หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1105 การเก็บเกี่ยวที่อุดมสมบูรณ์
ลานประลองตกอยู่ในสภาพวินาศสันตะโร
ตึกรามบ้านช่องโดยรอบถูกทำลายยับเยิน รอยแตกลึกมากมายกระจายบนพื้น แสดงให้เห็นถึงความรุนแรงของการต่อสู้ที่เกิดขึ้นที่นี่
บนท้องฟ้ามู่เฉินมองตรงทิศที่เซี่ยหงหลบหนีไปด้วยสีหน้าสงบนิ่ง ไม่ว่าอย่างไรเซี่ยหงก็คือองค์ชายแคว้นเซี่ยดังนั้นต้องมีวิธีปกป้องชีวิตตัวเองไว้อยู่แล้ว ความเร็วก่อนหน้าแม้แต่เขาก็ไม่สามารถตามทันได้ แต่เห็นได้ชัดว่าวิธีหลบหนีนี้จะส่งผลกระทบใหญ่หลวง ในอนาดตเซี่ยหงคงต้องทนทุกข์ทรมานแน่
ยิ่งกว่านั้นมู่เฉินเฉือนแขนข้างหนึ่งของเซี่ยหงไปแล้ว แม้ว่าจะสามารถงอกใหม่ได้ด้วยยาอายุวัฒนะและยา แต่ก็ต้องใช้เวลารักษานานพอควร
มู่เฉินจึงไม่ใส่ใจเรื่องเซี่ยหงอีกต่อไป แม้ว่าวันนี้เขาจะทำให้อีกฝ่ายได้รับบาดเจ็บหนักหน่วง เขาก็ไม่ได้กังวลอะไร เนื่องจากนี่ถือว่าเป็นการประลองระหว่างจอมยุทธ์รุ่นใหม่ ถึงแม้จะทำให้ฮ่องเต้เซี่ยโกรธขึ้น ทว่าถ้าแคว้นเซี่ยคิดจะเป็นศัตรูกับอาณาเขตกงเวทสวรรค์ด้วยเหตุนี้ก็ต้องจ่ายในราคามหาศาลเช่นกัน
ด้วยตอนนี้วังสวรรค์บรรพกาลปรากฏขึ้นแล้ว ทุกคนต่างให้ความสนใจ ดังนั้นฮ่องเต้เซี่ยคงไม่เต็มใจที่จะเปิดศึกกับขั้วอำนาจที่มีจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายอย่างแท้จริง
“อาวุธเสมือนมหสวรรค์สามชิ้น ช่างเป็นคนใจกว้างเพื่อรักษาชีวิตของตัวเองจริงๆ”
เมื่อระงับความคิดที่พลุ่งพล่านในใจ มู่เฉินก็มองไปที่ก้อนแสงสามกลุ่มในฝ่ามือยิ่งใหญ่ของร่างเทพสุริยะ เกลียวแสงสีทองก่อร่างเป็นม่านกั้นห่อหุ้มกลุ่มแสงทั้งสามเอาไว้
ทั้งสามชิ้นเป็นอาวุธเสมือนมหสวรรค์ที่เซี่ยหงโยนออกมาก่อนหน้านี้ สองในสามก็คือหอกและเกราะสงครามมังกรแดงที่เป็นอาวุธครบชุด พลังไม่ธรรมดา ด้วยความช่วยเหลือจากชุดอาวุธนี่ทำให้เซี่ยหงสามารถสู้กับมู่เฉินในระดับที่เท่าเทียมกัน มู่เฉินจึงรู้สึกสนใจอาวุธชุดนี้มากทีเดียว
จากการประเมินมูลค่าของชุดอาวุธนี่สูงกว่าไข่มุกทะเลเดือดมาก
และเป็นเพราะมีค่าสูงนี่เองจึงทำให้มู่เฉินถูกขัดขวางและให้โอกาสเซี่ยหงหนีไปได้ สุดท้ายกระทั่งคนอย่างมู่เฉินยังถูกล่อลวงจากอาวุธเสมือนมหสวรรค์ทั้งสามชิ้น
ถ้าเขาไม่ได้คว้าอาวุธทั้งสามชิ้นนี้ไว้ พวกมันก็คงพุ่งไปที่ผู้ชมรอบด้านแน่ ซึ่งทำให้เกิดความโกลาหลใหญ่ มิหนำซ้ำเขาอาจก่อให้เกิดความโกรธเกรี้ยวของสาธารณชน หากต้องการที่เข้าไปยึดครองในเวลานั้น
ดังนั้นมู่เฉินจึงไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากคว้าไว้ให้ทัน
“ข้าโดนมันเล่นกลซะได้” มู่เฉินอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา เซี่ยหงถือได้ว่าเป็นคนฉลาดมากเพราะรู้ว่าต้องจ่ายราคาเท่าไรถึงจะหยุดมู่เฉินชั่วครู่
แม้ว่าจะถูกเล่นกล แต่มู่เฉินก็ไม่โกรธ การเล่นกลที่ทำให้เขาได้รับอาวุธเสมือนมหสวรรค์สามชิ้น เขาหวังว่ายิ่งเยอะยิ่งดี
ขณะที่มู่เฉินบ่นพึมพำกับตัวเอง ทุกคนที่อยู่รอบๆ ก็มองไปที่อาวุธทั้งสามด้วยความโลภในดวงตา ราคารวมของอาวุธเหล่านั้น ตีเป็นราคาของเหลวจื้อจุนอย่างน้อยสี่สิบล้านหยดได้
ทว่าก็ไม่มีใครกล้าเคลื่อนไหว ไม่ต้องพูดถึงพลังที่มู่เฉินแสดงจนประจักษ์แก่สายตา แค่หลินจิ้งที่ไม่อาจหยั่งรู้ได้ก็เพียงพอที่จะข่มขู่พวกเขาแล้ว
มู่เฉินไม่ได้ใส่ใจสายตาเหล่านั้น เขาสะบัดแขนเสื้อกลุ่มแสงเข้ามาหา หมุนคว้างรอบตัวตกลงในฝ่ามือ
เคล้าคลึงไว้ในมือได้ก็กระทืบเท้า ร่างเทพสุริยะก็ราวกับภาพมายาจางหายเป็นประกายแสงสีทอง
ภายใต้การจับตามองมากมาย มู่เฉินก็กลับไปหาจิ่วโยวกับหลินจิ้งก่อนจะยื่นมือออกไป “รางวัลผู้ชนะ ถ้าชอบชิ้นไหนก็หยิบไปได้เลย”
หลินจิ้งยิ้มพลางเหลือบมองอาวุธทั้งหมดแวบหนึ่งแล้วก็หมดความสนใจ ด้วยฐานะของนางไม่ต้องพูดถึงอาวุธเสมือนมหสรรค์ ขนาดอาวุธมหสวรรค์ก็ยังมีได้ ดังนั้นอาวุธเหล่านี้ที่สามารถล่อใจจอมยุทธ์ทั่วไป ไม่มีอะไรน่าสนใจในสายตานางเลย
ดังนั้นนางจึงส่ายหัวโบกมือเรียกม้วนกระดาษมา
“นี่ต่างหากอาหารจานหลัก” หลินจิ้งโบกม้วนกระดาษทองคำในมือพร้อมกับยิ้มตาหยี “ไม่ต้องห่วง เมื่อข้าเก็บหนี้ได้แบ่งให้เจ้าครึ่งหนึ่งแน่นอน!”
มู่เฉินยิ้มขณะที่ส่งความเสียใจไปยังแคว้นเซี่ยเงียบๆ ด้วยสถานะของหลินของเหลวจื้อจุนร้อยล้านหยดอาจยากที่จะล่อลวงนาง แต่นางกลับรู้สึกตื่นเต้นกับการไปเก็บหนี้
ตราบใดที่องค์หญิงน้อยแห่งแคว้นหวูจริงจังขึ้นมา แคว้นเซี่ยก็ถึงคราวซวยแล้ว
นอกจากนี้มู่เฉินก็คาดไว้แล้วว่าหลิงจิ้งคงไม่สนใจอาวุธทั้งสาม ดังนั้นเขาจึงหันไปมองจิ่วโยวแทน
จิ่วโยวที่คุ้นเคยกับเขาดีเลือกหยิบไข่มุกทะเลเดือดไปแล้วยิ้มให้ “หอกและเกราะสงครามมังกรแดงเป็นชุดอาวุธ หากแยกออกจากกันพลังก็จะอ่อนแอลง ดังนั้นเจ้าเก็บไว้เองเถอะ”
ตอนนี้ที่ดินแดนสุดขอบตะวันตกเต็มไปด้วยเหล่าอัจฉริยะของทวีปเทียนหลัว เซี่ยหงที่พ่ายแพ้อยู่ในลำดับที่ยี่สิบของทำเนียบจอมยุทธ์รุ่นใหม่เท่านั้น มู่เฉินจะต้องพบกับคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งขึ้นกว่านี้แน่นอน นอกจากนี้ยังต้องรับมือกับลำดับสาม…จาโหลหลัวจากตำหนักเทพปีศาจด้วย
การเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์เหล่านี้ แม้แต่มู่เฉินก็คงยากที่จะจัดการ ดังนั้นจิ่วโยวจะไม่แตะต้องอะไรที่ช่วยเสริมความสามารถให้กับมู่เฉิน
เมื่อเห็นดังนี้ มู่เฉินก็ไม่ได้ปฏิเสธ เนื่องจากเขาสนใจอาวุธทั้งสองชิ้นนี้ ถ้าได้ครอบครองก็ช่วยเพิ่มพลังให้เขาไม่น้อยเลยทีเดียว
มู่เฉินพลิกมือเก็บอาวุธไป และตั้งใจจะหาเวลาที่จะชำระให้เร็วที่สุด
จากนั้นก็เงยหน้ามองผู้คนรอบตัวอย่างใจเย็น ตั้งแต่มารวมตัวกันที่นี่ คนเหล่านั้นก็ไม่ได้มีเจตนาที่ดี ถ้าวันนี้เขาแสดงให้เห็นว่าอ่อนแอก็คงถูกขย้ำไปแล้ว
เมื่อมู่เฉินกวาดสายตา แต่ละคนก็เบนหลบอย่างรู้สึกขยาด หลังจากได้เห็นว่ามู่เฉินเอาชนะเซี่ยหงได้อย่างไร พวกเขาก็ไม่กล้าดูถูกอีกฝ่ายที่มีขุมพลังอีกครึ่งก้าวจะบรรลุระดับจื้อจุนขั้นเก้า แววตาแต่ละคนเต็มไปด้วยความหวาดกลัวล้นเอ่อในหัวใจ
“ยังมีใครสนใจป้ายโบราณในมือข้าอีกไหม? ถ้าเป็นเช่นนั้น ตอนนี้ข้ารับคำท้าได้” มู่เฉินยิ้มอ่อนมองไปที่ทุกคน
พูดถึงตรงนี้เขาก็หยุดชะงักพลางเอ่ยต่อ “แต่ถ้าแพ้ขึ้นมา หวังว่าจะจ่ายในราคาได้เหมือนองค์ชายสี่นะ”
ทุกคนใบหน้าบิดเบ้กับประโยคดังกล่าว เซี่ยหงพยายามใช้ประโยชน์จากความเหนือกว่า แต่กลับสิ้นท่า ไม่เพียงแต่ไม่ได้รับป้ายโบราณไปเขายังกลายเป็นหินรองเท้าสำหรับมู่เฉินและสูญเสียสมบัติล้ำค่าอีกด้วย
นั่นไม่ใช่ราคาเล็กน้อยเลย
ดังนั้นจึงไม่มีใครกล้าท้าทายต่อคำพูดของมู่เฉิน
“ฮ่าๆ ป้ายวังสวรรค์บรรพกาลซื้อไปโดยจอมพลมู่แล้ว คนอื่นจะมีความคิดแย่งชิงไปได้อย่างไร? แต่ข้าคิดว่าชื่อเสียงของจอมพลมู่คงจะขจรขจายไปทั่วดินแดนสุดขอบตะวันตกแห่งนี้ในอีกไม่นาน เดี๋ยวเจ้าคงได้ก้าวไปอยู่ในอันดับบนทำเนียบจอมยุทธ์รุ่นใหม่แล้ว” ชิ้งหย่ายิ้มอ่อนโยนทำลายความเงียบลง
มู่เฉินมองไปที่ชิ้งหย่า ตึกฟ้าเหวสมกับการเป็นตัวแทนขายข่าวกรองยิ่งใหญ่ รู้กระทั่งตัวตนของเขาในอาณาเขตกงเวทสวรรค์
“งั้นข้าขอขอบคุณทุกคน” มู่เฉินประสานมือยิ้มให้
ผลลัพธ์การต่อสู้วันนี้เป็นสิ่งที่บรรลุความต้องการของมู่เฉิน หลังจากสู้กันครั้งนี้แม้ว่าจะมีบางคนอยากเป็นเจ้าของป้ายโบราณ แต่พวกเขาก็ไม่กล้าโจมตีอย่างง่ายดายอีก ซึ่งช่วยลดปัญหาไปมาก
ชิ้งหย่ายิ้มบาง “ปิดศึกนี้แล้ว ไม่ทราบว่าพี่มู่ยินดีที่จะไปพูดคุยกับพวกเราหน่อยไหม?”
คำว่าเราของนางหมายรวมถึงมู่ซันและเจียงหลิงด้วย พวกเขาต่างเป็นจอมยุทธ์อัจฉริยะของทวีปเทียนหลัว ซึ่งมีชื่อเสียงไม่ด้อยไปกว่าเซี่ยหงเลย
เมื่อได้ยินมิตรภาพที่นางมอบให้ มู่เฉินก็ประหลาดใจก่อนที่จะยิ้ม “ข้ากำลังต้องการเช่นกัน”
ตึกฟ้าเหว สำนักมังกรซ่อนและสำนักกระบี่แดนสรวงล้วนเป็นขั้วอำนาจชั้นยอดของทวีปเทียนหลัว ถ้าสามารถสร้างความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันได้ มู่เฉินจะปฏิเสธพวกเขาได้อย่างไร เขาไม่ได้โง่และไม่สนุกกับการท้าทายผู้คนทั่วสารทิศ ปัญหาครั้งนี้เซี่ยหงเป็นคนแกว่งเท้าหาปัญหาก่อน
เมื่อชิ้งหย่า มู่ซันและเจียงหลิงเห็นว่ามู่เฉินมีน้ำใจไม่ได้ปฏิเสธการเชิญชวน สายตาที่มองมาจึงเป็นมิตรมากขึ้น
อย่างน้อยมู่เฉินก็ดูจะพูดคุยง่ายกว่าเซี่ยหง
พวกมู่เฉินจัดการเรื่องราวเรียบร้อยก็ออกไปพร้อมกับพวกชิ้งหย่า มารวมตัวกันที่คฤหาสน์ของชิ้งหย่า
มู่เฉินรู้สึกได้ว่าชิ้งหย่าและคนอื่นๆ พยายามตรวจสอบที่มาที่ไปของหลินจิ้ง แต่ทั้งหมดก็ต้องหน้าหงายกลับไปจากฝีมือตอกนิ่มๆ ของหลินจิ้ง เห็นได้ชัดว่านางไม่ต้องการเปิดเผยตัวตนองค์หญิงน้อยแห่งแคว้นหวูกับพวกเขา
แม้ว่าหญิงสาวดูเหมือนเป็นคนคุยง่าย แต่ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่นางจะปฏิบัติต่อใครสักคนในฐานะเพื่อน
เมื่อเห็นว่าการหยั่งเชิงไม่เป็นผล พวกชิ้งหย่าก็ล้มเลิกความตั้งใจ หันไปพูดคุยกับพวกมู่เฉินเกี่ยวกับเรื่องต่างๆ ในดินแดนสุดขอบตะวันตก ซึ่งมู่เฉินให้ความสนใจข่าวเกี่ยวกับวังสวรรค์บรรพกาล
การรวมตัวของพวกเขาดำเนินไปจนถึงค่ำมืดก่อนที่จะอำลากัน
ระหว่างการอำลา ชิ้งหย่าก็ลังเลครู่หนึ่งก่อนที่จะเตือนมู่เฉินว่า “พี่มู่ เจ้าต้องระวังคนคนหนึ่งหลังจากทำให้เซี่ยหงบาดเจ็บหนักในวันนี้”
“โอ้? ใครรึ?” มู่เฉินหดตาลง
ชิ้งหย่าพูดด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “เซี่ยหยู่”
หัวใจของมู่เฉินโลดขึ้น เขาระบุตัวตนของชายคนนี้ได้ทันที
องค์ชายใหญ่แห่งแคว้นเซี่ย
อันดับสี่บนทำเนียบจอมยุทธ์รุ่นใหม่แห่งทวีปเทียนหลัว เป็นรองจาโหลหลัวลำดับหนึ่ง!