หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – ตอนที่ 1099

ตอนที่ 1099

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1099 ขุดหลุมพราง
ตู้ม!

หมัดมังกรทองกวาดข้ามขอบฟ้าพุ่งชนกับกรงเล็บดำของเซี่ยหง เวลานั้นทั่วทั้งผืนดินก็สั่นสะเทือนเลื่อนลั่น คลื่นกระแทกที่มองเห็นด้วยตาเปล่าแผ่ระลอกออกมาโดยมีเซี่ยหงอยู่ตรงกลาง เมฆฝุ่นยกตัวขึ้น

ผืนดินพังทลาย

แสงสีทองและสีดำเขมือบกันอย่างไม่มีใครยอมใคร คลื่นลูกแล้วลูกเล่าระเบิดออกทั่วพื้นที่ ในที่สุดภายใต้สายตาของฝูงชนคลื่นหลิงก็สลายลง ขณะเดียวกันทุกสายตาก็พุ่งตรงไป

ลมพายุกวาดข้ามขอบฟ้าทำเกิดเมฆฝุ่นขึ้น เมื่อทิวทัศน์บนลานประลองชัดเจนขึ้น ทุกคนก็เห็นเซี่ยหงยืนในท่าเดิม ไม่มีการแสดงออกใดๆ บนใบหน้าแต่ดวงตากะพริบด้วยไอโหดเหี้ยม

ทุกคนพุ่งความสนใจมาที่เซี่ยหงที่ยืนนิ่ง ราวกับว่าผลกระทบยิ่งใหญ่จากการปะทะไม่สามารถทำให้เขาสั่นไหวได้ แม้แต่เสื้อผ้าก็ไม่ได้เผยิบผยาบจากคลื่นกระแทก

ทว่ามีคนที่มีสายตาแหลมคมมองไปที่บัลลังก์สีทองด้านหลัง

เมื่อลมพัดวูบหนึ่ง บัลลังก์มั่นคงก็กลายเป็นเถ้าถ่านปลิวออกไปในสายลม

ผู้ชมดวงตาหดเกร็ง แม้ว่าหมัดของมู่เฉินไม่ได้สร้างภัยคุกคามกับเซี่ยหงมากนัก แต่ก็สามารถทะลวงแนวป้องกันและทำลายบัลลังก์ที่อยู่ข้างหลังสลายเป็นอากาศธาตุ

มู่เฉินกำลังแสดงอำนาจด้วยหมัดลุ่นๆ หมัดนี้

นอกจากนี้วิธีการขู่ของเขาดูเหมือนว่าจะได้ผลดีเลยทีเดียว อย่างน้อยหลายคนแววตาก็เปลี่ยนเป็นเคร่งเครียดเมื่อมองไปที่มู่เฉิน ทุกคนบอกได้ว่าแม้ขุมพลังของเขาจะอยู่ในระยะเกือบจะบรรลุระดับจื้อจุนขั้นเก้าเท่านั้น แต่พลังที่มีก็เกินกว่าที่มองเห็นภายนอกไปไกล

“เจ้านี่มีความสามารถมากนะเนี่ย” มู่ซันยิ้มขณะที่ดวงตาหรี่ลง เขากับเซี่ยหงขุ่นเคืองกันหลายเรื่อง ดังนั้นเขารู้สึกเพลิดเพลินที่เซี่ยหงโดยกดขี่โดยธรรมชาติ

“ช่างเป็นเรื่องไม่คาดคิด…แต่เซี่ยหงคงจะระวังมากขึ้น การที่เขาจริงจังก็ไม่ง่ายที่จะรับมือ” ชิ้งหย่าตอบด้วยรอยยิ้ม

มู่ซันพยักหน้าเห็นด้วยกับคำพูดของชิ้งหย่า เขาและเซี่ยหงต่อสู้กันมาหลายปี แต่เขาก็ยังไม่เคยได้เปรียบ มากจนแม้แต่อยู่ต่ำกว่าในทำเนียบอีกด้วย ดังนั้นเขาจึงรู้ว่าเซี่ยหงที่จริงจังรับมือยากลำบากเพียงใด แม้ว่ามู่เฉินจะดูไม่เคี้ยวง่าย แต่ก็เร็วไปที่จะบอกถึงผู้ชนะคนสุดท้าย

ภายใต้เสียงกระซิบทั้งหมด เซี่ยหงเงยหน้าขึ้นอย่างช้าๆ มองไปที่มู่เฉินด้วยสายตาเย็นชาราวกับใบมีด ก่อนที่จะถอนฝ่ามือออกพูดไม่แยแสว่า “ไม่เลว”

