หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1070 ปิดฉาก
ครืน!
มหาสมุทรสีแดงฉานปกคลุมมิติทั้งหมด พลังงานหลิงไร้ขอบเขตพวยพุ่งไม่หยุดกลั่นตัวเป็นหมอก บางครั้งกลุ่มหมอกจะควบแน่นกันกลายเป็นเมฆที่มีสายฝนหลิงร่วงหล่นลงมาจากฟากฟ้า ยกระลอกคลื่นบนพื้นผิวของมหาสมุทรขึ้นลง
แม้ว่ามหาสมุทรนี้จะสร้างจากแก่นเลือดเทพอสูรระดับต้นนับไม่ถ้วน แต่ก็ไม่มีกลิ่นคาวเลือดเลยสักนิด ความบริสุทธิ์ของพลังงานนั้นเกินทุกสถานที่ที่มู่เฉินเคยเจอมา
จากการคาดการณ์ของเขาแม้ว่าค่ายกลบรรจบจิตทรงพลังหลากหลายค่ายกลรวมตัวกัน ก็คงไม่สามารถปรับแต่งพลังงานหลิงจำนวนมหาศาลเช่นนี้…
พื้นที่บริเวณนี้ถูกปกคลุมไปด้วยสายฝนหลิง มู่เฉินนั่งอยู่บนพื้นมหาสมุทรปล่อยให้ฝนหลิงเย็นยะเยือกตกลงบนร่างกาย ขณะที่แสงสีทองไหลเวียนอยู่บนผิวกายดูดซับสายฝนหลิงอย่างตะกละตะกลาม นำพาคลื่นพลังเข้ามารวมในจุดจื้อจุนไห่หลังจากการปรับแต่ง ซึ่งทำให้คลื่นหลิงของเขาแข็งแกร่งยิ่งขึ้น
ครืน!
มหาสมุทรที่อยู่เบื้องหลังกระเพื่อมเป็นลอนคลื่น เทพอสูรขนาดใหญ่ดูราวกับวาฬทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า ก่อนที่จะดำดิ่งลงทะลุผ่านร่างของมู่เฉินกลับไปที่มหาสมุทร
ร่างของมู่เฉินไม่ได้เคลื่อนไหวอะไร ปล่อยให้เงาเทพอสูรเหล่านี้ผ่านร่างกายไปตามสบาย ดวงตาปิดสนิท ไม่มีคลื่นรบกวนใดบนใบหน้า
โดยไม่รู้ตัวเขาใช้เวลาหนึ่งเดือนไปกับมหาสมุทรนี้ แต่เขาก็ไม่เร่งรีบกลืนกินคลื่นหลิงที่นี่เพื่อพยายามบรรลุ
นั่นเป็นเพราะเมื่อไม่นานมานี้เขาเพิ่งได้ใช้ดอกบัวมรกตเก้าโคจรเพื่อบรรลุระดับจื้อจุนขั้นเจ็ด ดังนั้นถ้าเขาต้องการบรรลุอีกครั้งในช่วงเวลาสั้นๆ นี้ บางทีอาจเป็นไปได้ในสถานที่แห่งนี้ แต่นั่นจะไปเขย่ารากฐานที่มั่นคงของเขาจนผิดเพี้ยนไปและส่งผลเสียต่อการฝึกในอนาคต
มู่เฉินไม่ได้เป็นคนโง่ที่ตาบอดเพื่อจะเสริมพลังตรงหน้าเพียงอย่างเดียว ดังนั้นเขาจึงมีสติในการระงับความอยากที่จะบรรลุและเลือกที่จะฝึกฝนอย่างเงียบๆ ปล่อยให้คลื่นหลิงในร่างกายไหลเวียนและดูดซับคลื่นหลิงจากโลกภายนอก
เขาต้องการพัฒนาการที่สมบูรณ์แบบ
แม้ว่าพัฒนาการเช่นนี้จะช้าที่สุด แต่ก็ทนทานที่สุดเช่นกัน นอกจากนี้ในเมื่อกฎเวลาในมิตินี้แตกต่าง มู่เฉินก็ไม่ขาดแคลนเวลา
ดังนั้นเขาจึงไม่ได้รีบเร่งและเลือกใช้วิธีที่ช้าที่สุด
แม้แต่ราชันทั้งสามก็พยักหน้าเห็นด้วยเกี่ยวกับการเลือกของเขาในใจ หากมีคนอื่นสามารถเข้ามาที่พื้นที่เพาะบ่มที่มีค่าเช่นนี้ พวกเขาอาจจะตาบอดจากชิ้นปลามันนี้และเลือกกลืนพลังงานให้มากที่สุด
แต่สุดท้ายวิธีนั้นก็เป็นได้แค่ดื่มเหล้าพิษแก้ขาดน้ำ ถือว่าเป็นเรื่องโง่ในระยะยาว
แม้ว่าประสิทธิภาพของวิธีมู่เฉินจะช้า แต่ก็รับประกันความมั่นคงในแต่ละก้าวของเขา ทำให้อนาคตต่อไปในเส้นทางของการเพาะบ่มเขาสามารถไปได้ไกลยิ่งกว่า
ทว่าแม้มู่เฉินจะไม่ได้ยึดติดกับการฝึกฝนขุมพลังหลิงในเดือนที่ผ่านมา แต่เขาก็มีผลการเก็บเกี่ยวเช่นกัน อย่างน้อยเขาก็ได้รับการพัฒนาที่น่าทึ่งในเส้นทางการฝึกฝนอีกทางหนึ่ง
มู่เฉินนั่งเงียบๆ บนมหาสมุทรก่อนที่จะลืมตาจากนั้นก็ยกมือ มหาสมุทรที่เบื้องหน้าเขากระเพื่อมไหวรุนแรง อึดใจต่อมาพื้นผิวมหาสมุทรก็แยกออกจากกัน แสงสองดวงพวยพุ่งออกมา
แสงทั้งสองคลอเคลียรอบร่างมู่เฉินพร้อมกับกำจายแสงสีทอง นี่คือจิตวิญญาณมังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริง
แต่ในเวลานี้พวกมันได้รับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ภาพพร่ามัวควบแน่นมากขึ้นหลังจากกลืนกินเลือดเทพอสูรมากมายในเวลาหนึ่งเดือน แม้ว่าจะยังห่างไกลจากรูปลักษณ์เดิม แต่ก็ดูสมจริงกว่าเมื่อเทียบกับความรู้สึกลวงตาที่มีมาก่อนหน้า
ยิ่งกว่านั้นร่างสีทองของพวกมันก็เปลี่ยนเป็นสีทองที่เข้มข้นกว่า ซึ่งดูแข็งแกร่งและทรงพลังอย่างยิ่ง
จิตวิญญาณมังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าที่แท้จริงพัวพันอยู่รอบมู่เฉิน ความแปรปรวนคลื่นหลิงที่ทรงพลังถูกปล่อยออกมาจากพวกมันตลอดเวลา
มู่เฉินมองจิตวิญญาณทั้งสองด้วยความประหลาดใจในดวงตา นั่นเป็นเพราะในช่วงเวลาเพียงหนึ่งเดือนการเติบโตของมังกรและหงส์ฟ้าแข็งแกร่งขึ้นมากหลายขุม
ตอนนี้เนื่องจากคลื่นหลิงควบแน่นในร่างจิตวิญญาณของมังกรและหงส์ฟ้าเพียงพอแล้ว ดังนั้นพวกมันจึงสามารถออกจากร่างมู่เฉินและต่อสู้ในระยะหนึ่งได้
จากการประเมินของมู่เฉิน เขาไม่จำเป็นต้องเคลื่อนไหวกระบวนท่า จิตวิญญาณทั้งสองก็สามารถเผชิญกับจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดระยะปลายสุดด้วยตัวเองได้
นั่นจะเทียบเท่ากับการมีผู้ช่วยที่ทรงพลังเคียงข้างเขา นอกจากนี้ผู้ช่วยทั้งสองก็ยังมีศักยภาพที่จะเติบโตอย่างทรงพลัง มู่เฉินไม่สงสัยเลยว่าเมื่อพวกมันเติบโตอย่างเต็มที่ ความแข็งแกร่งที่มีจะทำให้แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนยังหวาดกลัว
ดังนั้นเมื่อมองจากแง่มุมหนึ่ง จิตวิญญาณมังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริงถึงเป็นส่วนที่น่ากลัวที่สุดของคัมภีร์หลงเฟิ่ง
แน่นอนว่าขั้นตอนนั้นยังห่างไกล มู่เฉินก็ไม่เคยคิดจะบรรลุเป็นเซียนได้ในวันเดียว ตอนนี้สิ่งที่เขาต้องทำก็คือเลี้ยงดูมังกรและหงส์ฟ้าอย่างดี เพื่อวันหนึ่งในอนาคตพวกมันจะกลายเป็นองครักษ์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเขา
สำหรับตอนนี้…
มู่เฉินจ้องมองจิตวิญญาณทั้งสองก็ยิ้มบาง ตอนนี้ก็พยายามดูแลการเติบโตของพวกมันให้ดีเถอะ…
เมื่อความคิดตกผลึก มู่เฉินก็ไม่ได้ฟุ้งซ่านอีกต่อไป เขามองไปที่เกาะเล็กที่ลอยอยู่บนมหาสมุทรโลหิต จิ่วโยวนั่งอยู่ที่นั่นโดยที่ทั่วร่างกำจายไปด้วยเปลวเพลิง
นั่นคือเพลิงอมตะ ในอดีตเพลิงอมตะของจิ่วโยวมีสีม่วงเข้ม แต่ในตอนนี้สีนั้นได้ค่อยๆ จางลงมีแนวโน้มไปสู่วิวัฒนาการของผลึกเพลิงอมตะ
มู่เฉินรู้ดีว่านี่เป็นเพราะคำแนะนำของราชินีวิหคอมตะ ในฐานะที่เป็นวิหคอมตะ นางรู้วิธีที่จะพัฒนาไปสู่การเป็นวิหคอมตะแท้จริง ดังนั้นคำแนะนำของนางสำหรับจิ่วโยวจึงมีค่าอย่างยิ่งทำให้ลดการเดินออกนอกเส้นทางไปมาก วิวัฒนาการก็จะสมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น
มู่เฉินมองเห็นอนาคตแล้วว่าเมื่อมีคำแนะนำจากราชินีวิหคอมตะ หลังจากสิ้นสุดการฝึกยุทธ์ครั้งนี้ พลังของจิ่วโยวจะต้องพัฒนาไปไกลยิ่งอย่างแน่นอน
ถึงเวลานั้นนางอาจจะแซงหน้าเขาไปไกลอีกครั้งก็ได้ หลังจากที่เขากระดึบตามนางมาอย่างขมขื่น
“สามปีแล้วที่ข้าออกจากสำนักศึกษาเป่ยชาง…”
ทันใดนั้นเขาก็เงยหน้าขึ้นพรูลมหายใจ ตลอดหลายปีที่ผ่านมาเขาเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องจากเด็กหนุ่มที่ไม่มีประสบการณ์จนขึ้นตำแหน่งหนึ่งในสิบผู้บัญชาการของอาณาเขตกงเวทสวรรค์ ยิ่งกว่านั้นเขายังรู้สึกว่าหลังจากที่กลับไปในครั้งนี้อาจจะมีตำแหน่งเพิ่มเติมในหมู่จอมพลก็เป็นได้
หลายปีในการฝึกฝน ทำให้ความไร้ประสบการณ์ของชายหนุ่มหายไปหมดสิ้น การทำงานหนักนี้ทั้งหมดก็เพื่อช่วยมารดาและสัญญาที่เขาให้ไว้กับหญิงคนรัก
คำมั่นสัญญาที่เขาจะก้าวขึ้นเป็นหนึ่งในใต้หล้านี้ให้ได้
“ลั่วหลี…เจ้าสบายดีไหม?”
มู่เฉินมองสายหมอกที่พรั่งพรูบนท้องฟ้า ภาพเรือนผมยาวสลวยสีเงินยวงและใบหน้างดงามที่มีม่านตาคล้ายกับผลึกแก้วปรากฏขึ้น กระตุ้นความรู้สึกคิดถึงในหัวใจเขา
มู่เฉินเม้มปากใบหน้าฉายความแน่วแน่ แม้ว่าเขาจะมีช่วงเวลาที่ยากลำบากตลอดหลายปีที่ผ่านมา แต่เขาก็รู้ว่าลั่วหลีซึ่งกลับไปที่ตระกูลลั่วเสินก็ไม่ได้สบายเช่นกัน ภายใต้ท่าทางละมุนละไมนั้นนางดื้อดึงกว่าเขาไม่รู้กี่เท่า
นางต้องแบกภาระทั้งหมดของตระกูลลั่วเสินที่นับวันก็เสื่อมถอย ซึ่งที่นั่นยิ่งใหญ่กว่าอาณาเขตกงเวทสวรรค์ บางทีในเวลานี้นางก็กำลังใช้ไหล่บอบบางรับภาระเอาไว้
“ลั่วหลี…รอข้าเถอะ…รอวันที่ข้าไปหาเจ้าอีกครั้ง ตอนนั้นข้าจะทำตามคำสัญญาที่ให้ไว้กับเจ้า…”
มู่เฉินกำมือแน่นและไม่ลังเลอีกต่อไป เขาระงับความคิดฟุ้งซ่านในหัวใจค่อยๆ หลับตาลง พลังงานหลิงรอบตัวก็ผันผวนก่อตัวเป็นกระแสน้ำวน กลืนกินคลื่นพลังงานที่ไม่มีขอบเขตในบริเวณนี้เข้าไปไม่สิ้นสุด
ในช่วงเวลาต่อไป เขาจะอยู่ในสมาธิลึก
เวลาเงียบงันผ่านไปรวดเร็ว
ขณะที่มู่เฉินและจิ่วโยวเริ่มฝึกฝนอยู่ในสมาธิลึก
การท่องยุทธในดินแดนเสินโซ่ได้สิ้นสุดหลังจากผ่านไปครึ่งเดือนตั้งแต่ทั้งสองเข้าไปในมหาสมุทรเทพสร้าง กลุ่มต่างๆ ก็ค่อยๆ ทยอยออกไปเมื่อได้รับโอกาสยิ่งใหญ่กลับไปยังเผ่าของตัวเอง
ทว่าเมื่อดินแดนเสินโซ่ปิดลง ทุกคนก็ได้รับรู้เรื่องการต่อสู้ในสุสานสักการะเทพ ชื่อของมู่เฉินก็ขจรขจายไปในเวลาเดียวกัน
เมื่อจงเถิงพบกับจงชิงเฟิง ก่อนที่เขาจะได้สอบถามเกี่ยวกับมู่เฉิน จงชิงเฟิงก็ใช้น้ำเสียงลึกซึ้งเตือนสติไม่ให้เขายั่วยุมู่เฉินต่อไปในอนาคต ไม่เช่นนั้นก็ต้องยอมรับการกระทำของตัวเองที่จะเกิดขึ้น
คำพูดของจงชิงเฟิงทำให้จงเถิงเหงื่อเย็นแตกพลั่ก โดยเฉพาะเมื่อที่รู้ว่ามู่เฉินเอาชนะไป๋หมิงเผ่าหงส์ฟ้าน้ำแข็งไปได้ เขาถึงกับพูดไม่ออก สุดท้ายก็บ่ายหน้าออกจากดินแดนเสินโซ่ด้วยสภาพคอตก เขาไม่กล้าคิดบัญชีกับมู่เฉินอีกต่อไป คนประเภทนี้ต้องไม่ใช่จอมยุทธ์ธรรมดาในอนาคตแน่นอน หากเขายังสร้างเรื่องขุ่นเคืองให้กับคนเช่นนี้ เขาก็จะสูญเสียมากกว่าที่จะได้รับ
กลุ่มที่เคยปะทะกับมู่เฉินก็ต่างรู้สึกหวาดกลัว รีบถอยกลับไปที่เผ่าอย่างเงียบๆ
ภายใต้สถานการณ์นี้มั่วเฟิงและมั่วหลิงก็ออกจากดินแดนเสินโซ่มุ่งหน้ากลับไปยังเผ่าวิหคโลกันตร์ ทันทีที่กลับมาถึงพวกเขาก็ถูกเรียกเข้าพบโดยท่านประมุขและสภาผู้อาวุโสเพื่อสอบถามเกี่ยวกับการเก็บเกี่ยวในดินแดนเสินโซ่ครั้งนี้…
**สำนวนดื่มเหล้าพิษแก้ขาดน้ำแปลว่าได้แค่ประโยชน์ตรงหน้า อนาคตจบ