หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1076 สถานการณ์ของอาณาเขตกงเวทสวรรค์
ภูมิภาคทางเหนือ
นับตั้งแต่สิ้นสุดสงครามล่า อดีตขั้วอำนาจที่แข็งแกร่งที่สุดในภูมิภาคทางเหนืออย่างหมู่ตึกเทวะก็ถูกทำลาย สถานการณ์ที่เกิดขึ้นราวกับพายุพุ่งมารวมกัน เนื่องจากรากฐานของหมู่ตึกเทวะทรงพลังอย่างยิ่ง ขั้วอำนาจสูงสุดต่างต้องการที่จะตัดแบ่งกันเพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้กับตัวเอง
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ อาณาเขตกงเวทสวรรค์ก็ทะยานขึ้นอย่างรวดเร็ว ในเวลาไม่ถึงปีก็กลายเป็นขั้วอำนาจที่แข็งแกร่งที่สุดในภูมิภาคทางเหนือ
สำหรับพันธมิตรที่มั่นถัวหลัวก่อตั้งขึ้นพร้อมกับขั้วอำนาจสูงสุดอื่นๆ ก็เริ่มมีความหมายบางอย่างภายใต้การควบคุมของนาง ด้วยพลังที่แข็งแกร่งในระดับตี้จื้อจุนขั้นปลาย มั่นถัวหลัวก็มีแววจะก้าวเป็นผู้นำของพันธมิตรภูมิภาคทางเหนือ ซึ่งผู้นำขั้วอำนาจสูงสุดอื่นๆ ก็ไม่ได้โต้แย้งปฏิเสธอะไร เพราะมั่นถัวหลัวและอาณาเขตกงเวทสวรรค์ในปัจจุบันเป็นขั้วอำนาจทรงพลังที่สุดจริงๆ
ด้วยชื่อเสียงและสถานะของอาณาเขตกงเวทสวรรค์ ทำให้ที่นี่กลายเป็นขั้วอำนาจที่จอมยุทธ์นับไม่ถ้วนต้องการสวามิภักดิ์ ดังนั้นในช่วงหนึ่งปีนี้จอมยุทธ์มากมายมุ่งหน้ามาที่อาณาเขตกงเวทสวรรค์เพื่อขอเข้าร่วมด้วยวิธีต่างๆ นานา
ด้วยเหตุนี้ยิ่งทำให้พลังของอาณาเขตกงเวทสวรรค์พุ่งทะยานขึ้น
ทว่าการขยายตัวนี้ก็ทำให้เกิดปัญหาบางอย่าง พวกจอมยุทธ์เลือดเก่าก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะเกิดความขัดแย้งกับพวกจอมยุทธ์เลือดใหม่ที่เพิ่งมาเข้าร่วม แม้แต่มั่นถัวหลัวก็ไม่มีทางออกที่ดีสำหรับเรื่องนี้ เนื่องจากนี่คือสิ่งที่ต้องปรากฏในการขยายตัวของขั้วอำนาจอยู่แล้ว ตอนนี้ได้แต่พึ่งพาเวลาที่จะละลายสิ่งต่างๆ ให้เข้ากัน
เขตต้าหลัวเทียนคึกคักมากในเวลานี้ ร่างแสงปกคลุมขอบฟ้าพลิ้วตัวลงทั่ว ทำให้สถานที่แห่งนี้เต็มไปด้วยความเร่าร้อน
วันนี้เป็นการประชุมราชัน
ขนาดของการประชุมราชันเปรียบเทียบไม่ได้กับในอดีต นั่นเป็นเพราะพร้อมกับการขยายอย่างรวดเร็วของอาณาเขตกงเวทสวรรค์ ทำให้มีผู้บัญชาการเพิ่มขึ้นเป็นสิบแปดคนแล้ว
นอกจากนี้นี่ยังเป็นผลหลังการเลือกอย่างระมัดระวังโดยมั่นถัวหลัว ถ้าใช้มาตรฐานพลังเหมือนในอดีต จำนวนรวมของผู้บัญชาการคงจะเกินกว่าจำนวนที่มีอยู่ในปัจจุบันไปมาก
แต่ต่อให้เป็นผลหลังการคัดเลือกจากมั่นถัวหลัวก็ยังมีผู้บัญชาการใหม่จำนวนมาก ซึ่งเห็นได้ชัดว่าก่อให้เกิดผลกระทบต่อสถานการณ์ในปัจจุบันของอาณาเขตกงเวทสวรรค์ แม้แต่ซิวหลัว เสี่ยยิง เลี่ยซันและคนดั่งเดิมล้วนแต่ถูกคุกคาม
ทุกครั้งที่ประชุมก็จะมีโอกาสการเสนอชื่อจอมพลหรือผู้บัญชาการคนใหม่ตลอด ดังนั้นการประชุมราชันจึงกลายเป็นวาระสำคัญที่สุดในอาณาเขตกงเวทสวรรค์ ทันทีที่มีการดำเนินการแม้กระทั่งเจ้าเมืองต่างๆ ก็จะเร่งรีบมา ส่งผลทำให้เกิดบรรยากาศเช่นในวันนี้
ทว่าขณะที่อาณาเขตกงเวทสวรรค์ระเบิดไปด้วยความสับสนวุ่นวาย หอวิหคโลกันตร์ซึ่งตั้งอยู่ทางด้านทิศเหนือของสำนักกลับเงียบสงบ ทว่าภายใต้ความเงียบสงบ กลับแฝงด้วยรัศมีไร้ขอบเขต
ในโถงกว้างใหญ่หน่วยรบจำนวนหนึ่งสวมชุดเกราะสีดำยืนเฝ้าระวัง มีคลื่นหลิงทรงพลังผันผวนในท้องฟ้า มองเห็นเส้นสายโครงข่ายหลิงปรากฏขึ้นเลือนราง นั่นเป็นค่ายกลป้องกันทรงพลัง
ปัจจุบันนี้หอวิหคโลกันตร์ไม่เหมือนเดิม ในช่วงเวลาที่มู่เฉินและจิ่วโยวไม่อยู่ ไม่ว่าจะเป็นเมืองหรือจอมยุทธ์ภายใต้การปกครองของพวกเขาก็มีการเติบโตที่ดีขึ้นเมื่อเทียบกับครึ่งปีที่ผ่านมา
เพราะทุกคนในอาณาเขตกงเวทสวรรค์ทราบว่ามู่เฉินแห่งหอวิหคโลกันตร์มีความสัมพันธ์แนบแฟ้นกับประมุขมั่นถัวหลัว ด้วยชั้นความสัมพันธ์นี้ กระทั่งจอมพลทั้งสามก็ยังให้หน้ากับหอวิหคโลกันตร์ ดังนั้นหอวิหคโลกันตร์จึงไม่ขาดแคลนทรัพยากรใดๆ
ผู้คนที่ผ่านหน้าหอวิหคโลกันตร์และเห็นบรรยากาศภายในก็อดไม่ได้ที่จะอิจฉาตาร้อน ทุกคนรู้ถึงสถานะของหอวิหคโลกันตร์ปัจจุบันในอาณาเขตกงเวทสวรรค์ดี ด้วยทรัพยากรและจอมยุทธ์จำนวนมากถูกจัดสรรให้กับที่นี่ ซึ่งส่งผลให้ที่นี่จะเป็นหน่วยรบที่แข็งแกร่งที่สุดภายใต้อาณาเขตกงเวทสวรรค์แล้ว
การดูแลของมั่นถัวหลัวที่มีต่อหอวิหคโลกันตร์ทำให้ทุกคนอิจฉา ดังนั้นจึงเป็นเรื่องปกติที่มีผู้ในเรื่องนี้ เนื่องจากด้วยข้อมูลที่พวกเขาทราบมาผู้บัญชาการทั้งสองก็เป็นเพียงจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดเท่านั้น
แม้ว่าพลังดังกล่าวอาจถือได้ว่ามีความโดดเด่นในอาณาเขตกงเวทสวรรค์ แต่ก็ยังห่างไกลจากการพิจารณาว่าอยู่ในอันดับต้นๆ ดังนั้นพลังของพวกเขาจึงไม่ผ่านเกณฑ์ในการเป็นผู้นำหอวิหคโลกันตร์ขนาดใหญ่ ซึ่งครอบครองทรัพยากรจำนวนมาก
ดังนั้นในสายตาของผู้คนที่เพิ่งเข้าร่วมอาณาเขตกงเวทสวรรค์ มู่เฉินได้รับการดูแลเป็นพิเศษจากมั่นถัวหลัวเพียงเพราะได้มอบสมบัติล้ำค่าให้ แต่เป็นไปไม่ได้คนอื่นจะให้ความเคารพมากพอจากความสัมพันธ์แบบนั้น ในอนาคตก็คงยากจะคุมจอมยุทธ์ทรงพลังในหอวิหคโลกันตร์ได้จนส่งผลให้เกิดการแตกแยก
ในเวลานั้นก็จะไร้ประโยชน์โดยสิ้นเชิง แม้จะได้รับการสนับสนุนจากมั่นถัวหลัว เพราะเมื่อหัวใจไม่อยู่ ต่อให้บังคับก็ไร้ประโยชน์
ในโถงของหอวิหคโลกันตร์
ขณะที่อาณาเขตกงเวทสวรรค์กำลังเดือดพล่าน หอวิหคโลกันตร์กลับเงียบสงบอย่างที่สุด ราวกับว่าการประชุมราชันในตำหนักใหญ่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับพวกเขา
แน่นอนว่าจากบางมุมมอง พวกเขาก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับการประชุมนี้อย่างแท้จริง
นั่นเป็นเพราะสองผู้บัญชาการไม่ได้อยู่ที่นี่ ถังปิงในฐานะผู้ดูแลหอก็เป็นไปไม่ได้ที่จะเป็นตัวแทน ดังนั้นหอวิหคโลกันตร์จึงไม่ได้มีส่วนร่วมในการประชุมของอาณาเขตกงเวทสวรรค์ตลอดเวลาหนึ่งปีที่ผ่านมา ถังปิงมีพรรสวรรค์ในการจัดการดูแลภายใน แต่นางรู้ว่าเมื่อไม่มีจิ่วโยวและมู่เฉิน นางก็ไม่สามารถแสดงความคิดเห็นอะไรพร่ำเพรื่อ กลัวว่าจะทำให้เกิดข้อพิพาท
เนื่องจากตอนนี้มั่นถัวหลัวสนับสนุนหอวิหคโลกันตร์เป็นอันมาก จึงก่อให้เกิดคลื่นใต้น้ำขึ้นมาแล้ว
มีคนไม่น้อยในโถงใหญ่นี้ สองที่นั่งบนตำแหน่งประธานว่างอยู่ โดยที่ถังปิงและถังโหยวนั่งอยู่ลำดับถัดลงมา
ลำดับถัดไปเป็นหญิงสาวชุดสีขาวนั่งในรถเข็น นางมีรูปลักษณ์ที่งดงาม แต่ใบหน้าค่อนข้างซีดขาว มิหนำซ้ำคลื่นหลิงรอบกายก็ไม่แข็งแกร่ง ทว่าสถานะของนางเป็นรองพี่น้องถังเท่านั้น
นี่คือจินไถหลิวหลี ซึ่งมู่เฉินได้พบในสงครามล่า
หลังจากที่หมู่ตึกเทวะล้มสลาย เนื่องจากมู่เฉินได้ให้การช่วยเหลือ จินไถหลิวหลีและครอบครัวจึงย้ายมาอยู่ที่อาณาเขตกงเวทสวรรค์ ในฐานะจั้นเจินซือนางจึงเป็นที่ต้องการมากอยู่แล้ว
นั่นเป็นเพราะในอดีตมู่เฉินเป็นเพียงจั้นเจิ้นซือคนเดียวของอาณาเขตกงเวทสวรรค์ ตอนนี้เมื่อนางเข้าร่วม ตราบใดที่นางเต็มใจแม้แต่มั่นถัวหลัวก็จะปล่อยให้นางก้าวขึ้นเป็นผู้บังคับบัญชากองทัพอาณาเขตสวรรค์
แต่คาดไม่ถึงว่านางไม่เลือกที่จะสร้างขุมกำลังของตัวเอง กลับเลือกเข้าร่วมหอวิหคโลกันตร์เพื่อควบคุมหน่วยรบวิหคโลกันตร์เท่านั้น
ดังนั้นแม้ขุมพลังหลิงของนางจะไม่แข็งแกร่ง แต่ด้วยความแข็งแกร่งในฐานะจั้นเจิ้นซือ กระทั่งจอมยุทธ์ระดับจื้อจุนขั้นเจ็ดทั่วไปก็ยากที่จะต่อกรกับนางได้
ที่เบื้องหลังจินไถหลิวหลี ร่างเงาหลายสิบร่างมาพร้อมกับความผันผวนของคลื่นหลิงทรงพลังรอบตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งสี่คนที่ยืนอยู่เบื้องหน้าตัดสินจากความผันผวนของพลังงาน เห็นได้ชัดว่าพวกเขาอยู่ในระดับจื้อจุนขั้นเจ็ดแล้ว!
ด้วยพลังที่มี พวกเขามีคุณสมบัติที่จะได้รับตำแหน่งราชันในอาณาเขตกงเวทสวรรค์เลยทีเดียว
จอมยุทธ์เหล่านี้ถูกมั่นถัวหลัวสั่งการมาให้ช่วยเหลือถังปิงเพื่อสร้างความมั่นคงให้กับหอวิหคโลกันตร์
“ตามปกติหอวิหคโลกันตร์จะยังไม่เข้าร่วมการประชุมราชัน เราจะพักอยู่เงียบๆ หนึ่งวัน” ถังปิงมองไปที่การรวมตัวที่แข็งแกร่งเบื้องหน้า ก็ถอนหายใจในใจพลางพูดขึ้นมา
แม้ว่าทุกคนจะคาดไว้กับคำพูดของถังปิง แต่พวกเขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเสียใจ น่าเสียดายที่หอวิหคโลกันตร์ต้องหายหน้าไปจากการประชุมอีกครั้ง
“ลือกันว่าการประชุมราชันครั้งนี้ หลงปี้และผู้เฒ่าคูอาจจะขึ้นเป็นจอมพล นี่เป็นเหตุการณ์ที่สำคัญ หอวิหคโลกันตร์จะไม่ออกหน้าบ้างเลยหรือ?” ในโถงชายวัยกลางคนที่ยืนอยู่ตรงกลางท่ามกลางจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดก็พูดออกมา
หลงปี้และผู้เฒ่าคูเป็นจอมยุทธ์ชั้นสูงที่เข้าร่วมกับอาณาเขตกงเวทสวรรค์ในช่วงปีที่ผ่านมา ทั้งสองมีขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้า ตอนนี้ก็มีอำนาจสูงในอาณาเขตกงเวทสวรรค์ พวกเขาหมายตาตำแหน่งจอมพลมานานแล้ว แต่ก่อนหน้าเนื่องจากฐานยังไม่มั่นคง ดังนั้นจึงไม่ได้มีการเคลื่อนไหวอะไร ตอนนี้เมื่อได้เตรียมตัวพร้อมก็คงจะลงมือแย่งชิงตำแหน่งแล้ว
ถ้าพวกเขาชิงตำแหน่งได้สำเร็จ จอมพลก็จะเพิ่มจากสามเป็นห้า สถานการณ์ก็จะเปลี่ยนไป ดังนั้นชายวัยกลางคนจึงต้องการให้หอวิหคโลกันตร์และจอมพลใหม่ทั้งสองคนได้รู้จักมักจี่กันมากยิ่งขึ้น
ชายวัยกลางคนมีชื่อว่าสูคุนซึ่งแข็งแกร่งที่สุดในจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ด แม้ว่าเขาเพิ่งจะเข้าร่วมกับหอวิหคโลกันตร์ไม่นาน แต่เนื่องจากภายนอกดูเป็นจอมยุทธ์ที่ทรงพลังที่สุดในหอวิหคโลกันตร์ ดังนั้นจึงมีอำนาจไม่น้อย ทันทีที่เขาพูดก็มีหลายคนที่ออกเสียงเห็นด้วย เพราะในอาณาเขตกงเวทสวรรค์ จอมพลมีสถานะต่ำกว่าประมุขเท่านั้น
ถังปิงมุ่นคิ้ว นางรู้อย่างถ่องแท้เกี่ยวกับหลงปี้และผู้เฒ่าคู ในอดีตก็มีความคิดที่จะเยี่ยมเยือนในนามของหอวิหคโลกันตร์ แต่ทั้งสองคนหัวสูงมาก ไม่ต้องพูดถึงนาง พวกเขาไม่สนใจกระทั่งมู่เฉินกับจิ่วโยว ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ปฏิบัติโดยมารยาทต่อหอวิหคโลกันตร์ ในมุมมองของถังปิง หากไม่ใช่ท่านประมุขทั้งสองที่มีนิสัยเย่อหยิ่งจองหองคงจะไม่สนใจเกี่ยวกับหอวิหคโลกันตร์เลย
เพราะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าคือคนที่แม้แต่ท่านประมุขยังต้องลดทัศนคติลงให้ เนื่องจากพวกเขาเป็นจอมยุทธ์ทรงพลังที่ถัดจากประมุขเท่านั้น
ในเมื่อทั้งสองเย็นชาเย่อหยิ่งเช่นนี้ ถังปิงก็ไม่อยากให้หอวิหคโลกันตร์ลดตัวลงไปสร้างความสัมพันธ์ บวกกับมู่เฉินและจิ่วโยวไม่อยู่ ทำให้นางก็ไม่มั่นใจ จึงได้แต่พยายามคุมภายในหอไว้เท่านั้น
เมื่อถังปิงได้ยินเสียงถกเถียงกันในโถง นางก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ในหัวใจ พร้อมกับการขยายตัวของหอวิหคโลกันตร์ เกียรติของนางก็ลดลงเช่นกัน แม้ว่าผู้มาใหม่จะทรงพลัง แต่พวกเขาเย่อหยิ่งและไม่ยอมฟังคำสั่ง แต่เนื่องจากนางไม่แข็งแกร่งพอ ก็ไม่สามารถทำให้พวกเขาเคารพนางเต็มที่ ปกติก็แค่รักษามารยาทภายนอกไว้เท่านั้น
นางรู้เรื่องเกี่ยวกับสูคุน มีข่าวลือว่าเขามีความสัมพันธ์กับหลงปี้และผู้เฒ่าคู อิงจากสิ่งนี้ก็ชัดว่าเขาต้องการใกล้ชิดกับอีกฝ่าย
เพราะเมื่อทั้งสองก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งจอมพล สถานการณ์ของอาณาเขตกงเวทสวรรค์ก็ต้องเปลี่ยนไปแน่นอน ด้วยการสนับสนุนของจอมพลใหม่ทั้งสอง ก็ดีกว่าการอยู่ในหอวิหคโลกันตร์ที่ไม่มีผู้บัญชาการคุ้มหัว
เห็นได้ชัดว่าสูคุนไม่ใช่คนเดียวที่มีความคิดเช่นนี้ ดังนั้นทันทีที่มีผู้นำการหยั่งเสียงก็เพิ่มขึ้น ทำให้ความเงียบงันในห้องหมดลง เวลานี้แม้แต่ถังปิงก็ไม่สามารถระงับความวุ่นวายได้
“ผู้ดูแลถังถ้าเจ้าไม่เต็มใจก็อนุญาตให้ข้าเข้าร่วมการประชุมราชันด้วยตัวเอง…” เมื่อสูคุนเห็นว่ามีแรงสนับสนุนเพิ่มขึ้น เขาก็ยักยิ้มเล็กน้อยแล้วผุดลุกขึ้นยืนทันที
หลงปี้และผู้เฒ่าคูต้องการคนสนับสนุน ถ้าเขาสามารถไปและให้การสนับสนุนพวกเขาก็ถือเป็นการลงทุนชั้นเยี่ยม
เมื่อเขายืนขึ้นก็มีคนกลุ่มหนึ่งลุกตาม จอมยุทธ์หลายคนก็เริ่มโอนเอนด้วยความลังเลใจ เมื่อถังปิงเห็นภาพนี้ใบหน้าก็เขียวคล้ำลง
สูคุนยิ้มบางเมื่อเห็นใบหน้าของถังปิงและไม่ให้ความสนใจ แม้ว่าถังปิงจะเป็นคนของผู้บัญชาการทั้งสอง แต่พลังของเขาแข็งแกร่งกว่าถังปิงมาก ต่อให้ผู้บัญชาการจะกลับมาก็ต้องพึ่งพาเขามาเช่นกัน ดังนั้นเขาจึงไม่กลัวที่จะสร้างความขุ่นเคืองใจกับถังปิง
เมื่อคิดถึงตกแล้ว เขาก็สะบัดแขนเสื้อพร้อมกับเดินออกไป
เมื่อเห็นสูคุนหันหลัง ทันใดนั้นถังปิงก็ลุกขึ้นยืนพูดคำว่า “หยุด!”
สูคุนชะงักฝีเท้าพลางขมวดคิ้ว ก่อนที่จะพูดด้วยน้ำเสียงเย็นเอก “ผู้ดูแลถัง ข้าไม่ได้เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของเจ้า!”
ทั้งสองประจันหน้ากัน บรรยากาศในโถงก็ขมวดเกร็ง ทุกคนแลกสายตาเพราะพวกเขาไม่รู้จะทำอย่างไรดี
ดังนั้นสถานการณ์จึงตึงเครียดขึ้นเรื่อยๆ แต่ขณะนั้นเสียงหัวเราะบางจางก็ดังก้องไปในโถง
“ฮ่าๆ ไม่คิดว่าไม่เจอกันครึ่งปี หอวิหคโลกันตร์จะครื้นเครงขนาดนี้…”
เสียงที่ดังขึ้นฉับพลันทำลายบรรยากาศตึงเครียดจนหมด ทุกคนอึ้งไป อึดใจพวกเขาก็รู้สึกถึงบางอย่างจนต้องเงยหัวขึ้นมองไปบนที่นั่งประธานทั้งสอง
ไม่รู้ว่าเมื่อไรชายหญิงคู่นี้ปรากฏตัวขึ้น ชายหนุ่มทั้งดูดีและหล่อเหลาจ้องมองทุกคนด้วยรอยยิ้มระบายบนใบหน้า
แม้ว่ารอยยิ้มจะดูอ่อนโยน แต่ทุกคนก็รู้สึกได้ถึงแรงกดดันที่อธิบายไม่ได้ที่กำซ่านออกมาจากเขา
ถังปิงตกตะลึงไปเมื่อมองร่างเงาของทั้งสองคน จากนั้นความสุขก็โชนขึ้นในดวงตา ก่อนที่เสียงจะดังไปทั่วโถง
“พี่ใหญ่จิ่วโยว? มู่เฉิน? พวกเจ้ากลับมาแล้วเหรอ?!”