เขาต้องยอมรับความจริงว่ามู่เฉินสามารถผ่าแนวป้องกันของเขามาได้

“ตอนแรกข้าคิดว่าการต่อสู้วันนี้คงน่าเบื่อ แต่ดูเหมือนว่าจะไม่แย่เหมือนอย่างที่คิดไว้” เซี่ยหงเดินขึ้นหน้า ขณะที่ความผันผวนของคลื่นหลิงรอบตัวเพิ่มขึ้นไปในระดับใหม่ เดินไม่กี่ก้าวทั้งลานประลองก็ถูกห่อหุ้มด้วยแรงกดดัน ซึ่งทำให้สีหน้าของผู้เฒ่าไป๋ ถานชิวและผู้บัญชาการสือซีดขาวลง คลื่นพลังในร่างก็เหมือนหมุนเวียนช้าลง

นี่คือจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าของแท้!

สายตาแหลมคมของเซี่ยหงมองตรงไปที่มู่เฉิน เสียงน่าขนลุกเอ่ยว่า “แต่ถ้าแกมีความสามารถเท่านี้ก็อย่าหวังว่าจะออกจากที่นี่ไปได้”

ทันทีที่เซี่ยหงพูดจบ คลื่นหลิงไร้ขอบเขตอีกสายก็พวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า ทำให้แรงกดดันคลื่นพลังที่ก่อตัวไว้โดยเซี่ยหงกระจัดกระจายหายไป

ดวงตาของเซี่ยหงหดลง จากนั้นก็หันกลับไปมองอย่างช้าๆ จ้องมองที่จิ่วโยวที่ปลดปล่อยพายุคลื่นหลิงแผ่ไปรอบตัว

จิ่วโยวมองเซี่ยหงกลับด้วยสายตาเย็นชา เพลิงโปร่งใสลุกโชนอยู่ในมือ พร้อมกับอารมณ์เย็นเยือก ทันใดนั้นนางก็ชี้นิ้วออกมา เพลิงโปร่งใสกลายเป็นลำแสงซัดใส่เซี่ยหง

ฟิ้ว!

ทว่าเมื่อลำแสงพุ่งออกมา เกลียวสีเทาก็แล่นแปลบปลาบที่เบื้องหน้าเซี่ยหง ชายชราชุดเทาเผยตัวขึ้น ฝ่ามือแห้งเหี่ยวกำลำแสงเอาไว้ คลื่นหลิงทรงพลังพล่านออกมาจากฝ่ามือดับลำแสงเพลิงลง

“ฮ่าๆ ในเมื่อองค์ชายเลือกเหยื่อแล้ว ก็อย่าเข้ามาขวางหูขวางตาดีกว่านะ” หวังกงยิ้มตาหยีขณะปัดลำแสงเพลิงออกไป

เมื่อมองไปที่หวังกง สายตาของจิ่วโยวก็มืดครึ้มลง นางรู้สึกได้ถึงพลังหยินเยือกเย็นรอบตัวตาเฒ่าคนนี้ที่ทรงพลังมาก ดูเหมือนว่าชายคนนี้อีกก้าวเดียวก็จะเข้าสู่ระดับจื้อจุนขั้นเก้าระยะปลายสุด ความแข็งแกร่งของเขาไปไกลเกินกว่าขั้นเก้าทั่วไป

วาบ!

เสียงลมกรูกันออกมาด้านหลังลานประลอง ร่างคนสิบกว่าคนพุ่งออกจากล้อมกรอบลานประลอง ปิดล้อมกลุ่มของจิ่วโยวจากระยะไกลและตัดเส้นทางการถอยหนีทุกช่อง

ผู้บัญชาการทั้งสามเมื่อเห็นร่างเงาเหล่านั้น สีหน้าก็อดเปลี่ยนแปลงโดยควบคุมไปไม่ได้ เนื่องจากพบว่าในกลุ่มคนนั้นมีจอมยุทธ์สี่คนอยู่ในขุมพลังอีกครึ่งก้าวจะบรรลุระดับจื้อจุนขั้นเก้า ที่เหลือก็อยู่ในขั้นเจ็ดขั้นแปดแล้ว

การรวมตัวของฝ่ายตรงข้ามแข็งแกร่งกว่าพวกเขามากนัก

ขณะนี้ทั้งพื้นที่อยู่ภายใต้การควบคุมของนักรบแคว้นเซี่ย ดังนั้นจึงเป็นเรื่องยากสำหรับพวกเขาที่จะล่าถอยไปอย่างราบรื่น

“ในเมื่อมาแล้ว ก็สายเกินไปที่จะหนีนะ”

เซี่ยหงคลี่รอยยิ้มบางจาง ก่อนจะสำรวจเรือนร่างเพรียวบางของจิ่วโยว จากนั้นก็ยกสายตาไปที่หลินจิ้งด้วยความปรารถนาพล่านในดวงตา จากนั้นก็พูดด้วยน้ำเสียงเย้าแหย่ “แต่การต่อสู้แบบนี้น่าเบื่อเสียจริง เรามาวางเดิมพันกันไหมล่ะ?”

มู่เฉินมีสีหน้าสงบนิ่งเมื่อได้ยิน เห็นชัดว่าเขาไม่สนใจ

แต่ก่อนที่เขาจะพูดอะไรออกไป ดวงตาของหลินจิ้งก็สว่างวาบ นางถามด้วยความสนใจ “เดิมพันอะไร?”

“พนันว่าใครจะชนะระหว่างเขากับข้า?” เซี่ยหงชี้ไปที่มู่เฉินจากนั้นก็พูดต่อด้วยรอยยิ้มตาหยี “ถ้าข้าแพ้ข้าจะปล่อยให้พวกเจ้าไปพร้อมกับมอบอาวุธเสมือนมหสวรรค์สามชิ้นเป็นของกำนัล”

เมื่อผู้ชมโดยรอบได้ยินน้ำเสียงของเซี่ยหงก็อดอุทานไม่ได้ อาวุธเสมือมหสวรรค์สามชิ้น เซี่ยหงช่างฟุ่มเฟือยจริงๆ…

“ถ้าเจ้าชนะล่ะ?” หลินจิ้งถามพลางกะพริบตาวิบวับ

“งั้นก็ขอให้สาวงามทั้งสองมาแนบกายไง” เซี่ยหงยิ้ม

หลินจิ้งจือปากหัวเราะเบาๆ “พวกข้าสองคนมีค่าเพียงอาวุธเสมือนมหสวรรค์สามชิ้นเองหรือ? องค์ชายแห่งราชวงศ์เซี่ยขี้เหนียวจริง”

เซี่ยหงอึ้งไปก่อนจะเลิกคิ้ว “งั้นเจ้ามีข้อเสนออะไรล่ะคนสวย?”

หลังจากคิดครู่หนึ่งหลินจิ้งตอบแบบสบายๆ “เขียนใบรับรองลูกหนี้แล้วก็ประทับตราไว้ ถ้าเจ้าแพ้จะเป็นหนี้ของเหลวจื้อจุนร้อยล้านหยดกับข้า”

โอ้!

ผู้ชมขากรรไกรอ้าค้างเมื่อนางพูดจบ แม้แต่เซี่ยหงก็อดใบหน้ากระตุกไม่ได้ ของเหลวจื้อจุนร้อยล้านหยดอาจทำให้คลังของแคว้นเซี่ยว่างเปล่าเลยนะ

ของเหลวร้อยล้านหยดนี้สามารถซื้ออาวุธมหสวรรค์ของจริงได้เลยทีเดียว!

เซี่ยหงใบหน้าแข็งทื่อไปครู่หนึ่งก่อนจะยิ้มแห้ง “แม่นางน้อยคำพูดนี่เกินจริงไปหน่อยนะ นอกจากนี้พูดอย่างไม่เกรงใจ ต่อให้ข้าเขียนใบรับรองลูกหนี้ให้เจ้า ข้าเกรงว่าเจ้าก็ไม่สามารถได้รับของเหลวจื้อจุนจากแคว้นเซี่ยแม้แต่หยดเดียว”

คำพูดของเขาเป็นความจริง หากใครก็ตามที่ถือใบรับรองลูกหนี้ไปอ้างสิทธิ์กับแคว้นเซี่ย บิดาของเขาอาจจะบอกให้อีกฝ่ายรู้ว่างูที่พยายามจะกลืนช้างเป็นอย่างไร รนหาที่ตาย…

แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายก็ไม่สามารถนำของเหลวจื้อจุนปริมาณเท่านั้นออกจากแคว้นเซี่ยไปได้

เมื่อหลินจิ้งได้ยินคำพูดนั่นก็เบ้ปากออก “ถ้าใจไม่ถึงก็อย่าพนันตั้งแต่ต้นสิ สู้กันตามปกติ ให้เสียเวลาไปเล่นๆ”

ครั้นได้ยินน้ำเสียงของหลินจิ้งที่อัดแน่นด้วยอาการดูถูก เซี่ยหงก็ขมวดคิ้วก่อนจะยิ้มกว้าง “ก็ได้ ในเมื่อแม่นางน้อยสนใจเรื่องนี้มาก งั้นข้าว่าตามเจ้าแล้วกันนะ!”

พูดจบเขาก็หยิบม้วนกระดาษทองคำออกมา นิ้วตวัดไปมาสลักลงไปด้วยคลื่นหลิง จากนั้นก็หยดเลือดสร้างรอยประทับเป็นอันเสร็จขั้นตอน

พอเรียบร้อยแล้วเซี่ยหงก็ยิงม้วนกระดาษทองคำเข้าในสิงโตหินในลานประลอง

“ถ้าข้าแพ้ พวกเจ้าก็เอามันไปเลย แต่ข้าขอเตือนถ้าเจ้าคิดจะนำไปที่แคว้นเซี่ยจริงๆ ก็รนหาที่ตายแล้ว” เซี่ยหงยิ้มบาง

เขาถือว่านี่เป็นเรื่องเด็กเล่นของหลินจิ้งเท่านั้น จึงไม่ได้คิดมากอะไรกับเรื่องนี้ นอกจากนี้เขาก็ไม่คิดว่าตนเองจะแพ้ ก้าวถอยหลังหนึ่งหมื่นก้าวแม้ว่าเขาจะแพ้ แต่ก็เป็นเรื่องโง่ที่จะไปที่แคว้นเซี่ยด้วยเรื่องใบแจ้งหนี้นี้

“ไม่ต้องกังวลว่าข้าจะไปทวงหนี้อย่างไร” หลินจิ้งหัวเราะคิกคักราวกับสุนัขจิ้งจอกเจ้าเล่ห์

“มู่เฉิน ข้าฝากความหวังไว้ที่เจ้านะ ถ้าเจ้าชนะข้าจะแบ่งของเหลวจื้อจุนให้ครึ่งหนึ่ง!” หลินจิ้งมองไปที่มู่เฉินโบกมือหยอยๆ ให้กำลังใจเขา

เมื่อมู่เฉินเห็นการกระทำของนางก็ไม่รู้ว่าจะร้องไห้หรือหัวเราะดี แต่สุดท้ายก็พยักหน้าพลางมองเซี่ยหงด้วยความเห็นอกเห็นใจ

ถ้าเซี่ยหงรู้ว่านางเป็นธิดาของเทพจักรพรรดิสงครามแห่งแคว้นหวูที่มีชื่อเสียงเกรียงไกรในมหาพันภพ สีหน้าท่าทางจะตลกขนาดไหน?

แม้ว่าแคว้นเซี่ยจะทรงพลัง แต่ถ้าพวกเขากล้าเบี้ยวหนี้กับองค์หญิงน้อย ก็คงไม่ใช่แค่จอมยุทธ์ระดับตี้จื้อจุนสองสามคนจะมาเคาะประตูบ้าน…

หากนางโกรธขึ้นมาจริงๆ จนถึงขั้นเรียกบิดามาช่วยละก็ ฮ่องเต้เซี่ยก็ได้แต่กลืนความคับข้องใจลงไปในท้อง

เซี่ยหงกระโดดลงไปในหลุมพรางที่หลินจิ้งขุด…

มู่เฉินกับจิ่วโยวแลกเปลี่ยนสายตากันก่อนจะส่ายหัวเงียบๆ

“ไอ้หนุ่มโชคร้ายนั่น… ไร้เดียงสาเกินไปแล้ว”

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler ฟรี ได้ที่ novel-fast 


เรื่องย่อ

โดย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler บางส่วนของนิยาย

บทนำ

หนึ่งในใต้หล้าจากปลายปากกาของเทียนฉานถูโต้ว กล่าวถึงมู่เฉิน เด็กหนุ่มจากสำนักศึกษาเป่ยหลิง ผู้ที่ได้รับเลือกให้เข้าฝึกในสงครามเทพยุทธ์ซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าคนเก่งกาจ ทว่า… อยู่ดีๆ เขากลับถูกขับไล่ออกมาด้วยเหตุผลที่ไม่มีใครล่วงรู้ มู่เฉินพยายามฝึกหนักอีกครั้งเพื่อจะพาตัวเองกลับเข้าไปในเส้นทางแห่งนี้ เขาจำเป็นต้องใช้สิ่งนี้เป็นใบเบิกทางเพื่อเข้าศึกษาที่ภาคเบญจภาคี เพื่อ… ปกป้องหญิงสาวที่ตนรัก และยิ่งกว่านั้นคือเพื่อค้นหาเบาะแสของมารดาที่หายสาบสูญไป

‘มหาพันภพ’ เป็นที่ที่มิติทั้งหลายเชื่อมต่อกันในระบบสุริยจักรวาล สถานที่แห่งนี้มีขั้วอำนาจมากมายอาศัยอยู่ จักรพรรดิที่มาจากพิภพเขตล่างต่างเป็นตำนานที่ผู้อื่นปรารถนาขึ้นไปบนเส้นทางแห่งกฎของโลกไร้ขอบเขตนี้

แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว เทพจักรพรรดิอัคคีควบคุมเปลวเพลิงกวาดข้ามสวรรค์

แคว้นหวู เทพจักรพรรดิสงครามผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำให้ทั้งสวรรค์และโลกหวาดกลัว

ตำหนักซีเทียน จักรพรรดิสัประยุทธ์ที่แข็งแกร่งไม่มีผู้ใดเทียบเท่า ในเนินเขารกร้างทางเหนือ ดินแดนวั้นมู่ของจักรพรรดิอมตะครองเหนือภพ

เด็กหนุ่มจากมณฑลเป่ยหลิงออกท่องยุทธภพกับวิหคโลกันตร์คู่ใจ มุ่งหน้าสู่โลกภายนอกที่เต็มไปด้วยสีสัน ใครกันที่จะเป็นผู้กุมชะตากรรมในเส้นทางการเป็นหนึ่ง?

ในมหาพันภพที่สงครามนับหมื่นอุบัติ ข้าคือผู้กุมชะตาฟ้าดิน…

เรื่องย่อ

เมื่อคำพูดของมู่เฉินกระจายออกไป ไม่เพียงแต่จะไม่มีการตอบสนอง แม้แต่ด้านนอกเจดีย์ก็ถูกห่อหุ้มด้วยบรรยากาศราวกับป่าช้า…

ทุกคนตกตะลึงไปกับฉากนี้ พวกเขาจ้องมองจุดที่ลู่สุยหายตัวไป ราวกับว่ายังไม่สามารถฟื้นจากอาการตะลึงงันที่เกิดขึ้นได้

ก่อนหน้าเมื่อลู่สุยออกกระบวนท่าที่น่าสะพรึง ผู้คนส่วนใหญ่ก็คิดว่าผลลัพธ์ของการต่อสู้ได้ถูกกำหนดแล้ว ทว่าพวกเขาไม่คิดเลยว่ามู่เฉินจะพลิกสถานการณ์ได้อีกครั้ง เตะลู่สุยที่เหมือนจะคว้าชัยชนะออกไป

ทุกคนตะลึงไปพักใหญ่ ก่อนที่พวกเขาจะหลุดออกจากอาการได้ สายตาเคร่งเครียดลง การประลองกันครั้งนี้มู่เฉินไม่ได้ใช้ค่ายกล แต่เขาก็สามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดอย่างลู่สุยได้ด้วยความแข็งแกร่งที่อยู่ในขั้นหกเท่านั้น แม้ว่าจะมีผลจากลู่สุยประมาทเองในตอนแรก แต่นั่นก็แสดงให้เห็นว่ามู่เฉินน่ากลัวแค่ไหน

พลังเช่นนี้เขาสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์อันดับต้นๆ ในเจดีย์ฝึกพลังกายได้เลยทีเดียว

ทางฝั่งกลุ่มกระเรียนฟ้า ใบหน้าของหลิ่วชิงกลายเป็นเขียวสลับขาว นางมองไปที่ร่างสูงโปร่งบนหน้าจอ กลืนน้ำลายเหนียวหนืด ความกลัวปรากฏในดวงตาของนางเป็นครั้งแรก

มาถึงจุดนี้นางคงโง่แน่ถ้ายังคิดปฏิบัติต่อมู่เฉินเหมือนกับจอมยุทธ์ขั้นหกทั่วไป

ด้วยพลังในการต่อสู้ที่เขาแสดงออกมา บวกกับค่ายกลทรงพลัง แม้แต่จงเถิงก็ยากจะได้เปรียบหากพวกเขาต่อสู้กัน

ก่อนหน้านี้นางหัวเราะเยาะและมองจิ่วโยวด้วยความดูถูก แต่ตอนนี้นางอายแทบแทรกแผ่นดินหนี ซึ่งจุดนี้รู้ได้จากสายตาเยาะเย้ยเหล่านั้นที่ปรายมองเข้ามา

“ทำไมมู่เฉินถึงทรงพลังเช่นนี้?” จงฮั้วที่พ่ายแพ้ให้กับมู่เฉินก็มีสีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดเช่นกันว่ามู่เฉินพึ่งพาเพียงค่ายกลเพื่อจัดการกับศัตรู แต่ใครจะคิดว่าเมื่อไม่มีการใช้ค่ายกลมู่เฉินก็สามารถเอาชนะลู่สุยแบบดุร้ายยิ่งกว่าอะไร

“ดูเหมือนว่ามีเพียงพี่ใหญ่จงเถิงเท่านั้นที่สามารถจัดการกับเขาได้” จอมยุทธ์อีกคนของเผ่ากระเรียนฟ้าพยักหน้า

หลิ่วชิงพยักหน้าเบาๆ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะพิจารณาพลังของมู่เฉินพลาดไปเท่านั้น แม้แต่จงเถิงก็ตัดสินอีกฝ่ายผิดไป ชายคนนั้นเป็นสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง

ฟิ้ว!

ขณะที่นอกเจดีย์ต่างตกตะลึงกับผลลัพธ์ที่มู่เฉินนำมา ทันใดนั้นแสงก็กะพริบบนแท่นนอกเจดีย์ ร่างน่าสังเวชปรากฏขึ้น

เมื่อร่างนั้นออกมาก็รีบถอยกลับไปปรากฏตัวขึ้นในกลุ่มอีกาสายฟ้าทันควัน นี่ก็คือลู่สุยที่มีสีหน้าซีดขาว คลื่นหลิงของเขาถดถอยลงอย่างมาก

สายตาโดยรอบยิงเข้าหาในเวลานี้ทันที

ใบหน้าของลู่สุยเขียวคล้ำ สายตาเกลียดชังมองไปที่มู่เฉินที่อยู่บนหน้าจอ ก่อนที่จะหันหัวสาดสายตาดุร้ายใส่จิ่วโยวและมั่วหลิง ที่ข้างๆ พรรคพวกของเขาก็มีท่าทางไม่ดีเช่นกัน

ทว่าจิ่วโยวไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับสายตาเหล่านั้น นางเค้นเสียงอย่างเย็นชา “ลูกหมาที่ถูกฟาดยังกล้าที่จะออกมาแยกเขี้ยวอีกเหรอ?”

ตอนนี้ลู่สุยบาดเจ็บสาหัส สูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปหมด ส่วนคนที่เหลือก็ไม่มีอะไรต้องกลัว หากพวกเขากล้าที่จะคิดบัญชีกับพวกนาง จิ่วโยวก็ไม่คิดปล่อยพวกเขาไว้เป็นภัยคุกคามในอนาคตหรอก

สายตาแสดงความเกลียดชังของลู่สุยจ้องเขม็งอยู่ที่จิ่วโยว แต่สุดท้ายเขาก็ต้องถอนสายตาออกไปอย่างไม่เต็มใจ ก่อนที่จะถอยกลับนั่งลงบนซากปรักหักพังเข้าสมาธิเพื่อฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ

จอมยุทธ์กลุ่มอีกาสายฟ้าก็ปรากฏรอบตัวเขาเพื่อปกป้อง

เมื่อจิ่วโยวเห็นการตอบสนองนั่น นางก็ไม่ได้ใส่ใจกับพวกเขาอีก นางมองไปที่หน้าจออีกครั้งโดยพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ร่างเงาอ่อนเยาว์ มือที่กำแน่นผ่อนคลายลง

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงสำหรับนางที่มู่เฉินจะเอาชนะได้เด็ดขาดแบบนี้ นั่นเป็นเพราะตามการประเมินของนางแม้ว่ามู่เฉินจะยืนยงอยู่ได้ก็เป็นยากที่จะเอาชนะลู่สุยด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นหกและถ้าการต่อสู้ถูกลากไปจนสุดอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบคาดไม่ถึง

ทว่าผลลัพธ์สุดท้ายที่ได้ก็ทำให้นางทั้งประหลาดใจและดีใจ

เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินได้รับประโยชน์มหาศาลจากสามชั้นแรกของเจดีย์ฝึกพลังกาย ไม่เช่นนั้นเขาไม่สามารถแสดงพลังเป็นที่ประจักษ์เช่นนี้ได้

“ว่ากันว่าในชั้นสี่มหัศจรรย์กว่านี้มาก หากใครสามารถเข้าไปได้ พวกเขาจะสามารถได้รับผลประโยชน์เกินกว่าสามชั้นแรกมาก…”

จิ่วโยวยิ้มบาง ดูจากสถานการณ์ปัจจุบันไม่น่ามีปัญหาใดๆ ที่มู่เฉินจะเข้าสู่ชั้นสี่ สำหรับมั่วเฟิงความแข็งแกร่งของเขาเป็นหนึ่งในอันดับต้นของกลุ่มที่เข้าไป ดังนั้นจึงไม่ยากสำหรับเขาที่จะได้หนึ่งในห้าที่นั่งนี้ไปเช่นกัน

ดูเหมือนว่าการเดินทางมาที่เจดีย์ฝึกพลังกายโบราณครั้งนี้เผ่าวิหคโลกันตร์อาจเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

บนลานเมฆสายฟ้า

ไม่มีใครตอบคำถามของมู่เฉิน ขณะนี้แม้แต่จอมยุทธ์ทรงอำนาจอย่างหานซันและสีคุนก็ยังรู้สึกหวาดระแวงมู่เฉินอยู่บ้าง ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะไม่ไปปะทะกับมนุษย์ผู้นี้

ดังนั้นคนทั้งหมดที่อยู่ที่นี่จึงเงียบลง ก่อนที่จะถอยออกจากรัศมีโดยรอบมู่เฉินอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณบอกว่าพวกเขาไม่ต้องการต่อสู้กับเขา

เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ก็ไม่มีอารมณ์ใดบนใบหน้า แต่ในใจกลับรู้สึกโล่งอก คนอื่นๆ เห็นเพียงฉากการต่อสู้ตระการที่เขาเอาชนะลู่สุยได้ แต่พวกเขาไม่รู้หรอกว่าหมัดที่เขาชกออกไปก่อนหน้านี้คือพลังงานส่วนเกินจากสามชั้นแรก

ร่างกายของมู่เฉินก่อนหน้าเปรียบเสมือนฟองน้ำที่ดูดซับน้ำจนถึงขีดจำกัด หมัดของเขาจึงเท่ากับบีบน้ำออกจนหมด ทำให้ร่างกายที่อัดแน่นกลับสู่สภาพเดิม

ดังนั้นถ้าให้เขาโจมตีแบบนั้นอีกครั้ง พลังก็จะไม่ทรงประสิทธิภาพเหมือนเมื่อครู่แน่นอน

ประสิทธิผลพิเศษชนิดนี้ของการสะสมพลังงานในร่างกายเป็นทักษะที่ได้มาจากกายามังกรหงส์ ด้วยวิธีนี้เขาจะได้รับผลลัพธ์ที่ไม่มีใครคาดคิดไว้ กลายเป็นไพ่ลับอีกใบหนึ่ง

“คัมภีร์หลงเฟิ่งทรงพลังจริงๆ”

แม้แต่มู่เฉินก็ยังชื่นชมในสิ่งนี้ คัมภีร์หลงเฟิ่งสมแล้วที่เป็นทักษะยอดเยี่ยมแท้จริง จากการประเมินของเขาคัมภีร์นี้ต้องอยู่ในระดับเสินทงแน่นอน ซึ่งไม่ธรรมดาแม้จะอยู่ในกลุ่มวิทยายุทธระดับเสินทงด้วย

มู่เฉินชื่นชมก่อนที่จะใจเย็นลง แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีใครท้าทายเขา แต่เขาก็ไม่ตั้งใจที่จะท้าทายคนอื่นด้วยเช่นกัน เขายืนนิ่งบนตำแหน่งตนเองรอผลการคัดออก

สำหรับจงเถิง มู่เฉินรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นพวกยุแยงให้ลู่สุยมาปะทะกับเขา แต่เนื่องจากตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ดีในการจัดการ เขาจึงได้แต่ผลักแผนไปก่อน

แต่ถึงกระนั้นสายตาคมกล้าของมู่เฉินก็ยังจ้องเขม็งไปที่จงเถิง รอบตัวเต็มไปด้วยคลื่นหลิงราวกับเสือดาวที่กำลังจะจ้องตะครุบเหยื่ออัดแน่นด้วยภัยคุกคาม

เมื่อเห็นท่าทางของมู่เฉิน จงเถิงที่ประจันหน้ากับมั่วเฟิงก็รู้สึกอึดอัดใจ เขาต้องแยกสมาธิอยู่ตลอดเพื่อจับตามองมู่เฉิน ป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายเคลื่อนไหวมาประสานพลังกับมั่วเฟิง

ด้วยวิธีนี้สมาธิของจงเถิงจึงค่อนข้างฟุ้งซ่าน สุดท้ายเขาได้แต่กัดฟัน ถอนคลื่นหลิงและถอยออกจากบริเวณของมั่วเฟิง

“พี่มั่วยากสำหรับการต่อสู้ของเราที่จะได้ข้อสรุป ทำไมเราไม่ไปจัดการคนอื่นและรับที่นั่งมาล่ะ?” ขณะที่จงเถิงถอยกลับเสียงก็สะท้อนก้องไปด้วย

มั่วเฟิงจ้องมองจงเถิงอย่างไม่แยแสก่อนที่จะพยักหน้า นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าหากพวกเขายังอยู่ในสถานการณ์ยืนจ้องหน้ากันก็จะไม่เกิดผลลัพธ์ใด หากเขาร่วมมือกับมู่เฉิน พวกเขาอาจทำให้จงเถิงบ้าดีเดือดขึ้นมา แม้แต่พวกเขาก็ต้องจ่ายราคามหาศาลจากการตีโต้

ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาคือการได้ที่นั่งเพื่อเข้าสู่ชั้นสี่

เมื่อจงเถิงเห็นคำตอบของมั่วเฟิงก็รู้สึกโล่งใจในใจ เขาถอยกลับอย่างรวดเร็วออกจากจุดที่มู่เฉินและมั่วเฟิงอยู่ เขาครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนจะเลือกปะทะกับคนที่อ่อนแอกว่า

พอมู่เฉินเห็นจงเถิงไปแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจอีกต่อไป สายตาหันมามองมั่วเฟิงแล้วก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มแสดงความขอบคุณในการช่วยเหลือครั้งนี้

สายตาของมั่วเฟิงเป็นมิตรมากขึ้น คิดว่าการที่มู่เฉินเอาชนะลู่สุย ทำให้มั่วเฟิงมองมู่เฉินในฐานะจอมยุทธ์ที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเขา ดังนั้นจึงไม่ได้มีท่าทางเฉยเมยเหมือนเมื่อก่อน

มั่วเฟิงพยักหน้าให้มู่เฉิน ก่อนที่จะหันหลังกลับและเริ่มเลือกคู่ต่อสู้ของตนเอง

ครืน!

เมื่อทุกคนเลือกคู่ต่อสู้แล้ว ทันใดนั้นคลื่นหลิงก็ระเบิดรุนแรงบนลานเมฆสายฟ้า คลื่นกระแทกกวาดออก ทำให้มิติเกิดการสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไม่หยุด

บนลานเมฆสายฟ้าพลังงานหลิงกวาดหายนะ มีเพียงตรงมู่เฉินเท่านั้นที่ไม่ถูกรบกวน เนื่องจากไม่มีใครกล้าเหยียบเข้ามาในรัศมีพันจั้ง ยามนี้เขาเหมือนผู้ชมที่ดูการต่อสู้ติดขอบ ในเวลาเดียวกันก็บันทึกกระบวนท่าที่ทรงพลังของบางคนไว้ในสมอง

แม้ว่าในชั้นนี้พวกเขาอาจไม่ได้ประลองกัน แต่ก็ยังมีอีกสองชั้นรอพวกเขาอยู่ ใครจะสามารถรับประกันได้ว่าจะไม่มีการลดจำนวนลงในชั้นต่อไป?

ดังนั้นถ้ามีโอกาสเขาต้องพยายามจดจำข้อมูลผู้อื่นเก็บไว้

ภายใต้การสังเกตของมู่เฉิน การประลองบนลานเมฆสายฟ้าก็คงอยู่ชั่วระยะหนึ่ง ก่อนที่แต่ละคู่จะมาถึงจุดสิ้นสุด ผลลัพธ์ก็เป็นไปตามที่คาดไว้

หลังจากมู่เฉินก็เป็นหานซันที่เอาชนะคู่ต่อสู้ได้ที่นั่งที่สองไป

จากนั้นมั่วเฟิงและจงเถิงก็คว้าชัยชนะตามมา

ที่นั่งสุดท้ายตกเป็นของสีคุนที่ก่อนหน้านี้เคยแพ้หานซันที่ด้านนอกเจดีย์ ชายนี้มีความแข็งแกร่งที่น่าตกใจ แม้แต่หานซันยังต้องใช้ทักษะเต็มที่ถึงจะได้รับชัยชนะมา

เมื่อสีคุนได้รับที่นั่งสุดท้ายลานเมฆสายฟ้าขนาดใหญ่ก็เงียบลงอีกครั้ง ร่างทั้งห้ายืนอยู่ ขณะรัศมีไร้ขอบเขตทั้งห้าสายพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าชนกันเปรี้ยงปร้าง

ทว่าการชนกันก็ดำเนินไปเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ก่อนที่ทั้งห้าจะถอนคลื่นพลังพร้อมกัน พวกเขาเหลือบมองกันและกัน จากนั้นก็ไม่ลังเลทะยานออกไปปรากฏตัวบนเบาะทั้งห้า

สายตาพวกเขาพุ่งตรงไปยังมิติด้านหลังลานเมฆสายฟ้าด้วยความโลภ ตรงนั้นเส้นดาวหางจำนวนมากกวาดผ่านราวกับฝนดาวตก

ในแสงเหล่านั้นแก่นหยดสายฟ้ากำลังกะพริบด้วยความแวววาว


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท