หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – ตอนที่ 1086

ตอนที่ 1086

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1086 ความแข็งแกร่งของวังสวรรค์บรรพกาล
การประชุมราชันปิดม่านลง

ทว่าทั่วทั้งอาณาเขตกงเวทสวรรค์ยังคงอยู่ในบรรยากาศตื่นเต้น บางส่วนมาจากการเพิ่มจอมพลใหม่ แต่เหตุผลส่วนใหญ่เป็นเพราะการปรากฏของวังสวรรค์บรรพกาล

ทุกคนรู้ดีถึงความแข็งแกร่งในอดีตของวังสวรรค์บรรพกาล นั่นเป็นยักษ์ใหญ่แท้จริงและไม่มีขั้วอำนาจใดในทวีปเทียนหลัวปัจจุบันสามารถเทียบเคียงได้

ดังนั้นจึงไม่มีใครหน้าไหนในทวีปเทียนหลัวสามารถเผชิญหน้ากับซากโบราณที่เหลืออยู่ของสุดยอดสำนักเช่นนี้ด้วยจิตใจที่สงบได้ หากพวกเขาได้รับโอกาสในสถานที่แห่งนั้น พวกเขาจะก้าวกระโดดเปลี่ยนแปลงอย่างสมบูรณ์กลายเป็นดาวจรัสแสง

ฉะนั้นการแข่งขันเพื่อวังสวรรค์บรรพกาลจะต้องเข้มข้นถึงขีดสุดตลอดหลายหมื่นปีของทวีปเทียนหลัว ทุกขั้วอำนาจที่พอมีฐานกำลังจะต้องเดินทางมาในครั้งนี้อย่างแน่นอน เพราะวังสวรรค์บรรพกาลดึงดูดใจล้นเหลือ

ขณะที่ทั่วทั้งอาณาเขตกงเวทสวรรค์กำลังสนทนาในหัวข้อวังสวรรค์บรรพกาล หอวิหคโลกันตร์ก็ไม่ได้เงียบสงบเช่นกัน ตั้งแต่มู่เฉินและจิ่วโยวได้รับการเลื่อนตำแหน่งเป้นจอมพล หอวิหคโลกันตร์ก็ก้าวไปสู่การเป็นหอที่ทรงพลังที่สุดและมีเสียงมากที่สุดในอาณาเขตกงเวทสวรรค์

เนื่องจากนับตั้งแต่ก่อตั้งอาณาเขตกงเวทสวรรค์ก็ไม่เคยมีตำแหน่งจอมพลสองคนอยู่ในหอเดียวกัน

ดังนั้นเมื่อการประชุมราชันได้ข้อสรุป หอวิหคโลกันตร์ก็กระจายความชีวิตชีวาต้อนรับแขกเรื่อที่มาเยือนไม่ขาดสาย ในเวลาเดียวกันแต่ละคนยังแสดงความตั้งใจหาที่คุ้มภัย เพราะแม้จะอยู่ในสำนักเดียวกันก็ยังคงมีการแข่งขันภายในเพื่อผลประโยชน์ หากพวกเขาสามารถได้รับการสนับสนุนจากจอมพลทั้งสอง ต่อจากนี้พวกเขาก็จะมีชีวิตสะดวกสบายมากขึ้นในสำนักแห่งนี้

ทว่าถึงหอวิหคโลกันตร์จะคึกคักอย่างยิ่ง แต่มู่เฉินกับจิ่วโยวรู้สึกหงุดหงิดมากที่ต้องเผชิญกับจอมยุทธ์ที่เข้ามาเยี่ยมเยือนไม่หยุด พวกเขาไม่ถนัดในการจัดการเรื่องเหล่านี้ ดังนั้นสุดท้ายพวกเขาจึงผลักหน้าที่นี้ให้ผู้ดูแลหออย่างถังปิงและประกาศว่าจะเก็บตัวฝึกยุทธ์ ถึงได้รับความเงียบสงบลงบ้าง

ในสวนลึกของหอวิหคโลกันตร์

ที่นี่เป็นสวนเงียบสงบและงดงาม มีศาลาหินและลำธารไหลเอื่อย

จิ่วโยวนั่งอยู่บนก้อนหินในลำธารซึ่งสะท้อนภาพเงาเพรียวบางที่ถูกห่อหุ้มด้วยชุดที่ขับเน้นส่วนโค้งเว้าโดดเด่น ดวงตาของนางปิดอยู่ ความผันผวนของพลังงานแผ่ออกมา เปลวเพลิงอ่อนใสละเอียดหมุนวนรอบร่าง แม้ว่าเปลวเพลิงจะไม่ให้อุณหภูมิสูง แต่ก็ทำให้มิติโดยรอบบิดเบี้ยวจากแรงกดดัน

หลังจากนั่งสมาธิอย่างเงียบๆ มาสักระยะ นางก็ลืมตาขึ้นอย่างช้าๆ จากนั้นก็เหยียดแขนบิดตัวขี้เกียจ เผยโค้งเว้าอันน่าทึ่งซึ่งดึงดูดสายตาจากศาลาหิน

เมื่อรู้สึกถึงสายตาจ้องมอง จิ่วโยวก็กวาดสายตาดุกลับมา มู่เฉินไอแห้งตอบดึงสายตากลับมาราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นพลางมองไปที่ม้วนภาพค่ายกลในมือ

“หอวิหคโลกันตร์กำลังคึกคักแต่เจ้าสองคนกลับมาขลุกกันอยู่ที่นี่เรอะ” เสียงหยอกล้อดังก้องในสวน มิติบนลำธารบิดเบือนก่อนที่มั่นถัวหลัวจะเดินออกมา นางสวมชุดสีดำ ไม่มีความเฉยเมยหรือศักดิ์ศรีใดๆ บนใบหน้าเหมือนตอนเผชิญกับคนอื่น กลับยิ้มแย้มแทน

“คารวะท่านประมุข” จิ่วโยวคำนับทันทีที่เห็นการมาถึงของมั่นถัวหลัว

มู่เฉินวางม้วนภาพลงแล้วยิ้ม “เจ้าเตรียมพร้อมเรื่องพันธมิตรแล้วหรือ? หายากนักที่เจ้าจะมีเวลาว่างมาหาแบบนี้”

“ไม่มีอะไรที่จะต้องเตรียม คนเหล่านั้นไม่โง่และรู้ดีว่าการดึงดูดของวังโบราณเป็นอย่างไร ด้วยกองทัพพวกเขาอย่างเดียว ไม่สามารถผ่านเข้าไปแข่งขันกับขั้วอำนาจระดับสูงอื่นๆ ในทวีปได้ ดังนั้นพวกเขากระตือรือร้นในเรื่องพันธมิตรมากกว่าข้าซะอีก” มั่นถัวหลัวนั่งลงบนก้อนหิน แช่เท้าในลำธารเย็นฉ่ำ

พูดถึงตรงนี้ นางก็เหลือบมองมู่เฉินแล้วพูดต่อ “เจ้าเป็นคนที่ตั้งตารอให้วังโบราณปรากฏมากที่สุด แต่ยามนี้กลับยังคงนิ่งเหมือนภูเขาไท่ซันทั้งที่วังเผยตัวออกมาแล้วนะ?”

มู่เฉินยิ้มพูดว่า “แกล้งทำเป็นนิ่งเฉยๆ ด้วยความปั่นป่วนที่เกิดจากวังสวรรค์บรรพกาล ใครจะรู้ว่าที่นั่นดึงดูดขั้วอำนาจระดับสูงอื่นๆ แค่ไหน? ระยะเกือบจะบรรลุขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าของข้าคงได้แต่มองดูเท่านั้น”

เมื่อข่าวของวังโบราณที่แพร่กระจายไปอย่างกว้างขวาง มู่เฉินก็สงบความตื่นเต้นลง แม้เขาจะรอวันนี้มาตลอดนับตั้งแต่เขาได้รับร่างเทพสุริยะ แต่เขาก็รู้ว่าการแข่งขันที่นั่นจะเข้มข้นแค่ไหน จากสถานการณ์ในปัจจุบันแม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายอย่างมั่นถัวหลัวก็ไม่มั่นใจ ไม่ต้องพูดถึงพลังของเขาเลย พอฟังเหตุผลของเขา มั่นถัวหลัวก็ยิ้มบาง “ไม่มีประโยชน์กับคนทั่วไปที่จะรับวิธีวิวัฒนาการร่างเทพสุริยะ เฉพาะผู้ฝึกที่ประสบความสำเร็จในการชำระร่างนี้เท่านั้นที่จะได้รับ ดังนั้นเจ้าอาจไม่มีคู่แข่งมากนัก”

พูดถึงจุดนี้ น้ำเสียงของนางก็เปลี่ยนไป “แต่ถึงแม้จะมีคู่แข่งน้อย ข้าก็กลัวว่าจะรุนแรงมาก”

มู่เฉินพยักหน้า จอมยุทธ์ที่เข้ามาช่วงชิงวิธีวิวัฒนาการโดยธรรมชาติจะต้องเป็นผู้ฝึกร่างเทห์สวรรค์นี้เช่นกัน ซึ่งในเวลาเดียวกันก็พิสูจน์ให้เห็นถึงความสามารถและโอกาสที่ดีของคู่ต่อสู้ของเขา มิฉะนั้นเป็นไปไม่ได้สำหรับพวกเขาที่จะเพาะบ่มร่างเทพสุริยะได้ภายใต้เงื่อนไขรุนแรงเช่นนี้

การต่อสู้กับจอมยุทธ์ชั้นสูงที่โดดเด่นเหล่านี้ ความรุนแรงของการต่อสู้จะต้องเหนือกว่าศึกอื่นๆ ที่มู่เฉินเคยผ่านมา แต่ถึงอย่างนั้นมู่เฉินก็ไม่กลัว

“วังสวรรค์บรรพกาลทรงพลังขนาดไหนตอนยังดำรงอยู่?” มู่เฉินไตร่ตรอง เขาคิดว่ามีความจำเป็นที่จะต้องเข้าใจถึงความแข็งแกร่งของวังสวรรค์บรรพกาล เพื่อตัดสินใจว่าเขาจะวางแผนใช้กลยุทธ์ใดในสถานที่นั่นดี

“วังสวรรค์บรรพกาลแบ่งออกเป็นสิบตำหนักเจ็ดหอ ที่เราพบก่อนหน้าในสงครามล่าก็คือเจ้าหอสี่…ท่านจอมพลสี่ เหล่าจอมพลทั้งหมดเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็ม”

“ส่วนผู้บัญชาการตำหนักทั้งหมดแม้จะอ่อนแอกว่าแต่ก็บรรลุระดับตี้จื้อจุนทั้งสิ้น คนที่อยู่อันดับต้นๆ ได้เข้าสู่ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายแล้วด้วย” มั่นถัวหลัวอธิบายอย่างช้าๆ

เมื่อได้ยินสีหน้ามู่เฉินและจิ่วโยวก็เปลี่ยนไปอย่างไม่อาจควบคุมได้ แววตกตะลึงพาดผ่าน แค่พลังที่แสดงออกมาก็น่าสะพรึงเพียงนี้ วังสวรรค์บรรพกาลสมกับเป็นผู้ปกครองของทวีปเทียนหลัวจริงๆ

“นั่นยังไม่ใช่สิ่งที่น่ากลัวที่สุด เนื่องจากวังสวรรค์บรรพกาลยังมีจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนสามคน” ขณะที่พูดสีหน้าของมั่นถัวหลัวก็เคร่งเครียดลงหลายส่วน

ซื้ด

มู่เฉินและจิ่วโยวสูดลมหายใจเย็นเข้าสุดปอด ข้อมูลนี้เกินจากที่คาดหมายไว้ หรือว่านอกเหนือจากจักรพรรดิฟ้ายังมียอดยุทธ์อีกสองคนเรอะ?

มั่นถัวหลัวรู้ว่าทั้งคู่กำลังคิดอะไรก็ส่ายหัว “จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนอีกสองคนถูกสร้างโดยจักรพรรดิฟ้า…”

“สร้างโดยจักรพรรดิฟ้า?” ทั้งคู่ต่างตะลึงงัน ชัดว่าไม่สามารถเข้าใจความหมายที่อยู่เบื้องหลังคำพูดของมั่นถัวหลัวได้

เมื่อมองทั้งสองที่ตะลึงงัน มั่นถัวหลัวก็พูดต่อว่า “พวกเจ้ารู้เกี่ยวกับวิทยายุทธระดับเสินทงขั้นสุดยอดในตำนานสามสิบหกกระบวนท่าไหม? จักรพรรดิฟ้าครอบครองของหนึ่งในวิชานั้น ซึ่งเป็นที่รู้จักกันในชื่อวิชาสามพิสุทธิ์ สามารถแยกตัวเองออกเป็นสามคน สองร่างจะเป็นร่างรอง แต่เหมือนมีตัวตนเป็นของตัวเอง ซึ่งน่าอัศจรรย์มาก ร่างรองทั้งสองมีความแข็งแกร่งเท่าร่างหลัก ดังนั้นจักรพรรดิฟ้าจึงเทียบเท่ากับจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนสามคน”

“วิทยายุทธระดับเสินทงขั้นสุดยอดในตำนานสามสิบหกกระบวนท่า…” มู่เฉินกลืนน้ำลายอึกใหญ่ ความรู้ที่ผ่านมาของเขาเกี่ยวกับคัมภีร์เทพเหล่านี้ เขารู้คร่าวๆ ว่าวิทยายุทธระดับเสินทงแบ่งออกเป็นสามขั้นคือเล็ก-เต็ม-ยอดเยี่ยม ซึ่งมีช่องว่างระหว่างกันมาก ดังนั้นนี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้ยินเกี่ยวกับวิทยายุทธระดับเสินทงขั้นสุดยอดในตำนานสามสิบหกกระบวนท่า

แต่เมื่อคิดเกี่ยวกับวิชาหมัดปีศาจพลีชีพ วิทยายุทธระดับเสินทงที่เขาได้รับมา ซึ่งยังไม่ถือว่าเป็นขั้นเต็มอย่างสมบูรณ์ แต่พลังของวิชานี้ก็น่าทึ่งมากแล้ว ถ้าสูงกว่านี้ไปอีกสองขั้น มู่เฉินก็เริ่มเข้าใจแล้วว่ามันน่ากลัวอย่างไร

เพราะแม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายแบบมั่นถัวหลัวก็ยังถูกล่อลวงด้วยวิทยายุทธเสินทงขั้นเต็ม สำหรับวิทยายุทธระดับเสินทงขั้นยอดเยี่ยม นางก็คงไม่เคยได้รับ ส่วนขั้นสุดยอดในตำนานสามสิบหกกระบวนท่าในตำนาน…คงเป็นคัมภีร์ที่มีเพียงจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนเท่านั้นที่จะไล่ล่าได้ ซึ่งอยู่ไกลเกินกว่าที่มู่เฉินจะเอื้อมถึง

“วังสวรรค์บรรพกาลเคยปกครองทวีปเทียนหลัวทั้งหมด ดังนั้นภายในจึงมีแหล่งขุมทรัพย์ไม่มีใครเทียบได้อยู่มากมาย หากเจ้าเข้าไปข้างในจะต้องค้นหาแหล่งขุมทรัพย์สองแห่งให้ได้” มั่นถัวหลัวกล่าวขณะที่มองไปทางมู่เฉิน

“สองแห่งไหน?” มู่เฉินอึ้งไป

“หอคัมภีร์เทพซ่อนและทะเลสาบสวรรค์” มั่นถัวหลัวพยักหน้าก่อนที่จะพูดต่อ “หอคัมภีร์เทพซ่อนเป็นสถานที่เก็บคัมภีร์ของวังสวรรค์บรรพกาลหลากหลายหมวดหมู่ เจ้าสามารถค้นหาวิธีวิวัฒนาการร่างเทพสุริยะที่นั่นได้”

“สำหรับทะเลสาบสวรรค์มีความสำคัญมาก เป็นดินแดนขุมทรัพย์ที่แม้แต่สมาชิกวังสวรรค์บรรพกาลยังปรารถนา นั่นเป็นเพราะทะเลสาบสวรรค์ประกอบด้วยพลังงานทรงประสิทธิภาพที่สามารถสร้างความมั่นคงให้กับรากฐานทางจิตวิญญาณและปลดห่วงตรวนเพื่อเพิ่มโอกาสในการประสบความสำเร็จในภัยพิบัติ ในอดีตมีเพียงจอมยุทธ์ที่มีคุณูปการยิ่งใหญ่เท่านั้นที่จะได้รับโอกาสนี้”

ตอนแรกที่ได้ยินคำพูดของมั่นถัวหลัว ทั้งคู่ก็ยังคงสงบนิ่ง แต่เมื่อได้ยินว่าสามารถเจาะตรวนและเพิ่มโอกาสในการประสบความสำเร็จในภัยพิบัติ ทั้งสองก็ไม่สามารถระงับไฟที่ลุกโชติช่วงในดวงตาได้เลย

ทุกคนรู้ว่ามีเพียงจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนเท่านั้นที่ได้รับการพิจารณาว่าเป็นผู้มีอำนาจในมหาพันภพและสามารถปกครองภูมิภาคได้ แม้แต่ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าก็ยังห่างไกลเป็นโยชน์

ทว่าแม้จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนจะทรงพลัง แต่ก็เพียงหนึ่งส่วนของระดับจื้อจุนขั้นเก้าเท่านั้นที่สามารถบุกเข้าสู่ขุมพลังนี้ เหตุผลหลักใหญ่ที่สุดก็คือความน่ากลัวในภัยพิบัติซึ่งอาจส่งผลทำให้พวกเขาพังพินาศ

ดังนั้นโอกาสต่ำยิ่งในการผ่านภัยพิบัติจึงเป็นเหตุทำให้จอมยุทธ์จื้อจุนขั้นเก้าจำนวนมากไม่กล้าที่จะก้าวออกไปเพื่อเจาะตรวนบรรลุระดับตี้จื้อจุน กลัวว่าถ้าล้มเหลวจะถูกทำลายจนสิ้นซาก

ณ สถานะปัจจุบันของพวกเขาระดับตี้จื้อจุนไม่ได้อยู่ไกลเกินกว่าจะเข้าถึงอีกต่อไป ดังนั้นจึงพอข้อมูลในเรื่องนี้

“นอกจากนี้เจ้ายังต้องระวังจอมยุทธ์คนหนึ่ง ชื่อของเขาคือจาโหลหลัว เขาอาจจะเป็นศัตรูตัวกาจของเจ้าในการเดินทางไปยังวังสวรรค์บรรพกาลครั้งนี้” มั่นถัวหลัวหรี่ตาลงพลางกล่าวช้าๆ

“ศัตรูตัวฉกาจ?” มู่เฉินอึ้งไปก่อนที่จะเรียกคืนสติอย่างรวดเร็ว ม่านตาถึงกับหดเกร็งทันที

คนที่สามารถให้มั่นถัวหลัวเอ่ยเตือนเขาอย่างจริงจัง เหตุผลเบื้องหลังชัดเจนมาก จาโหลหลัวผู้นี้… อาจจะเป็นหนึ่งในผู้ฝึกร่างเทพสุริยะ!

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler ฟรี ได้ที่ novel-fast 


เรื่องย่อ

โดย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler บางส่วนของนิยาย

บทนำ

หนึ่งในใต้หล้าจากปลายปากกาของเทียนฉานถูโต้ว กล่าวถึงมู่เฉิน เด็กหนุ่มจากสำนักศึกษาเป่ยหลิง ผู้ที่ได้รับเลือกให้เข้าฝึกในสงครามเทพยุทธ์ซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าคนเก่งกาจ ทว่า… อยู่ดีๆ เขากลับถูกขับไล่ออกมาด้วยเหตุผลที่ไม่มีใครล่วงรู้ มู่เฉินพยายามฝึกหนักอีกครั้งเพื่อจะพาตัวเองกลับเข้าไปในเส้นทางแห่งนี้ เขาจำเป็นต้องใช้สิ่งนี้เป็นใบเบิกทางเพื่อเข้าศึกษาที่ภาคเบญจภาคี เพื่อ… ปกป้องหญิงสาวที่ตนรัก และยิ่งกว่านั้นคือเพื่อค้นหาเบาะแสของมารดาที่หายสาบสูญไป

‘มหาพันภพ’ เป็นที่ที่มิติทั้งหลายเชื่อมต่อกันในระบบสุริยจักรวาล สถานที่แห่งนี้มีขั้วอำนาจมากมายอาศัยอยู่ จักรพรรดิที่มาจากพิภพเขตล่างต่างเป็นตำนานที่ผู้อื่นปรารถนาขึ้นไปบนเส้นทางแห่งกฎของโลกไร้ขอบเขตนี้

แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว เทพจักรพรรดิอัคคีควบคุมเปลวเพลิงกวาดข้ามสวรรค์

แคว้นหวู เทพจักรพรรดิสงครามผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำให้ทั้งสวรรค์และโลกหวาดกลัว

ตำหนักซีเทียน จักรพรรดิสัประยุทธ์ที่แข็งแกร่งไม่มีผู้ใดเทียบเท่า ในเนินเขารกร้างทางเหนือ ดินแดนวั้นมู่ของจักรพรรดิอมตะครองเหนือภพ

เด็กหนุ่มจากมณฑลเป่ยหลิงออกท่องยุทธภพกับวิหคโลกันตร์คู่ใจ มุ่งหน้าสู่โลกภายนอกที่เต็มไปด้วยสีสัน ใครกันที่จะเป็นผู้กุมชะตากรรมในเส้นทางการเป็นหนึ่ง?

ในมหาพันภพที่สงครามนับหมื่นอุบัติ ข้าคือผู้กุมชะตาฟ้าดิน…

เรื่องย่อ

เมื่อคำพูดของมู่เฉินกระจายออกไป ไม่เพียงแต่จะไม่มีการตอบสนอง แม้แต่ด้านนอกเจดีย์ก็ถูกห่อหุ้มด้วยบรรยากาศราวกับป่าช้า…

ทุกคนตกตะลึงไปกับฉากนี้ พวกเขาจ้องมองจุดที่ลู่สุยหายตัวไป ราวกับว่ายังไม่สามารถฟื้นจากอาการตะลึงงันที่เกิดขึ้นได้

ก่อนหน้าเมื่อลู่สุยออกกระบวนท่าที่น่าสะพรึง ผู้คนส่วนใหญ่ก็คิดว่าผลลัพธ์ของการต่อสู้ได้ถูกกำหนดแล้ว ทว่าพวกเขาไม่คิดเลยว่ามู่เฉินจะพลิกสถานการณ์ได้อีกครั้ง เตะลู่สุยที่เหมือนจะคว้าชัยชนะออกไป

ทุกคนตะลึงไปพักใหญ่ ก่อนที่พวกเขาจะหลุดออกจากอาการได้ สายตาเคร่งเครียดลง การประลองกันครั้งนี้มู่เฉินไม่ได้ใช้ค่ายกล แต่เขาก็สามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดอย่างลู่สุยได้ด้วยความแข็งแกร่งที่อยู่ในขั้นหกเท่านั้น แม้ว่าจะมีผลจากลู่สุยประมาทเองในตอนแรก แต่นั่นก็แสดงให้เห็นว่ามู่เฉินน่ากลัวแค่ไหน

พลังเช่นนี้เขาสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์อันดับต้นๆ ในเจดีย์ฝึกพลังกายได้เลยทีเดียว

ทางฝั่งกลุ่มกระเรียนฟ้า ใบหน้าของหลิ่วชิงกลายเป็นเขียวสลับขาว นางมองไปที่ร่างสูงโปร่งบนหน้าจอ กลืนน้ำลายเหนียวหนืด ความกลัวปรากฏในดวงตาของนางเป็นครั้งแรก

มาถึงจุดนี้นางคงโง่แน่ถ้ายังคิดปฏิบัติต่อมู่เฉินเหมือนกับจอมยุทธ์ขั้นหกทั่วไป

ด้วยพลังในการต่อสู้ที่เขาแสดงออกมา บวกกับค่ายกลทรงพลัง แม้แต่จงเถิงก็ยากจะได้เปรียบหากพวกเขาต่อสู้กัน

ก่อนหน้านี้นางหัวเราะเยาะและมองจิ่วโยวด้วยความดูถูก แต่ตอนนี้นางอายแทบแทรกแผ่นดินหนี ซึ่งจุดนี้รู้ได้จากสายตาเยาะเย้ยเหล่านั้นที่ปรายมองเข้ามา

“ทำไมมู่เฉินถึงทรงพลังเช่นนี้?” จงฮั้วที่พ่ายแพ้ให้กับมู่เฉินก็มีสีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดเช่นกันว่ามู่เฉินพึ่งพาเพียงค่ายกลเพื่อจัดการกับศัตรู แต่ใครจะคิดว่าเมื่อไม่มีการใช้ค่ายกลมู่เฉินก็สามารถเอาชนะลู่สุยแบบดุร้ายยิ่งกว่าอะไร

“ดูเหมือนว่ามีเพียงพี่ใหญ่จงเถิงเท่านั้นที่สามารถจัดการกับเขาได้” จอมยุทธ์อีกคนของเผ่ากระเรียนฟ้าพยักหน้า

หลิ่วชิงพยักหน้าเบาๆ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะพิจารณาพลังของมู่เฉินพลาดไปเท่านั้น แม้แต่จงเถิงก็ตัดสินอีกฝ่ายผิดไป ชายคนนั้นเป็นสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง

ฟิ้ว!

ขณะที่นอกเจดีย์ต่างตกตะลึงกับผลลัพธ์ที่มู่เฉินนำมา ทันใดนั้นแสงก็กะพริบบนแท่นนอกเจดีย์ ร่างน่าสังเวชปรากฏขึ้น

เมื่อร่างนั้นออกมาก็รีบถอยกลับไปปรากฏตัวขึ้นในกลุ่มอีกาสายฟ้าทันควัน นี่ก็คือลู่สุยที่มีสีหน้าซีดขาว คลื่นหลิงของเขาถดถอยลงอย่างมาก

สายตาโดยรอบยิงเข้าหาในเวลานี้ทันที

ใบหน้าของลู่สุยเขียวคล้ำ สายตาเกลียดชังมองไปที่มู่เฉินที่อยู่บนหน้าจอ ก่อนที่จะหันหัวสาดสายตาดุร้ายใส่จิ่วโยวและมั่วหลิง ที่ข้างๆ พรรคพวกของเขาก็มีท่าทางไม่ดีเช่นกัน

ทว่าจิ่วโยวไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับสายตาเหล่านั้น นางเค้นเสียงอย่างเย็นชา “ลูกหมาที่ถูกฟาดยังกล้าที่จะออกมาแยกเขี้ยวอีกเหรอ?”

ตอนนี้ลู่สุยบาดเจ็บสาหัส สูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปหมด ส่วนคนที่เหลือก็ไม่มีอะไรต้องกลัว หากพวกเขากล้าที่จะคิดบัญชีกับพวกนาง จิ่วโยวก็ไม่คิดปล่อยพวกเขาไว้เป็นภัยคุกคามในอนาคตหรอก

สายตาแสดงความเกลียดชังของลู่สุยจ้องเขม็งอยู่ที่จิ่วโยว แต่สุดท้ายเขาก็ต้องถอนสายตาออกไปอย่างไม่เต็มใจ ก่อนที่จะถอยกลับนั่งลงบนซากปรักหักพังเข้าสมาธิเพื่อฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ

จอมยุทธ์กลุ่มอีกาสายฟ้าก็ปรากฏรอบตัวเขาเพื่อปกป้อง

เมื่อจิ่วโยวเห็นการตอบสนองนั่น นางก็ไม่ได้ใส่ใจกับพวกเขาอีก นางมองไปที่หน้าจออีกครั้งโดยพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ร่างเงาอ่อนเยาว์ มือที่กำแน่นผ่อนคลายลง

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงสำหรับนางที่มู่เฉินจะเอาชนะได้เด็ดขาดแบบนี้ นั่นเป็นเพราะตามการประเมินของนางแม้ว่ามู่เฉินจะยืนยงอยู่ได้ก็เป็นยากที่จะเอาชนะลู่สุยด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นหกและถ้าการต่อสู้ถูกลากไปจนสุดอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบคาดไม่ถึง

ทว่าผลลัพธ์สุดท้ายที่ได้ก็ทำให้นางทั้งประหลาดใจและดีใจ

เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินได้รับประโยชน์มหาศาลจากสามชั้นแรกของเจดีย์ฝึกพลังกาย ไม่เช่นนั้นเขาไม่สามารถแสดงพลังเป็นที่ประจักษ์เช่นนี้ได้

“ว่ากันว่าในชั้นสี่มหัศจรรย์กว่านี้มาก หากใครสามารถเข้าไปได้ พวกเขาจะสามารถได้รับผลประโยชน์เกินกว่าสามชั้นแรกมาก…”

จิ่วโยวยิ้มบาง ดูจากสถานการณ์ปัจจุบันไม่น่ามีปัญหาใดๆ ที่มู่เฉินจะเข้าสู่ชั้นสี่ สำหรับมั่วเฟิงความแข็งแกร่งของเขาเป็นหนึ่งในอันดับต้นของกลุ่มที่เข้าไป ดังนั้นจึงไม่ยากสำหรับเขาที่จะได้หนึ่งในห้าที่นั่งนี้ไปเช่นกัน

ดูเหมือนว่าการเดินทางมาที่เจดีย์ฝึกพลังกายโบราณครั้งนี้เผ่าวิหคโลกันตร์อาจเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

บนลานเมฆสายฟ้า

ไม่มีใครตอบคำถามของมู่เฉิน ขณะนี้แม้แต่จอมยุทธ์ทรงอำนาจอย่างหานซันและสีคุนก็ยังรู้สึกหวาดระแวงมู่เฉินอยู่บ้าง ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะไม่ไปปะทะกับมนุษย์ผู้นี้

ดังนั้นคนทั้งหมดที่อยู่ที่นี่จึงเงียบลง ก่อนที่จะถอยออกจากรัศมีโดยรอบมู่เฉินอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณบอกว่าพวกเขาไม่ต้องการต่อสู้กับเขา

เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ก็ไม่มีอารมณ์ใดบนใบหน้า แต่ในใจกลับรู้สึกโล่งอก คนอื่นๆ เห็นเพียงฉากการต่อสู้ตระการที่เขาเอาชนะลู่สุยได้ แต่พวกเขาไม่รู้หรอกว่าหมัดที่เขาชกออกไปก่อนหน้านี้คือพลังงานส่วนเกินจากสามชั้นแรก

ร่างกายของมู่เฉินก่อนหน้าเปรียบเสมือนฟองน้ำที่ดูดซับน้ำจนถึงขีดจำกัด หมัดของเขาจึงเท่ากับบีบน้ำออกจนหมด ทำให้ร่างกายที่อัดแน่นกลับสู่สภาพเดิม

ดังนั้นถ้าให้เขาโจมตีแบบนั้นอีกครั้ง พลังก็จะไม่ทรงประสิทธิภาพเหมือนเมื่อครู่แน่นอน

ประสิทธิผลพิเศษชนิดนี้ของการสะสมพลังงานในร่างกายเป็นทักษะที่ได้มาจากกายามังกรหงส์ ด้วยวิธีนี้เขาจะได้รับผลลัพธ์ที่ไม่มีใครคาดคิดไว้ กลายเป็นไพ่ลับอีกใบหนึ่ง

“คัมภีร์หลงเฟิ่งทรงพลังจริงๆ”

แม้แต่มู่เฉินก็ยังชื่นชมในสิ่งนี้ คัมภีร์หลงเฟิ่งสมแล้วที่เป็นทักษะยอดเยี่ยมแท้จริง จากการประเมินของเขาคัมภีร์นี้ต้องอยู่ในระดับเสินทงแน่นอน ซึ่งไม่ธรรมดาแม้จะอยู่ในกลุ่มวิทยายุทธระดับเสินทงด้วย

มู่เฉินชื่นชมก่อนที่จะใจเย็นลง แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีใครท้าทายเขา แต่เขาก็ไม่ตั้งใจที่จะท้าทายคนอื่นด้วยเช่นกัน เขายืนนิ่งบนตำแหน่งตนเองรอผลการคัดออก

สำหรับจงเถิง มู่เฉินรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นพวกยุแยงให้ลู่สุยมาปะทะกับเขา แต่เนื่องจากตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ดีในการจัดการ เขาจึงได้แต่ผลักแผนไปก่อน

แต่ถึงกระนั้นสายตาคมกล้าของมู่เฉินก็ยังจ้องเขม็งไปที่จงเถิง รอบตัวเต็มไปด้วยคลื่นหลิงราวกับเสือดาวที่กำลังจะจ้องตะครุบเหยื่ออัดแน่นด้วยภัยคุกคาม

เมื่อเห็นท่าทางของมู่เฉิน จงเถิงที่ประจันหน้ากับมั่วเฟิงก็รู้สึกอึดอัดใจ เขาต้องแยกสมาธิอยู่ตลอดเพื่อจับตามองมู่เฉิน ป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายเคลื่อนไหวมาประสานพลังกับมั่วเฟิง

ด้วยวิธีนี้สมาธิของจงเถิงจึงค่อนข้างฟุ้งซ่าน สุดท้ายเขาได้แต่กัดฟัน ถอนคลื่นหลิงและถอยออกจากบริเวณของมั่วเฟิง

“พี่มั่วยากสำหรับการต่อสู้ของเราที่จะได้ข้อสรุป ทำไมเราไม่ไปจัดการคนอื่นและรับที่นั่งมาล่ะ?” ขณะที่จงเถิงถอยกลับเสียงก็สะท้อนก้องไปด้วย

มั่วเฟิงจ้องมองจงเถิงอย่างไม่แยแสก่อนที่จะพยักหน้า นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าหากพวกเขายังอยู่ในสถานการณ์ยืนจ้องหน้ากันก็จะไม่เกิดผลลัพธ์ใด หากเขาร่วมมือกับมู่เฉิน พวกเขาอาจทำให้จงเถิงบ้าดีเดือดขึ้นมา แม้แต่พวกเขาก็ต้องจ่ายราคามหาศาลจากการตีโต้

ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาคือการได้ที่นั่งเพื่อเข้าสู่ชั้นสี่

เมื่อจงเถิงเห็นคำตอบของมั่วเฟิงก็รู้สึกโล่งใจในใจ เขาถอยกลับอย่างรวดเร็วออกจากจุดที่มู่เฉินและมั่วเฟิงอยู่ เขาครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนจะเลือกปะทะกับคนที่อ่อนแอกว่า

พอมู่เฉินเห็นจงเถิงไปแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจอีกต่อไป สายตาหันมามองมั่วเฟิงแล้วก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มแสดงความขอบคุณในการช่วยเหลือครั้งนี้

สายตาของมั่วเฟิงเป็นมิตรมากขึ้น คิดว่าการที่มู่เฉินเอาชนะลู่สุย ทำให้มั่วเฟิงมองมู่เฉินในฐานะจอมยุทธ์ที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเขา ดังนั้นจึงไม่ได้มีท่าทางเฉยเมยเหมือนเมื่อก่อน

มั่วเฟิงพยักหน้าให้มู่เฉิน ก่อนที่จะหันหลังกลับและเริ่มเลือกคู่ต่อสู้ของตนเอง

ครืน!

เมื่อทุกคนเลือกคู่ต่อสู้แล้ว ทันใดนั้นคลื่นหลิงก็ระเบิดรุนแรงบนลานเมฆสายฟ้า คลื่นกระแทกกวาดออก ทำให้มิติเกิดการสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไม่หยุด

บนลานเมฆสายฟ้าพลังงานหลิงกวาดหายนะ มีเพียงตรงมู่เฉินเท่านั้นที่ไม่ถูกรบกวน เนื่องจากไม่มีใครกล้าเหยียบเข้ามาในรัศมีพันจั้ง ยามนี้เขาเหมือนผู้ชมที่ดูการต่อสู้ติดขอบ ในเวลาเดียวกันก็บันทึกกระบวนท่าที่ทรงพลังของบางคนไว้ในสมอง

แม้ว่าในชั้นนี้พวกเขาอาจไม่ได้ประลองกัน แต่ก็ยังมีอีกสองชั้นรอพวกเขาอยู่ ใครจะสามารถรับประกันได้ว่าจะไม่มีการลดจำนวนลงในชั้นต่อไป?

ดังนั้นถ้ามีโอกาสเขาต้องพยายามจดจำข้อมูลผู้อื่นเก็บไว้

ภายใต้การสังเกตของมู่เฉิน การประลองบนลานเมฆสายฟ้าก็คงอยู่ชั่วระยะหนึ่ง ก่อนที่แต่ละคู่จะมาถึงจุดสิ้นสุด ผลลัพธ์ก็เป็นไปตามที่คาดไว้

หลังจากมู่เฉินก็เป็นหานซันที่เอาชนะคู่ต่อสู้ได้ที่นั่งที่สองไป

จากนั้นมั่วเฟิงและจงเถิงก็คว้าชัยชนะตามมา

ที่นั่งสุดท้ายตกเป็นของสีคุนที่ก่อนหน้านี้เคยแพ้หานซันที่ด้านนอกเจดีย์ ชายนี้มีความแข็งแกร่งที่น่าตกใจ แม้แต่หานซันยังต้องใช้ทักษะเต็มที่ถึงจะได้รับชัยชนะมา

เมื่อสีคุนได้รับที่นั่งสุดท้ายลานเมฆสายฟ้าขนาดใหญ่ก็เงียบลงอีกครั้ง ร่างทั้งห้ายืนอยู่ ขณะรัศมีไร้ขอบเขตทั้งห้าสายพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าชนกันเปรี้ยงปร้าง

ทว่าการชนกันก็ดำเนินไปเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ก่อนที่ทั้งห้าจะถอนคลื่นพลังพร้อมกัน พวกเขาเหลือบมองกันและกัน จากนั้นก็ไม่ลังเลทะยานออกไปปรากฏตัวบนเบาะทั้งห้า

สายตาพวกเขาพุ่งตรงไปยังมิติด้านหลังลานเมฆสายฟ้าด้วยความโลภ ตรงนั้นเส้นดาวหางจำนวนมากกวาดผ่านราวกับฝนดาวตก

ในแสงเหล่านั้นแก่นหยดสายฟ้ากำลังกะพริบด้วยความแวววาว


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท