ่านการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ตอนนี้นางต้องการคู่ต่อสู้ที่สูสีเพื่อทดสอบพัฒนาการของตนเอง ซึ่งผู้เฒ่าคูชัดว่าเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด

ผู่เฒ่าคูปรายตามองไปที่จิ่วโยวก่อนที่จะขมวดคิ้ว เมื่อเข้าใกล้เขาก็รู้สึกได้ถึงคลื่นหลิงของจิ่วโยวเก็บกลับสู่ร่างกายทั้งหมดโดยไม่มีการรั่วไหลแม้แต่น้อย

“เจ้าซ่อนพลังไว้หรือ?” ผู้เฒ่าคูถามด้วยอาการตกตะลึง

จิ่วโยวยิ้มไม่ตอบ เพียงแค่เยื้องย่างออกมา คลื่นหลิงที่น่ากลัวที่ถูกบีบอัดในร่างกายถูกปลดปล่อยออกมาอย่างสมบูรณ์ราวกับภูเขาไฟปะทุ ทำให้ผืนฟ้าและผืนดินสั่นสะเทือนเลื่อนลั่น เมื่อพลังงานกวาดออกก็พวยพุ่งปกคลุมดวงอาทิตย์ แรงกดดันน่าขนพองสยองเกล้าระเบิดออกมาจากร่างของจิ่วโยว

สายตาตะลึงพรึดเพริดจ้องมองร่างเพรียวบาง โดยเฉพาะเหล่าผู้บัญชาการดั้งเดิม ดวงตาเบิกโตเท่าไข่ห่าน

เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่บนใบหน้าของเทียนจิ้วและหลิงถงเช่นกัน สายตาจ้องมองไปที่จิ่วโยวด้วยความตกตะลึง สุดท้ายก็สูดหายใจลึกพึมพำด้วยความไม่เชื่อ “นาง…นางบรรลุระดับจื้อจุนขั้นเก้าแล้วรึ?!”

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler ฟรี ได้ที่ novel-fast 


เรื่องย่อ

โดย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler บางส่วนของนิยาย

บทนำ

หนึ่งในใต้หล้าจากปลายปากกาของเทียนฉานถูโต้ว กล่าวถึงมู่เฉิน เด็กหนุ่มจากสำนักศึกษาเป่ยหลิง ผู้ที่ได้รับเลือกให้เข้าฝึกในสงครามเทพยุทธ์ซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าคนเก่งกาจ ทว่า… อยู่ดีๆ เขากลับถูกขับไล่ออกมาด้วยเหตุผลที่ไม่มีใครล่วงรู้ มู่เฉินพยายามฝึกหนักอีกครั้งเพื่อจะพาตัวเองกลับเข้าไปในเส้นทางแห่งนี้ เขาจำเป็นต้องใช้สิ่งนี้เป็นใบเบิกทางเพื่อเข้าศึกษาที่ภาคเบญจภาคี เพื่อ… ปกป้องหญิงสาวที่ตนรัก และยิ่งกว่านั้นคือเพื่อค้นหาเบาะแสของมารดาที่หายสาบสูญไป

‘มหาพันภพ’ เป็นที่ที่มิติทั้งหลายเชื่อมต่อกันในระบบสุริยจักรวาล สถานที่แห่งนี้มีขั้วอำนาจมากมายอาศัยอยู่ จักรพรรดิที่มาจากพิภพเขตล่างต่างเป็นตำนานที่ผู้อื่นปรารถนาขึ้นไปบนเส้นทางแห่งกฎของโลกไร้ขอบเขตนี้

แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว เทพจักรพรรดิอัคคีควบคุมเปลวเพลิงกวาดข้ามสวรรค์

แคว้นหวู เทพจักรพรรดิสงครามผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำให้ทั้งสวรรค์และโลกหวาดกลัว

ตำหนักซีเทียน จักรพรรดิสัประยุทธ์ที่แข็งแกร่งไม่มีผู้ใดเทียบเท่า ในเนินเขารกร้างทางเหนือ ดินแดนวั้นมู่ของจักรพรรดิอมตะครองเหนือภพ

เด็กหนุ่มจากมณฑลเป่ยหลิงออกท่องยุทธภพกับวิหคโลกันตร์คู่ใจ มุ่งหน้าสู่โลกภายนอกที่เต็มไปด้วยสีสัน ใครกันที่จะเป็นผู้กุมชะตากรรมในเส้นทางการเป็นหนึ่ง?

ในมหาพันภพที่สงครามนับหมื่นอุบัติ ข้าคือผู้กุมชะตาฟ้าดิน…

เรื่องย่อ

เมื่อคำพูดของมู่เฉินกระจายออกไป ไม่เพียงแต่จะไม่มีการตอบสนอง แม้แต่ด้านนอกเจดีย์ก็ถูกห่อหุ้มด้วยบรรยากาศราวกับป่าช้า…

ทุกคนตกตะลึงไปกับฉากนี้ พวกเขาจ้องมองจุดที่ลู่สุยหายตัวไป ราวกับว่ายังไม่สามารถฟื้นจากอาการตะลึงงันที่เกิดขึ้นได้

ก่อนหน้าเมื่อลู่สุยออกกระบวนท่าที่น่าสะพรึง ผู้คนส่วนใหญ่ก็คิดว่าผลลัพธ์ของการต่อสู้ได้ถูกกำหนดแล้ว ทว่าพวกเขาไม่คิดเลยว่ามู่เฉินจะพลิกสถานการณ์ได้อีกครั้ง เตะลู่สุยที่เหมือนจะคว้าชัยชนะออกไป

ทุกคนตะลึงไปพักใหญ่ ก่อนที่พวกเขาจะหลุดออกจากอาการได้ สายตาเคร่งเครียดลง การประลองกันครั้งนี้มู่เฉินไม่ได้ใช้ค่ายกล แต่เขาก็สามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดอย่างลู่สุยได้ด้วยความแข็งแกร่งที่อยู่ในขั้นหกเท่านั้น แม้ว่าจะมีผลจากลู่สุยประมาทเองในตอนแรก แต่นั่นก็แสดงให้เห็นว่ามู่เฉินน่ากลัวแค่ไหน

พลังเช่นนี้เขาสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์อันดับต้นๆ ในเจดีย์ฝึกพลังกายได้เลยทีเดียว

ทางฝั่งกลุ่มกระเรียนฟ้า ใบหน้าของหลิ่วชิงกลายเป็นเขียวสลับขาว นางมองไปที่ร่างสูงโปร่งบนหน้าจอ กลืนน้ำลายเหนียวหนืด ความกลัวปรากฏในดวงตาของนางเป็นครั้งแรก

มาถึงจุดนี้นางคงโง่แน่ถ้ายังคิดปฏิบัติต่อมู่เฉินเหมือนกับจอมยุทธ์ขั้นหกทั่วไป

ด้วยพลังในการต่อสู้ที่เขาแสดงออกมา บวกกับค่ายกลทรงพลัง แม้แต่จงเถิงก็ยากจะได้เปรียบหากพวกเขาต่อสู้กัน

ก่อนหน้านี้นางหัวเราะเยาะและมองจิ่วโยวด้วยความดูถูก แต่ตอนนี้นางอายแทบแทรกแผ่นดินหนี ซึ่งจุดนี้รู้ได้จากสายตาเยาะเย้ยเหล่านั้นที่ปรายมองเข้ามา

“ทำไมมู่เฉินถึงทรงพลังเช่นนี้?” จงฮั้วที่พ่ายแพ้ให้กับมู่เฉินก็มีสีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดเช่นกันว่ามู่เฉินพึ่งพาเพียงค่ายกลเพื่อจัดการกับศัตรู แต่ใครจะคิดว่าเมื่อไม่มีการใช้ค่ายกลมู่เฉินก็สามารถเอาชนะลู่สุยแบบดุร้ายยิ่งกว่าอะไร

“ดูเหมือนว่ามีเพียงพี่ใหญ่จงเถิงเท่านั้นที่สามารถจัดการกับเขาได้” จอมยุทธ์อีกคนของเผ่ากระเรียนฟ้าพยักหน้า

หลิ่วชิงพยักหน้าเบาๆ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะพิจารณาพลังของมู่เฉินพลาดไปเท่านั้น แม้แต่จงเถิงก็ตัดสินอีกฝ่ายผิดไป ชายคนนั้นเป็นสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง

ฟิ้ว!

ขณะที่นอกเจดีย์ต่างตกตะลึงกับผลลัพธ์ที่มู่เฉินนำมา ทันใดนั้นแสงก็กะพริบบนแท่นนอกเจดีย์ ร่างน่าสังเวชปรากฏขึ้น

เมื่อร่างนั้นออกมาก็รีบถอยกลับไปปรากฏตัวขึ้นในกลุ่มอีกาสายฟ้าทันควัน นี่ก็คือลู่สุยที่มีสีหน้าซีดขาว คลื่นหลิงของเขาถดถอยลงอย่างมาก

สายตาโดยรอบยิงเข้าหาในเวลานี้ทันที

ใบหน้าของลู่สุยเขียวคล้ำ สายตาเกลียดชังมองไปที่มู่เฉินที่อยู่บนหน้าจอ ก่อนที่จะหันหัวสาดสายตาดุร้ายใส่จิ่วโยวและมั่วหลิง ที่ข้างๆ พรรคพวกของเขาก็มีท่าทางไม่ดีเช่นกัน

ทว่าจิ่วโยวไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับสายตาเหล่านั้น นางเค้นเสียงอย่างเย็นชา “ลูกหมาที่ถูกฟาดยังกล้าที่จะออกมาแยกเขี้ยวอีกเหรอ?”

ตอนนี้ลู่สุยบาดเจ็บสาหัส สูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปหมด ส่วนคนที่เหลือก็ไม่มีอะไรต้องกลัว หากพวกเขากล้าที่จะคิดบัญชีกับพวกนาง จิ่วโยวก็ไม่คิดปล่อยพวกเขาไว้เป็นภัยคุกคามในอนาคตหรอก

สายตาแสดงความเกลียดชังของลู่สุยจ้องเขม็งอยู่ที่จิ่วโยว แต่สุดท้ายเขาก็ต้องถอนสายตาออกไปอย่างไม่เต็มใจ ก่อนที่จะถอยกลับนั่งลงบนซากปรักหักพังเข้าสมาธิเพื่อฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ

จอมยุทธ์กลุ่มอีกาสายฟ้าก็ปรากฏรอบตัวเขาเพื่อปกป้อง

เมื่อจิ่วโยวเห็นการตอบสนองนั่น นางก็ไม่ได้ใส่ใจกับพวกเขาอีก นางมองไปที่หน้าจออีกครั้งโดยพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ร่างเงาอ่อนเยาว์ มือที่กำแน่นผ่อนคลายลง

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงสำหรับนางที่มู่เฉินจะเอาชนะได้เด็ดขาดแบบนี้ นั่นเป็นเพราะตามการประเมินของนางแม้ว่ามู่เฉินจะยืนยงอยู่ได้ก็เป็นยากที่จะเอาชนะลู่สุยด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นหกและถ้าการต่อสู้ถูกลากไปจนสุดอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบคาดไม่ถึง

ทว่าผลลัพธ์สุดท้ายที่ได้ก็ทำให้นางทั้งประหลาดใจและดีใจ

เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินได้รับประโยชน์มหาศาลจากสามชั้นแรกของเจดีย์ฝึกพลังกาย ไม่เช่นนั้นเขาไม่สามารถแสดงพลังเป็นที่ประจักษ์เช่นนี้ได้

“ว่ากันว่าในชั้นสี่มหัศจรรย์กว่านี้มาก หากใครสามารถเข้าไปได้ พวกเขาจะสามารถได้รับผลประโยชน์เกินกว่าสามชั้นแรกมาก…”

จิ่วโยวยิ้มบาง ดูจากสถานการณ์ปัจจุบันไม่น่ามีปัญหาใดๆ ที่มู่เฉินจะเข้าสู่ชั้นสี่ สำหรับมั่วเฟิงความแข็งแกร่งของเขาเป็นหนึ่งในอันดับต้นของกลุ่มที่เข้าไป ดังนั้นจึงไม่ยากสำหรับเขาที่จะได้หนึ่งในห้าที่นั่งนี้ไปเช่นกัน

ดูเหมือนว่าการเดินทางมาที่เจดีย์ฝึกพลังกายโบราณครั้งนี้เผ่าวิหคโลกันตร์อาจเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

บนลานเมฆสายฟ้า

ไม่มีใครตอบคำถามของมู่เฉิน ขณะนี้แม้แต่จอมยุทธ์ทรงอำนาจอย่างหานซันและสีคุนก็ยังรู้สึกหวาดระแวงมู่เฉินอยู่บ้าง ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะไม่ไปปะทะกับมนุษย์ผู้นี้

ดังนั้นคนทั้งหมดที่อยู่ที่นี่จึงเงียบลง ก่อนที่จะถอยออกจากรัศมีโดยรอบมู่เฉินอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณบอกว่าพวกเขาไม่ต้องการต่อสู้กับเขา

เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ก็ไม่มีอารมณ์ใดบนใบหน้า แต่ในใจกลับรู้สึกโล่งอก คนอื่นๆ เห็นเพียงฉากการต่อสู้ตระการที่เขาเอาชนะลู่สุยได้ แต่พวกเขาไม่รู้หรอกว่าหมัดที่เขาชกออกไปก่อนหน้านี้คือพลังงานส่วนเกินจากสามชั้นแรก

ร่างกายของมู่เฉินก่อนหน้าเปรียบเสมือนฟองน้ำที่ดูดซับน้ำจนถึงขีดจำกัด หมัดของเขาจึงเท่ากับบีบน้ำออกจนหมด ทำให้ร่างกายที่อัดแน่นกลับสู่สภาพเดิม

ดังนั้นถ้าให้เขาโจมตีแบบนั้นอีกครั้ง พลังก็จะไม่ทรงประสิทธิภาพเหมือนเมื่อครู่แน่นอน

ประสิทธิผลพิเศษชนิดนี้ของการสะสมพลังงานในร่างกายเป็นทักษะที่ได้มาจากกายามังกรหงส์ ด้วยวิธีนี้เขาจะได้รับผลลัพธ์ที่ไม่มีใครคาดคิดไว้ กลายเป็นไพ่ลับอีกใบหนึ่ง

“คัมภีร์หลงเฟิ่งทรงพลังจริงๆ”

แม้แต่มู่เฉินก็ยังชื่นชมในสิ่งนี้ คัมภีร์หลงเฟิ่งสมแล้วที่เป็นทักษะยอดเยี่ยมแท้จริง จากการประเมินของเขาคัมภีร์นี้ต้องอยู่ในระดับเสินทงแน่นอน ซึ่งไม่ธรรมดาแม้จะอยู่ในกลุ่มวิทยายุทธระดับเสินทงด้วย

มู่เฉินชื่นชมก่อนที่จะใจเย็นลง แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีใครท้าทายเขา แต่เขาก็ไม่ตั้งใจที่จะท้าทายคนอื่นด้วยเช่นกัน เขายืนนิ่งบนตำแหน่งตนเองรอผลการคัดออก

สำหรับจงเถิง มู่เฉินรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นพวกยุแยงให้ลู่สุยมาปะทะกับเขา แต่เนื่องจากตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ดีในการจัดการ เขาจึงได้แต่ผลักแผนไปก่อน

แต่ถึงกระนั้นสายตาคมกล้าของมู่เฉินก็ยังจ้องเขม็งไปที่จงเถิง รอบตัวเต็มไปด้วยคลื่นหลิงราวกับเสือดาวที่กำลังจะจ้องตะครุบเหยื่ออัดแน่นด้วยภัยคุกคาม

เมื่อเห็นท่าทางของมู่เฉิน จงเถิงที่ประจันหน้ากับมั่วเฟิงก็รู้สึกอึดอัดใจ เขาต้องแยกสมาธิอยู่ตลอดเพื่อจับตามองมู่เฉิน ป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายเคลื่อนไหวมาประสานพลังกับมั่วเฟิง

ด้วยวิธีนี้สมาธิของจงเถิงจึงค่อนข้างฟุ้งซ่าน สุดท้ายเขาได้แต่กัดฟัน ถอนคลื่นหลิงและถอยออกจากบริเวณของมั่วเฟิง

“พี่มั่วยากสำหรับการต่อสู้ของเราที่จะได้ข้อสรุป ทำไมเราไม่ไปจัดการคนอื่นและรับที่นั่งมาล่ะ?” ขณะที่จงเถิงถอยกลับเสียงก็สะท้อนก้องไปด้วย

มั่วเฟิงจ้องมองจงเถิงอย่างไม่แยแสก่อนที่จะพยักหน้า นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าหากพวกเขายังอยู่ในสถานการณ์ยืนจ้องหน้ากันก็จะไม่เกิดผลลัพธ์ใด หากเขาร่วมมือกับมู่เฉิน พวกเขาอาจทำให้จงเถิงบ้าดีเดือดขึ้นมา แม้แต่พวกเขาก็ต้องจ่ายราคามหาศาลจากการตีโต้

ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาคือการได้ที่นั่งเพื่อเข้าสู่ชั้นสี่

เมื่อจงเถิงเห็นคำตอบของมั่วเฟิงก็รู้สึกโล่งใจในใจ เขาถอยกลับอย่างรวดเร็วออกจากจุดที่มู่เฉินและมั่วเฟิงอยู่ เขาครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนจะเลือกปะทะกับคนที่อ่อนแอกว่า

พอมู่เฉินเห็นจงเถิงไปแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจอีกต่อไป สายตาหันมามองมั่วเฟิงแล้วก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มแสดงความขอบคุณในการช่วยเหลือครั้งนี้

สายตาของมั่วเฟิงเป็นมิตรมากขึ้น คิดว่าการที่มู่เฉินเอาชนะลู่สุย ทำให้มั่วเฟิงมองมู่เฉินในฐานะจอมยุทธ์ที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเขา ดังนั้นจึงไม่ได้มีท่าทางเฉยเมยเหมือนเมื่อก่อน

มั่วเฟิงพยักหน้าให้มู่เฉิน ก่อนที่จะหันหลังกลับและเริ่มเลือกคู่ต่อสู้ของตนเอง

ครืน!

เมื่อทุกคนเลือกคู่ต่อสู้แล้ว ทันใดนั้นคลื่นหลิงก็ระเบิดรุนแรงบนลานเมฆสายฟ้า คลื่นกระแทกกวาดออก ทำให้มิติเกิดการสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไม่หยุด

บนลานเมฆสายฟ้าพลังงานหลิงกวาดหายนะ มีเพียงตรงมู่เฉินเท่านั้นที่ไม่ถูกรบกวน เนื่องจากไม่มีใครกล้าเหยียบเข้ามาในรัศมีพันจั้ง ยามนี้เขาเหมือนผู้ชมที่ดูการต่อสู้ติดขอบ ในเวลาเดียวกันก็บันทึกกระบวนท่าที่ทรงพลังของบางคนไว้ในสมอง

แม้ว่าในชั้นนี้พวกเขาอาจไม่ได้ประลองกัน แต่ก็ยังมีอีกสองชั้นรอพวกเขาอยู่ ใครจะสามารถรับประกันได้ว่าจะไม่มีการลดจำนวนลงในชั้นต่อไป?

ดังนั้นถ้ามีโอกาสเขาต้องพยายามจดจำข้อมูลผู้อื่นเก็บไว้

ภายใต้การสังเกตของมู่เฉิน การประลองบนลานเมฆสายฟ้าก็คงอยู่ชั่วระยะหนึ่ง ก่อนที่แต่ละคู่จะมาถึงจุดสิ้นสุด ผลลัพธ์ก็เป็นไปตามที่คาดไว้

หลังจากมู่เฉินก็เป็นหานซันที่เอาชนะคู่ต่อสู้ได้ที่นั่งที่สองไป

จากนั้นมั่วเฟิงและจงเถิงก็คว้าชัยชนะตามมา

ที่นั่งสุดท้ายตกเป็นของสีคุนที่ก่อนหน้านี้เคยแพ้หานซันที่ด้านนอกเจดีย์ ชายนี้มีความแข็งแกร่งที่น่าตกใจ แม้แต่หานซันยังต้องใช้ทักษะเต็มที่ถึงจะได้รับชัยชนะมา

เมื่อสีคุนได้รับที่นั่งสุดท้ายลานเมฆสายฟ้าขนาดใหญ่ก็เงียบลงอีกครั้ง ร่างทั้งห้ายืนอยู่ ขณะรัศมีไร้ขอบเขตทั้งห้าสายพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าชนกันเปรี้ยงปร้าง

ทว่าการชนกันก็ดำเนินไปเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ก่อนที่ทั้งห้าจะถอนคลื่นพลังพร้อมกัน พวกเขาเหลือบมองกันและกัน จากนั้นก็ไม่ลังเลทะยานออกไปปรากฏตัวบนเบาะทั้งห้า

สายตาพวกเขาพุ่งตรงไปยังมิติด้านหลังลานเมฆสายฟ้าด้วยความโลภ ตรงนั้นเส้นดาวหางจำนวนมากกวาดผ่านราวกับฝนดาวตก

ในแสงเหล่านั้นแก่นหยดสายฟ้ากำลังกะพริบด้วยความแวววาว


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท