หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – ตอนที่ 1082

ตอนที่ 1082

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1082 อำนาจแขนมังกร
บนลานประลอง

หลงปี้ยืนสองมือไพล่หลังราวกับภูเขาสูงตระหง่าน ทำให้แม้แต่แผ่นดินยังสั่นสะเทือนอยู่ใต้ฝ่าเท้าเขา

ในฐานะจอมยุทธ์ชั้นแนวหน้าของภูมิภาคทางเหนือที่ยืนแถวเดียวกับผู้เฒ่าคู ความสำเร็จของหลงปี้รุ่งโรจน์กว่ามาก ในอดีตแม้กระทั่งหมู่ตึกเทวะยังพยายามติดต่อเขาแต่ก็ล้มเหลว เหตุผลก็คือพวกเจ้าภูเขาหมู่ตึกเทวะพ่ายแพ้เขา ดังนั้นสามารถบอกได้ว่าชื่อเสียงและพลังของเขาเลื่องลือในภูมิภาคทางเหนืออย่างไร

แม้ว่ามู่เฉินจะมีชื่อเสียงขึ้นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา แต่ก็คนส่วนใหญ่ก็มองแค่ว่าเป็นคลื่นลูกใหม่ เพราะต่อให้จอมยุทธ์รุ่นใหม่จะมีศักยภาพมาก แต่ในตอนนี้ก็ไม่มีใครรู้สึกว่าเขาสามารถเทียบกับผู้เชี่ยวชาญอย่างหลงปี้ได้

ดังนั้นสายตาทุกคนจึงเลื่อนไปที่มู่เฉิน เมื่อหลงปี้ก้าวขึ้นไปบนลานประลอง ทว่าหลังจากการพลิกสถานการณ์ของจิ่วโยว ครั้งนี้ก็ไม่มีการเยาะเย้ยถากถางอีก เนื่องจากมู่เฉินน่าจะมีไพ่ตายเพิ่มขึ้น ไม่เช่นนั้นเขาไม่มีทางแหย่หลงปี้ด้วยนิสัยที่มีอย่างแน่อน

แต่ที่ทุกคนสนใจคือไพ่ตายของมู่เฉินสามารถก่อภัยคุกคามต่อหลงปี้ได้มากเท่าไร?

มู่เฉินยังคงมีท่าทีสงบ แม้จะมีสายตาอยากรู้อยากเห็นทั่วไปหมด เขามองไปที่หลงปี้ที่ปลดปล่อยแรงกดดันทรงพลังบนลานประลองก็ยิ้มบาง วูบเดียวก็ไปปรากฏตัวบนลานประลอง

“ผู้บัญชาการมู่ก็ปกปิดคลื่นหลิงไว้ด้วยหรือไม่? หรือว่าเจ้าบรรลุระดับจื้อจุนขั้นเก้าแล้วเหมือนกัน? ถ้าเป็นแบบนั้นข้าขอสดุดีด้วยใจจริง!” เสียงเย้ยเบาๆ พุ่งมาจากหลงปี้ขณะจับจ้องไปที่มู่เฉิน แม้ว่าจะมีตัวอย่างจากจิ่วโยว เขาก็รู้ว่าเป็นไปไม่ได้ที่มู่เฉินจะบุกเข้าสู่ขั้นตอนดังกล่าวในช่วงเวลาสั้นๆ ถึงจะสามารถทำได้ แต่ก็จะทำให้รากฐานไม่มั่นคง ความก้าวหน้าในอนาคตจะจำกัดมาก

มู่เฉินรับรู้ถึงเจตนาที่อยู่เบื้องหลังคำพูดก็ไม่ได้โมโหกลับยิ้มออกมา “ระดับจื้อจุนขั้นเก้า? ข้ายังไปไม่ถึงหรอก…”

ร่างกายตึงเครียดของหลงปี้คลายลงจากคำพูดนี้ ตราบใดที่มู่เฉินไม่ได้อยู่ในขั้นนั้น ก็ไม่มีอะไรให้เขาต้องกลัวในวันนี้

เสียงถอนหายใจโล่งใจดังกึกก้องโดยรอบ ผู้บัญชาการบางคนก็รู้สึกโล่งอก หากแม้แต่มู่เฉินก็มาถึงขั้นดังกล่าว แล้วพวกเขาจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน?

“เป็นเรื่องยากที่จะไปถึงระดับจื้อจุนขั้นเก้า ดังนั้นแม้จะมีโอกาส…” มู่เฉินเงยหน้าขึ้นมองหลงปี้พูดต่อช้าๆ

“ข้าก็ยังขาดอีกครึ่งก้าว”

ตู้ม!

มหาสมุทรคลื่นพลังไร้ขอบเขตระเบิดออกมาจากร่างมู่เฉินเมื่อพูดจบ ทันใดนั้นคลื่นหลิงก็แผ่ขยายออกไปทั่วพื้นที่ ก่อให้เกิดคลื่นขนาดใหญ่ม้วนตัว เสียงก้องกังวานไปทั่วทั้งฟ้าดิน สร้างพายุลูกใหญ่ขึ้น

เสื้อผ้าของมู่เฉินโบกสะบัดไปตามแรงลม รอยยิ้มแขวนอยู่บนใบหน้า ทว่ากลับมีแรงกดดันทรงพลังกำจายออกมาจากร่าง

ท่าทางเหล่าจอมยุทธ์ที่รู้สึกโล่งอกเมื่อครู่ก็แข็งทื่อ พวกเขารู้สึกถึงแรงกดดันทรงพลัง หนังหัวก็ระเบิด

อันที่จริงมู่เฉินยังไม่บรรลุระดับจื้อจุนขั้นเก้าเมื่อตัดสินความผันผวนของพลังงาน ทว่าเขามาไกลเกินกว่าขั้นแปดและอยู่ห่างออกไปเพียงครึ่งก้าวก็จะบรรลุขั้นสุดท้ายของระดับจื้อจุนแล้ว!

มู่เฉินอยู่ในขุมพลังจื้อจุนอีกครึ่งเก้าจะบรรลุขั้นเก้า!

ห่างจากระดับจื้อจุนขั้นเก้าแท้จริงเพียงครึ่งก้าว!

แววตกตะลึงครอบคลุมเหล่าผู้บัญชาการดั้งเดิม ตอนที่มู่เฉินไปเยือนเผ่าวิหคโลกันตร์ เขาเพิ่งจะบรรลุขั้นหกเท่านั้น เวลาไม่ถึงหนึ่งปีความแข็งแกร่งของเขาก็อยู่ที่เสมือนขั้นเก้าแล้ว!

พื้นฐานของเทพอสูรกับมนุษย์แตกต่างกัน ดังนั้นพวกเขาจึงเข้าใจจิ่วโยวได้ แต่มู่เฉินมาถึงขั้นดังกล่าวได้อย่างไรกัน?

ผู้ชมรอบด้านจุกจนพูดไม่ออก แม้แต่จอมพลทั้งสามยังมีท่าทางเคร่งขรึม โดยเฉพาะเทียนจิ้วที่มองดูมู่เฉินด้วยสายตาซับซ้อน ตอนที่จิ่วโยวพามู่เฉินเข้ามาในอาณาเขตกงเวทสวรรค์ครั้งแรก เขาเพิ่งจะเริ่มชำระร่างเทห์สวรรค์เท่านั้น ทว่าเพียงไม่กี่ปีก็มาถึงขั้นเก้าไล่ตามอยู่ข้างหลังตาแก่คนนี้แล้ว

“ตอนนั้นข้าก็รู้แล้วว่าเจ้าหนูนี่พิเศษ แต่ไม่คิดว่าเขาจะมีพัฒนาการรวดเร็วในเวลาเพียงไม่กี่ปี” เทียนจิ้วถอนหายใจ ด้วยความเร็วนี้อีกไม่นานมู่เฉินก็จะแซงหน้าไปแล้ว

อนาคตของมู่เฉินไม่สามารถวัดได้ หากเขามีเวลามากพอ ไม่ต้องพูดถึงขั้นเก้าเลย ถึงตอนนั้นแม้แต่ประมุขก็อาจต้องมองเขาในฐานะจอมยุทธ์ระดับเดียวกัน

ในเวลานี้เทียนจิ้วเข้าใจแล้วว่าทำไมประมุขถึงได้ให้การดูแลเป็นพิเศษสำหรับมู่เฉิน บางทีอาจมีเหตุผลอื่นๆ แต่ก็ต้องมีส่วนที่นางรู้ถึงศักยภาพของมู่เฉิน ดังนั้นนางจึงไม่นับว่ามู่เฉินเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาตั้งแต่แรก แต่ถือว่าเป็นสหายกัน ต่อให้สถานะตอนนี้ยังดูห่างไกลกันมาก

ในทำนองเดียวกันใครจะคิดว่ามู่เฉินจะมาไกลขนาดนี้ในเวลาเพียงไม่กี่ปีตอนพบกันครั้งแรก?

“อีกครึ่งก้าวจะบรรลุระดับจื้อจุนขั้นเก้า”

ใบหน้าของหลงปี้ถึงกับการกระตุกเมื่อมองไปที่ร่างเยาว์วัย แม้ว่าเขาจะประเมินความแข็งแกร่งของมู่เฉินไว้แล้ว แต่ความจริงที่รับรู้ก็ยังทำให้เขารู้สึกตกตะลึงในใจ

การเข้าถึงอีกครึ่งก้าวจะบรรลุระดับจื้อจุนขั้นเก้าตั้งแต่อายุเท่านี้ พรสวรรค์ของมู่เฉินน่าเหลือเชื่อจริงๆ

นอกจากนี้สิ่งที่ทำให้หลงปี้รู้สึกว่าไม่อยากเชื่อมากที่สุดก็คือคลื่นหลิงที่ถูกปล่อยออกมาจากร่างมู่เฉิน ทั้งหนาแน่นและไม่มีที่สิ้นสุดราวกับว่าไม่มีขีดจำกัด โดยไม่มีความรู้สึกผิวเผิน ซึ่งหมายความว่ารากฐานของมู่เฉินแข็งแกร่งมาก

นี่เป็นเรื่องยากที่จะเชื่อว่าในเวลาเพียงหนึ่งปีการเพาะบ่มพลังของมู่เฉินกระโดดขึ้นมาเกือบสามขั้น แม้ว่าใช้สมบัติภายนอกเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่ง แต่ก็มีสถานการณ์ที่เขาต้องเผชิญกับความยากลำบากในการควบคุมคลื่นหลิงที่เพิ่มขึ้น แต่ขณะนี้คลื่นหลิงของมู่เฉินอยู่ภายใต้การควบคุมของตัวเองสมบูรณ์แบบโดยไม่มีความผิดปกติใดๆ

“เจ้าหนูคนนี้…” ความหวาดกลัวกวนตัวขึ้นในส่วนลึกของดวงตาหลงปี้ขณะขมวดคิ้วอย่างแน่นหนา เขาเก็บแววเหยียดหยามในสายตาลงทั้งหมด เนื่องจากมู่เฉินมีคุณสมบัติที่เขาจะให้ความสำคัญด้วยอย่างแท้จริง

“ดูเหมือนผู้บัญชาการมู่จะเตรียมการมาดีจริงๆ”

หลงปี้หายใจเข้าลึก ระงับอารมณ์ในใจ สีหน้าสงบลงหลายส่วน นี่ไม่ใช่เวลาที่จะคิดเกี่ยวกับสาเหตุที่อยู่เบื้องหลังของพัฒนาการมู่เฉินและรากฐานที่แข็งแกร่งเช่นนี้ เพื่อที่จะได้รับทรัพยากรและสิทธิอำนาจเต็มที่ในอาณาเขตกงเวทสวรรค์ ไม่มีทางที่เขาจะปล่อยตำแหน่งจอมพลให้หลุดมือไปได้

โชคดีที่แม้คลื่นหลิงของมู่เฉินจะมั่นคงแข็งแกร่ง แต่ก็อยู่ในขุมพลังอีกครึ่งก้าวจะบรรลุระดับจื้อจุนขั้นเก้าเท่านั้น ซึ่งยังมีช่องว่างระหว่างขั้นเก้ากับอีกครึ่งก้าวจะขั้นเก้าอยู่ไม่น้อย

ตราบใดที่เขาไม่ประมาทก็น่าจะสามารถเอาชนะมู่เฉินได้โดยอาศัยความแข็งแกร่งของตัวเขาเอง

หลงปี้จ้องมองมู่เฉินโดยไม่มีริ้วอารมณ์ใด “หายากนักสำหรับคนอย่างผู้บัญชาการมู่ที่จะประสบความสำเร็จในขุมพลังอีกครึ่งก้าวจะบรรลุระดับจื้อจุนขั้นเก้าตั้งแต่อายุยังน้อย แต่ถ้าเจ้าต้องการให้ข้าปล่อยมือจากตำแหน่งจอมพล ต้องมาดูกันว่าความสามารถของเจ้าจะเพียงพอหรือไม่!”

ฮึ่ม!

ดวงตาของเขาคุกรุ่นด้วยคลื่นหลิงที่ไร้ขอบเขตกวาดข้ามเส้นขอบฟ้าราวกับพายุรวมตัวกัน ทันใดนั้นทั่วบริเวณก็มืดลง โลกใต้เท้าของเขาเกิดเสียงดังคร่ำครวญราวกับกำลังไว้ทุกข์

ร่างหลงปี้ที่แข็งแกร่งก็ขยายขึ้นและสร้างแรงกดดันที่ทำให้หายใจไม่ออก

แรงกดดันคลื่นหลิงที่เกิดขึ้นจากมู่เฉินถูกกำจัดออกไปโดยรัศมีที่ครอบงำของหลงปี้ ขณะนี้เขาดูประหนึ่งเทพแห่งสงคราม

ทันทีที่หลงปี้เคลื่อนไหวก็เปิดเผยความแข็งแกร่ง แรงกดดันครอบงำเกินขอบเขตผู้เฒ่าคูไปอีก

ภายใต้ความสนใจของทุกคน หลงปี้ก็กำหมัดอย่างช้าๆ ริ้วแสงแวววาวไร้ขอบเขตระเบิดออกมากลั่นตัวเป็นลวดลายโบราณลึกล้ำนับไม่ถ้วนบนพื้นผิวร่างกาย แสงสีแดงเจิดจ้าเปล่งประกายออกมาจากแขนของเขาพร้อมกับเสียงคำรามของมังกรที่ก้องกังวานสั่นสะเทือนสวรรค์และโลก

“ปัง!”

เสื้อช่วงแขนสลายเป็นเถ้าถ่านเมื่อหลงปี้กระตุกแขน ความหนาของแขนมีขนาดเท่ากับลำตัวเด็กและถูกปกคลุมไปด้วยเกล็ดสีแดงเข้ม เล็บมือยาวคมกริบราวกับกรงเล็บมังกร

แม้แต่เทียนจิ้วและหลิงถงยังมีสีหน้าเปลี่ยนไปเมื่อเห็นแขนสองข้างของหลงปี้ ความหวาดเกรงพล่านในสายตา ลือกันว่าแขนของหลงปี้ครอบครองพลังมังกร ครั้งหนึ่งเขาเคยทำลายร่างเทห์สวรรค์ของจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าด้วยพลังแขนอย่างเดียวเท่านั้น

ดังนั้นแม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้ายังหวาดเกรง เมื่อปะทะกับแขนมังกรที่ครอบงำจนไม่อาจอธิบายได้

หลงปี้ให้ความสำคัญกับมู่เฉินมาก ดังนั้นเขาจึงเปิดเผยแขนมังกรโดยไม่ลังเล เห็นได้ชัดว่าเขาตั้งใจที่จะยุติการต่อสู้ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้

“ทีนี้เจ้านั่นก็ระวังตัวเข้าแล้ว ซึ่งเป็นอันตรายต่อมู่เฉิน”

จอมพลทั้งสองแลกเปลี่ยนสายตาที่กลายเป็นเคร่งเครียดรุนแรง ด้วยพลังของมู่เฉินตอนนี้ อาจจะไม่ได้เปรียบใดๆ ในการเผชิญหน้ากับแขนมังกร

มู่เฉินสูดหายใจลึก ภายใต้ความสนใจจากฝูงชน ไฟการต่อสู้มารวมกันที่ส่วนลึกของดวงตา

“พลังแขนมังกรเรอะ”

มู่เฉินพึมพำกับตัวเองก่อนจะกำหมัดแน่น จิตวิญญาณเทพอสูรทั้งสองที่สถิตบนท่อนแขนของเขาค่อยๆ ลืมตาขึ้นในเวลานี้

ให้ข้ามาทดสอบดูว่าระหว่างแขนมังกรของเจ้ากับมังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริงของข้า ใครจะแน่กว่ากัน

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler ฟรี ได้ที่ novel-fast 


เรื่องย่อ

โดย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler บางส่วนของนิยาย

บทนำ

หนึ่งในใต้หล้าจากปลายปากกาของเทียนฉานถูโต้ว กล่าวถึงมู่เฉิน เด็กหนุ่มจากสำนักศึกษาเป่ยหลิง ผู้ที่ได้รับเลือกให้เข้าฝึกในสงครามเทพยุทธ์ซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าคนเก่งกาจ ทว่า… อยู่ดีๆ เขากลับถูกขับไล่ออกมาด้วยเหตุผลที่ไม่มีใครล่วงรู้ มู่เฉินพยายามฝึกหนักอีกครั้งเพื่อจะพาตัวเองกลับเข้าไปในเส้นทางแห่งนี้ เขาจำเป็นต้องใช้สิ่งนี้เป็นใบเบิกทางเพื่อเข้าศึกษาที่ภาคเบญจภาคี เพื่อ… ปกป้องหญิงสาวที่ตนรัก และยิ่งกว่านั้นคือเพื่อค้นหาเบาะแสของมารดาที่หายสาบสูญไป

‘มหาพันภพ’ เป็นที่ที่มิติทั้งหลายเชื่อมต่อกันในระบบสุริยจักรวาล สถานที่แห่งนี้มีขั้วอำนาจมากมายอาศัยอยู่ จักรพรรดิที่มาจากพิภพเขตล่างต่างเป็นตำนานที่ผู้อื่นปรารถนาขึ้นไปบนเส้นทางแห่งกฎของโลกไร้ขอบเขตนี้

แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว เทพจักรพรรดิอัคคีควบคุมเปลวเพลิงกวาดข้ามสวรรค์

แคว้นหวู เทพจักรพรรดิสงครามผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำให้ทั้งสวรรค์และโลกหวาดกลัว

ตำหนักซีเทียน จักรพรรดิสัประยุทธ์ที่แข็งแกร่งไม่มีผู้ใดเทียบเท่า ในเนินเขารกร้างทางเหนือ ดินแดนวั้นมู่ของจักรพรรดิอมตะครองเหนือภพ

เด็กหนุ่มจากมณฑลเป่ยหลิงออกท่องยุทธภพกับวิหคโลกันตร์คู่ใจ มุ่งหน้าสู่โลกภายนอกที่เต็มไปด้วยสีสัน ใครกันที่จะเป็นผู้กุมชะตากรรมในเส้นทางการเป็นหนึ่ง?

ในมหาพันภพที่สงครามนับหมื่นอุบัติ ข้าคือผู้กุมชะตาฟ้าดิน…

เรื่องย่อ

เมื่อคำพูดของมู่เฉินกระจายออกไป ไม่เพียงแต่จะไม่มีการตอบสนอง แม้แต่ด้านนอกเจดีย์ก็ถูกห่อหุ้มด้วยบรรยากาศราวกับป่าช้า…

ทุกคนตกตะลึงไปกับฉากนี้ พวกเขาจ้องมองจุดที่ลู่สุยหายตัวไป ราวกับว่ายังไม่สามารถฟื้นจากอาการตะลึงงันที่เกิดขึ้นได้

ก่อนหน้าเมื่อลู่สุยออกกระบวนท่าที่น่าสะพรึง ผู้คนส่วนใหญ่ก็คิดว่าผลลัพธ์ของการต่อสู้ได้ถูกกำหนดแล้ว ทว่าพวกเขาไม่คิดเลยว่ามู่เฉินจะพลิกสถานการณ์ได้อีกครั้ง เตะลู่สุยที่เหมือนจะคว้าชัยชนะออกไป

ทุกคนตะลึงไปพักใหญ่ ก่อนที่พวกเขาจะหลุดออกจากอาการได้ สายตาเคร่งเครียดลง การประลองกันครั้งนี้มู่เฉินไม่ได้ใช้ค่ายกล แต่เขาก็สามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดอย่างลู่สุยได้ด้วยความแข็งแกร่งที่อยู่ในขั้นหกเท่านั้น แม้ว่าจะมีผลจากลู่สุยประมาทเองในตอนแรก แต่นั่นก็แสดงให้เห็นว่ามู่เฉินน่ากลัวแค่ไหน

พลังเช่นนี้เขาสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์อันดับต้นๆ ในเจดีย์ฝึกพลังกายได้เลยทีเดียว

ทางฝั่งกลุ่มกระเรียนฟ้า ใบหน้าของหลิ่วชิงกลายเป็นเขียวสลับขาว นางมองไปที่ร่างสูงโปร่งบนหน้าจอ กลืนน้ำลายเหนียวหนืด ความกลัวปรากฏในดวงตาของนางเป็นครั้งแรก

มาถึงจุดนี้นางคงโง่แน่ถ้ายังคิดปฏิบัติต่อมู่เฉินเหมือนกับจอมยุทธ์ขั้นหกทั่วไป

ด้วยพลังในการต่อสู้ที่เขาแสดงออกมา บวกกับค่ายกลทรงพลัง แม้แต่จงเถิงก็ยากจะได้เปรียบหากพวกเขาต่อสู้กัน

ก่อนหน้านี้นางหัวเราะเยาะและมองจิ่วโยวด้วยความดูถูก แต่ตอนนี้นางอายแทบแทรกแผ่นดินหนี ซึ่งจุดนี้รู้ได้จากสายตาเยาะเย้ยเหล่านั้นที่ปรายมองเข้ามา

“ทำไมมู่เฉินถึงทรงพลังเช่นนี้?” จงฮั้วที่พ่ายแพ้ให้กับมู่เฉินก็มีสีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดเช่นกันว่ามู่เฉินพึ่งพาเพียงค่ายกลเพื่อจัดการกับศัตรู แต่ใครจะคิดว่าเมื่อไม่มีการใช้ค่ายกลมู่เฉินก็สามารถเอาชนะลู่สุยแบบดุร้ายยิ่งกว่าอะไร

“ดูเหมือนว่ามีเพียงพี่ใหญ่จงเถิงเท่านั้นที่สามารถจัดการกับเขาได้” จอมยุทธ์อีกคนของเผ่ากระเรียนฟ้าพยักหน้า

หลิ่วชิงพยักหน้าเบาๆ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะพิจารณาพลังของมู่เฉินพลาดไปเท่านั้น แม้แต่จงเถิงก็ตัดสินอีกฝ่ายผิดไป ชายคนนั้นเป็นสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง

ฟิ้ว!

ขณะที่นอกเจดีย์ต่างตกตะลึงกับผลลัพธ์ที่มู่เฉินนำมา ทันใดนั้นแสงก็กะพริบบนแท่นนอกเจดีย์ ร่างน่าสังเวชปรากฏขึ้น

เมื่อร่างนั้นออกมาก็รีบถอยกลับไปปรากฏตัวขึ้นในกลุ่มอีกาสายฟ้าทันควัน นี่ก็คือลู่สุยที่มีสีหน้าซีดขาว คลื่นหลิงของเขาถดถอยลงอย่างมาก

สายตาโดยรอบยิงเข้าหาในเวลานี้ทันที

ใบหน้าของลู่สุยเขียวคล้ำ สายตาเกลียดชังมองไปที่มู่เฉินที่อยู่บนหน้าจอ ก่อนที่จะหันหัวสาดสายตาดุร้ายใส่จิ่วโยวและมั่วหลิง ที่ข้างๆ พรรคพวกของเขาก็มีท่าทางไม่ดีเช่นกัน

ทว่าจิ่วโยวไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับสายตาเหล่านั้น นางเค้นเสียงอย่างเย็นชา “ลูกหมาที่ถูกฟาดยังกล้าที่จะออกมาแยกเขี้ยวอีกเหรอ?”

ตอนนี้ลู่สุยบาดเจ็บสาหัส สูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปหมด ส่วนคนที่เหลือก็ไม่มีอะไรต้องกลัว หากพวกเขากล้าที่จะคิดบัญชีกับพวกนาง จิ่วโยวก็ไม่คิดปล่อยพวกเขาไว้เป็นภัยคุกคามในอนาคตหรอก

สายตาแสดงความเกลียดชังของลู่สุยจ้องเขม็งอยู่ที่จิ่วโยว แต่สุดท้ายเขาก็ต้องถอนสายตาออกไปอย่างไม่เต็มใจ ก่อนที่จะถอยกลับนั่งลงบนซากปรักหักพังเข้าสมาธิเพื่อฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ

จอมยุทธ์กลุ่มอีกาสายฟ้าก็ปรากฏรอบตัวเขาเพื่อปกป้อง

เมื่อจิ่วโยวเห็นการตอบสนองนั่น นางก็ไม่ได้ใส่ใจกับพวกเขาอีก นางมองไปที่หน้าจออีกครั้งโดยพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ร่างเงาอ่อนเยาว์ มือที่กำแน่นผ่อนคลายลง

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงสำหรับนางที่มู่เฉินจะเอาชนะได้เด็ดขาดแบบนี้ นั่นเป็นเพราะตามการประเมินของนางแม้ว่ามู่เฉินจะยืนยงอยู่ได้ก็เป็นยากที่จะเอาชนะลู่สุยด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นหกและถ้าการต่อสู้ถูกลากไปจนสุดอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบคาดไม่ถึง

ทว่าผลลัพธ์สุดท้ายที่ได้ก็ทำให้นางทั้งประหลาดใจและดีใจ

เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินได้รับประโยชน์มหาศาลจากสามชั้นแรกของเจดีย์ฝึกพลังกาย ไม่เช่นนั้นเขาไม่สามารถแสดงพลังเป็นที่ประจักษ์เช่นนี้ได้

“ว่ากันว่าในชั้นสี่มหัศจรรย์กว่านี้มาก หากใครสามารถเข้าไปได้ พวกเขาจะสามารถได้รับผลประโยชน์เกินกว่าสามชั้นแรกมาก…”

จิ่วโยวยิ้มบาง ดูจากสถานการณ์ปัจจุบันไม่น่ามีปัญหาใดๆ ที่มู่เฉินจะเข้าสู่ชั้นสี่ สำหรับมั่วเฟิงความแข็งแกร่งของเขาเป็นหนึ่งในอันดับต้นของกลุ่มที่เข้าไป ดังนั้นจึงไม่ยากสำหรับเขาที่จะได้หนึ่งในห้าที่นั่งนี้ไปเช่นกัน

ดูเหมือนว่าการเดินทางมาที่เจดีย์ฝึกพลังกายโบราณครั้งนี้เผ่าวิหคโลกันตร์อาจเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

บนลานเมฆสายฟ้า

ไม่มีใครตอบคำถามของมู่เฉิน ขณะนี้แม้แต่จอมยุทธ์ทรงอำนาจอย่างหานซันและสีคุนก็ยังรู้สึกหวาดระแวงมู่เฉินอยู่บ้าง ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะไม่ไปปะทะกับมนุษย์ผู้นี้

ดังนั้นคนทั้งหมดที่อยู่ที่นี่จึงเงียบลง ก่อนที่จะถอยออกจากรัศมีโดยรอบมู่เฉินอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณบอกว่าพวกเขาไม่ต้องการต่อสู้กับเขา

เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ก็ไม่มีอารมณ์ใดบนใบหน้า แต่ในใจกลับรู้สึกโล่งอก คนอื่นๆ เห็นเพียงฉากการต่อสู้ตระการที่เขาเอาชนะลู่สุยได้ แต่พวกเขาไม่รู้หรอกว่าหมัดที่เขาชกออกไปก่อนหน้านี้คือพลังงานส่วนเกินจากสามชั้นแรก

ร่างกายของมู่เฉินก่อนหน้าเปรียบเสมือนฟองน้ำที่ดูดซับน้ำจนถึงขีดจำกัด หมัดของเขาจึงเท่ากับบีบน้ำออกจนหมด ทำให้ร่างกายที่อัดแน่นกลับสู่สภาพเดิม

ดังนั้นถ้าให้เขาโจมตีแบบนั้นอีกครั้ง พลังก็จะไม่ทรงประสิทธิภาพเหมือนเมื่อครู่แน่นอน

ประสิทธิผลพิเศษชนิดนี้ของการสะสมพลังงานในร่างกายเป็นทักษะที่ได้มาจากกายามังกรหงส์ ด้วยวิธีนี้เขาจะได้รับผลลัพธ์ที่ไม่มีใครคาดคิดไว้ กลายเป็นไพ่ลับอีกใบหนึ่ง

“คัมภีร์หลงเฟิ่งทรงพลังจริงๆ”

แม้แต่มู่เฉินก็ยังชื่นชมในสิ่งนี้ คัมภีร์หลงเฟิ่งสมแล้วที่เป็นทักษะยอดเยี่ยมแท้จริง จากการประเมินของเขาคัมภีร์นี้ต้องอยู่ในระดับเสินทงแน่นอน ซึ่งไม่ธรรมดาแม้จะอยู่ในกลุ่มวิทยายุทธระดับเสินทงด้วย

มู่เฉินชื่นชมก่อนที่จะใจเย็นลง แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีใครท้าทายเขา แต่เขาก็ไม่ตั้งใจที่จะท้าทายคนอื่นด้วยเช่นกัน เขายืนนิ่งบนตำแหน่งตนเองรอผลการคัดออก

สำหรับจงเถิง มู่เฉินรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นพวกยุแยงให้ลู่สุยมาปะทะกับเขา แต่เนื่องจากตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ดีในการจัดการ เขาจึงได้แต่ผลักแผนไปก่อน

แต่ถึงกระนั้นสายตาคมกล้าของมู่เฉินก็ยังจ้องเขม็งไปที่จงเถิง รอบตัวเต็มไปด้วยคลื่นหลิงราวกับเสือดาวที่กำลังจะจ้องตะครุบเหยื่ออัดแน่นด้วยภัยคุกคาม

เมื่อเห็นท่าทางของมู่เฉิน จงเถิงที่ประจันหน้ากับมั่วเฟิงก็รู้สึกอึดอัดใจ เขาต้องแยกสมาธิอยู่ตลอดเพื่อจับตามองมู่เฉิน ป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายเคลื่อนไหวมาประสานพลังกับมั่วเฟิง

ด้วยวิธีนี้สมาธิของจงเถิงจึงค่อนข้างฟุ้งซ่าน สุดท้ายเขาได้แต่กัดฟัน ถอนคลื่นหลิงและถอยออกจากบริเวณของมั่วเฟิง

“พี่มั่วยากสำหรับการต่อสู้ของเราที่จะได้ข้อสรุป ทำไมเราไม่ไปจัดการคนอื่นและรับที่นั่งมาล่ะ?” ขณะที่จงเถิงถอยกลับเสียงก็สะท้อนก้องไปด้วย

มั่วเฟิงจ้องมองจงเถิงอย่างไม่แยแสก่อนที่จะพยักหน้า นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าหากพวกเขายังอยู่ในสถานการณ์ยืนจ้องหน้ากันก็จะไม่เกิดผลลัพธ์ใด หากเขาร่วมมือกับมู่เฉิน พวกเขาอาจทำให้จงเถิงบ้าดีเดือดขึ้นมา แม้แต่พวกเขาก็ต้องจ่ายราคามหาศาลจากการตีโต้

ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาคือการได้ที่นั่งเพื่อเข้าสู่ชั้นสี่

เมื่อจงเถิงเห็นคำตอบของมั่วเฟิงก็รู้สึกโล่งใจในใจ เขาถอยกลับอย่างรวดเร็วออกจากจุดที่มู่เฉินและมั่วเฟิงอยู่ เขาครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนจะเลือกปะทะกับคนที่อ่อนแอกว่า

พอมู่เฉินเห็นจงเถิงไปแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจอีกต่อไป สายตาหันมามองมั่วเฟิงแล้วก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มแสดงความขอบคุณในการช่วยเหลือครั้งนี้

สายตาของมั่วเฟิงเป็นมิตรมากขึ้น คิดว่าการที่มู่เฉินเอาชนะลู่สุย ทำให้มั่วเฟิงมองมู่เฉินในฐานะจอมยุทธ์ที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเขา ดังนั้นจึงไม่ได้มีท่าทางเฉยเมยเหมือนเมื่อก่อน

มั่วเฟิงพยักหน้าให้มู่เฉิน ก่อนที่จะหันหลังกลับและเริ่มเลือกคู่ต่อสู้ของตนเอง

ครืน!

เมื่อทุกคนเลือกคู่ต่อสู้แล้ว ทันใดนั้นคลื่นหลิงก็ระเบิดรุนแรงบนลานเมฆสายฟ้า คลื่นกระแทกกวาดออก ทำให้มิติเกิดการสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไม่หยุด

บนลานเมฆสายฟ้าพลังงานหลิงกวาดหายนะ มีเพียงตรงมู่เฉินเท่านั้นที่ไม่ถูกรบกวน เนื่องจากไม่มีใครกล้าเหยียบเข้ามาในรัศมีพันจั้ง ยามนี้เขาเหมือนผู้ชมที่ดูการต่อสู้ติดขอบ ในเวลาเดียวกันก็บันทึกกระบวนท่าที่ทรงพลังของบางคนไว้ในสมอง

แม้ว่าในชั้นนี้พวกเขาอาจไม่ได้ประลองกัน แต่ก็ยังมีอีกสองชั้นรอพวกเขาอยู่ ใครจะสามารถรับประกันได้ว่าจะไม่มีการลดจำนวนลงในชั้นต่อไป?

ดังนั้นถ้ามีโอกาสเขาต้องพยายามจดจำข้อมูลผู้อื่นเก็บไว้

ภายใต้การสังเกตของมู่เฉิน การประลองบนลานเมฆสายฟ้าก็คงอยู่ชั่วระยะหนึ่ง ก่อนที่แต่ละคู่จะมาถึงจุดสิ้นสุด ผลลัพธ์ก็เป็นไปตามที่คาดไว้

หลังจากมู่เฉินก็เป็นหานซันที่เอาชนะคู่ต่อสู้ได้ที่นั่งที่สองไป

จากนั้นมั่วเฟิงและจงเถิงก็คว้าชัยชนะตามมา

ที่นั่งสุดท้ายตกเป็นของสีคุนที่ก่อนหน้านี้เคยแพ้หานซันที่ด้านนอกเจดีย์ ชายนี้มีความแข็งแกร่งที่น่าตกใจ แม้แต่หานซันยังต้องใช้ทักษะเต็มที่ถึงจะได้รับชัยชนะมา

เมื่อสีคุนได้รับที่นั่งสุดท้ายลานเมฆสายฟ้าขนาดใหญ่ก็เงียบลงอีกครั้ง ร่างทั้งห้ายืนอยู่ ขณะรัศมีไร้ขอบเขตทั้งห้าสายพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าชนกันเปรี้ยงปร้าง

ทว่าการชนกันก็ดำเนินไปเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ก่อนที่ทั้งห้าจะถอนคลื่นพลังพร้อมกัน พวกเขาเหลือบมองกันและกัน จากนั้นก็ไม่ลังเลทะยานออกไปปรากฏตัวบนเบาะทั้งห้า

สายตาพวกเขาพุ่งตรงไปยังมิติด้านหลังลานเมฆสายฟ้าด้วยความโลภ ตรงนั้นเส้นดาวหางจำนวนมากกวาดผ่านราวกับฝนดาวตก

ในแสงเหล่านั้นแก่นหยดสายฟ้ากำลังกะพริบด้วยความแวววาว


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท